พงศาวดารรัชกาลที่ ๑ ได้กล่าวถึงพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ตอนหนึ่งว่า
“...พระองค์ประสูติ ณ วันพุธ เดือน ๔ แรม ๕ ค่ำ ปีมะโรง อัฐศก จุลศักราช ๑๐๙๘ (พ.ศ.๒๒๗๘) ณ กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา มีนิวาสฐานอยู่ภายในกำแพงพระนครเหนือป้อมเพชร ครั้นปีฉลู นพศก จุลศักราช ๑๑๑๙ พระชนมายุครบ ๒๑ ปีเสด็จออกทรงผนวชเป็นภิกษุอยู่วัดมหาทะลายพรรษา ๑ แล้วลาผนวชเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กหลวงในพระเจ้าแผ่นดินที่ ๓๒ ซึ่งปรากฏพระนามเรียกเป็นสามัญว่า ขุนหลวงดอกมะเดื่อนั้น ครั้นต่อมาพระองค์ได้วิวาห์มงคลกับธิดาในตระกูลเศรษฐีที่ตำบลอัมพวา แขวงเมืองสมุทรสงคราม อยู่ต่อพรมแดนเมืองราชบุรี จึงเสด็จออกไปรับราชการอยู่ในเมืองราชบุรี ได้เป็นตำแหน่งหลวงยกกระบัตรเมื่อพระชนม์พรรษา ๒๕ ปี”
ใน “สามกรุง” พระนิพนธ์ พระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เจ้าของนามปากกา น.ม.ส. ได้กล่าวถึงเบื้องหลังเรื่องนี้ไว้ว่า
ใคร่กล่าวสาวเรื่องย้อนถอยหลัง หน่อยรา
พระพุทธยอดฟ้ายังใช่เจ้า
บ่าวสาวกล่าวปลูกฝังฝังใฝ่ ฝาแฮ
นรีรัตน์ขัติเยศเข้าคู่ห้องสองสมฯ
และขยายความเรื่องนี้ไว้ในท้ายเล่มว่า
“มีเรื่องเล่าตามที่ได้ยินผู้ใหญ่กล่าวสืบกันมาว่า ในแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศ มีข้าหลวงเที่ยวไปตามหัวเมืองแลตำบลใหญ่ๆในชนบท สืบหาธิดาของผู้มีเทือกเถาอันดีกอบด้วยรูปลักษณ์อันงาม จดชื่อส่งเข้าไปถวายพระเจ้าแผ่นดินว่าสมควรแก่ตำแหน่งพระสนม ถ้าพูดตามประเพณีบิดามารดาก็ต้องส่งลูกสาวเข้าไปถวาย หากจะมีชายอื่นกล่าวสู่ขอไว้ก็ต้องระงับ เพราะเกรงพระราชอาญา เสมอกับว่านางนั้นขึ้นทะเบียนที่เป็นนางในเสียแล้ว พูดตามปรกติบิดามารดาโดยมากก็คงจะยินดีที่บุตรีมีโอกาสจะได้สู่ฐานะอันสูง เป็นเกียรติ์แก่พ่อแม่พี่น้องแลตำบลบ้านช่องของตนสืบไป
แต่พระชนกชนนีของสมเด็จพระอมรินทร (พระนามเดิม นาก) ไม่ยินดีที่จะถวายบุตรีเป็นพระสนมของพระเจ้าเอกทัศ ครั้นทราบว่าธิดาถูกจดนามส่งไปยังกรุง ก็รีบไปปฤกษาหลวงพินิจอักษรเสมียนตรามหาดไทย หลวงพินิจอักษรเห็นว่าทางแก้มีทางเดียว คือให้รีบแต่งงานเสียกับบุตรชายคนใหญ่ของหลวงพินิจอักษรเอง พระชนกชนนีเห็นชอบ พระพุทธยอดฟ้ากับสมเด็จพระอมรินทรจึ่งได้ทรงแต่งงานกัน แต่ก่อนที่จะแต่งนั้นผู้ใหญ่ในสกุลได้นำความขึ้นทูลพระเจ้าเอกทัศ พระเจ้าเอกทัศพระราชทานอนุมัติ แลพระราชทานพรให้อยู่กินด้วยกันเป็นสุขสวัสดี
เรื่องที่เล่านี้ไม่เคยเห็นในหนังสือ แต่คนรุ่นเก่าเล่ากันแพร่หลาย เมื่อเร็วๆนี้ข้าพเจ้าถามสอบในพวกญาติราชนิกุลบางช้างที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับข้าพเจ้า ก็ว่าเคยได้ยินเช่นเดียวกัน ตามที่เล่าข้างบนนี้อาจไม่ถูกทั้งหมดแต่คงจะมีเค้ามูลบ้าง”
