“เขาคือเล็ก เพียรเกตวิทย์” แนะนำชื่อแบบนี้ ทุกคนคงงงงันว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แต่ถ้าบอก “ดอน จมูกบาน” น้อยคนนักจะไม่รู้จัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ชื่นชอบในความตลกโปกฮา เพราะชายวัย 64 ปีคนนี้ คือผู้ที่สร้างเสียงหัวเราะและความบันเทิงเริงใจให้แก่คนไทยมาอย่างยาวนาน จนคู่ควรแก่การกล่าวขานในฐานะปูชนียบุคคลแห่งวงการตลกบ้านเราอีกคนหนึ่ง
หลังจากเงียบหายไปจากแวดวงนานพอควร เมื่อเร็วๆ นี้ มีข่าวว่า ดอน จมูกบาน หายป่วยจากโรคมะเร็ง และนั่นก็ทำให้ชื่อของเขากลับมายืนเด่นหราบนหน้าสื่ออีกครั้ง
วงการตลกอาจซบเซา อย่างที่เขาว่า
ตลกหลายคนต้องไปทำน้ำพริกน้ำปลาขาย อย่างที่ใครเขาเห็น
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรือง สมควรถูกลืมเลือน
กว่า 40 ปีในวงการบันเทิง ดอน จมูกบาน ผ่านมาหมดแล้วทั้งจุดสูงสุดและต่ำสุดในหลากหลายช่วงเวลาของชีวิต แม้วันนี้ต้องเผชิญกับโรคร้าย แม้วันนี้ อะไรต่อมิอะไรอาจไม่รุ่งโรจน์เหมือนดังเก่า แต่เมื่อมองย้อนกลับไปสู่เส้นทางที่ผ่านมา ดาราตลกบอกแก่เราคล้ายๆ ว่า มันคุ้มค่ายิ่งกว่าคุ้ม...
จากลูกชาวนา สู่ “โฆษกวงดนตรี”
ไม่ต่างไปจากนักแสดงตลกหลายต่อหลายคนที่ชีวิตก่อนเปิดม่านการแสดง ซึ่งด้วยสภาวะของครอบครัวที่ยึดอาชีพเกษตรกร ทำให้ เด็กชายเล็ก ในวัยเยาว์ จำต้องใช้ชีวิตช่วยทางบ้านทำงานเกี่ยวข้าวและรับจ้าง เพื่อให้ชีวิตอยู่รอดต่อไป อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ผมเป็นคนจังหวัดนครสวรรค์ พ่อแม่มีอาชีพทำไร่ทำนา เราก็ช่วยพ่อแม่ทำงาน แล้วกว่าจะได้ข้าวแล้วซื้อกางเกงใหม่หรือเสื้อใหม่ ขายข้าวแต่ละครั้งก็ไม่เหลือ แถมเงินก็ไม่เคยพอเลย น้ำตาเข้าน้ำตาออก บางทีมีเงินก็มีไม่เท่าไหร่ พอซื้อเสื้อผ้าตามโรงจำนำบ้าง สมัยก่อนชุดละไม่กี่สตางค์หรอก มันถูก แต่ก็ยังถือว่าเงินมันหายากอยู่ดี สมัยข้าวแกงจานละ 50 สตางค์ 6 สลึง กินก๋วยจั๊บ ถ้วยละสลึง”
“ก็ทำไร่ทำนาอยู่อย่างนี้ และด้วยผืนนาเราก็ไม่มี เนื่องจากเช่าที่ของคนอื่นทำ พอเข้าหน้าแล้งทีไร เราก็จะไปทำงานก่อสร้าง หิ้วปูน จับกัง คอยผสมปูน แบกปูน เพราะบังเอิญลูกพี่ลูกน้องเขาเป็นช่าง เราก็เป็นลูกมือเขา ต่อมาพี่ชายก็เป็นช่าง เราก็เป็นลูกมือของพี่ชายต่อ”
ในท่ามกลางการใช้ชีวิตที่ยากลำบากนั้น สิ่งเดียวที่พอจะสร้างความบันเทิงให้กับเขาได้ นั่นคือ ‘วงดนตรีลูกทุ่ง’ ที่มักจะมาทำการแสดงบนดินแดนลุ่มน้ำปากน้ำโพบ้านเกิดอยู่เป็นประจำ และนั่น คือจุดแรกสุดของ ‘เล็ก’ หันมาสนใจศิลปะในแขนงดนตรี อย่างช่วยไม่ได้
“ทำไปทำมาเราก็ดันมาชอบเรื่องการแสดง เพราะว่าชอบแบบร้องเพลง มีวงดนตรีที่ไหนก็คอยเกาะๆ แกะๆ เขาไป เพราะวงดนตรีตามบ้านนอก อาศัยตีสนิทเขาไปเรื่อย สนิทพวกลูกวง อย่าง ชายธง ทรงพล (ผู้ร้องเพลง ปูไข่ไก่หลง) สมัยก่อนไปเป่าแตรที่นครสวรรค์ เขาก็เป่าแตรพวกงานบวชนาค เราก็จะไปนั่งคุยกับแก จนกลายเป็นว่าก็รู้จักกัน แต่เวลาต่อมาก็ห่างเหินกันไปก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย”
เมื่อเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ตนเองต้องการอะไร เขาจึงไม่รอช้าที่จะไล่หาความฝันนั้น ซึ่งคือ การได้เป็นนักร้องในวงดนตรีอย่างที่ใจต้องการ แต่ความฝันในการร้องเพลงของเขาก็แทบจะหมดหวังไปโดยพลัน เพียงเพราะว่า การขับร้องของเขา นั้นแทบจะไม่ได้เรื่องเลย
“เราก็ชอบวงดนตรีของจังหวัด ก็อยู่หลายวง อยู่ไปอยู่มาจนร้องเพลงไม่ได้เรื่องแล้ว (หัวเราะ) ร้องเพลงไม่ได้ อักขระและจังหวะไม่ได้ มันเพี้ยนไปมา จนทำให้หมดสิทธิ์เรื่องเพลงในที่สุด”
แต่ถึงแม้ว่า ความฝันในการเป็นนักร้องจะสิ้นสุดลง แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ต่อเส้นทางนี้ และนั่นทำให้เขาเบี่ยงอาชีพมาฝึกเสียง หัดพูด ให้กลายเป็นพิธีกรประจำวงดนตรีท้องถิ่น จนกลายเป็นโฆษกเชิญชวนเรียกผู้ฟังเสียงเพลงได้ในเวลาต่อมา
“อย่างสมัยก่อน วงธีระชัย บูลา ห้างขายยาบูลา บูรพาโอสถ จังหวัดนครสวรรค์ รายการหมอดู หรือ รายการข่าวเขาจะดังไปทั่วเหมือนกัน เราก็หัดพูดเลียนเสียง เพราะคำพูดของเขามันน่าฟังทั้งจังหวัด เราก็อาศัยจับหลักตรงนี้มาพูด ทีนี้เขาให้เราไปอยู่วงดนตรีแถวนครสวรรค์ ก็ให้เราเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ตามรถ แบบดนตรีจะแสดงที่ไหน วิกไหน ตลาดไหน เราก็ขึ้นรถแห่แล้ว “เอ้า อย่าลืมนะครับ วันนี้วงดนตรีทำการแสดงวิกนั้นวิกนี้” ประกาศไปเรื่อยๆ ก็ได้เริ่มอาชีพแรกที่เกี่ยวกับเส้นทางนี้”
