xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 20-26 ธ.ค.2558

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1.ศาลจังหวัดเกาะสมุย พิพากษาประหารชีวิต 2 แรงงานชาวพม่าคดีฆ่าข่มขืนนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษบนเกาะเต่า ด้านทนายเล็งอุทธรณ์!
(บน) นายซอ ลิน หรือ หรือ โซเรน และนายเวพิว หรือ วิน จำเลยในคดีนี้ (ล่างซ้าย) แม่ของจำเลยทั้งสอง (ล่างขวา) ครอบครัวของนายเดวิด วิลเลียม มิลเลอร์ ผู้เสียชีวิต
เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. คณะผู้พิพากษาศาลจังหวัดเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดเกาะสมุย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายซอ ลิน หรือโซเรน และนายเวพิว หรือ วิน แรงงานต่างด้าวชาวพม่า เป็นจำเลย ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันฆ่านายเดวิด วิลเลียม มิลเลอร์ ร่วมกันข่มขืนและฆ่า น.ส.ฮันน่าห์ วิคตอเรีย วิทเธอริดจ์ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2557 ที่ชายหาดด้านปลายแหลม จปร.หาดทรายรี ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี

เป็นที่น่าสังเกตว่า พ่อ แม่ น้องชาย และน้องสาวของนายเดวิด ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยพร้อมกับล่าม ขณะที่ครอบครัว น.ส.ฮันน่าห์ ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาแต่อย่างใด ส่วนฝ่ายจำเลย มีทีมทนายที่นำโดยนายนคร ชมพูชาติ หัวหน้าทีมทนายความ เดินทางมาพร้อมกับนางพิว ชุยนุก แม่ของนายเวพิว และนางเมไต แม่ของนายซอ ลิน เพื่อฟังคำพิพากษาด้วย จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้นำตัวนายเวพิว และนายซอ ลิน เข้ามาภายในห้องพิจารณาคดีเพื่อฟังคำพิพากษา ท่ามกลางกองทัพนักข่าวหลายสำนักทั้งไทยและต่างประเทศที่มารอทำข่าว

ทั้งนี้ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดเกาะสมุย อ่านคำพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289 (7) , 276 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 และจำเลยที่ 2 ยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) วรรคแรก และ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 12(1), 18 วรรคสอง 62 วรรคหนึ่ง อีกกระทงหนึ่ง และว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง ฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายที่ 1 และผู้ตายที่ 2 เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นที่มิใช่ภริยาตนอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 20 ปี ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน จำคุกจำเลยทั้งสองเป็นเวลา 2 ปี ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางตามกฎหมาย ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่มีหนังสือเดินทางและไม่ได้รับอนุญาต และเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านการตรวจของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมือง มิได้ยื่นรายการตามแบบที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย เป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน เป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน ฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 6 เดือน

อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่า จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ส่วนถ้อยคำรับในชั้นจับกุมในความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การสืบสวนจนสามารถยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางได้ เห็นควรลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน คงจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต คงจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 3 เดือน

ศาลระบุอีกว่า เมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสองแล้ว ก็ไม่อาจนำโทษจำคุกในความผิดกระทงอื่นของจำเลยทั้งสองมารวมได้อีก คงให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสองสถานเดียว และให้คืนจอบของกลางแก่เจ้าของ รวมทั้งให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ราคาโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง 15,000 บาท แก่ทายาทของผู้เสียชีวิตที่ 1 ส่วนข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากศาลอ่านคำพิพากษาประหารชีวิตนายซอ ลิน และนายเวพิว แล้ว นางเมไต และนางพิว ชุยนุก แม่ของจำเลยทั้งสองได้โผเข้ากอดลูกชาย และร้องไห้โฮกลางห้องพิจารณาคดี พร้อมคร่ำครวญว่า ลูกชายของพวกตนไม่ผิด ขอให้ศาลให้ความเป็นธรรมกับลูกชายด้วย

