คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.“พล.อ.ประยุทธ์” ชวนประชาชนถวายพระพร 5 ธ.ค. ทำดีเพื่อพ่อตลอดปี-ตลอดไป ขณะที่ผู้นำต่างประเทศพร้อมใจถวายพระพร!
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ว่า วันที่ 5 ธ.ค.ของทุกปีเป็นวันมหามงคลสำหรับพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พ่อของแผ่นดินและเป็นวันพ่อแห่งชาติ ขอให้คนไทยทุกหมู่เหล่าทุกประเทศทั่วโลก พร้อมใจกันถวายพระพรชัยมงคล ขอพระองค์ทรงพระเจริญ มีพระชนมพรรษายิ่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตลอดไป พร้อมขอให้ประชาชนตั้งปณิธานทำความดีเพื่อประโยชน์ต่อตนเองและสังคม พล.อ.ประยุทธ์ ยังเผยด้วยว่า อยากให้วันพ่อเป็นวันที่คนไทยมีความสุขร่วมกัน ทำความดีเพื่อพ่อตลอดปีและตลอดไป ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นประธานนำข้าราชการและประชาชนทุกหมู่เหล่าจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ช่วงค่ำวันที่ 5 ธ.ค. โดยมีประชาชนเข้าร่วมจำนวนมาก
ขณะที่ผู้นำประเทศต่างๆ ได้ร่วมถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาทิ สมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่สองแห่งสหราชอาณาจักร ได้มีพระราชสาส์นถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรุปความว่า ความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหราชอาณาจักรและประเทศไทยและประชาชนของทั้งสองประเทศ นับวันจะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นหลังมิตรระหว่างกันดำเนินมากว่า 400 ปี ขอพระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงและทรงพระเกษมสำราญ
ด้านนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยแสดงความชื่นชมพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา และด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกล รวมทั้งพระวิริยะอุตสาหะ ได้นำมาซึ่งความสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคนี้ รวมถึงประเทศอื่นๆ พร้อมกล่าวถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ ขอให้ปีที่กำลังจะมาถึงนี้ สมบูรณ์พร้อมด้วยความผาสุกร่มเย็น ขอทรงพระเกษมสำราญยิ่งยืนนาน
2.ตำรวจสันติบาล เพิ่มความเข้มดูแลสถานที่-บุคคล หลังหน่วยข่าวกรองรัสเซียเตือน 10 ไอเอสเข้าไทยอาจก่อเหตุร้าย!
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. รายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.ต.สราวุฒิ การพานิช รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล(ผบช.ส.) ได้ลงนามในหนังสือคำสั่ง ลงวันที่ 27 พ.ย. 58 เรื่อง ติดตามพฤติการณ์ชาวต่างชาติ ใจความว่า ด้วยหน่วยข่าวกรองของรัสเซีย(เอฟเอสบี) ประสานผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) แจ้งเตือนความเป็นไปได้ในการก่อเหตุร้ายของกลุ่มรัฐอิสลาม(ไอเอส) ต่อผลประโยชน์ของรัสเซียในประเทศไทย โดยระบุว่า มีชาวซีเรีย 10 ราย ที่เกี่ยวข้องกับไอเอส เดินทางเข้าไทยแล้วระหว่างวันที่ 15 - 31 ต.ค. 58 และได้แยกเดินทางไปพัทยา 4 ราย ภูเก็ต 2 ราย กทม. 2 ราย ส่วนอีก 2 ราย ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด และยังไม่ทราบชื่อ
โดยบุคคลดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ก่อเหตุร้ายต่อผลประโยชน์ของรัสเซียและกลุ่มพันธมิตรในไทย จึงให้ดำเนินการ ดังนี้ 1. สืบสวนติดตาม พิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงของข่าวสารดังกล่าว 2. เพิ่มความเข้มในการสืบสวนติดตาม สถานที่เป้าหมายจากฝ่ายรัสเซียที่มีความกังวลว่าจะเกิดเหตุร้าย รวมถึงสถานที่ของประเทศพันธมิตรที่ร่วมสนับสนุนการโจมตีกลุ่มไอเอสในซีเรีย เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน เบลเยียม สวีเดน และออสเตรเลีย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์เลวร้ายในไทยโดยเด็ดขาด 3. กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1-2 เร่งพิสูจน์ทราบข่าวสารกลุ่มบุคคลชาวซีเรียที่เดินทางเข้าไทยทั้ง 10 ราย 4. ปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน เช่น สถานที่สำคัญ แหล่งพักอาศัย แหล่งท่องเที่ยวของชาวต่างชาติทั้งหมด โดยเน้นดำเนินการกลุ่มประเทศคู่กรณีที่มีความขัดแย้ง ระหว่างฝ่ายพันธมิตรที่ร่วมโจมตีกลุ่มไอเอส กับกลุ่มเครือข่ายไอเอสเป็นอันดับแรกก่อน 5. กองบังคับการตำรวจสันติบาล 3 เพิ่มความเข้มในการรักษาความปลอดภัยสถานที่และบุคคล และ 6. ให้รายงานผลการปฏิบัติตามสายการบังคับบัญชาทราบทุกสัปดาห์
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงเอกสารลับของตำรวจสันติบาล ที่มีคำสั่งให้ติดตามพฤติกรรมของชาวต่างชาติ ตามที่หน่วยข่าวกรองของรัสเซียให้เฝ้าระวัง 10 ไอเอส ที่เข้าไทยว่า ยังคงตรวจสอบอยู่ โดยให้กระทรวงกลาโหม และนายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ตรวจสอบ โดยนายสุวพันธ์รายงานว่า ยังไม่พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มไอเอส และกำลังตรวจสอบดูว่าเอกสารดังกล่าว มีที่มาอย่างไร ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า อย่าไปสร้างความตื่นตระหนกในเรื่องนี้ ถ้าเรามั่นใจในระบบรักษาความปลอดภัยของเรา ช่วยกันเป็นหูเป็นตา เฝ้าระวัง ไม่ว่าจะมีอะไรเข้ามาหรือไม่มี ก็ไม่ต้องกลัวอะไร
ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงเอกสารดังกล่าวของกองบัญชาการตำรวจสันติบาล โดยยอมรับว่า เอกสารดังกล่าวเป็นของจริง ส่วนเอกสารหลุดออกมาได้อย่างไร ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบ เพราะเป็นหนังสือลับ อาจทำให้ประชาชนตื่นตระหนก และว่า ปกติชาวซีเรียเข้ามาเที่ยวไทยอยู่แล้ว เมื่อกลางเดือน ต.ค.เข้ามาประมาณ 200 คน ขณะนี้ทยอยกลับแล้ว เหลือไม่เกิน 20 คน เมื่อวีซ่าหมดอายุ ยังไงก็ต้องกลับ หากไม่กลับ ถือว่าอยู่โดยผิดกฎหมาย
3.“จตุพร-ณัฐวุฒิ” อดไปอุทยานราชภักดิ์ ถูก จนท.รวบไปทำข้อตกลงห้ามเคลื่อนไหว หวั่นม็อบชนม็อบ!
ความคืบหน้ากรณีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ได้ประกาศว่าจะเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อตรวจสอบทุจริตโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ในวันที่ 30 พ.ย. ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ย. นายณัฐวุฒิ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หลังจากข่าวออกไปว่าตนจะไปอุทยานราชภักดิ์ งานก็เข้าตั้งแต่ตีห้าวันที่ 29 พ.ย. โดยมีรถทหาร 4 คันมาที่บ้าน นอกจากนี้ยังมีการวางกำลังตามจุดต่างๆ นายณัฐวุฒิ ยังพูดเชิงท้าทายด้วยว่า ให้รู้กันไปว่าการถามหาความจริงต้องมีอันตราย ยังไงตนก็จะไปอุทยานราชภักดิ์
ด้านนายจตุพร ได้กล่าวในรายการมองไกล ว่า ช่วงเช้าวันที่ 29 พ.ย. มีทหารมาตรึงทางเข้าออกหมู่บ้านของตนเช่นกัน แสดงว่าต้องการขัดขวางไม่ให้ไปอุทยานราชภักดิ์ แต่พวกตนจะเดินทางไปตามเดิม นายจตุพร ยังพูดเหน็บทหารด้วยว่า “การกดดันปิดล้อมไม่ให้ไปอุทยานราชภักดิ์ แค่คิดก็พังแล้ว...”