ถึงแม้ว่าจะได้เป็นโฆษกประกาศวงดนตรีสมใจ แต่การทำหน้าที่ในวงนั้น หาใช่ตำแหน่งดังกล่าวเพียงอย่างเดียว เขายังต้องทำหน้าที่เป็นนักแสดงตลกอีกด้วย ซึ่งการเล่นเรียกคนของเขานั้น อาจจะเรียกได้ว่า เป็นจุดประกายเล็กๆ ของเขากับศาสตร์แห่งการแสดงตลก ก็ไม่ผิดนัก
“ทีนี้ก็มีวงดนตรี ประจวบ จำปาทอง จากกรุงเทพฯ ไปปักหลักอยู่นครสวรรค์ เราก็ไปสมัครงานกับเขา แล้วทางวงก็ให้เราเล่นตลก เราก็เล่นคู่และเลียนเสียงธง บูลา เหมือนเดิม เพราะเขายังคงดังอยู่ เล่นมาตั้งแต่นครสวรรค์ขึ้นไป เดินสายทางเหนือ แถวเชียงใหม่ เชียงราย ซึ่งเวลาเราเล่น ก็ยังเลียนเสียงเรียกคนมามุงมาชม อาศัยเล่นตลกอะไรไป ตอนนั้น ก็เล่นคู่กับเพื่อนร่วมวงที่เลียนเสียงประจวบ จำปาทอง ก็เล่นคู่กันสองคน สมัยก่อนตลกเล่นง่าย มุกเดียวก็หากินได้หลายปี”
“ตอนที่เราออกมาจากบ้าน เราก็ไปไม่ได้บอกเขา ออกจากบ้านไปเป็นปี จนแม่ต้องไปดูหมอว่า เราตายรึยัง เพราะเมื่อก่อนการสื่อสารยังไม่สะดวก ไม่มีที่จะสื่อสารถึงกันได้ ออกมาดุ่ยๆ เตร่ๆ ไป อาศัยเกาะแกะวงไป ไปแบบหาพวกข้างหน้า ตายดาบหน้า ก็อยู่วงดนตรี เดินสายเล่นไปทั่ว เช่าบ้านอยู่ทางเหนือเป็นปี เล่นตามหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ ไปหมด รู้จักตั้งแต่นครสวรรค์ จนถึงแม่ฮ่องสอน ไปประเทศลาว เราเคยเล่นแบบได้ค่าจ้างเป็นลังกองๆ เต็มไปหมด มาแลกเงินไทยได้หมื่นกว่าบาท ซึ่งตอนนั้นก็ถือว่าอิ่มหนำสำราญกันแล้ว เรียกว่าแบ่งกันได้เต็มที่”
แต่ท้ายที่สุด การเริ่มต้นในเส้นทางนี้ ก็ไม่สวยหรูอย่างที่ตั้งใจ เมื่อทุนทรัพย์ในการแสดง เริ่มร่อยหรอ ประจวบกับ ไปเล่นในบางงานไม่ได้รับค่าจ้าง นั่นทำให้การเป็นโฆษกและการเล่นตลกครั้งแรกของเขาต้องจบลงเพียงแค่ระยะเวลา 2 ปี เท่านั้น
“จนกระทั่งเวลาผ่านไป 2 ปี เล่นไปเล่นมาจนทุนหมดแล้ว ช่วงหลังๆ คือไปเล่นบางงาน มันก็ไม่ได้เงินบ้าง ได้พันกว่าบาทบ้าง เอาของเก่ามากินบ้าง หรือบางทีไปเล่นวิกไหน ค่าจ้างก็เหมาข้าวเขา ตกเย็นเอามาเลี้ยงคณะ บางที กินกันทั้งวง คือทำกับข้าว แกงสองอย่าง และข้าว ไม่มีอะไรมากมาย เล่นไปเล่นมาจนไม่มีค่ารถกลับ จนสุดท้ายก็เลิกกันไป”
ถึงแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในครั้งแรก แต่การที่ได้ร่วมวงดนตรีประจวบ จำปาทอง ครั้งนั้น ก็ได้สร้างประสบการณ์อันล้ำค่าให้กับตัวเขา และอย่างน้อยก็ได้มีทักษะในการพูดและการแสดงติดตัวมาพอสมควร
พอหลังจากการแยกย้ายครั้งนั้น คุณใช้ชีวิตยังไงต่อ
ก็หาทางกลับบ้าน ซึ่งเราก็คิดนะว่าจะทำอะไรต่อไป เพราะไม่มีเงินแล้ว ตอนนั้นวงแตกที่เชียงราย กูจะกลับบ้านยังไงวะเนี่ย (หัวเราะ) เราก็ไปรับจ้างขายน้ำปลา ส่งและแบกน้ำปลา แถวเชียงคำ เชียงของ ดอกคำใต้ แล้วเขาก็ให้ไปเป็นโฆษกขายน้ำปลาแล้ว คือเราก็ยังมีทักษะในการพูดบ้าง เพื่อให้พอเป็นค่ารถกลับบ้าน พอกลับมาก็อาศัยพวกรถสิบล้อแถวลำปางกลับมาบ้าน
พอกลับมาถึง จึงรู้ว่าที่บ้านเขาขายบ้านขายช่อง ย้ายไปอยู่ที่อำเภอไพศาลีกันหมดแล้ว ตอนนั้นเราใจหายแว้บเลย ก็ไปหาพี่ชาย วันต่อมา พี่ชายก็พาไปหาแม่ที่นั่น ไปอยู่กับเขาก็ไม่รู้จะทำอะไร เลยไปรับจ้างพี่สาว แบกถ่าน พี่ชายอีกคนก็ไปเลื่อยไม้และเลื่อยถ่านขาย เผาถ่านขาย และ ลูกพี่ลูกน้องรับจ้างซื้อถ่าน เสร็จแล้วก็จ้างเราไปแบกถ่าน จนวันหนึ่งเราก็แบกมาส่งในเมือง แต่ด้วยที่ก่อนหน้านี้เราเคยอยู่วงดนตรี ได้ออก 9 สถานีวิทยุ คนเขารู้จักทั่วไปหมด แล้วอยู่ดีๆ เรามาแบกถ่าน ก็รู้สึกอายเขาไง ก็เอาผ้าขาวม้าเทียมหัวโพกหน้า แล้วก็แบกมาส่งตามบ้าน (หัวเราะ)
จากที่เราเคยเป็นโฆษก แล้วกลายมาเป็นคนแบกถ่าน ตอนนั้นรู้สึกยังไงครับ
เราก็คิดเหมือนกันนะว่า กูจะไปยังไงดีวะ คิดที่บ้าน ฟังวิทยุบ้างอะไรบ้าง แบบวงดนตรีไปเล่นที่ไหนก็ฟัง วันหนึ่งเราได้ฟังทางวิทยุว่า มีก้อง กำจาย (ก้อง กาจกำแหง) เขาเป็นคนนครสวรรค์จัดวิทยุ แล้วก็ย้ายไปอยู่กับเพลิน พรหมแดนที่กรุงเทพฯ ต่อมาก็จัดวงดนตรีของตัวเอง ยังพอมีชื่อบ้าง (ร้องเพลง) ก็เป็นสไตล์ตลกๆ เขาก็ออกจากเพลิน ไปเดินสายทั่วไป เราก็มาเปิดวิทยุฟัง วันนี้วงก้อง กำจาย มาเปิดแสดงที่ตำบลนาเฉลียง จังหวัดเพชรบูรณ์ เราฟังเสร็จ ก็เก็บเงิน 40-50 บาท แล้วก็มาเลย นั่งรถจากนครสวรรค์แล้วมาลงที่อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร คือไม่รู้จัก แต่อาศัยมาลงที่ตะพานหิน แล้วจะต่อไปยังไง ข้ามถนนมาลงที่ สามแยกวังชมภู ก็ไปเจอวงดนตรีไวพจน์ เพชรสุพรรณ เขากำลังจะเดินสายที่นั่น เราก็อาศัยแล้วบอกเขาว่า พี่ครับ ขอติดรถไปด้วย เราจะไปหาวงดนตรีก้อง กำจาย วงเขาเล่นอยู่ที่นั่นครับ คนขับรถก็นึกว่าเราเป็นพวกนักดนตรีเหมือนกันไง ก็อาศัยขึ้นมาเลย (หัวเราะ)