ด้านนายนคร ชมพูชาติ หัวหน้าทีมทนายฝ่ายจำเลย เผยว่า หลังจากนี้ จะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อยื่นศาลอุทธรณ์ให้ทันภายใน 1 เดือน ส่วนประเด็นที่จะอุทธรณ์เป็นประเด็นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วเห็นต่างกัน

ขณะที่นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ กล่าวว่า คดีนี้สภาทนายความช่วยเหลือฝ่ายจำเลย เพราะญาติจำเลยและสถานทูตพม่าร้องขอมา จึงจัดทนายความระดับอุปนายกและทนายความเก่งๆ อีก 3 คนไปรวบรวมข้อเท็จจริง และว่า หลังจากนี้ ทีมทนายจะคัดคำพิพากษาและค้นหาประเด็นที่ศาลนำมาเป็นจุดที่ฟังว่าจำเลยกระทำผิด โดยจะตั้งคณะทำงานขึ้นมาวิเคราะห์คำพิพากษาโดยเฉพาะ ดังนั้นสภาทนายความจะดำเนินคดีต่อไปในชั้นศาลอุทธรณ์ หากญาติจำเลยและสถานทูตขอความช่วยเหลือ ทางทนายความจะต่อสู้คดีต่อไปอย่างเต็มที่

ด้านครอบครัวของนายเดวิด วิลเลียม มิลเลอร์ ได้แถลงขอบคุณผู้พิพากษาที่ให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวของตน ซึ่งครอบครัวมิลเลอร์ได้อดทนรอคำพิพากษามากว่า 14 เดือน หลังจากเกิดเหตุเศร้าสลดขึ้นกับครอบครัว

ทั้งนี้ คำพิพากษาของศาลจังหวัดเกาะสมุย ก่อให้เกิดกระแสไม่พอใจในพม่า โดยมีชาวพม่านับพันคนไปยืนถือป้ายแสดงความไม่พอใจที่หน้าสถานเอกอัครราชทูตไทยในนครย่างกุ้งตั้งแต่วันที่ 24 ธ.ค. พร้อมเรียกร้องให้มีการปล่อยตัว 2 แรงงานชาวพม่า ขณะที่ชาวพม่าบางส่วนถือข้อความว่า “เราต้องการความยุติธรรม” ด้านสถานทูตไทยประจำนครย่างกุ้ง ต้องออกแถลงการณ์เตือนให้คนไทยในพม่าระมัดระวังการเดินทางและหลีกเลี่ยงการแสดงตัวว่าเป็นคนไทยในระยะนี้

ขณะที่นายอู วิน หม่อง เอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทย กล่าวว่า ทุกคนที่เป็นมนุษย์ ถ้าได้ยินคำว่าประหารชีวิตก็ต้องเสียใจ แต่เรื่องนี้ต้องดำเนินไปตามกระบวนการยุติธรรม คงไม่สามารถก้าวก่ายได้ “ผมเองหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คดีนี้จะได้รับการดูแลอย่างดีโดยรัฐบาลไทย และจะไม่มีปัญหาที่จะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ขอยืนยันว่าจะยื่นอุทธรณ์อย่างแน่นอน และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในขั้นตอนของศาลอุทธรณ์คงจะเรียบร้อยดี”

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานหลังศาลพิพากษาประหารชีวิต 2 แรงงานชาวพม่าว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงประจำทำเนียบประธานาธิบดีพม่า บอกว่า พม่าจะสำรวจทุกช่องทางทั้งด้านกฎหมายและด้านการทูต จะพยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ผู้บริสุทธิ์ทั้งสองได้รับการปล่อยตัว รอยเตอร์ ยังระบุด้วยว่า คำพิพากษาของศาลมีขึ้นหลังตำรวจไทยถูกครหาเกี่ยวกับความสามารถในการจัดการกับหลักฐานและการตรวจดีเอ็นเอที่บกพร่อง รวมทั้งการทรมาณผู้ต้องสงสัย นอกจากนี้ระหว่างการทำคดี ตำรวจไทยยังถูกกล่าวหาอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการสืบสวนที่ไม่เหมาะสมหลายอย่าง รวมถึงความล้มเหลวในการปิดเกาะอย่างรวดเร็วและปล่อยให้คนที่อาจจะเป็นผู้ต้องสงสัยหลบหนีไป

ขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลจังหวัดเกาะสมุย เป็นการยืนยันการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ขอชื่นชมชุดทำงานทุกคน และคิดว่า เมื่อผลออกมาแบบนี้ ขอให้ทุกคนจงภาคภูมิใจในผลงาน ถือเป็นความภาคภูมิใจของตำรวจและคนไทย

2.“บิ๊กตู่” นำทีมแถลงผลงานรัฐบาลรอบ 1 ปี พร้อมมอบของขวัญปีใหม่ ปชช. ช็อปปิ้ง ลดหย่อนภาษี!

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวปิดการแถลงสรุปผลงานรัฐบาลเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.
เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้นำทีมแถลงผลงานของรัฐบาลในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา โดยเผยว่า รัฐบาลต้องการปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริง เพื่ออนาคตของลูกหลาน สิ่งที่ต้องการปฏิรูปมี 6 กลุ่ม เช่น ด้านความมั่นคง ซึ่งประชาชนต้องช่วยกันเฝ้าระวัง ไม่ใช่โยนให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่อย่างเดียว, ด้านเศรษฐกิจ ต้องปรับโครงสร้างให้เข้มแข็ง, ด้านสังคม ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และสร้างสังคมที่ไม่มีความขัดแย้ง, ด้านต่างประเทศ ต้องเดินเชิงรุก ทั้งด้านการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทุกกลุ่มประเทศ, ด้านกฎหมายกระบวนการยุติธรรม ทำอย่างไรให้คนในบ้านเมืองเคารพกฎหมาย เป็นต้น

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า รัฐบาลได้ทำเรื่องการปฏิรูปตั้งแต่ปีแรก จากนี้เหลือเวลา 1 ปี 6 เดือน (ม.ค.59-ก.ค.60) รัฐบาลจะวางพื้นฐานในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ วันนี้หน้าที่ของแม่น้ำ 5 สาย ต้องต่อเนื่องเชื่อมโยงกันในระยะที่ 1 ส่วนที่เหลือ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) สภานิติบัญญํติแห่งชาติ(สนช.) ต้องทำให้การเมือง 20 ปีข้างหน้าแข็งแรง แม่น้ำ 5 สาย ต้องทำงานร่วมกันเป็นประชารัฐ ส่วนการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ผ่านไม่ผ่าน ตนก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว และขอให้ทุกคนไปออกเสียงประชามติด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ ยังพูดถึงการแก้ปัญหาค้ามนุษย์ด้วยว่า ต้องดำเนินการกับหัวโจกที่ทำผิดกฎหมายให้หมด ทั้งบนบกและในน้ำ ขอให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันทำงาน จะต้องแก้ไขปัญหาไอยูยูให้ได้ (ก่อนหน้านี้อียูให้ใบเหลืองด้านการประมงของไทย หากแก้ปัญหาไม่ผ่าน อาจได้ใบแดง) เพราะเหลือเวลาอีก 20 วัน ขอให้แก้ไขให้ได้ จะต้องรายงานให้ครบ อย่าปกปิด เพราะจะได้จบๆ ไป โดยวันที่ 20 ม.ค.2559 จะเป็นการชี้ชะตาว่าไทยจะได้ใบแดงหรือใบเหลืองสำหรับการแก้ปัญหาไอยูยู

เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้ารัฐบาลจะแถลงผลงาน คณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้รับทราบผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับของขวัญปีใหม่ที่ประชาชนต้องการจากรัฐบาลในปี 2559 สำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 2-10 พ.ย.ที่ผ่านมา จำนวน 3,900 ราย พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 43.9 ต้องการให้รัฐบาลควบคุมสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ให้มีราคาแพง มากกว่าเรื่องอื่น รองลงมา ร้อยละ 35.5 อยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาหนี้สินของประชาชน ทั้งนี้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 99.5 มีความพึงพอใจในผลงานที่ผ่านมาของรัฐบาล ขณะที่ร้อยละ 99.3 มีความเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาต่างๆ ของรัฐบาล