ทั้งนี้ วันเดียวกัน(29 พ.ย.) พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ออกมาพูดทำนองเตือนนายณัฐวุฒิที่ยืนยันจะไปอุทยานราชภักดิ์ว่า อยากให้ใช้ความระมัดระวัง เพราะการเคลื่อนไหวในบางลักษณะอาจสุ่มเสี่ยงที่จะถูกมองว่าพยายามโยงให้เป็นการเมือง หรืออาจมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝงได้
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อถึงกำหนดเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ นายจตุพร และนายณัฐวุฒิ พร้อมคณะรวม 6 คน ได้นัดรวมตัวกันที่ตลาดมหาชัยเมืองใหม่ ต.โคกขาม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร จากนั้นได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ก่อนที่จะมีสารวัตรทหารเข้ามาเชิญตัวนายณัฐวุฒิและนายจตุพรขึ้นรถไป ส่วนแกนนำที่เหลืออีก 4 คน ได้ขึ้นรถขับตามไปอย่างรวดเร็ว
มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้คุมตัวนายจตุพรและนายณัฐวุฒิไปหารือและทำข้อตกลงที่กองพลทหารราบที่ 9(พล.ร.9) เนื่องจากข้อตกลงตามคำสั่ง คสช.ที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ ห้ามเคลื่อนไหวใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง เพราะจะมีความผิดตามมาตรา 44 ดังนั้นจึงต้องทำข้อตกลงเพิ่มเติมและให้ทำบันทึกความเข้าใจด้วย เพื่อเตือนความจำไม่ให้สร้างความวุ่นวายหรือเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า เงื่อนไขที่นายจตุพรและนายณัฐวุฒิยอมรับก่อนได้รับการปล่อยตัว โดยเจ้าหน้าที่พาไปส่งถึงบ้านในช่วงดึกคืนเดียวกัน(30 พ.ย.) ระบุว่า “ข้าพเจ้าจะละเว้นการเคลื่อนไหวหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ และจะไม่สร้างความขัดแย้งหรือทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นในสังคม รวมทั้งไม่แสดงความเห็นไปในทางต่อต้านการปฏิบัติงานของรัฐบาลและ คสช. หากข้าพเจ้าฝ่าฝืนเงื่อนไขดังกล่าวหรือดำเนินการช่วยเหลือสนับสนุนกิจกรรมทางการเมืองและข้อกำหนดในเงื่อนไข ข้าพเจ้ายินยอมที่จะถูกดำเนินคดีทันทีและยินยอมถูกระงับธุรกรรมทางการเงิน”
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า ไม่ได้ห้ามแกนนำ นปช.ไปอุทยานราชภักดิ์ แต่อย่าไปทำเรื่อง สร้างประเด็น หรือไปเรียกแขก ขณะที่ พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้จับกุมนายจตุพรและนายณัฐวุฒิ เพียงแต่เชิญตัวมาพูดคุยเท่านั้น เพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาม็อบชนม็อบ เนื่องจากทราบว่ามีมวลชนจาก จ.ราชบุรี และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไปรอต่อต้านกลุ่มของนายจตุพรและนายณัฐวุฒิอยู่ จึงอาจเกิดการปะทะขึ้น
ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ว่ามีการทุจริตหรือไม่ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาสอบสวนอีกครั้งหลังคณะกรรมการที่ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ตั้งขึ้นสรุปว่า ทุกอย่างโปร่งใสไร้การทุจริต แต่ก็ยังมีกระแสคาใจ โดยเฉพาะจากแกนนำ นปช.และอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย และพยายามกดดันให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และอดีตผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ รับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น
เมื่อวันที่ 30 พ.ย. พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงกระแสกดดันให้ พล.อ.อุดมเดช ลาออกจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมว่า “ผมมองว่า พล.อ.อุดมเดชมีวุฒิภาวะมาก เป็นถึงอดีต ผบ.ทบ. ท่านคงคิดของท่านอยู่ว่าควรจะทำอย่างไร ผมคงไม่ต้องไปบอกท่านว่าต้องคิดแบบนี้หรือแบบนั้น...”
ขณะที่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวกับผู้สื่อข่าวถึงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ โดยยืนยันในความบริสุทธิ์ “ผมยังเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ โดยเฉพาะจุดประสงค์การตั้งโครงการก็เพื่อให้ประชาชนได้มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้เป็นสมบัติของชาติและรำลึกถึงสิ่งที่มีพระคุณต่อชาติ เราไม่คิดจะหวังเอาประโยชน์อะไรจากสิ่งเหล่านี้ มีแต่คิดว่า จะทำอย่างไรให้โครงการนี้ดำเนินต่อไป...” พล.อ.อุดมเดช ย้ำด้วยว่า เคยให้นโยบายผู้ใต้บังคับบัญชาเกี่ยวกับการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ว่า ต้องทำให้เรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ แต่มีคนไม่ปรารถนาดีทำให้อุทยานราชภักดิ์เสื่อมเสีย
พล.อ.อุดมเดช ยังพูดเป็นปริศนาด้วยว่า “ยืนยันว่าไม่หนักใจเพราะเราทำดี แต่อาจมีบางคนที่นั่งยิ้มอยู่ เพราะสิ่งที่เขากำลังทำ สามารถยิงนกได้หลายตัว ลองคิดดูแล้วกันว่า คนที่พยายามทำให้สีขาวเป็นสีขาวกับคนที่พยายามทำให้สีขาวเป็นสีดำ หากเขาทำสำเร็จ ประเทศชาติก็เป็นอันตราย แต่ไม่อยากจะพูดว่าคนคนนั้นเป็นใคร อะไรที่กำลังกระโดดลงมา ก็ไปดูกันเองแล้วกัน แต่ผมจะไม่ไปให้ร้ายใคร”
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกระแสกดดันให้ พล.อ.อุดมเดช ลาออกจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อรับผิดชอบต่อโครงการอุทยานราชภักดิ์ว่า “ก็ว่าไปตามขั้นตอน เขาคิดเป็น ให้เขาตรวจสอบก่อน...” ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ถาม พล.อ.ประยุทธ์ ในเวลาต่อมาว่า มั่นใจว่า พล.อ.อุดมเดช บริสุทธิ์หรือไม่ว่า “ผมโตด้วยกันมา จะผิดจะถูก ถ้าผิดต้องยอมรับ ถ้าไม่ผิดต้องโอเค ทำงานไป ไปหาคนผิดมาลงโทษก็เท่านั้น แล้วจะอะไรกันนักหนา ที่บอกว่าต้องรับผิดชอบทางการเมือง ต้องรับผิดชอบตั้งแต่วันนี้หรือ แล้วมันชัดเจนหรือยังว่าผิดตรงไหน รายรับ รายจ่าย งบต่างๆ การก่อสร้างอะไรก็แล้วแต่ เขาสั่งให้เรียกค่าหัวคิวหรือเปล่าก็ไม่รู้อีก เป็นที่ไอ้คนนั้นหรือเปล่าที่ไปเรียกค่าหัวคิว ก็ไปสอบมา”
4.สหรัฐฯ ลดอันดับมาตรฐานการบินของไทย ด้านการบินไทย ยันไม่กระทบ เหตุเลิกบินไปอเมริกาแล้ว รอลุ้นผลจัดอันดับของ “เอียซา” 10 ธ.ค.นี้!
เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ(เอฟเอเอ) ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศลดอันดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินของไทยจากประเภทที่ 1 มาเป็นประเภทที่ 2 เนื่องจากมองว่ามาตรฐานการบินของไทยไม่เป็นไปตามมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ(ไอเคโอ)
ทั้งนี้ การถูกลดอันดับดังกล่าว หมายความว่า ประเทศที่ถูกลดอันดับบกพร่องในแง่กฎหมายหรือกฎระเบียบที่จำเป็นในการควบคุมตรวจสอบว่าเครื่องบินเป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ำของนานาชาติ หรือมาตรฐานของหน่วยงานการบินด้านความปลอดภัยหรือไม่ รวมทั้งขาดความพร้อมในด้านใดด้านหนึ่งหรือมากกว่า เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรม กระบวนการเก็บข้อมูลและกระบวนการตรวจสอบ
ด้านนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ยืนยันว่า การลดอันดับดังกล่าวไม่กระทบต่อการบินไทย ในการบินไปยังประเทศสหรัฐฯ เนื่องจากการบินไทยได้ยกเลิกเส้นทางบินไปยังเมืองลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐฯ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่ผู้โดยสารของการบินไทยที่ต้องการเดินทางไปสหรัฐฯ สามารถเดินทางโดยผ่านสายการบินพันธมิตรได้ตามปกติ
ขณะที่แหล่งข่าวจากผู้ประกอบธุรกิจด้านการบิน กล่าวว่า แม้การลดอันดับไทยของเอฟเอเอครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อไทย เพราะไม่มีสายการบินของไทยบินตรงไปสหรัฐอเมริกาแล้ว แต่อาจเกิดผลกระทบทางอ้อม ทำให้เที่ยวบินจากสหรัฐฯ ยุโรป หรือหลายประเทศที่บินเข้าไทยที่ต้องต่อเครื่องในไทยไปยังจุดหมายปลายทาง อาจไม่มั่นใจสายการบินที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานของไทยได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจด้านการบินกำลังจับตาก็คือ การประกาศผลตรวจสอบของสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหภาพยุโรป(เอียซา) ที่จะประกาศวันที่ 10 ธ.ค.นี้ ว่าจะออกมาในรูปแบบใด หากออกมาสอดคล้องกับเอฟเอเอ ก็เชื่อว่าจะมีผลโดยตรงต่อเที่ยวบินจากไทยที่จะบินเข้าประเทศต่างๆ ในยุโรป
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พูดถึงกรณีที่เอฟเอเอลดอันดับมาตรฐานการบินของไทยว่า กำลังให้เจ้าหน้าที่ดูอยู่ อย่าขยายความ เพราะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ต้องดูว่ายังมีจุดใดต้องแก้ไขเพิ่มเติม
ขณะที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ชี้ว่า สิ่งที่กระทรวงคมนาคมต้องดำเนินการในขณะนี้ก็คือ ยกเครื่องเรื่องที่เกี่ยวข้องให้ได้มาตรฐาน การบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.) จะต้องพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ต้องปรับแก้ ไม่ใช่แค่โครงสร้างองค์กรที่เป็นเปลือกนอก แต่รวมถึงกระบวนการทำงานและคนด้วย ทั้งนี้ นายสมคิด ยืนยันด้วยว่า การลดอันดับของเอฟเอเอไม่ได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้ไทย เพราะสายการบินของไทยไม่ได้บินตรงไปสหรัฐฯ อยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ ไทยต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้นำทีมผู้บริหารกระทรวง และนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวเกี่ยวกับการลดอันดับของเอฟเอเอว่า สาเหตุที่เอฟเอเอลดอันดับ เพราะใน 33 ข้อที่ต้องดำเนินการตามมาตรฐาน เอฟเอเอมองว่าไทยยังมีจุดอ่อนเรื่องกำลังคนไม่เพียงพอ ขาดการฝึกอบรมให้ถนัดทำงานเฉพาะด้านมากกว่าปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ที่จะต่อใบอนุญาตนักบินไม่เพียงพอ คนตรวจสอบกับเครื่องบินก็ไม่สอดคล้องกัน ปัจจุบันไทยใช้คนตรวจสอบ 1 คนต่อเครื่องบิน 10 ลำ ซึ่งถือว่าน้อยเกินไป อาจต้องกำหนดอัตราส่วนใหม่
นายอาคม กล่าวด้วยว่า ต้องรอดูผลประกาศของเอียซาที่จะออกมาในวันที่ 10 ธ.ค.นี้ หากลดอันดับเช่นเดียวกับเอฟเอเอ อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทการบินไทย เพราะเปิดเส้นทางไปยุโรป และว่า เดือน ส.ค.2559 ไอเคโอจะสรุปในส่วนของ 28 สายการบินของไทยว่าได้มาตรฐานของไอเคโอหรือไม่ เชื่อว่าทุกอย่างน่าจะจะผ่านเกณฑ์ไอเคโอ “ตอนนี้เราเหมือนอยู่ในขบวนการทำข้อสอบ ซึ่งมีไอเคโอเป็นแม่บท ถ้าอาจารย์บอกโอเค ทั้งเจแคป(กรมการบินพลเรือนของญี่ปุ่น) เอียซา ก็จะปลดล็อกด้วย”
ขณะที่นายจรัมพร กล่าวว่า หากเอียซาลดอันดับไทย อาจจะส่งผลกระทบถึงการบินไทย ในแง่ไม่สามารถเพิ่มเที่ยวบินในเส้นทางเดิม หรือเพิ่มจุดบินในเส้นทางใหม่ รวมถึงไม่สามารถเปลี่ยนรุ่นเครื่องบินได้ จากปัจจุบันที่มีบริการในเส้นทางยุโรปรวม 11 จุดหมายปลายทาง คิดเป็น 1 ใน 3 ของรายได้ของการบินไทยทั้งหมด
5.ศาลฎีกา พิพากษายืนจำคุก “สนธิ” 1 ปี รอลงอาญา 2 ปี คดีหมิ่น “ม.ร.ว.ปรีดิยาธร” ล้างมลทินให้กลุ่มอำนาจเก่า!
เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ศาลอาญา ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นโจทก์ฟ้องบริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด, นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และนายขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานหมิ่นประมาท
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2550 นายสนธิหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ผ่านรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางช่อง News 1 เอเอสทีวี และ นสพ.ผู้จัดการรายวัน ทำนองว่า โจทก์ล้างมลทินให้กลุ่มอำนาจเก่า ปล่อยให้มีการออกสลากบนดิน 2 ตัวขัดต่อกฎหมาย และโจทก์ช่วยเหลือนายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร ที่ไม่ตรวจสอบการขายหุ้นแอมเพิลริชให้กลุ่มทุนเทมาเส็ก และปกป้องผู้กระทำผิดกรณีที่ปล่อยให้มีการโอนหุ้นชิน บมจ.ชินคอร์ป โดยไม่เสียภาษี รวมทั้งมีผลประโยชน์ทับซ้อนในธนาคารกสิกรไทยฯ ด้วย ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ
ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2552 ว่า จำเลยที่ 1, 2, 4 กระทำผิดฐานหมิ่นประมาท โดยจำเลยที่ 2 ได้ชี้นำโน้มน้าวให้ประชาชนผู้ฟังเข้าใจว่า โจทก์เป็นคนชั่ว มีพฤติการณ์บริหารงานต่างๆ เพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้อง อันเป็นการกล่าวพาดพิงโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งจำเลยเคยรับโทษในคดีลักษณะนี้มาแล้ว เห็นควรให้จำคุกนายสนธิ จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 2 ปี บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำเลยที่ 1 ให้ปรับ 200,000 บาท ส่วนนายขุนทอง จำเลยที่ 4 จำคุก 1 ปี ปรับ 30,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา พร้อมทั้งให้ลงโฆษณาคำพิพากษาใน นสพ.ไทยรัฐ, เดลินิวส์, มติชน, ผู้จัดการรายวัน เป็นเวลา 5 วัน ต่อมาจำเลยที่ 1, 2 และ 4 ยื่นอุทธรณ์
โดยศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2556 ว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการใส่ร้ายโจทก์ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนามุ่งร้ายกับโจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 2 พูดเกี่ยวกับประเด็นสาธารณะและผลประโยชน์ของส่วนรวม ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 2 ปีนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่ารุนแรงเกินไป จึงเห็นควรลงโทษสถานเบาและแก้โทษให้เหมาะสม เป็นว่า จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 1 ปี และปรับเงิน 3 หมื่นบาท ทั้งนี้ จำเลยเป็นสื่อมวลชนซึ่งมีความสำคัญในการตรวจสอบ ท้วงติงการทำงานของรัฐบาลและทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม จึงเห็นควรสนับสนุนให้จำเลยที่ 2 ได้ทำหน้าที่สื่อมวลชนอย่างเข้มแข็งต่อไป โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี สำหรับจำเลยที่ 1 ศาลเห็นว่า ร่วมกับจำเลยที่ 2 โดยการบันทึกถ้อยคำที่กล่าวหมิ่นประมาทโจทก์ลงในวีซีดีออกเผยแพร่ ให้ลงโทษปรับเงินจำนวน 1 แสนบาท ส่วนจำเลยที่ 4 นั้น ศาลเห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นลงโทษมานั้นถือว่าเหมาะสมแล้ว และให้ลงโฆษณาเฉพาะในหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ และสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ซึ่งต่อมา จำเลยยื่นฎีกา
ขณะที่ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า การจัดรายการของจำเลยที่ 2 อาจเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะสื่อมวลชนวิจารณ์โจทก์ ซึ่งทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ แม้มีข้อความหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์อยู่บ้าง แต่ไม่ปรากฏว่า จำเลยเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์มาก่อน ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกจำเลยเป็นเวลา 1 ปี ปรับ 3 หมื่นบาท และรอลงอาญา 2 ปีนั้น เหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน แต่แก้คำพิพากษาให้จำเลยร่วมกันพิมพ์คำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ 3 ฉบับ คือ ไทยรัฐ เดลินิวส์ และผู้จัดการ เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน โดยจำเลยต้องออกค่าใช้จ่ายเองด้วย ส่วนจำเลยที่ 4 ศาลให้พ้นผิดตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550
6.ศาล พิพากษาจำคุก “คุณหญิงจารุวรรณ” พร้อมอดีต ผอ.สตง.คนละ 2 ปี คดีจัดสัมมนาเท็จ!
เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ศาลอาญา ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ฟ้องคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และนายคัมภีร์ สมใจ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 83
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 1 ส.ค.-31 ต.ค.2546 จำเลยทั้งสองได้สมรู้ร่วมคิดปฏิบัติหน้าที่มิชอบและทุจริต โดยนายคัมภีร์ จำเลยที่ 2 ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานกรรมการและคณะอนุกรรมการดำเนินการถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน พ.ศ.2546 ตามคำสั่งของ สตง.ได้ทำเรื่องเสนอคุณหญิงจารุวรรณ จำเลยที่ 1 เพื่ออนุมัติโครงการสัมมนาเรื่อง “สตง.ในความคิดเห็นของสมาชิกวุฒิสภา” วันที่ 31 ต.ค.2546 ที่โรงแรมซิตี้ ปาร์ค อ.เมือง จ.น่าน ทั้งที่จำเลยทั้งสองทราบดีว่า วันดังกล่าว สตง.มีการจัดถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดพญาภู และวัดพระธาตุช้างดำวรวิหาร อ.เมือง จ.น่าน แต่จำเลยทั้งสองกลับจัดสัมมนาในวันดังกล่าว และให้บุคคลถวายผ้าพระกฐิน รวมทั้งวางแผนนำรายชื่อเจ้าหน้าที่ สตง.ที่เข้าร่วมถวายผ้าพระกฐินเข้าไปอยู่ในรายชื่อเป็นผู้เข้าร่วมสัมมนาด้วย เพื่อไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าที่พักในการถวายผ้าพระกฐิน อันเป็นการใช้จ่ายเงินงบประมาณโดยไม่มีสิทธิเบิกจ่ายโดยชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่การจัดสัมมนา ก็ไม่มีการจัดสัมมนาจริง แต่เป็นการอำพรางนำเงินงบประมาณจำนวน 294,440 บาท มาเพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่นโดยทุจริต เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ
ซึ่งต่อมาปี 2547 นายพีรไสว รัตนเอกวาปี รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ได้มีหนังสือกล่าวโทษจำเลยทั้งสองต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) จากนั้น ป.ป.ช.ได้ไต่สวน และแจ้งข้อกล่าวหาจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ทั้งนี้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ก่อนถึงวันจัดสัมมนา 31 ต.ค.2546 ได้มีการเปลี่ยนสถานที่จัดสัมมนาจากโรงแรมซิตี้ปาร์ค ไปเป็นที่สโมสรสันติภาพ 2 ที่อยู่ในหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งสถานที่ดังกล่าวมีเพียงป้ายข้อความต้อนรับจำเลยที่ 1 ไม่มีข้อความระบุหัวข้อหลักสูตรการสัมมนาแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังพบว่า ในเดือน พ.ย.2546 จำเลยที่ 2 ได้มีการเสนอโครงการสัมมนาลักษณะเดียวกับที่จัดไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ต.ค.2546 จึงเชื่อได้ว่า จำเลยไม่ได้มีเจตนาจัดสัมมนาตั้งแต่ต้น แต่เกิดจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่จำเลยทั้งสองกลัวว่า จะมีผู้ไปร่วมน้อย จึงได้จัดสัมมนาในวันเดียวกัน
ส่วนการที่ ส.ว.น่านมาร่วมงานสัมมนา ก็เป็นการบรรยายพิเศษเพียงคนเดียว ไม่ใช่การระดมความเห็นตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการสัมมนา ซึ่งหากเป็นการบรรยายในลักษณะดังกล่าว ก็ไม่จำเป็นต้องนำคนจำนวนมากเดินทางมา นอกจากนี้เวลาการสัมมนายังคลาดเคลื่อนจากที่ระบุไว้ในกำหนดการด้วย จากเวลา 08.30-16.30 น. เป็น 15.45-19.00 น.
ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่า การเปลี่ยนสถานที่จัดสัมมนา เป็นการแก้ไขเฉพาะหน้า ซึ่ง ส.ว.น่านเดินทางมาร่วมถวายกฐินล่าช้าและมีการแจกทุนการศึกษา โดยสถานที่จัดเป็นความมีน้ำใจของ ส.ว.น่านช่วยจัดหานั้น ศาลเห็นว่า ในการเปลี่ยนแปลงสถานที่ มีการแจ้งยกเลิกกับทางโรงแรมล่วงหน้าก่อนแล้ว 3 วัน และตามขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และสถานที่จัดสัมมนา จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้มีอำนาจก่อน ดังนั้นจึงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองย่อมเล็งเห็นตั้งแต่ต้นว่า ไม่สามารถจัดงานถวายผ้าพระกฐินในวันและเวลาเดียวกันได้ และจากคำให้การของพยานบางปาก ทราบว่า ผู้ร่วมสัมมนาได้มีการจัดเตรียมชุดขาวไปร่วมงานถวายผ้าพระกฐินด้วย จึงเห็นได้ว่า การจัดสัมมนานั้นเป็นเท็จ เพราะมีวัตถุประสงค์ให้เดินทางไปร่วมงานถวายผ้าพระกฐินเป็นหลัก ทำให้ผู้ที่ร่วมงานกฐินบางส่วนที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง ได้สิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปร่วม เพราะมีชื่อเป็นผู้ร่วมงานสัมมนาด้วย ทั้งที่ไม่มีสิทธิเบิกจ่ายตั้งแต่ต้น ทำให้ สตง.เสียหายเป็นเงิน 294,440 บาท การกระทำของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 จึงพิพากษาจำคุกคุณหญิงจารุวรรณ จำเลยที่ 1 และนายคัมภีร์ จำเลยที่ 2 คนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
หลังฟังคำพิพากษา คุณหญิงจารุวรรณ และนายคัมภีร์ ได้ยื่นสมุดบัญชีเงินฝากคนละ 2 แสนบาท ขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี ซึ่งศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ทั้งนี้ คุณหญิงจารุวรรณ กล่าวว่า ตนขอตั้งสังเกตว่า ที่มีการมาร้องเรียนตนในคดีนี้ เพราะมีใครบางคนถูก สตง.เข้าไปตรวจสอบ จึงเป็นที่มาของการร้องเรียนคดีนี้ ซึ่งตนยังไม่อยากพูดมาก และว่า ที่ผ่านมา ตนหาเงินให้ประเทศเป็นแสนล้านบาท คิดว่าเงินแค่ 2 แสนกว่าบาทตนจะโกงหรือ
1.“พล.อ.ประยุทธ์” ชวนประชาชนถวายพระพร 5 ธ.ค. ทำดีเพื่อพ่อตลอดปี-ตลอดไป ขณะที่ผู้นำต่างประเทศพร้อมใจถวายพระพร!