พอรถมาส่งถึงที่ คือไปถึงตอนเย็นไง ปรากฏว่าวงดนตรีเขาแสดงรอบบ่ายเล่นไปแล้ว มาถึง เราก็ไปเจอชายธงเข้า ซึ่งตอนนั้นเขาก็เล่นตลกอยู่ที่วง เราก็ถามว่า จำกูได้มั้ย มันก็บอกว่าจำได้ เราก็อาศัยมันอยู่ไป คือยังไม่ได้คุยกับหัวหน้าวงนะ คืออาศัยช่วยเก็บของขึ้นหลังคารถ วันแรกก็ช่วยเก็บ แต่เขาก็ไม่ได้จ่ายเงิน เพราะไม่ได้อยู่สังกัดเขา นึกว่าเรารู้จักกับไอ้ธงธรรมดา วันที่สองก็ไปเล่นอีก ก็ทำแบบนี้เหมือนเดิม ก็กินข้าวออกเงินเอง สมัยก่อนกับข้าวมันไม่แพง จนวันที่สาม ไปเล่นที่อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก เริ่มหมดเงินแล้ว กูจะกินที่ไหนดีวะเนี่ย เล่นโรงหนัง ที่ติดกับวัดไง ก็ไปวัดดีกว่า อาศัยตื่นเช้า เพราะเรากินข้าววัดตั้งแต่เด็กไง กินข้าววัดมื้อเช้า แล้วมื้อกลางวันก็กินอีกมื้อ ได้ 2 มื้อ แต่มื้อเย็นจะกินอะไร เพราะเงินหมดแล้วไง ไอ้ธงก็ถาม มีบุหรี่ดูดป่าว ถ้าไม่มีก็แบ่งให้ตัว เราก็ดูดไป ซึ่งเขาก็ไม่ให้เงินไง เพราะไม่รู้ว่าเรามาไงกันแน่ ไม่ได้คุยกับหัวหน้าเลย นั่งก็นั่งท้ายรถ
แจ้งเกิดเป็น “ตลกคิวทอง”
เมื่อถึงคราวอับตาจนและหมดเงิน หนทางสุดท้ายที่มนุษย์ทุกคนจำต้องพึงกระทำ นั่นคือ ‘ดิ้นรน’ เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
“ทำอย่างงั้นอยู่ 3 วัน เราก็คิด เฮ้ย อย่างงี้กูไม่ไหวแล้วเว้ย ต้องจับไมค์พูดโฆษณาบ้างดีกว่า เพราะตกเย็นมันจะมีเปิดเพลงโฆษณาเรียกคนเข้ามาดูวงดนตรี เราก็ไปนั่งตรงเครื่องขยายเสียง ซึ่งคนพูดของวงก็ยืนพูดอยู่แล้ว ไม่ยอมไปไหนซักที คือทางวงก็มีโฆษกคอยประกาศเรียกคนน่ะ ตอนแรกเราก็ไม่กล้า เพราะไม่รู้จักคนพูด และก็ไม่รู้ว่าจะพูดกับมันยังไง พอมันเปิดเสร็จแล้ว มันก็ไปไหนก็ไม่รู้ เราก็บอกคนเปิดแผ่นว่า เอาแผ่นออก กูขอพูดหน่อย เนียนอีกแล้ว (หัวเราะ) พอได้ไมค์มาปุ๊บ เราก็พูดแบบธง บูลา เหมือนเดิมไง เรียกประกาศเรียกคนให้มาดูการแสดงดนตรี บางจังหวะเราก็แอบพูดก็สอดแทรกมุกตลกอะไรไปตามสไตล์ของเรา”
“แล้วทีนี้หัวหน้าวงกำลังนั่งกินข้าวกับไอ้ธงและก็อีกคนคือ หัวหน้าค่ายมวยศักดิ์เทวัญ อยู่ที่หน้าโรงหนังพอดี เขาได้ยินเราประกาศไง ก็ใช้ไอ้ธงว่า มึงไปดูซิว่าใครพูดวะ พอไอ้ธงเดินมาก็เห็นว่าเป็นเรา มันก็บอกหัวหน้าว่าไอ้คนที่มาจากนครสวรรค์น่ะ เพราะเขายังไม่รู้จักชื่อเราไง เรายังไม่ได้บอกอะไร ไอ้ธงก็มาบอกหัวหน้า หัวหน้าบอก มึงไปเรียกมันมาซิ ไอ้ธงก็บอกเราว่า หัวหน้าเรียกมึงว่ะ เราก็เอาแล้ว งานเข้า (หัวเราะ) เราก็คิดในใจว่า เขาจะไล่หรือทำอะไรกับกูวะเนี่ย”
จากการพูดเรียกคนให้มาชมการแสดงวงดนตรีจนไปสะดุดหูกับทางหัวหน้าคณะในคืนนั้น อาจจะเรียกได้ว่า จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตของดอน เลยก็ว่าได้ ซึ่งเชื่อได้เลยว่า น่าจะเป็นอีกหนึ่งคืนที่ ดอน จะไม่มีทางลืมไปจากความทรงจำอย่างแน่นอน
“พอมาถึง เราก็สวัสดีครับ หัวหน้า เขาก็ถามว่า มึงกินข้าวรึยัง เราก็ ยังไม่ได้กินเลยครับ เขาก็มึงสั่งกินไป และยื่นตังค์ให้เรา 200 บาท ซึ่งถือว่าเยอะนะในสมัยก่อน คืนนั้นเขาให้เราเล่นตลกเลย และก็ถามว่า มึงเล่นตลกได้มั้ย เพราะเราก็มีพื้นฐานตลกอยู่แล้ว คือเราเล่นอยู่ตามวงดนตรีเดินสายมาก่อนไง เราก็บอกได้ครับ หัวหน้าก็บอก เออ เดี๋ยวคืนนี้มึงเล่นกับไอ้ธงนะ เราก็โอเค”
“พอตอนเล่นก็เล่นกับธง เหมือนโชคเข้าข้าง คนฮาเราตลอด พูดหรือแสดงท่าทางอะไรก็ฮา เดินออกมา เล่นเสร็จแล้วก็หมดมุก จบ แล้วก็ปล่อยเพลงเข้าหลังเวที พอออกไปใหม่ ยังไม่ทันพูดอะไร คนมันก็ยังฮา ต่อมา เราก็ไปยืนประกบหัวหน้า หัวหน้าจะพูดอะไร คนก็ยังฮาแต่เราอย่างเดียว เรายังไม่ทันพูดอะไรเลย คนยังตลกกับเรา จนหัวหน้าบอกไอ้ธง เฮ้ย มึงเอาไอ้นี่เข้าไปข้างหลังก่อน คนจ้องแต่ฮาเราคนเดียว (หัวเราะ) เหมือนกับสวรรค์ส่ง ในที่สุด ได้ประจักษ์วงในคืนนั้นเลย จากนั่งหลังรถ กลายเป็นนั่งหน้ารถเลย ขึ้นชั้นแล้ว (หัวเราะอีกครั้ง)”
หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้น นั่นแทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ได้เปลี่ยนสถานะจากเพื่อนของคนในวงคนหนึ่ง ให้กลายเป็น “หนึ่งในสมาชิกของวงดนตรีก้อง กำจาย” อีกคน และนั่นถือว่าเป็นก้าวสำคัญในชีวิตของเขา สำหรับเส้นทางสายนี้ที่เขาเลือกเดิน