ทั้งนี้ รัฐบาลได้มอบของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ด้วยการออกมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปีนี้ โดยยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือบริการระหว่างวันที่ 25-31 ธ.ค.นี้ ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท ซึ่งคาดว่ามาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนให้มากขึ้นในช่วง 7 วันดังกล่าว และน่าจะช่วยให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีปีนี้เพิ่มขึ้น 0.1-0.2% ขณะเดียวกัน คาดว่าจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท

ด้านนายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เผยว่า ผู้ที่ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีจากการมาตรการดังกล่าว คือบุคคลธรรมดา ที่ซื้อสินค้าและบริการในเวลาที่กำหนด โดยซื้อสินค้าที่จดทะเบียน จึงจะนำเงินค่าซื้อสินค้ามาหักลดหย่อน ประจำปี 2558 ได้ โดยสินค้าอบายมุขทุกชนิดไม่สามารถนำมาลดหย่อนได้ และต้องมีใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ คือ มีชื่อผู้เสียภาษี เลขผู้เสียภาษี ชื่อที่อยู่ของผู้ใช้บริการ หมายเลขลำดับของใบกำกับภาษี ชื่อ ชนิด ประเภท และปริมาณ จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้แยกภาษีและจำนวนให้ชัดเจน เป็นต้น โดยทางกรมสรรพากรจะนำใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบขึ้นที่หน้าเว็บไซต์กรมสรรพากร

เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้มีมาตรการภาษีให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยวในประเทศ เช่น ค่าโรงแรม มาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาท เมื่อรวมกับมาตรการล่าสุดที่ให้ซื้อสินค้าและบริการในช่วง 7 วันก่อนปีใหม่ จะทำให้ประชาชนผู้เสียภาษีสามารถนำค่าใช้จ่ายจากทั้ง 2 มาตรการมาหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 30,000 บาท

3.กรธ. เคาะที่มา 200 ส.ว. เลือกไขว้จาก 20 กลุ่ม เตรียมทำโพล ปชช.หนุนไฟเขียว “สภาผัวเมีย” หรือไม่!

(ซ้าย) นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) (ขวา) นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)
เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. นายชาติชาย ณ เชียงใหม่ โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) แถลงผลประชุม กรธ.ว่า กรธ.ได้วางหลักการให้สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) มาจากการเลือกกันเองและเลือกไขว้ตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศ จำนวน 200 คน จาก 20 กลุ่มทางสังคม เช่น กลุ่มแรงงาน กลุ่มสิทธิเด็ก กลุ่มสตรี เป็นต้น สำหรับวิธีสมัคร กำหนดให้ผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด สามารถไปสมัครได้ ณ ที่ว่าการอำเภอ โดยสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) จะเป็นผู้ดำเนินการ

สำหรับการเลือกตั้งทางอ้อมและเลือกไขว้นั้น นายชาติชาย กล่าวว่า จะเริ่มตั้งแต่ระดับอำเภอมายังระดับจังหวัด ให้ได้กลุ่มละ 99 คน เมื่อรวม 20 กลุ่ม จะได้ 1,980 คน ก่อนส่งมาให้ส่วนกลางคัดเลือกด้วยวิธีการเลือกแบบไขว้ให้เหลือกลุ่มละ 10 คน รวมเป็น 200 คน ส่วนเหตุผลที่ กรธ.ไม่กำหนดให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งโดยตรงนั้น นายชาติชาย กล่าวว่า เนื่องจาก กรธ.ได้วางบทบาทหน้าที่ของ ส.ว.แตกต่างจาก ส.ส. คือ ส.ว.ไม่มีอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อีกทั้งสถานการณ์ขณะนี้ ก็ไม่ได้ต้องการให้ ส.ว.มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย แต่ต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ เป็นการเฉพาะมากกว่า และว่า รูปแบบการเลือก ส.ว.แบบนี้ จะคล้ายกับโมเดล “สภาสนามม้า” ในอดีต