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ว่า วันที่ 5 ธ.ค.ของทุกปีเป็นวันมหามงคลสำหรับพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พ่อของแผ่นดินและเป็นวันพ่อแห่งชาติ ขอให้คนไทยทุกหมู่เหล่าทุกประเทศทั่วโลก พร้อมใจกันถวายพระพรชัยมงคล ขอพระองค์ทรงพระเจริญ มีพระชนมพรรษายิ่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตลอดไป พร้อมขอให้ประชาชนตั้งปณิธานทำความดีเพื่อประโยชน์ต่อตนเองและสังคม พล.อ.ประยุทธ์ ยังเผยด้วยว่า อยากให้วันพ่อเป็นวันที่คนไทยมีความสุขร่วมกัน ทำความดีเพื่อพ่อตลอดปีและตลอดไป ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นประธานนำข้าราชการและประชาชนทุกหมู่เหล่าจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ช่วงค่ำวันที่ 5 ธ.ค. โดยมีประชาชนเข้าร่วมจำนวนมาก
ขณะที่ผู้นำประเทศต่างๆ ได้ร่วมถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาทิ สมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่สองแห่งสหราชอาณาจักร ได้มีพระราชสาส์นถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรุปความว่า ความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหราชอาณาจักรและประเทศไทยและประชาชนของทั้งสองประเทศ นับวันจะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นหลังมิตรระหว่างกันดำเนินมากว่า 400 ปี ขอพระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงและทรงพระเกษมสำราญ
ด้านนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยแสดงความชื่นชมพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา และด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกล รวมทั้งพระวิริยะอุตสาหะ ได้นำมาซึ่งความสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคนี้ รวมถึงประเทศอื่นๆ พร้อมกล่าวถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ ขอให้ปีที่กำลังจะมาถึงนี้ สมบูรณ์พร้อมด้วยความผาสุกร่มเย็น ขอทรงพระเกษมสำราญยิ่งยืนนาน
2.ตำรวจสันติบาล เพิ่มความเข้มดูแลสถานที่-บุคคล หลังหน่วยข่าวกรองรัสเซียเตือน 10 ไอเอสเข้าไทยอาจก่อเหตุร้าย!
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. รายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.ต.สราวุฒิ การพานิช รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล(ผบช.ส.) ได้ลงนามในหนังสือคำสั่ง ลงวันที่ 27 พ.ย. 58 เรื่อง ติดตามพฤติการณ์ชาวต่างชาติ ใจความว่า ด้วยหน่วยข่าวกรองของรัสเซีย(เอฟเอสบี) ประสานผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) แจ้งเตือนความเป็นไปได้ในการก่อเหตุร้ายของกลุ่มรัฐอิสลาม(ไอเอส) ต่อผลประโยชน์ของรัสเซียในประเทศไทย โดยระบุว่า มีชาวซีเรีย 10 ราย ที่เกี่ยวข้องกับไอเอส เดินทางเข้าไทยแล้วระหว่างวันที่ 15 - 31 ต.ค. 58 และได้แยกเดินทางไปพัทยา 4 ราย ภูเก็ต 2 ราย กทม. 2 ราย ส่วนอีก 2 ราย ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด และยังไม่ทราบชื่อ
โดยบุคคลดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ก่อเหตุร้ายต่อผลประโยชน์ของรัสเซียและกลุ่มพันธมิตรในไทย จึงให้ดำเนินการ ดังนี้ 1. สืบสวนติดตาม พิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงของข่าวสารดังกล่าว 2. เพิ่มความเข้มในการสืบสวนติดตาม สถานที่เป้าหมายจากฝ่ายรัสเซียที่มีความกังวลว่าจะเกิดเหตุร้าย รวมถึงสถานที่ของประเทศพันธมิตรที่ร่วมสนับสนุนการโจมตีกลุ่มไอเอสในซีเรีย เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน เบลเยียม สวีเดน และออสเตรเลีย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์เลวร้ายในไทยโดยเด็ดขาด 3. กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1-2 เร่งพิสูจน์ทราบข่าวสารกลุ่มบุคคลชาวซีเรียที่เดินทางเข้าไทยทั้ง 10 ราย 4. ปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน เช่น สถานที่สำคัญ แหล่งพักอาศัย แหล่งท่องเที่ยวของชาวต่างชาติทั้งหมด โดยเน้นดำเนินการกลุ่มประเทศคู่กรณีที่มีความขัดแย้ง ระหว่างฝ่ายพันธมิตรที่ร่วมโจมตีกลุ่มไอเอส กับกลุ่มเครือข่ายไอเอสเป็นอันดับแรกก่อน 5. กองบังคับการตำรวจสันติบาล 3 เพิ่มความเข้มในการรักษาความปลอดภัยสถานที่และบุคคล และ 6. ให้รายงานผลการปฏิบัติตามสายการบังคับบัญชาทราบทุกสัปดาห์
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงเอกสารลับของตำรวจสันติบาล ที่มีคำสั่งให้ติดตามพฤติกรรมของชาวต่างชาติ ตามที่หน่วยข่าวกรองของรัสเซียให้เฝ้าระวัง 10 ไอเอส ที่เข้าไทยว่า ยังคงตรวจสอบอยู่ โดยให้กระทรวงกลาโหม และนายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ตรวจสอบ โดยนายสุวพันธ์รายงานว่า ยังไม่พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มไอเอส และกำลังตรวจสอบดูว่าเอกสารดังกล่าว มีที่มาอย่างไร ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า อย่าไปสร้างความตื่นตระหนกในเรื่องนี้ ถ้าเรามั่นใจในระบบรักษาความปลอดภัยของเรา ช่วยกันเป็นหูเป็นตา เฝ้าระวัง ไม่ว่าจะมีอะไรเข้ามาหรือไม่มี ก็ไม่ต้องกลัวอะไร
ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงเอกสารดังกล่าวของกองบัญชาการตำรวจสันติบาล โดยยอมรับว่า เอกสารดังกล่าวเป็นของจริง ส่วนเอกสารหลุดออกมาได้อย่างไร ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบ เพราะเป็นหนังสือลับ อาจทำให้ประชาชนตื่นตระหนก และว่า ปกติชาวซีเรียเข้ามาเที่ยวไทยอยู่แล้ว เมื่อกลางเดือน ต.ค.เข้ามาประมาณ 200 คน ขณะนี้ทยอยกลับแล้ว เหลือไม่เกิน 20 คน เมื่อวีซ่าหมดอายุ ยังไงก็ต้องกลับ หากไม่กลับ ถือว่าอยู่โดยผิดกฎหมาย
3.“จตุพร-ณัฐวุฒิ” อดไปอุทยานราชภักดิ์ ถูก จนท.รวบไปทำข้อตกลงห้ามเคลื่อนไหว หวั่นม็อบชนม็อบ!
ความคืบหน้ากรณีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ได้ประกาศว่าจะเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อตรวจสอบทุจริตโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ในวันที่ 30 พ.ย. ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ย. นายณัฐวุฒิ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หลังจากข่าวออกไปว่าตนจะไปอุทยานราชภักดิ์ งานก็เข้าตั้งแต่ตีห้าวันที่ 29 พ.ย. โดยมีรถทหาร 4 คันมาที่บ้าน นอกจากนี้ยังมีการวางกำลังตามจุดต่างๆ นายณัฐวุฒิ ยังพูดเชิงท้าทายด้วยว่า ให้รู้กันไปว่าการถามหาความจริงต้องมีอันตราย ยังไงตนก็จะไปอุทยานราชภักดิ์
ด้านนายจตุพร ได้กล่าวในรายการมองไกล ว่า ช่วงเช้าวันที่ 29 พ.ย. มีทหารมาตรึงทางเข้าออกหมู่บ้านของตนเช่นกัน แสดงว่าต้องการขัดขวางไม่ให้ไปอุทยานราชภักดิ์ แต่พวกตนจะเดินทางไปตามเดิม นายจตุพร ยังพูดเหน็บทหารด้วยว่า “การกดดันปิดล้อมไม่ให้ไปอุทยานราชภักดิ์ แค่คิดก็พังแล้ว...”