“คือเล่นตลกเดินสายไปทั่วก็นานเหมือนกัน จนทางวงจะเข้ากรุงเทพฯ อยู่แล้ว วันหนึ่งหัวหน้าก็ถามว่า มึงจะไปกับกูมั้ย เราก็ ผมอยากไปครับ แล้วมึงรู้จักใครมั่ง ผมไม่รู้จักใครเลย หัวหน้า เออ ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปอยู่กับกู นั่นคือครั้งแรกที่ได้เข้ากรุงเทพฯ และก็มาอยู่กับหัวหน้า พอมาถึงก็ให้เราไปอยู่ห้วยขวาง บวกกับ ไอ้ธงก็เริ่มสร้างครอบครัวแล้ว เขาก็ชวนไปอยู่ นอนห้วยขวางก็ได้ พี่ก้องก็อยู่บุคคโล เราก็ไปสลับไปมา บุคคโลบ้าง ห้วยขวางบ้าง เราก็ไปเล่นงานอะไร เขาก็ให้ตเงิน ทีนี้พองานไม่มีปุ๊บ วงศรีสะอาด ทองศาลา เล่นกับไอ้ธงแล้วเข้าขา ฮาที่สุด เล่นมุกเล่นอะไรก็ฮา สมัยก่อนเล่นกับไอ้ธงมันเข้ากันไง เล่นมุกจีบผู้หญิง เล่นฮากัน กลายเป็นแบบว่า ศรีสะอาด ทองศาลา หรือ คณะดาวน้อย ดวงใหญ่ ก็เอาเราไปเล่นในวง ไปรับเชิญอะไรมั่ง พอพี่ก้องไม่มีงานปุ๊บ เราก็ไปกับวง รับเชิญ ได้ครั้งละ 200 บาท เราก็คิดในใจว่า กูรวยแล้วเว้ย เพราะ ตอนเราทำงานที่บ้านนอก เราจะได้วันละ 8-10 บาทเอง”
“พอมาถึงช่วงนี้เราก็เดินสายเล่นตลกกับวงดนตรีลูกทุ่งอย่างต่อเนื่องเลย คือเล่นไปเล่นมา จนขวัญจิต ศรีประจันต์ ขอเอาไปอยู่วงด้วย ตอนนั้นขวัญจิตกำลังดังจากเพลง กับข้าวเพชฌฆาต จากนั้น จีรพันธ์ วีระพงษ์ ที่กำลังดังจากเพลง คุณนายใจบุญ ก็เริ่มดังอีก ก็ต้องการเรากับไอ้ธงอีก เพราะทั้งสองคนก็รู้จักกันไง ไอ้ธงก็บอก เฮ้ย เดี๋ยวกูเข้ากรุงเทพฯ ก่อน ไปรอมึงที่โน่นก่อน ก็ออกมาอยู่กับจีรพันธ์ ซึ่งมาเจอกับเด๋อ (ดอกสะเดา) และพี่เหี่ยว (เหี่ยวฟ้า) ก็มาเล่นกับวงนี้ด้วยกัน และก็วงศรชัย เมฆวิเชียร กับ พรไพร เพชรดำเนิน ตามลำดับ”
“จนมาเข้า ศรชัย เมฆวิเชียร เวลาต่อมา โดนซื้อวงเลยซื้อจาก ครูฉลอง ภู่สว่าง (ผู้แต่งคำร้องเพลงปูไก่ไข่หลง) พอเขามาซื้อวงปุ๊บ ตลกเก่าก็ต้องไล่ออกหมด เพราะเค้ามีตลกใหม่เข้ามา ตลกใหม่ก็ เพชร โพธิ์ทอง ที่พูดเสียงสมัครพูดกับเด๋อสมัยก่อนเนี่ย และก็ ป้อง ปัตตานี (ดี๋ ดอกมะดัน) กับ ลูกอ๊อด (ดู๋ ดอกกระโดน) 3 คนนี้ เล่นกันในนาม ตลก 36 ฮา เขาก็ซื้อ 3 คนนี้มาอยู่วงดนตรีศรชัย ตลกศรชัยก็โละทิ้งหมดเลย แต่ทีนี้ก็บอกว่า จะคัดคนไว้ซักคนนึง จะเอาใครไว้ และมอบเป็นหน้าที่ของเพชร โพธิ์ทอง ปรากฎว่าเขาก็มาเลือกเราไว้ และก็มารวมทีมกัน จนกระทั่ง เด๋อก็มาดังจาก คณะเด่นเด๋อเทพ จากหนังเรื่อง เทพบุตรต๊ะติ๊งโหน่ง เขาก็ไปเล่นที่ห้องอาหาร ซึ่งสมัยก่อนก็มีไม่มาก เล่นแค่เสาร์-อาทิตย์ เพราะหนังเรื่องดังกล่าวดัง ทีนี้เราก็ยังเล่นอยู่ที่วงศรชัย คือเราก็รู้จักพรรคพวกนี้แล้ว พี่เพชรก็รู้จักเทพ รู้จักกันมาก่อน เพียงแต่ไม่สนิทกับพี่เด่นแค่นั้นเอง รู้จักกันหมด ตอนหลังๆ เค้ามีห้องอาหาร แล้วเด่นเด๋อเทพ ส่วนมากจะไปเล่นต่างจังหวัด แล้วห้องอาหารจะไม่มีคนแทน เราก็ปรึกษากัน 4 คน ไปตั้งคณะ 4 สลึงกัน และก็ออกจากวงศรชัย”
หลังจากที่ลาออกจากวงดนตรี ศรชัย เมฆวิเชียร แล้ว ชีวิตทางการแสดงของดอน ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง หากเปรียบเป็นภาษาฟุตบอล ก็อาจจะเรียกได้ว่า เป็นจุดพีคของอาชีพเลยก็ว่าได้ ประกอบกับ เป็นช่วงรอยต่อจากเดินสายวงดนตรีลูกทุ่ง มาเป็นเล่นตามสถานที่จำกัด อย่าง ร้านอาหาร และ คาเฟ่ นั่นยิ่งทำให้ อาชีพทางการแสดงของเขามีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น...
“ช่วงเวลานั้น เด่นเด๋อเทพ เขาไปเล่นที่เชียงใหม่ งานในกรุงเทพมันไม่มีคนแทน วันไหนไม่ว่าง หรือ ไม่อยู่ เพราะเรารู้จักกับเด๋อและเทพ เราก็ได้งานแทนหมด เรียกว่าสลับกันเล่น เล่นไปเล่นมาจน คณะ 4 สลึง และเด่นเด๋อเทพแตกกัน เทพออกไป พอเทพออกไปปุ๊บ พี่เด่น (ดอกประดู่) ก็มาเจอ ดู๋กับดี๋ เข้าตาเขา ก็ชวน 2 คนนี้ไปอยู่ ตั้งเป็น เด่นเด๋อดู๋ดี๋ ทีนี้ก็เหลือเรากับเพชร โพธิ์ทอง ก็เอาแล้ว เคว้งคว้างแล้ว วงกำลังมาดีๆ มีรายการทีวีจะมาดีๆ ก็มาโดนดึงไปแล้ว แต่มันก็บอกว่า ถ้ากูดัง อาจจะมีโอกาสกลับมาดึงตัวไป เราก็รอความหวัง แล้วก็เล่น 4 สลึงของเราไปก่อน แทนงานจากมัน แล้วเราก็ไปเอาพี่เหี่ยวฟ้ามาร่วมด้วย ทีนี้เราอยู่วงเวียนใหญ่ เราก็ไปหาถึงนู่น ซ้อมมุก แล้วพอตอนเย็นก็กลับ นั่งรถมาที่นี่ แล้วมาเจอ โน้ต (เชิญยิ้ม) ตอนนั้นโน้ตกำลังเล่นลิเกของบรรหาร ศิษย์หอมหวล ที่ตลาดพลู เราก็ชวนว่าไปเล่นตลกกันกับโน้ต จนต่อมาเขานึกไงไม่รู้ พี่ผมเล่นด้วย ก็นัดกันมา ก็ฮาดี สมัยก่อนมันจะนั่งเป็นลิเกแล้วมันจะนั่งไขว่ห้าง ใส่ถุงเท้าคาร์สัน เมื่อก่อนมันดัง เล่นฮาดี ทำไปทำมา ก็อยู่ด้วยกันเลย"
“คณะ 4 สลึง ทำท่าจะดี พี่เพชรก็ชวนไอ้โน้ตไปอยู่ วงดนตรี สายัณห์ ครรชิต ซึ่งเป็นวงดนตรีดารา เขาก็เอาไอ้โน้ตและพี่เพชรไป ทีนี้เราก็ไปมั่ง คือไปอยู่ แต่ค่าตัวไม่ได้เท่าเค้าอ่ะ ก็กลับมาทำสี่สลึง ดึงพี่เหี่ยว และก็ปั้นตัวใหม่มาเล่น ก็พอไปได้ ซักพัก เด่น ดอกประดู่ก็ตั้งวงดนตรี เด่นเด๋อดู๋ดี๋ ก็เดินสาย เราก็ไปอยู่ด้วย เป็นตลกหน้าม่าน ออกมาเล่น 2 คน เล่นกับพี่เพชรก่อน หลังๆ พี่เพชรก็ออกจากพี่เด่น ออกมาจากสายัณห์ครรชิต ก็ออกมาด้วยกัน ออกไป”