ทั้งนี้ ที่ประชุม กรธ.วันต่อมา(23 ธ.ค.) ได้กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของ ส.ว.ว่า ไม่จำกัดวุฒิการศึกษาว่าต้องจบปริญญาตรี, ต้องมีความเกี่ยวข้องและมีความเชี่ยวชาญด้านที่ลงสมัครเป็นเวลา 10 ปี, ไม่ห้ามบุพการี คู่สมรส และบุตรของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองลงสมัคร ส.ว., หากบุคคลใดอยู่ระหว่างการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของศาลและองค์กรอิสระ แม้คดีจะยังไม่ถึงที่สุด เนื่องจากอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ก็ไม่สามารถลงสมัคร ส.ว.ได้ ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีหลายฝ่ายไม่เห็นด้วยกับที่มา ส.ว. เช่น นายตรี ด่านไพบูลย์ อดีต ส.ว.ลำพูน ที่ตั้งคำถามว่า การให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมจากกลุ่มวิชาชีพ 20 กลุ่ม โดยไม่มีสัดส่วนจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน แบบนี้จะอธิบายความหมายของคำว่า “ผู้แทนปวงชน” ได้อย่างไร

ด้านนายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) มองว่า การเลือกผู้สมัคร ส.ว.แบบไขว้ โดยให้คนที่ไม่รู้จักเลือกกันเอง คนที่ได้คะแนนก็คือคนที่ซื้อเข้ามาเท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ได้ไม่ครบทุกอาชีพ ทางที่ดีที่สุดคือ ต้องเปิดให้เลือกอย่างอิสระในจังหวัด แล้วส่งชื่อให้รัฐสภาเป็นผู้เลือก จะทำให้ไม่สามารถบล็อกโหวตได้

ขณะที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ยืนยันว่า การเลือกข้ามกลุ่มหรือเลือกแบบไขว้ในระดับอำเภอ เพื่อป้องกันการฮั้วกันตั้งแต่ต้น และว่า การเลือก ส.ว.ระดับอำเภอ ไม่จำเป็นต้องมีผู้ผ่านการคัดเลือกครบ 20 กลุ่มก็ได้ เพราะถึงอย่างไร เมื่อเข้าสู่การเลือกในระดับจังหวัด ก็จะได้กลุ่มคนครบ 20 กลุ่มเอง พร้อมเชื่อว่า การเลือกแบบไขว้กลุ่มกัน สามารถป้องกันการบล็อกโหวตได้

สำหรับประเด็นการเปิดช่องให้บุพการี คู่สมรส และบุตรของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองลงสมัคร ส.ว.ได้ ซึ่งมีเสียงคัดค้าน เพราะจะกลับไปสู่ปัญหาเดิมในแง่เป็น “สภาผัวเมีย” นั้น ปรากฏว่า ทาง กรธ.จะรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติม โดยจะทำโพลเพื่อสำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ก่อนนำผลสำรวจที่ได้ทั้งข้อดีและข้อเสียมาประกอบการพิจารณาอีกครั้ง

4.ศาลแพ่ง สั่ง 3 แกนนำ กปปส. “สมศักดิ์-คมสัน-สาวิทย์” ชดใช้กว่า 9 แสน กรณีนำผู้ชุมนุมปิดล้อมกระทรวงมหาดไทย!