ทั้งนี้ วันเดียวกัน(29 พ.ย.) พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ออกมาพูดทำนองเตือนนายณัฐวุฒิที่ยืนยันจะไปอุทยานราชภักดิ์ว่า อยากให้ใช้ความระมัดระวัง เพราะการเคลื่อนไหวในบางลักษณะอาจสุ่มเสี่ยงที่จะถูกมองว่าพยายามโยงให้เป็นการเมือง หรืออาจมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝงได้
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อถึงกำหนดเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ นายจตุพร และนายณัฐวุฒิ พร้อมคณะรวม 6 คน ได้นัดรวมตัวกันที่ตลาดมหาชัยเมืองใหม่ ต.โคกขาม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร จากนั้นได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ก่อนที่จะมีสารวัตรทหารเข้ามาเชิญตัวนายณัฐวุฒิและนายจตุพรขึ้นรถไป ส่วนแกนนำที่เหลืออีก 4 คน ได้ขึ้นรถขับตามไปอย่างรวดเร็ว
มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้คุมตัวนายจตุพรและนายณัฐวุฒิไปหารือและทำข้อตกลงที่กองพลทหารราบที่ 9(พล.ร.9) เนื่องจากข้อตกลงตามคำสั่ง คสช.ที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ ห้ามเคลื่อนไหวใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง เพราะจะมีความผิดตามมาตรา 44 ดังนั้นจึงต้องทำข้อตกลงเพิ่มเติมและให้ทำบันทึกความเข้าใจด้วย เพื่อเตือนความจำไม่ให้สร้างความวุ่นวายหรือเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า เงื่อนไขที่นายจตุพรและนายณัฐวุฒิยอมรับก่อนได้รับการปล่อยตัว โดยเจ้าหน้าที่พาไปส่งถึงบ้านในช่วงดึกคืนเดียวกัน(30 พ.ย.) ระบุว่า “ข้าพเจ้าจะละเว้นการเคลื่อนไหวหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ และจะไม่สร้างความขัดแย้งหรือทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นในสังคม รวมทั้งไม่แสดงความเห็นไปในทางต่อต้านการปฏิบัติงานของรัฐบาลและ คสช. หากข้าพเจ้าฝ่าฝืนเงื่อนไขดังกล่าวหรือดำเนินการช่วยเหลือสนับสนุนกิจกรรมทางการเมืองและข้อกำหนดในเงื่อนไข ข้าพเจ้ายินยอมที่จะถูกดำเนินคดีทันทีและยินยอมถูกระงับธุรกรรมทางการเงิน”
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า ไม่ได้ห้ามแกนนำ นปช.ไปอุทยานราชภักดิ์ แต่อย่าไปทำเรื่อง สร้างประเด็น หรือไปเรียกแขก ขณะที่ พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้จับกุมนายจตุพรและนายณัฐวุฒิ เพียงแต่เชิญตัวมาพูดคุยเท่านั้น เพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาม็อบชนม็อบ เนื่องจากทราบว่ามีมวลชนจาก จ.ราชบุรี และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไปรอต่อต้านกลุ่มของนายจตุพรและนายณัฐวุฒิอยู่ จึงอาจเกิดการปะทะขึ้น
ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ว่ามีการทุจริตหรือไม่ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาสอบสวนอีกครั้งหลังคณะกรรมการที่ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ตั้งขึ้นสรุปว่า ทุกอย่างโปร่งใสไร้การทุจริต แต่ก็ยังมีกระแสคาใจ โดยเฉพาะจากแกนนำ นปช.และอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย และพยายามกดดันให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และอดีตผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ รับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น
เมื่อวันที่ 30 พ.ย. พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงกระแสกดดันให้ พล.อ.อุดมเดช ลาออกจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมว่า “ผมมองว่า พล.อ.อุดมเดชมีวุฒิภาวะมาก เป็นถึงอดีต ผบ.ทบ. ท่านคงคิดของท่านอยู่ว่าควรจะทำอย่างไร ผมคงไม่ต้องไปบอกท่านว่าต้องคิดแบบนี้หรือแบบนั้น...”
ขณะที่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวกับผู้สื่อข่าวถึงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ โดยยืนยันในความบริสุทธิ์ “ผมยังเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ โดยเฉพาะจุดประสงค์การตั้งโครงการก็เพื่อให้ประชาชนได้มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้เป็นสมบัติของชาติและรำลึกถึงสิ่งที่มีพระคุณต่อชาติ เราไม่คิดจะหวังเอาประโยชน์อะไรจากสิ่งเหล่านี้ มีแต่คิดว่า จะทำอย่างไรให้โครงการนี้ดำเนินต่อไป...” พล.อ.อุดมเดช ย้ำด้วยว่า เคยให้นโยบายผู้ใต้บังคับบัญชาเกี่ยวกับการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ว่า ต้องทำให้เรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ แต่มีคนไม่ปรารถนาดีทำให้อุทยานราชภักดิ์เสื่อมเสีย
พล.อ.อุดมเดช ยังพูดเป็นปริศนาด้วยว่า “ยืนยันว่าไม่หนักใจเพราะเราทำดี แต่อาจมีบางคนที่นั่งยิ้มอยู่ เพราะสิ่งที่เขากำลังทำ สามารถยิงนกได้หลายตัว ลองคิดดูแล้วกันว่า คนที่พยายามทำให้สีขาวเป็นสีขาวกับคนที่พยายามทำให้สีขาวเป็นสีดำ หากเขาทำสำเร็จ ประเทศชาติก็เป็นอันตราย แต่ไม่อยากจะพูดว่าคนคนนั้นเป็นใคร อะไรที่กำลังกระโดดลงมา ก็ไปดูกันเองแล้วกัน แต่ผมจะไม่ไปให้ร้ายใคร”
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกระแสกดดันให้ พล.อ.อุดมเดช ลาออกจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อรับผิดชอบต่อโครงการอุทยานราชภักดิ์ว่า “ก็ว่าไปตามขั้นตอน เขาคิดเป็น ให้เขาตรวจสอบก่อน...” ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ถาม พล.อ.ประยุทธ์ ในเวลาต่อมาว่า มั่นใจว่า พล.อ.อุดมเดช บริสุทธิ์หรือไม่ว่า “ผมโตด้วยกันมา จะผิดจะถูก ถ้าผิดต้องยอมรับ ถ้าไม่ผิดต้องโอเค ทำงานไป ไปหาคนผิดมาลงโทษก็เท่านั้น แล้วจะอะไรกันนักหนา ที่บอกว่าต้องรับผิดชอบทางการเมือง ต้องรับผิดชอบตั้งแต่วันนี้หรือ แล้วมันชัดเจนหรือยังว่าผิดตรงไหน รายรับ รายจ่าย งบต่างๆ การก่อสร้างอะไรก็แล้วแต่ เขาสั่งให้เรียกค่าหัวคิวหรือเปล่าก็ไม่รู้อีก เป็นที่ไอ้คนนั้นหรือเปล่าที่ไปเรียกค่าหัวคิว ก็ไปสอบมา”
4.สหรัฐฯ ลดอันดับมาตรฐานการบินของไทย ด้านการบินไทย ยันไม่กระทบ เหตุเลิกบินไปอเมริกาแล้ว รอลุ้นผลจัดอันดับของ “เอียซา” 10 ธ.ค.นี้!
เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ(เอฟเอเอ) ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศลดอันดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินของไทยจากประเภทที่ 1 มาเป็นประเภทที่ 2 เนื่องจากมองว่ามาตรฐานการบินของไทยไม่เป็นไปตามมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ(ไอเคโอ)
ทั้งนี้ การถูกลดอันดับดังกล่าว หมายความว่า ประเทศที่ถูกลดอันดับบกพร่องในแง่กฎหมายหรือกฎระเบียบที่จำเป็นในการควบคุมตรวจสอบว่าเครื่องบินเป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ำของนานาชาติ หรือมาตรฐานของหน่วยงานการบินด้านความปลอดภัยหรือไม่ รวมทั้งขาดความพร้อมในด้านใดด้านหนึ่งหรือมากกว่า เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรม กระบวนการเก็บข้อมูลและกระบวนการตรวจสอบ
ด้านนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ยืนยันว่า การลดอันดับดังกล่าวไม่กระทบต่อการบินไทย ในการบินไปยังประเทศสหรัฐฯ เนื่องจากการบินไทยได้ยกเลิกเส้นทางบินไปยังเมืองลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐฯ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่ผู้โดยสารของการบินไทยที่ต้องการเดินทางไปสหรัฐฯ สามารถเดินทางโดยผ่านสายการบินพันธมิตรได้ตามปกติ
ขณะที่แหล่งข่าวจากผู้ประกอบธุรกิจด้านการบิน กล่าวว่า แม้การลดอันดับไทยของเอฟเอเอครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อไทย เพราะไม่มีสายการบินของไทยบินตรงไปสหรัฐอเมริกาแล้ว แต่อาจเกิดผลกระทบทางอ้อม ทำให้เที่ยวบินจากสหรัฐฯ ยุโรป หรือหลายประเทศที่บินเข้าไทยที่ต้องต่อเครื่องในไทยไปยังจุดหมายปลายทาง อาจไม่มั่นใจสายการบินที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานของไทยได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจด้านการบินกำลังจับตาก็คือ การประกาศผลตรวจสอบของสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหภาพยุโรป(เอียซา) ที่จะประกาศวันที่ 10 ธ.ค.นี้ ว่าจะออกมาในรูปแบบใด หากออกมาสอดคล้องกับเอฟเอเอ ก็เชื่อว่าจะมีผลโดยตรงต่อเที่ยวบินจากไทยที่จะบินเข้าประเทศต่างๆ ในยุโรป
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พูดถึงกรณีที่เอฟเอเอลดอันดับมาตรฐานการบินของไทยว่า กำลังให้เจ้าหน้าที่ดูอยู่ อย่าขยายความ เพราะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ต้องดูว่ายังมีจุดใดต้องแก้ไขเพิ่มเติม
ขณะที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ชี้ว่า สิ่งที่กระทรวงคมนาคมต้องดำเนินการในขณะนี้ก็คือ ยกเครื่องเรื่องที่เกี่ยวข้องให้ได้มาตรฐาน การบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.) จะต้องพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ต้องปรับแก้ ไม่ใช่แค่โครงสร้างองค์กรที่เป็นเปลือกนอก แต่รวมถึงกระบวนการทำงานและคนด้วย ทั้งนี้ นายสมคิด ยืนยันด้วยว่า การลดอันดับของเอฟเอเอไม่ได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้ไทย เพราะสายการบินของไทยไม่ได้บินตรงไปสหรัฐฯ อยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ ไทยต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้นำทีมผู้บริหารกระทรวง และนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวเกี่ยวกับการลดอันดับของเอฟเอเอว่า สาเหตุที่เอฟเอเอลดอันดับ เพราะใน 33 ข้อที่ต้องดำเนินการตามมาตรฐาน เอฟเอเอมองว่าไทยยังมีจุดอ่อนเรื่องกำลังคนไม่เพียงพอ ขาดการฝึกอบรมให้ถนัดทำงานเฉพาะด้านมากกว่าปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ที่จะต่อใบอนุญาตนักบินไม่เพียงพอ คนตรวจสอบกับเครื่องบินก็ไม่สอดคล้องกัน ปัจจุบันไทยใช้คนตรวจสอบ 1 คนต่อเครื่องบิน 10 ลำ ซึ่งถือว่าน้อยเกินไป อาจต้องกำหนดอัตราส่วนใหม่
นายอาคม กล่าวด้วยว่า ต้องรอดูผลประกาศของเอียซาที่จะออกมาในวันที่ 10 ธ.ค.นี้ หากลดอันดับเช่นเดียวกับเอฟเอเอ อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทการบินไทย เพราะเปิดเส้นทางไปยุโรป และว่า เดือน ส.ค.2559 ไอเคโอจะสรุปในส่วนของ 28 สายการบินของไทยว่าได้มาตรฐานของไอเคโอหรือไม่ เชื่อว่าทุกอย่างน่าจะจะผ่านเกณฑ์ไอเคโอ “ตอนนี้เราเหมือนอยู่ในขบวนการทำข้อสอบ ซึ่งมีไอเคโอเป็นแม่บท ถ้าอาจารย์บอกโอเค ทั้งเจแคป(กรมการบินพลเรือนของญี่ปุ่น) เอียซา ก็จะปลดล็อกด้วย”
ขณะที่นายจรัมพร กล่าวว่า หากเอียซาลดอันดับไทย อาจจะส่งผลกระทบถึงการบินไทย ในแง่ไม่สามารถเพิ่มเที่ยวบินในเส้นทางเดิม หรือเพิ่มจุดบินในเส้นทางใหม่ รวมถึงไม่สามารถเปลี่ยนรุ่นเครื่องบินได้ จากปัจจุบันที่มีบริการในเส้นทางยุโรปรวม 11 จุดหมายปลายทาง คิดเป็น 1 ใน 3 ของรายได้ของการบินไทยทั้งหมด
5.ศาลฎีกา พิพากษายืนจำคุก “สนธิ” 1 ปี รอลงอาญา 2 ปี คดีหมิ่น “ม.ร.ว.ปรีดิยาธร” ล้างมลทินให้กลุ่มอำนาจเก่า!
เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ศาลอาญา ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นโจทก์ฟ้องบริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด, นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และนายขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานหมิ่นประมาท
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2550 นายสนธิหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ผ่านรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางช่อง News 1 เอเอสทีวี และ นสพ.ผู้จัดการรายวัน ทำนองว่า โจทก์ล้างมลทินให้กลุ่มอำนาจเก่า ปล่อยให้มีการออกสลากบนดิน 2 ตัวขัดต่อกฎหมาย และโจทก์ช่วยเหลือนายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร ที่ไม่ตรวจสอบการขายหุ้นแอมเพิลริชให้กลุ่มทุนเทมาเส็ก และปกป้องผู้กระทำผิดกรณีที่ปล่อยให้มีการโอนหุ้นชิน บมจ.ชินคอร์ป โดยไม่เสียภาษี รวมทั้งมีผลประโยชน์ทับซ้อนในธนาคารกสิกรไทยฯ ด้วย ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ
ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2552 ว่า จำเลยที่ 1, 2, 4 กระทำผิดฐานหมิ่นประมาท โดยจำเลยที่ 2 ได้ชี้นำโน้มน้าวให้ประชาชนผู้ฟังเข้าใจว่า โจทก์เป็นคนชั่ว มีพฤติการณ์บริหารงานต่างๆ เพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้อง อันเป็นการกล่าวพาดพิงโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งจำเลยเคยรับโทษในคดีลักษณะนี้มาแล้ว เห็นควรให้จำคุกนายสนธิ จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 2 ปี บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำเลยที่ 1 ให้ปรับ 200,000 บาท ส่วนนายขุนทอง จำเลยที่ 4 จำคุก 1 ปี ปรับ 30,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา พร้อมทั้งให้ลงโฆษณาคำพิพากษาใน นสพ.ไทยรัฐ, เดลินิวส์, มติชน, ผู้จัดการรายวัน เป็นเวลา 5 วัน ต่อมาจำเลยที่ 1, 2 และ 4 ยื่นอุทธรณ์
โดยศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2556 ว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการใส่ร้ายโจทก์ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนามุ่งร้ายกับโจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 2 พูดเกี่ยวกับประเด็นสาธารณะและผลประโยชน์ของส่วนรวม ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 2 ปีนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่ารุนแรงเกินไป จึงเห็นควรลงโทษสถานเบาและแก้โทษให้เหมาะสม เป็นว่า จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 1 ปี และปรับเงิน 3 หมื่นบาท ทั้งนี้ จำเลยเป็นสื่อมวลชนซึ่งมีความสำคัญในการตรวจสอบ ท้วงติงการทำงานของรัฐบาลและทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม จึงเห็นควรสนับสนุนให้จำเลยที่ 2 ได้ทำหน้าที่สื่อมวลชนอย่างเข้มแข็งต่อไป โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี สำหรับจำเลยที่ 1 ศาลเห็นว่า ร่วมกับจำเลยที่ 2 โดยการบันทึกถ้อยคำที่กล่าวหมิ่นประมาทโจทก์ลงในวีซีดีออกเผยแพร่ ให้ลงโทษปรับเงินจำนวน 1 แสนบาท ส่วนจำเลยที่ 4 นั้น ศาลเห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นลงโทษมานั้นถือว่าเหมาะสมแล้ว และให้ลงโฆษณาเฉพาะในหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ และสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ซึ่งต่อมา จำเลยยื่นฎีกา
ขณะที่ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า การจัดรายการของจำเลยที่ 2 อาจเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะสื่อมวลชนวิจารณ์โจทก์ ซึ่งทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ แม้มีข้อความหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์อยู่บ้าง แต่ไม่ปรากฏว่า จำเลยเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์มาก่อน ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกจำเลยเป็นเวลา 1 ปี ปรับ 3 หมื่นบาท และรอลงอาญา 2 ปีนั้น เหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน แต่แก้คำพิพากษาให้จำเลยร่วมกันพิมพ์คำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ 3 ฉบับ คือ ไทยรัฐ เดลินิวส์ และผู้จัดการ เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน โดยจำเลยต้องออกค่าใช้จ่ายเองด้วย ส่วนจำเลยที่ 4 ศาลให้พ้นผิดตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550
6.ศาล พิพากษาจำคุก “คุณหญิงจารุวรรณ” พร้อมอดีต ผอ.สตง.คนละ 2 ปี คดีจัดสัมมนาเท็จ!
เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ศาลอาญา ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ฟ้องคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และนายคัมภีร์ สมใจ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 83
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 1 ส.ค.-31 ต.ค.2546 จำเลยทั้งสองได้สมรู้ร่วมคิดปฏิบัติหน้าที่มิชอบและทุจริต โดยนายคัมภีร์ จำเลยที่ 2 ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานกรรมการและคณะอนุกรรมการดำเนินการถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน พ.ศ.2546 ตามคำสั่งของ สตง.ได้ทำเรื่องเสนอคุณหญิงจารุวรรณ จำเลยที่ 1 เพื่ออนุมัติโครงการสัมมนาเรื่อง “สตง.ในความคิดเห็นของสมาชิกวุฒิสภา” วันที่ 31 ต.ค.2546 ที่โรงแรมซิตี้ ปาร์ค อ.เมือง จ.น่าน ทั้งที่จำเลยทั้งสองทราบดีว่า วันดังกล่าว สตง.มีการจัดถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดพญาภู และวัดพระธาตุช้างดำวรวิหาร อ.เมือง จ.น่าน แต่จำเลยทั้งสองกลับจัดสัมมนาในวันดังกล่าว และให้บุคคลถวายผ้าพระกฐิน รวมทั้งวางแผนนำรายชื่อเจ้าหน้าที่ สตง.ที่เข้าร่วมถวายผ้าพระกฐินเข้าไปอยู่ในรายชื่อเป็นผู้เข้าร่วมสัมมนาด้วย เพื่อไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าที่พักในการถวายผ้าพระกฐิน อันเป็นการใช้จ่ายเงินงบประมาณโดยไม่มีสิทธิเบิกจ่ายโดยชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่การจัดสัมมนา ก็ไม่มีการจัดสัมมนาจริง แต่เป็นการอำพรางนำเงินงบประมาณจำนวน 294,440 บาท มาเพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่นโดยทุจริต เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ
ซึ่งต่อมาปี 2547 นายพีรไสว รัตนเอกวาปี รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ได้มีหนังสือกล่าวโทษจำเลยทั้งสองต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) จากนั้น ป.ป.ช.ได้ไต่สวน และแจ้งข้อกล่าวหาจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ทั้งนี้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ก่อนถึงวันจัดสัมมนา 31 ต.ค.2546 ได้มีการเปลี่ยนสถานที่จัดสัมมนาจากโรงแรมซิตี้ปาร์ค ไปเป็นที่สโมสรสันติภาพ 2 ที่อยู่ในหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งสถานที่ดังกล่าวมีเพียงป้ายข้อความต้อนรับจำเลยที่ 1 ไม่มีข้อความระบุหัวข้อหลักสูตรการสัมมนาแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังพบว่า ในเดือน พ.ย.2546 จำเลยที่ 2 ได้มีการเสนอโครงการสัมมนาลักษณะเดียวกับที่จัดไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ต.ค.2546 จึงเชื่อได้ว่า จำเลยไม่ได้มีเจตนาจัดสัมมนาตั้งแต่ต้น แต่เกิดจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่จำเลยทั้งสองกลัวว่า จะมีผู้ไปร่วมน้อย จึงได้จัดสัมมนาในวันเดียวกัน
ส่วนการที่ ส.ว.น่านมาร่วมงานสัมมนา ก็เป็นการบรรยายพิเศษเพียงคนเดียว ไม่ใช่การระดมความเห็นตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการสัมมนา ซึ่งหากเป็นการบรรยายในลักษณะดังกล่าว ก็ไม่จำเป็นต้องนำคนจำนวนมากเดินทางมา นอกจากนี้เวลาการสัมมนายังคลาดเคลื่อนจากที่ระบุไว้ในกำหนดการด้วย จากเวลา 08.30-16.30 น. เป็น 15.45-19.00 น.
ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่า การเปลี่ยนสถานที่จัดสัมมนา เป็นการแก้ไขเฉพาะหน้า ซึ่ง ส.ว.น่านเดินทางมาร่วมถวายกฐินล่าช้าและมีการแจกทุนการศึกษา โดยสถานที่จัดเป็นความมีน้ำใจของ ส.ว.น่านช่วยจัดหานั้น ศาลเห็นว่า ในการเปลี่ยนแปลงสถานที่ มีการแจ้งยกเลิกกับทางโรงแรมล่วงหน้าก่อนแล้ว 3 วัน และตามขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และสถานที่จัดสัมมนา จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้มีอำนาจก่อน ดังนั้นจึงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองย่อมเล็งเห็นตั้งแต่ต้นว่า ไม่สามารถจัดงานถวายผ้าพระกฐินในวันและเวลาเดียวกันได้ และจากคำให้การของพยานบางปาก ทราบว่า ผู้ร่วมสัมมนาได้มีการจัดเตรียมชุดขาวไปร่วมงานถวายผ้าพระกฐินด้วย จึงเห็นได้ว่า การจัดสัมมนานั้นเป็นเท็จ เพราะมีวัตถุประสงค์ให้เดินทางไปร่วมงานถวายผ้าพระกฐินเป็นหลัก ทำให้ผู้ที่ร่วมงานกฐินบางส่วนที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง ได้สิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปร่วม เพราะมีชื่อเป็นผู้ร่วมงานสัมมนาด้วย ทั้งที่ไม่มีสิทธิเบิกจ่ายตั้งแต่ต้น ทำให้ สตง.เสียหายเป็นเงิน 294,440 บาท การกระทำของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 จึงพิพากษาจำคุกคุณหญิงจารุวรรณ จำเลยที่ 1 และนายคัมภีร์ จำเลยที่ 2 คนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
หลังฟังคำพิพากษา คุณหญิงจารุวรรณ และนายคัมภีร์ ได้ยื่นสมุดบัญชีเงินฝากคนละ 2 แสนบาท ขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี ซึ่งศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ทั้งนี้ คุณหญิงจารุวรรณ กล่าวว่า ตนขอตั้งสังเกตว่า ที่มีการมาร้องเรียนตนในคดีนี้ เพราะมีใครบางคนถูก สตง.เข้าไปตรวจสอบ จึงเป็นที่มาของการร้องเรียนคดีนี้ ซึ่งตนยังไม่อยากพูดมาก และว่า ที่ผ่านมา ตนหาเงินให้ประเทศเป็นแสนล้านบาท คิดว่าเงินแค่ 2 แสนกว่าบาทตนจะโกงหรือ