“ตอนนี้ ทำไปทำมา งานพี่เด่นเขาหยุด 2-3 วัน เราก็มาหาเด๋อดู๋ดี๋ เพราะเขาก็เล่นคาเฟ่กัน เราก็ไปนั่งดูหน่อยซิวะ ว่ามันเป็นไง พอไปกับมัน มันให้ขึ้นเวทีไง ก็ปรากฎว่า ฮาแบบเดียวกับตอนพี่ก้องน่ะ เล่นอะไรกัน 2 คนกับไอ้เด๋อ ก็ฮา เล่นอะไรก็ฮา จนดู๋บอกมาอยู่ด้วยกันมั้ย เราก็ กูก็อยากมา มันชวนมา เราก็ดีใจแล้ว คือเราจะได้ไม่ต้องเดินสายไง พอดีลูกชายกำลังจะเกิดพอดี เราก็ออก เลยมาอยู่กับ เด๋อดู๋ดี๋ เข้ามาเล่นกับมัน เข้ามาเล่นใหม่ๆ ไปอัดเทปตลก เด๋อดู๋ดี๋ดอนแดง ปรากฏว่า ดังกระหึ่มเลย ไปป้ายรถเมล์ที่ไหน ก็เปิดเทปชุดนี้กระหึ่มเลย ก็เลยติดเรื่อยๆ มา”
เรียกได้ว่า งานคาเฟ่ เล่นเกือบทุกวันเลย
ทุกวัน ทั้งคาเฟ่ ทั้งหนัง ทั้งอะไร ไปเล่น เชียงใหม่ หาดใหญ่ ภาคอีสาน นั่งเครื่องบินทั้งนั้น สมัยก่อนเล่นตามต่างจังหวัด แค่รับเชิญ ก็มีแต่ค่าตัวดีๆ ทั้งนั้น แต่เล่นไม่เท่าไหร่ประมาณปีนึง ดี๋ก็มาชวนออก ไปตั้งคณะใหม่ ค่าตัวมันจะได้เท่ากัน ที่จริงอยู่กับเด๋อ มันก็เอาค่าตัวไม่เท่าไหร่นะ ไม่กี่ร้อย แต่เราแบบ ดี๋มาชวน ออกมาเป็นดี๋ดอน เล่นไปเล่นมา ดี๋ก็ไปเอาไวพจน์ เพชรสุพรรณ มาแหล่ เล่นตลกด้วยกัน แต่พอเล่นไปเล่นมา ไวพจน์เขาก็แหล่หน้าเวทีได้เงินดีอะไรดี นายห้างเทปมาเห็น เออยังร้องเพลงได้ดีอยู่ ก็เอาไปร้องเพลงอย่างเก่า แล้วก็เอาสีเทามาเล่น และก็เอา จุ๋มจิ๋มมา เลยเปลี่ยนชื่อคณะเป็น ซุปเปอร์โจ๊ก
การตั้งคณะซุปเปอร์โจ๊ก ถือว่าเป็นจุดสูงสุดในการเล่นตลกของคุณ
ใช่ๆ คิดว่าดีแล้ว งานดีเหลือเกิน คณะนี้มาแรงเหมือนกัน ตอนจุ๋มจิ๋ม (เข็มเล็ก) อยู่ ประมาณเทียบเท่ากับเชิญยิ้มเลย ทีนี้มีหลานเป็นนักมวย ชื่อลูกแมน ซุปเปอร์โจ๊ก เอาไปต่อยที่นั่นที่นี่มั่ง ตามรังสิต สำโรง เพราะนักมวยมันยังเด็ก ยังเข้าเวทีใหญ่ไม่ได้ มวยมัน 30 กว่าโล พอทีนี้ไปรับงานนอกเยอะ ก็ไปหัวค่ำ ดูหลานที่เป็นนักมวย ทีนี้เราไปงานมันช้าหน่อยไง ไปถึงงานมันช้าหน่อย เราก็เอ๊ะ สงสัยเป็นตัวถ่วงของวงแล้วมั้ง เราก็ตัดสินใจลาออก กูจะตั้งเอง เพราะไปเล่นซุเปอร์โจ๊กตอนหลังๆ พอมันเล่นไปประมาณ 10 กว่านาที พอมันเห็นเรามันลง เราไม่ได้ค่าตัวแล้ว ค่าตัวรับเท่าไหร่เราไม่รู้เรื่องแล้ว มันก็ไม่ได้แบ่งให้เรา ตอนนั้น เราก็น้อยใจเหมือนกัน ก็ลาออกดีกว่า ตั้งเป็นซุปเปอร์ดอน หลานที่เป็นนักมวยก็เปลี่ยนเป็นซุปเปอร์ดอน ก็เอาพี่เหี่ยวฟ้ามาเล่น เล่นไปเล่นมาก็ดี มีเหี่ยวดอนก็เล่นเข้ากันมาก พี่เหี่ยวคือตัวที่เราอำแล้วคนขำ อยู่กันไปอยู่กันมา พอตอนดีๆ ดังๆ มันมีกรณีที่ไปเล่นอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี พี่เหี่ยว เค้าฟังว่าเป็นอ่างทอง (หัวเราะ) คือมันเป็นคนละที่เลย ทีนี้เค้าก็มานั่งกลับ รอเราที่วิลล่า คาเฟ่ เพราะเราต้องมาเล่นที่วิลล่าต่อ เสร็จปุ๊บ เราก็มาแบ่งกับเขาอ่ะ พี่เหี่ยวบอก ไอ้ห่า กูก็ไปแล้วนี่หว่า พี่เหี่ยวไปไหน กูไปอ่างทอง (หัวเราะเบาๆ) แต่ที่สุดเขาก็มาขอแยก แต่ที่สุดเขาก็มาเอาเราหมดอีกมาได้งานจากที่เราเล่นอยู่ เจ้าของก็มาเอาเราหมด เพราะตอนนั้นเรามีค่ายมวยซุเปอร์ดอนด้วยไง มาตอนหลังๆ เราก็เอาตลกคณะนู้นมา รวมกันไปมา แล้วเอาน้องทราย (คุณแม่ขอร้อง) มาเล่นด้วย ก็เริ่มติด กว่าจะดังก็เหนื่อยเหมือนกัน
กำลังเล่นตลกอยู่ดีๆ ทำไมถึงทำค่ายมวย ‘ซุปเปอร์ดอน’ ด้วยครับ
มันมีหลานต่อยด้วยไง ลูกแมน ซุเปอร์ดอน ต่อยดี คือเราไม่ได้เอาค่าตัวมันไง คือถ้าไปอยู่ค่าย เขาจะแบ่ง มันได้ 40 เจ้าของจะได้ 60 แต่อยู่กับเรา มันได้เต็มๆ เหมือนกับอาศัยชื่อเราเป็นซุปเปอร์ดอนไง ตอนนั้นก็บ้ามวยอีก ทำอยู่นานเหมือนกัน ปั้นนักมวยเป็นสิบๆ ตัว เป็นชิงแชมป์มวยไทย ตอนหลังก็เลิก คือคนอื่นเขามาทำร้านอาหาร แต่เราทำค่ายมวย เราก็มาคิดอีกทีว่าคิดผิด คิดสนุกไป แต่ก็ถือว่าสร้างปรากฎการณ์ให้กับวงการมวย ไปเสนออะไรให้ง่าย เสนอปุ๊บ เค้าก็จัดต่อยให้ มันทำได้ง่าย มันก็มีกะใจที่จะทำต่อ สามารถเลี้ยงเด็กในค่าย ก็ไม่ได้หักอะไรมัน แต่เสียค่าใช้จ่ายเยอะ ต่อยจนเรามีติดปลายนวม ได้มาก็กินกัน เสียมาก็เสียเรา ทำค่ายมา 10 ปี เหมือนกัน
ตอนนั้นเล่นคาเฟ่อยู่นาน จนเริ่มซาลง
เล่นจนซา มาซามากๆ ก็ตอนที่น้องทรายออก พอออกไปตั้งคณะมาได้ไม่ถึงปี เขาก็เสีย แล้วประกอบกับงานน้อยแล้ว งานไม่ค่อยมีแล้ว คาเฟ่ทยอยปิด พระราม 9 ก็ปิด ทีนี้ก็เหลือหมูกะทะ แต่หมูกะทะ 4 ทุ่มก็ปิดแล้ว เล่นก็เล่นเฉพาะ 2 ทุ่ม แล้วเวลามันก็ตรงกันทุกที่น่ะ มันจะไปกันยังไง อยู่ไกลกันเงี้ย อย่างเล่นอยู่ฝั่งธน ตีมาพระโขนง เล่นสองทุ่ม ที่ต่อมาก็ถึงตอน 3 ทุ่มกว่า มันก็จะปิดร้านแล้วอ่ะ หมูกะทะไม่เกิน 4 ทุ่ม คนก็เริ่มออกหมดแล้ว ทำไปทำมา ก็มาเล่นละครบ้างอะไรบ้าง พอได้มั่ง เพราะตอนที่มีไม่เก็บไง ซึ่งใครจะไปคิดว่า มันละฮวบฮาบขนาดนั้น ประกอบกับหมดไปกับธุรกิจด้วย คือชะล่าใจอีกครั้งว่า วงการตลกจะไม่ซบเซาอ่ะ อยู่ๆ ไป ช่วงทักษิณ (ชินวัตร) มาเป็นนายกฯ เพราะเขาจัดโซนนิ่งไง ทำให้คนไม่ออกมา ตอนแรกก็ดีใจกัน เล่นเป็นสัดส่วน แต่หารู้ไม่ มันนิ่งจริงๆ แล้วยิ่งมาตรวจแอลกอฮอล์ด้วย เป่าด้วย แล้วคาเฟ่ไหนใกล้จะปิดมันก็ตั้งด่าน เอาแล้ว เตรียมเป่าแล้ว ออกกฎหมายมา คาเฟ่ก็เตรียมเจ๊งแล้ว แล้วใครจะนั่งแท็กซี่ไปกินน่ะ ทุกคนเค้ามีรถกัน ที่ไปก็ไม่ได้ไปกินเหล้าเบียร์ เมานิดหน่อย ก็หวังเด็ก แล้วจะเอาเด็กนั่งแท็กซี่มาเหรอ มันก็ไม่ได้ ตอนหลังๆ คนก็หยุดเที่ยวไปโดยปริยาย โดนเป่าด้วย
