การปล้นทรัพย์สินเงินทอง ปล้นวัวปล้นควาย นั่นเป็นเรื่องธรรมดา เกิดขึ้นอยู่ทั่วๆไป แต่การปล้น“นางโลม”กลางกรุง กวาดเรียบไปหมดทั้งเล้ากว่า ๕๐ คนนั้น ย่อมไม่ธรรมดาแน่ เรื่องเก่าที่จารึกไว้ก็เห็นมีเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น ที่ปล้นพิสดารกว่ารายอื่น
เหตุเกิดในสมัยรัชกาลที่ ๕ เวลาบ่ายโมงเศษๆ ของวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ ขณะที่ นายจัน พ่อเล้าชื่อดังของบางกอก กำลังนั่งทอดหุ่ยสบายอารมณ์อยู่หน้าสำนักโคมเขียวแห่งตรอกตะพานโพ ก็เห็นคนจีนวัยฉกรรจ์กว่า ๕๐ คน เดินเข้ามาในตรอกเป็นกลุ่มอย่างผิดสังเกต เมื่อมาถึง หัวขบวนก็ตรงเข้าไปในซ่องทันที ทำเหมือนจะเข้าไปใช้บริการทั้งๆที่แดดยังแจ๋ไม่ถึงเวลาเปิดบริการ พ่อเล้าจันจะขยับเข้าขวางก็ไม่กล้า และยังมีชายฉกรรจ์อีกกลุ่มตามเข้าไปติดๆ พ่อเล้าจันนึกถึงอั้งยี่ที่กำลังอาละวาดอยู่ในขณะนั้นทันที พลันเสียงของลูกเล้าข้างในก็ร้องกันเจี๊ยวจ๊าวเรียกนายจันให้ช่วย ยอดพ่อเล้าผู้มีประสบการณ์จึงโดดเข้าปิดประตูแล้วใส่กุญแจดอกใหญ่ขังอั้งยี่หน้ามืดและนางโลมไว้ในนั้น ห้อเหยียดไปแจ้งเจ้าหน้าที่กองตระเวนที่โรงพักตรอกอิสรานุภาพ พร้อมกับตะโกนเรียกเพื่อนบ้านให้ไปช่วยลูกเล้าไว้ก่อน
อั้งยี่อีกกลุ่มที่คุมเชิงอยู่หน้าสำนัก เห็นดังนั้นก็รู้ว่านายจันต้องไปเรียกหมาต๋ามาแน่ จึงส่งภาษาล้งเล้งบอกพรรคพวกที่อยู่ข้างใน แล้วช่วยกันถีบประตูจนพังทั้งแถบ ฉุดกระชากลากตัวนางโลมไปจนหมดเล้าโดยไม่มีใครกล้าเข้าขวาง
เจ้ากรมกองตระเวนได้รับรายงานก็เดือดดาลยิ่งนัก สั่งเป็นคำขาดให้โปลิศไปลากคออั้งยี่หน้ามืดกลุ่มนี้มาให้ได้
นายหมวดอิ่ม สารวัตรแขวง รีบระดมพลออกตระเวนล่าในทันที จุดแรกที่ไปก็คือโรงยาฝิ่น ลากคอไอ้ดำมาได้เป็นคนแรกขณะที่นอนคลึงฝิ่นอยู่กับหลอดตะเกียง เมื่อโดนนายหมวดอิ่มขู่มันก็ยอมรับสารภาพ แล้วพาโปลิศไปที่บ่อนหัวลำโพงและโรงสี ซึ่งบรรดานางโลมถูกนำตัวมาขังไว้
แต่เมื่อไปถึง จีนที่เฝ้ายามไม่ยอมให้สารวัตรอิ่มและพลตระเวนเข้าตรวจค้น ร้อนถึงหลวงธุรการ สารวัตรใหญ่ ต้องยกกำลังมาจัดการด้วยตัวเอง เมื่อหลงจู๊โรงสีเห็นตำรวจยกโขยงกันมาก็ตัวสั่นงันงก รีบไขกุญแจแต่ละห้องให้ตรวจค้น พบบรรดานางโลมทั้งหมดถูกแยกขังอยู่ในห้องเหล่านั้น
เมื่อเหล่านางโลมเห็นหน้าโปลิศโผล่เข้ามา ก็เหมือนได้เห็นหน้า“ปวีณา”มาช่วยให้พ้นนรก
ส่วนอั้งยี่หน้ามืดทั้งหลายก็ถูกลากคอมารับโทษตามกระบิลเมืองได้ทั้งหมด