นั่นเป็นข้อความในหนังสือ “สามกรุง”
สมเด็จพระอมรินทรา มีพระบิดามารดา คือ ท่านทอง กับ ท่านสั้น และมีพี่น้องรวม ๑๐ พระองค์ ท่านทองถึงพิราลัยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนท่านสั้นมีพระชนม์ถึง ๙๐ ปีเศษ สิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. ๒๓๔๔ และได้รับการถวายพระนามในสมัยรัชกาลที่ ๔ ว่า สมเด็จพระรูปศิริโสภาคย์มหานาคนารี ซึ่ง สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงเล่าไว้ใน “สาส์นสมเด็จ” ว่า
“เคยได้ยินพระบรมราชาธิบายของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงว่า เมื่อในรัชกาลที่ ๑ นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกไม่ได้ทรงยกย่องพระญาติวงศ์ของสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีให้วิเศษแต่อย่างใด ตรัสเล่าเรื่องที่ได้ทรงสดับมาเป็นตัวอย่างว่า สมเด็จพระรูปศิริโสภาคทรงผนวชเป็นรูปชีอยู่ก่อนถึงรัชกาลที่ ๑ ก็เป็นแต่เสด็จเข้ามาอยู่ที่ตำหนักสมเด็จพระอัมรินทราอย่างเงียบๆจนตลอดพระชนมายุ แต่เมื่อสิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ พระราชทานโกศทรงพระศพ สมเด็จพระอมรินทรทรงยินดีถึงกับออกพระโอษฐ์ว่า แม่ข้าเป็นเจ้าฯ”
สมเด็จพระอมรินทรา บรมราชินี มีพระราชโอรสพระราชธิดาถึง ๑๐ พระองค์เช่นกัน แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ขึ้นครองราชย์แล้วไม่ปรากฏว่าสมเด็จพระอมรินทราทรงมีพระราชโอรสพระราชธิดาอีกเลย อีกทั้งยังไม่เคยเข้าประทับในวังหลวงหลังจากที่ทรงได้รับสถาปนาพระยศขึ้นเป็น อรรคมเหสี คงเสด็จเข้ามาบางครั้งเพื่อทรงเยี่ยมพระราชโอรสพระราชธิดา และเสด็จกลับก่อนปิดประตูวังทุกครั้ง ประทับอยู่แต่บ้านเดิมจนสวรรคต แม้แต่ราชาศัพท์ก็ไม่ทรงใช้กับพระราชสวามีหรือพระราชโอรสพระราชธิดาเลย ทรงเรียกพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯว่า “เจ้าคุณ” เหมือนเดิม โปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอตรัสเรียกพระองค์ว่า “คุณแม่” และตรัสเรียกสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชโอรสพระราชธิดาว่า พ่อฉิม พ่อจุ้ย แม่แจ่ม แม่เอี้ยง และตรัสด้วยภาษาสามัญเช่นคนธรรมดาจนสิ้นพระชนมายุ
ในสมัยรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงสถาปนาเฉลิมพระยศสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็น กรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๒
กรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ มีพระชนมายุยืนยาวถึงรัชกาลที่ ๓ สวรรคตใน พ.ศ. ๒๓๖๙ ขณะพระชนม์ได้ ๘๙ ปี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้จัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอย่างยิ่งใหญ่ สมพระเกียรติแห่งความเป็นเจ้าอย่างแท้จริง