พอเหตุการณ์มาเป็นแบบนี้แล้ว คุณรู้สึกยังไง
มันก็รู้สึกว่า มันไม่ดีขึ้น รอจังหวะ มันก็ไม่มีซักที ไม่มีขึ้น มีแต่ลงๆ พระราม 9 ปิด ที่นั่นปิด ไปหมด วิลล่าปิด พระราม 9 ปิด มันก็ไปแล้ว 2ที่มันก็เป็นตลกทำมาหากิน พระราม 9 ดัง วิลล่า ดัง คนเยอะๆ ไปดูคนเยอะๆ ปุ๊บ ที่อื่นก็อยากเปิดเค้าก็เอาตลกไปเล่น จนมาจับโซนนิ่งมันเหลือแค่ตี 1 แล้วใครจะมาอยู่ คนกินยังไม่ทันเมาเลย หมดเวลาแล้ว เปิดไปแล้ว ต่างกับสมัยยุคเฟื่องฟู เช้า พระบิณฑบาตรกันยังไม่เลิกเลย (หัวเราะ) เล่นจนไม่อยากรับงานน่ะ มันก็แค่นี้ จนผลที่สุด เราก็มาเจอกับโรคภัยไข้เจ็บ
บุญกุศลคือหลักชัย
ทำดีไว้ไม่ไร้ค่า
หลังจากที่เจอวิกฤตการณ์โซนนิ่ง ของรัฐบาลในสมัยนั้น ย่อมทั้งให้งานทางการแสดงของดอน เริ่มห่างหายไป แต่ก็ยังมีบ้างที่ยังรับงานแสดงทั้งทางจอแก้วและทางจอเงิน ซึ่งในทางชื่อเสียงอาจจะไม่เฟื่องฟูเหมือนกับยุครุ่งเรือง และทำงานตามปกติ จนกระทั่ง เมื่อช่วงปี 2553 ดอนก็กลับมามีข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อีกครั้ง แต่ข่าวนี้กล่าวว่า ดอนกำลังเป็นโรคมะเร็งขั้นที่สี่...
“ตอนนั้นร่างกายเรายังดีอยู่ไง คือเราคิดว่าเรายังพอไปไหว เวลาเจ็บป่วยบางที กินยานิดๆ หน่อยมันก็หายแล้ว เราก็ไม่ได้ไปตรวจอะไรเลย จนมันมาถ่ายละครเรื่องปลาบู่ทอง ระหว่างตอนถ่ายใกล้จะปิดกล้อง มีอาการตัวเหลืองมาก คือน้ำหนักจะลดตลอดๆ ก็รู้สึกว่าเวลาเรานั่ง มันจะปวดไปทั้งแถบขวา เราก็ทนเอา จนละครปิดกล้อง ที่นี้กลับมานอน ก็นอนไม่ลงแล้ว มันแน่นหมดเลย เลยต้องอาศัยนั่งหลับเอา นอนไม่ได้ ก็จนแบบว่า เป็นอะไรกันแน่ อาการแบบนี้เราไม่เคยเจอ เราก็ตัดสินใจไปโรงพยาบาลของรัฐบาล ครั้งแรกก็ให้ยามากินแบบ แก้เคล็ดขลัดยอก ท้องอืดท้องเฟ้อ ยาคลายกล้ามเนื้อ มันก็ไม่ดีขึ้น ทีนี้หลานมาเจอเรา เขาก็ให้ไปตรวจ ตอนนั้นก็หนักใจหน่อยตรงที่ ถ้าไปตรวจแล้วเจอ แล้วเราไม่มีเงินจะทำยังไง ระหว่างงานที่ตกมาเยอะแล้วไง ตลกมันไม่ค่อยมีงาน ทำให้เราเก็บไว้ไม่ค่อยมีกำลังหลัก หลานก็บอกไม่เป็นไร เดี๋ยวจัดการให้ ก็เลยไปตรวจที่โรงบาลไทยนครินทร์ ทีนี้หมอก็คุยกับญาติแล้วว่าเราเป็นมะเร็ง แต่หมอก็ไม่กล้าบอกเราว่าเป็น แต่คือว่ามาบอกเราว่าเป็นตับโต เราก็ถามว่า มีวิธีต้องทำยังไง กินยาจะได้มั้ย หมอก็บอกว่า กินยาก็ไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าผ่าก็จะดีขึ้นมา แต่ตอนนั้นเราก็ไม่มั่นใจ เพราะว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชนเหมือนกัน เราก็ตัดสินใจไปโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ที่นั่นอาจารย์หมอเยอะ ไปให้เขาตรวจดูอีกที”
“เราก็รอฟังผลประมาณ 2 อาทิตย์ ก็เข้าไปฟังผล หมอก็บอกกับหลานว่า ให้เราไปผ่าตัดที่เก่าน่ะดีแล้ว เพราะที่นี่ก็คิวเยอะ ถ้าผ่าตัดมันก็ไม่ทันกาล แต่ถ้าเป็นเอกชน มันจะสะดวกสบาย เราก็เลยกลับมาเล่าให้หมอที่ไทยนครินทร์ฟัง ก็บอกว่า ผมก็ไม่มีเงิน จะผ่าตัด ใช้เงินเยอะ ก็ลำบากหน่อย งานการก็น้อย ก็ไม่ค่อยมีเงิน หมอก็คิดสงสาร เพราะเราเป็นคนของประชาชน ก็บอกเราว่า ไมเป็นไร เดี๋ยวผมจัดการให้ เราก็สบายใจแล้ว เพราะหมอก็รับปากเรียบร้อย ก็นัดไปผ่าตัด พอนัดไปผ่าเสร็จ ไปนอน เขาก็เอาผลมาให้เราดู ก้อนใหญ่เลย เราก็ไม่กล้าไปดู พักฟื้นได้ 3 วัน หมอก็มาถามว่า คุณดอนรู้รึยังว่าเป็นอะไร เราก็บอกว่า หมอบอกว่าเป็นโรคตับโตนี่ หมอก็บอกว่า จริงๆ คุณดอนไม่ใช่เป็นโรคตับโตหรอก เป็นมะเร็ง คือถ้าไม่ผ่าตัด อยู่ไม่เกินหกเดือน”
“เราก็ถามหมอกลับว่า ผมไม่กินเหล้าแล้วมันเป็นได้ยังไง หมอบอกว่า มันมีสิทธิ์เป็นได้ เพราะคุณดอนไม่ได้กินอาหารแบบ กินร้อนช้อนกลาง คือตอนเราเล่นตลก จะไปแบบกับเพื่อนฝูงที่นู่นที่นี่ คือสมัยก่อนมันไม่มีกินร้อนช้อนกลาง เราก็ไม่ได้นึกถึงข้อนี้ เพราะไม่มีใครรู้ คือไปเล่นต่างจังหวัด เขาก็จะหาว่า มึงนี้สำอางเกินไป เข้าเพื่อนเข้าฝูงไม่ได้เลยนะ ทีนี้กินรวมเข้าไปก็เกิดแจ็คพอตไง คนที่เป็นไวรัสตับอักเสบปีมันก็ติดเข้ามา พอติดมาแล้วเราก็ไม่ดูแลรักษาตัวไง คือถ้าตอนนั้นเป็นใหม่ๆ ไปให้หมอตรวจดูกินยาก็อาจจะหายกะทันหัน เหมือนกับที่หลานชายเป็น พอไปตรวจดูปุ๊บ กินยาแล้วก็หาย รักษาทัน คือเป็นแค่ไวรัสตับอักเสบบีไง สะดวกสบาย ไม่ต้องมาถึงขั้นแบบเรา คือมันไม่กลายไง แต่ของเรามันปล่อยให้กลายเป็นมะเร็ง”