(จากซ้าย) นายสมศักดิ์ โกศัยสุข-นายคมสัน ทองศิริ-นายสาวิทย์ แก้วหวาน
เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษาคดีที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เป็นโจทก์ฟ้องนายสมศักดิ์ โกศัยสุข, นายคมสัน ทองศิริ และนายสาวิทย์ แก้วหวาน เป็นจำเลยที่ 1-3 กรณีเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2556 จำเลยทั้งสามเป็นแกนนำผู้ชุมนุมกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) นำผู้ชุมนุมปิดล้อมพื้นที่กระทรวงมหาดไทยและกรมการปกครอง อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โดยโจทก์เรียกค่าเสียหาย 1,636,428 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ

ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานบุคคลและภาพถ่ายยืนยันได้ว่า จำเลยทั้งสามนำผู้ชุมนุมเข้าปิดล้อมพื้นที่ของโจทก์ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และไม่ไว้วางใจรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญนั้น ศาลเห็นว่า ไม่มีเหตุที่จะยกเว้นความรับผิดชอบของจำเลยทั้งสามหรือผู้ชุมนุมหากมีการกระทำอันเป็นการละเมิดต่อกฎหมาย การที่เข้าไปในพื้นที่ของโจทก์นานกว่า 5 เดือน ทำให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของโจทก์ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์

จำเลยจึงต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ประกอบด้วย ค่าอุปกรณ์สำนักงานเพื่อปฏิบัติงานที่ทำการชั่วคราว 101,000 บาท ค่าจ้างเหมารถตู้เพื่อรับ-ส่งข้าราชการและเจ้าหน้าที่ไปที่ทำการชั่วคราว 50,000 บาท ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างปฏิบัติงานที่ทำการชั่วคราว 4,000 บาท ค่าทรัพย์สินอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สูญหาย 791,000 บาท เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 946,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี

ส่วนอาวุธปืนของโจทก์ที่อ้างว่าสูญหายนั้น ศาลเห็นว่า ไม่มีพยานหลักฐานให้รับฟังได้ว่าอาวุธปืนของโจทก์สูญหายไปจริง จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดในส่วนนี้

ด้านนายวิโรจน์ ภูมิสิริสวัสดิ์ ทนายความจำเลย เผยว่า จะยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป ทั้งนี้ นายสมศักดิ์-นายคมสัน และนายสาวิทย์ นอกจากเป็นจำเลยในคดีนี้แล้ว ก่อนหน้านี้ยังถูกกระทรวงมหาดไทยยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายอีก 1 สำนวน ซึ่งศาลแพ่งพิพากษาไปแล้วให้ชดใช้กว่า 3 แสนบาท โดยคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ สำหรับคดีที่ กปปส.ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายจากหน่วยราชการจากการชุมนุม มีทั้งสิ้น 3 สำนวน โดยอีกสำนวนคือ คดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ฟ้องพระพุทธอิสระกับพวกเรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย 2,663,409 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ซึ่งศาลนัดตัดสินวันที่ 15 ก.พ.2559

5.ก.ล.ต. เพิกถอนการเป็นโบรกเกอร์ของ “น.ส.อุรชา” 10 ปี กรณีโอนหุ้น “ชูวงษ์” ไม่ชอบ พร้อมปรับ “บล.เออีซี” 1.1 ล้าน-แบนผู้บริหาร 6 เดือน!

(ล่าง) น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล โบรกเกอร์ของบริษัทหลักทรัพย์(บล.) เออีซี จำกัด (บน) น.ส.อุรชา พร้อมนางศรีธรา พรหมา เข้ามอบตัวต่อตำรวจกองปราบฯ คดีโกงหุ้นนายชูวงษ์เมื่อ 26 ส.ค.58
เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ได้แถลงข่าวด่วนเกี่ยวกับคดีนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หมื่นล้าน เกี่ยวกับการโอนหุ้นให้แก่บุคคลอื่น ก่อนเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ

ทั้งนี้ นางปะราลี สุคนธมาน ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต.แถลงผลการตรวจสอบกรณีมีการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ว่า ก.ล.ต.ได้สั่งเพิกถอนการให้ความเห็นชอบผู้แนะนำการลงทุน(มาร์เก็ตติ้ง) จำนวน 3 ราย ได้แก่ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล โบรกเกอร์ของบริษัทหลักทรัพย์(บล.) เออีซี จำกัด เป็นเวลา 10 ปี เนื่องจากพบว่า น.ส.อุรชา ได้ใส่เบอร์โทรศัพท์ใหม่ลงไปในบัญชีของนายชูวงษ์ เพื่อให้การโอนหุ้นสำเร็จ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า เบอร์ดังกล่าวไม่ใช่เบอร์ของนายชูวงษ์ นอกจากนี้ น.ส.อุรชายังเปิดบัญชีมารดาที่ บล.เออีซี จำกัด โดยไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ และจัดการโอนหุ้นโดยไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง และไม่ได้เป็นมาร์เก็ตติ้งที่ดูแลโดยตรง “กรณีการโอนหุ้นที่ปรากฏเป็นข่าว ก.ล.ต.พบว่า น.ส.อุรชาจัดการโอนหุ้นในบัญชีของลูกค้ารายหนึ่งเข้าบัญชีธนาคารมารดาตนเอง โดยได้รับประโยชน์จากการรับโอนหุ้นดังกล่าวผ่านการเตรียมการไว้อย่างเป็นขั้นตอน”

นอกจากนี้ ก.ล.ต.ยังพักการให้ความเห็นชอบมาร์เก็ตติ้งอีก 2 รายที่ดูแลบัญชีโดยตรงของนายชูวงษ์ ได้แก่ นายนัฐพล เฉลิมพจน์ เป็นเวลา 6 เดือน เนื่องจากพบว่า นายนัฐพลทราบว่า ผู้โทรสั่งโอนปลายสายไม่ใช่นายชูวงษ์ แต่ทำทีเป็นเรียกชื่อนายชูวงษ์ เพราะรู้ว่ามีการอัดเสียงสนทนาเพื่ออำพรางปกปิดบริษัทและหน่วยงานที่กำกับดูแล พร้อมสั่งพักการให้ความเห็นชอบการเป็นผู้แนะนำการลงทุน(มาร์เก็ตติ้ง) ของ น.ส.พัชรีย์ ธัชธำรงชัย เป็นเวลา 1 เดือน เนื่องจากเป็นเพียงคนเดียวที่ให้การยอมรับว่า รับคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์จากบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของบัญชี โดยไม่มีหนังสือมอบอำนาจ

นางปะราลี กล่าวด้วยว่า จากการขยายผลการตรวจสอบเพิ่มเติม พบระบบงานสำคัญที่บกพร่องของ บล.เออีซีหลายระบบ โดยปรากฏว่า มีอีกหลายบัญชีของลูกค้าที่พบว่า เจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลยให้ซื้อขายโดยไม่ได้ตรวจสอบฐานะการเงินอย่างแท้จริง เป็นต้น ก.ล.ต.จึงได้มีคำสั่งปรับ บล.เออีซีเป็นเงิน 1,101,000 บาท รวมทั้งลงโทษผู้บริหาร บล.เออีซี คือ นายธาดา จันทร์ประสิทธิ์ และนายพิสิทธิ์ ปทุมบาล โดยพักการให้ความเห็นชอบการเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนของผู้บริหาร รายละ 6 เดือน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.2558 เนื่องจากละเลยการตรวจสอบดูแลระบบงานดังกล่าว ซึ่งจะต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ ปรับเงินตามโทษทางอาญาอีกรายละประมาณ 200,000 บาท

อนึ่ง น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล อายุ 26 ปี โบรกเกอร์ของบริษัทหลักทรัพย์(บล.) เออีซี จำกัด และนางศรีธรา พรหมา อายุ 52 ปี มารดา น.ส.อุรชา เป็น 2 ใน 4 ผู้ต้องหาที่ถูกตำรวจกองปราบฯ ออกหมายจับข้อหาร่วมกันลักทรัพย์และร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมคดีโกงหุ้นนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง ซึ่งทั้งสองได้เข้ามอบตัวแล้ว ส่วนผู้ต้องหาอีก 2 รายที่ถูกออกหมายจับในคดีเดียวกัน คือ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และเคยเข้าร่วมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และ น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล พริตตี้ที่อ้างว่าท้องกับนายชูวงษ์
กำลังโหลดความคิดเห็น