เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสต้น แวะประทับแรมที่วัดป่าโมก เมืองอ่างทอง เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๔๔๙ ได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในหนังสือจดหมายเหตุเสด็จประพาสต้นตอนหนึ่งว่า
“มีเรื่องแปลกที่ได้พบตัวจริงของผู้ที่ว่าได้เคยพูดกับพระนอน ซึ่งเจ้าคณะได้บอกลงไปหลายเดือนมาแล้ว เรื่องคราวนั้นคือ อำแดงคนหนึ่งเป็นหลานพระครูปาโมกข์ มารักษาพระอุโบสถอยู่ที่วัดนี้ ในกาลปักษ์ใดปักษ์หนึ่ง เวลานั้นสัปปุรุษพากันรับเพลตามภาษาเขาเรียกอยู่ที่วิหารเขียน แต่นางหลานพระครูคนนี้ไม่รับเพล ด้วยมีความวิตกว่าลุงเจ็บ จึงไปบอกกับหลวงพ่อคือพระนอนขอให้ช่วยรักษา นางนั้นตกใจมากที่ได้ยินเสียงพระนอนนั้นพูดตอบออกมา แต่มิได้ตอบทางพระโอษฐ์ เสียงก้องออกมาจากพระอุระ ดังได้ยินจนนอกโบสถ์ บอกตำรายา ถามนางนั้นก็อิดเอื้อนไปว่าจำไม่ได้หมด จำได้แต่ใบเงินใบทอง ยานั้นไปรักษาลุงหาย พระครูไม่เชื่อ พอประจวบเกิดพระสงฆ์เป็นอหิวาตกโรค จึงได้ลองไปพูดดูบ้าง ก็ได้คำตอบทักทายปราศรัยเป็นอันดี จนถึงว่าอยากพูดกับพระครูมานานแล้ว เป็นต้น แต่นั้นมาพระครูได้รักษาไข้เจ็บด้วยยานั้น เป็นอะไรๆก็หาย ห้ามมิให้เรียกขวัญข้าวค่ายานอกจากหมากคำเดียว แลไม่ใช่พูดแต่ ๒ ครั้งเท่านั้น พูดเนืองๆมา พระครูยังได้บอกไปยังเจ้าคณะแลกระทรวง ผู้ที่ได้ฟังพระครูพูดนั้น ไม่ต้องเฉพาะว่าคนเดียว พระฟังพร้อมกัน ๑๕ รูปก็ได้...”
เหตุการณ์มหัศจรรย์นี้ถูกจารึกไว้ว่าเกิดขึ้นในวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๘ เวลาประมาณ ๖ โมงเย็น โดย อุบาสิกาเหลียน อยู่บ้านเอกราช แขวงป่าโมก หลานของพระภิกษุโต ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าโมก ได้เอาใบไม้มาต้มให้พระภิกษุโตซึ่งเป็นอหิวาตกโรคฉัน ก็ปรากฏว่าพระภิกษุโตหายจากโรคอหิวาต์อย่างมหัศจรรย์
พระครูปาโมกข์ฯ จึงซักถามอุบาสิกาเหลียนถึงที่มาของยา อุบาสิกาเหลียนก็ว่าขอมาจากพระพุทธไสยาสน์ และยังคุยว่าพระพุทธไสยาสน์เป็นหลวงพ่อของนาง เมื่อต้องการสิ่งใดก็จะไปขออยู่เสมอ แม้แต่ไถ่ถามเรื่องต่างๆ ก็จะมีเสียงตอบออกมาจากพระอุระ พระครูปาโมกข์ฯขอเข้าไปฟังด้วย อุบาสิกาเหลียนก็ไม่ขัดข้อง
ฉะนั้นในวันที่ ๑๔ ธันวาคม ต่อมาหลังจากเลิกประชุมสงฆ์ราวหนึ่งทุ่ม พระครูปาโมกข์ฯก็ให้สงฆ์ ๑๐ รูป ชาวบ้าน ๕ คน และศิษย์วัดรวมกันประมาณ ๓๐ คนพากันไปที่วิหาร จุดไฟให้สว่างไสว แล้วช่วยกันตรวจค้นจนทั่วว่าไม่มีใครแอบซ่อนอยู่ในวิหารบ้าง แล้วจึงพาอุบาสิกาเหลียนเข้าไปพร้อมหน้ากันในวิหาร
พระครูปาโมกข์มุนีนั่งอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ของพระพุทธไสยาสน์ ห่างประมาณ ๔ ศอก อุบาสิกาเหลียนก็จุดธูปเทียนและเอาใบพลู ๑ ใบทาปูนพับเป็นสี่เหลี่ยม หมาก ๑ ซีก ยาสูบ ๑ มวน ใส่ในพานบูชา แล้วอธิษฐานดังๆให้ได้ยินกันทั่วว่า
“นิมนต์หลวงพ่อเอาของในพานนี้ไปฉันด้วยเถิด”
ประมาณ ๒ นาที ของที่ถวายอยู่ในพานก็หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ พระครูปาโมกข์ฯยังไม่หายสงสัย ถามอุบาสิกาเหลียนว่าจะขอพูดกับหลวงพ่อเองได้หรือไม่ อุบาสิกาเหลียนก็พนมมือถามพระพุทธไสยาสน์ว่า จะพูดกับท่านพระครูได้หรือไม่ ก็มีเสียงตอบมาจากพระอุระว่า “ได้” ซึ่งท่านพระครูก็พูดกับพระพุทธไสยาสน์อีกหลายประโยค ทั้งพระและชาวบ้านที่อยู่ในวิหารก็ได้ยินกันทั้งหมด
นอกจากจะเล่าถวายเรื่องนี้ต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯด้วยตัวเองแล้ว ท่านพระครูยังบันทึกเรื่องราวโดยละเอียด เตรียมจะถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเมื่อเสด็จกลับจากมณฑลพายัพ แต่เผอิญไม่ได้เสด็จทางวัดป่าโมก จดหมายฉบับนี้จึงค้างอยู่ ซึ่งสมเด็จพระปิยะมหาราชทรงนำมาบันทึกไว้ในจดหมายเหตุเสด็จประพาสครั้งนี้ด้วยว่า
“...พระครูส่งจดหมายที่เตรียมไว้จะให้มกุฎราชกุมารเรื่องพระพูดและบอกตำรายา ในเนื้อความที่พระครูกล่าวนั้น ไม่ยืนยันว่าพระพุทธองค์พูด เป็นคิดเห็นว่าผีสางเทวดาที่สิงอยู่พูด...”
เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องที่ร่ำลือกันในหมู่ชาวบ้าน แต่ท่านพระครูเล่าถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ต่อพระพักตร์ และเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ซึ่งก็คือเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ต่อมาคือรัชกาลที่ ๖ ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ท่านพระครูก็คงไม่กล้ายืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะกับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินถึงเพียงนี้
เรื่องนี้จึงเป็นปาฏิหาริย์อีกเรื่องหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้อย่างน่าทึ่ง