พอร่างกายโอเคแล้ว การดูแลร่างกายของเราเป็นยังไง
ปกติ อยากจะกินอะไรก็กิน แต่จะไม่กินพวกของหมักของดอง เหล้าเราไม่กินอยู่แล้ว บุหรี่นี่เลิกเลย จากเมื่อก่อนเราบุหรี่ดูดวันละ 2 ซองกว่า หมดเช็คแล้วว่าปอดไม่เป็นไร แค่สึกหรอประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ โดยรวมก็คือไม่แตกต่างจากตอนป่วยมากนัก ก็เหมือนคนทั่วไป เรากินได้ แต่ว่า ไก่หมูเราก็กิน แต่ว่ากินน้ำมัน อาศัยน้ำมัน พวกเนื้อไม่กินแล้ว แบบ ไก่ใส่มะเขือ เราก็กินมะเขือกับน้ำไก่ พอเคี้ยวๆ เราก็ขายทิ้งไป แก้อยาก ไม่ได้กลืนลงคอ พวกนี้จะย่อยยาก แต่ถ้าปลาจะกินเป็นหลัก
หลังจากหายป่วย ก็มาจับธุรกิจ “ปลาร้าสับทรงเครื่อง”
หลังจากผ่าตัด เราก็รู้สึกว่า ยังไม่ตายนี่ ก็ไม่เป็นอะไรมั้ง เพราะยังไปไหนมาไหนได้ คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ เลยคิดว่าเรายังอยู่แน่นอน หาเงินใช้หนี้ใช้สินเค้าไป หาเงินได้ก็คิดว่าโชคดี และก็เลยมาจับปลาร้าสับทรงเครื่องขาย ก็ค่อยยังชั่วหน่อย ก็พอได้ เป็นที่ทำมาหากินของเรา พอเลี้ยงชีพ พอได้ค่าค่ายา ได้ค่ารักษาพยาบาลได้บ้าง โดยที่ไม่ต้องไปรบกวนใคร คือเราตั้งใจจะทำตั้งนานอยู่แล้ว กินแล้วมันอร่อย เราชอบปลาร้า คือตัวนี้อร่อยมากเลย คนเขาก็เชียร์ว่า ลองทำสิ เราก็เอา ตอนไปถ่ายละครกับเด่อ เด๋อบอกว่า ดีมากเลย ปลาร้าอร่อยว่ะ เดี๋ยวไปขายคู่กู คือจะทำแต่มาป่วยซะก่อน พอหายป่วย ก็จับตัวนี้มาทำเลย ทำมา 4 ปี ธุรกิจนี้ถือว่าอยู่ได้ เพราะว่าคนเขากินอร่อยไง ทำให้เรามีขายได้เรื่อยๆ คือของอะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่อร่อยอย่างเดียว ก็ไปไม่รอดและ กินแล้วไม่ถูกปากก็จบ ถ้า 100 เปอร์เซ็นต์ ขอแค่ 80 ก็พอแล้ว ก็ให้พออยู่ได้
จากตลอดชีวิตที่ผ่านมา คิดว่าเราได้ประสบการณ์อะไรบ้าง
ได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่ แรกๆ ใครมันจะไปคิดว่า มีคนรู้จักเราได้ขนาดนี้ จากลำบากลำบน ทุกสิ่งทุกอย่าง เรียกว่าศูนย์น่ะ ศูนย์จนมาบวก บวกแล้วก็มาศูนย์ใหม่ (หัวเราะเบาๆ) พอมาป่วยก็กลับมาศูนย์ใหม่ ชีวิตไม่ติดลบ เพราะเราไม่มีต้นทุนอยู่แล้วไง ก็กลายเป็นคนไม่ติดลบไง ถ้ามีทุนก็โอเค ใช่ติดลบแน่ ทุนเรามาจากศูนย์ จนมามีคนรู้จักไปทั้งประเทศก็ถือว่ากำไรเยอะ ก็ถือว่าประสบกาณณ์ไปทุกสถานที่ ผ่านดีร้ายเลว ผ่านมาทุกอย่าง ผ่านมาหมด ได้เห็นอะไรทุกสิ่งอย่าง ประสบการณ์เยอะ ก็ถือว่าโชคดีแล้ว ทุกจังหวัดของประเทศไทย ทุกตำบล ไม่ได้ไปตรงตามหมู่บ้านแค่นั้นเอง นอกจากนั้นไปหมด เป็นกำไร
ตอนนี้ก็สร้างหาทุนใหม่ ก็มาได้ทุนจากปลาร้าสับทรงเครื่อง ก็อยู่กินได้ ไม่มีงานก็มาขายของ ถือว่าชื่อของเรา ไม่ตายไปทีเดียว คือถ้าเรามีแต่ชื่อ แล้วไม่ทำอะไร คนมันก็ลืม พอเรามีชื่อติดมามั่ง สินค้าติดมามั่ง สินค้าออกมาปุ๊บ เออไอ้ดอนนี่หว่า แล้วเรามาป่วยด้วยอะไรด้วย ก็เป็นความกรุณาของคนอีก ตายแล้วเกิดใหม่ ถือว่าตายไปแล้วก็เกิดใหม่อีก ฉะนั้น ไม่ต้องไปท้อแท้มัน มันท้อมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ทำทุกอย่าง จนมาถึงจากข้างล่างมาข้างบนได้ ถือว่ากำลังยังไปได้ โชคดี ตายก็ไม่เป็นไรแล้ว ไม่สูญเปล่าแล้ว ยังมีบุญกุศลติดตัวไว้ด้วย ก็ช่วยไว้ ทำบุญทุกปีก็ได้จากวงการมวยบ้าง พวกที่รู้จักมักจี่ ทอดกฐินผ้าป่า เค้าก็ร่วมด้วยช่วยกันทั้งนั้น ทำด้วยความจริงใจ ก็จะได้ความจริงใจ ผลที่สุด เราเจ็บไข้ได้ป่วย จะตาย เจ้ากรรมนายเวรเห็นเราทำดี กูยังเอามึงไปไม่ได้ ก็อยู่ต่อไป (หัวเราะ)
จากชีวิตเราที่เป็นศูนย์ มาตลอด คิดว่าได้ให้อะไรกับเราบ้าง ในแง่การสู้ชีวิต
การสู้ชีวิตของเรา เราทำแบบว่า เราคิดว่าเราได้ตลอด เลยไม่มีการที่จะเก็บ ไม่มีการที่จะหยุดยั้งเอาไว้ ได้มาก็ปล่อยไปเรื่อยๆ มันเข้าออกอย่างนี้ตลอด เราไม่มีกักมันไว้ ใจล้วนๆ ซึ่งก็ทำให้ผิดพลาด ผิดพลาดเพราะ เหมือนคนทำงาน กำไรดี ค้าขายอะไรก็แล้วแต่ แล้วมันฟุ่มเฟือย คนที่ประหยัด ก็รวยไปใหญ่ คนที่ไม่ประหยัด ก็ฟุ่มเฟือยไป ถ่ายไปๆ สุดท้ายก็เจ๊ง มันเป็นบทเรียนให้เรา ฉะนั้น จะทำอะไรควรจะระวังหน้าหลัง ระวังบ้าง อย่าไปหลวมตัวว่า กูต้องได้ตลอด ดวงเรามีขึ้นมีตก มีดีมีเลว ไม่ใช่ดีตลอด คนเราจะมาชอบทุกคนไม่ได้ มันก็มีคนเกลียด ขนาดพระดีๆ ยังมีคนว่าเลย ให้มองในแง่จริง มันเป็นปกติของคน ซึ่งปกติทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ผลที่สุด มันจะไปรวมที่เดียว คือการตาย ไม่รอด คนไหนรอด ลองคุยซิว่า จะรอดได้กี่ปี ร่างกายใจสู้ แต่ไม่ไหวก็นอนอยู่อย่างงั้น เราเป็นแค่มะเร็ง เราไม่ตาย แต่เรายังไปได้ ยังมีชีวิตอยู่ ยังทำงานได้ ถือว่าเรายังดีกว่าเขา
ทุกคนต้องมีอันเป็นไปทั้งนั้นแหละ เพียงจะไปแบบไหน จะไปยังไงแล้วแต่การกระทำ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซักวันนึงก็ต้องเจอ ทำดีมันก็ติดตัวเราไปตลอด ทำความดี ใครก็มาปล้นจี้จากเราไม่ได้ มันติดตัวเรา แต่ถ้ามันมาปล้นจี้เรา ก็โอเค เอาไปได้ (หัวเราะ) ใช้ชีวิตทุกนาทีให้คุ้มค่าที่สุด อย่าไปหลง ฟุ่มเฟือย คิดอะไรให้มากมาย คิดให้มันพอประมาณ เอาบุญกุศลเป็นหลัก ซักวันหนึ่งเราต้องตาย ตายแล้วก็ยังมีชาติหน้าอีกนะ ไม่ใช่มีชาติเดียว จะเกิดเป็นคนหรือสัตว์แค่นั้นเอง เกิดเป็นคนนี่โชคดีที่สุด แต่คนก็ยังเป็นคนนั่นแหละ มันหลายชนิด คนดี คนเลว คนชั่ว คนกุศล กับ คนอกุศล ระหว่างคนดีกับคนชั่ว มี 2 อย่าง ที่มันจะติดเราไป ถ้าทำชั่วก็ติดเราไป ทำดีก็ติดเราไป มีอยู่แค่นี้แหละ ไม่มีใครอยู่ได้ยาว ชีวิตบั้นปลายมันก็รวมกันหมด ฉะนั้นเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันไป ฉะนั้น สร้างกุศลผลบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน สร้างกุศลผลบุญร่วมกัน ก็เราจะไม่มีกรรมต่อกัน ให้อภัยซึ่งกันและกัน ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ความดี อยู่แบบว่า มึงไม่ดี กูดี ที่จริงมึงก็ไม่ดี แต่มึงอวดตัวว่าดี คนมันหลงตัวเยอะ ดีหรือไม่ดีมันอยู่ที่ตัวเรา ตัวเราจะรู้ว่าดีหรือไม่ดี เหมือนกับทำอะไรก็แล้วแต่ ทำบุญใส่ซอง เราเป็นเจ้าภาพ เป็นผู้ดำเนินงานหรืออะไร เค้าเห็นเราว่าน่านับถือนะ เค้าก็ช่วยมาเป็นกุศล เราจะแกะซองเท่าไหร่ก็ได้ เราได้เป็นหมื่นเป็นแสน เค้าได้มาแล้วจะเอาเท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีใครรู้ แต่เราจะรู้เอง พอรู้ปุ๊บ ถือว่าเราไม่สบายใจแล้ว คนอื่นไม่รู้ แต่เรารู้ ยิ่งกว่าคนอื่นรู้นะ ก็จะไม่สบายใจกับสิ่งที่เราทำไป ฉะนั้น ทำดีดีกว่า
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร
หลังจากเงียบหายไปจากแวดวงนานพอควร เมื่อเร็วๆ นี้ มีข่าวว่า ดอน จมูกบาน หายป่วยจากโรคมะเร็ง และนั่นก็ทำให้ชื่อของเขากลับมายืนเด่นหราบนหน้าสื่ออีกครั้ง
วงการตลกอาจซบเซา อย่างที่เขาว่า
ตลกหลายคนต้องไปทำน้ำพริกน้ำปลาขาย อย่างที่ใครเขาเห็น
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรือง สมควรถูกลืมเลือน
กว่า 40 ปีในวงการบันเทิง ดอน จมูกบาน ผ่านมาหมดแล้วทั้งจุดสูงสุดและต่ำสุดในหลากหลายช่วงเวลาของชีวิต แม้วันนี้ต้องเผชิญกับโรคร้าย แม้วันนี้ อะไรต่อมิอะไรอาจไม่รุ่งโรจน์เหมือนดังเก่า แต่เมื่อมองย้อนกลับไปสู่เส้นทางที่ผ่านมา ดาราตลกบอกแก่เราคล้ายๆ ว่า มันคุ้มค่ายิ่งกว่าคุ้ม...
จากลูกชาวนา สู่ “โฆษกวงดนตรี”
ไม่ต่างไปจากนักแสดงตลกหลายต่อหลายคนที่ชีวิตก่อนเปิดม่านการแสดง ซึ่งด้วยสภาวะของครอบครัวที่ยึดอาชีพเกษตรกร ทำให้ เด็กชายเล็ก ในวัยเยาว์ จำต้องใช้ชีวิตช่วยทางบ้านทำงานเกี่ยวข้าวและรับจ้าง เพื่อให้ชีวิตอยู่รอดต่อไป อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ผมเป็นคนจังหวัดนครสวรรค์ พ่อแม่มีอาชีพทำไร่ทำนา เราก็ช่วยพ่อแม่ทำงาน แล้วกว่าจะได้ข้าวแล้วซื้อกางเกงใหม่หรือเสื้อใหม่ ขายข้าวแต่ละครั้งก็ไม่เหลือ แถมเงินก็ไม่เคยพอเลย น้ำตาเข้าน้ำตาออก บางทีมีเงินก็มีไม่เท่าไหร่ พอซื้อเสื้อผ้าตามโรงจำนำบ้าง สมัยก่อนชุดละไม่กี่สตางค์หรอก มันถูก แต่ก็ยังถือว่าเงินมันหายากอยู่ดี สมัยข้าวแกงจานละ 50 สตางค์ 6 สลึง กินก๋วยจั๊บ ถ้วยละสลึง”
“ก็ทำไร่ทำนาอยู่อย่างนี้ และด้วยผืนนาเราก็ไม่มี เนื่องจากเช่าที่ของคนอื่นทำ พอเข้าหน้าแล้งทีไร เราก็จะไปทำงานก่อสร้าง หิ้วปูน จับกัง คอยผสมปูน แบกปูน เพราะบังเอิญลูกพี่ลูกน้องเขาเป็นช่าง เราก็เป็นลูกมือเขา ต่อมาพี่ชายก็เป็นช่าง เราก็เป็นลูกมือของพี่ชายต่อ”
ในท่ามกลางการใช้ชีวิตที่ยากลำบากนั้น สิ่งเดียวที่พอจะสร้างความบันเทิงให้กับเขาได้ นั่นคือ ‘วงดนตรีลูกทุ่ง’ ที่มักจะมาทำการแสดงบนดินแดนลุ่มน้ำปากน้ำโพบ้านเกิดอยู่เป็นประจำ และนั่น คือจุดแรกสุดของ ‘เล็ก’ หันมาสนใจศิลปะในแขนงดนตรี อย่างช่วยไม่ได้
“ทำไปทำมาเราก็ดันมาชอบเรื่องการแสดง เพราะว่าชอบแบบร้องเพลง มีวงดนตรีที่ไหนก็คอยเกาะๆ แกะๆ เขาไป เพราะวงดนตรีตามบ้านนอก อาศัยตีสนิทเขาไปเรื่อย สนิทพวกลูกวง อย่าง ชายธง ทรงพล (ผู้ร้องเพลง ปูไข่ไก่หลง) สมัยก่อนไปเป่าแตรที่นครสวรรค์ เขาก็เป่าแตรพวกงานบวชนาค เราก็จะไปนั่งคุยกับแก จนกลายเป็นว่าก็รู้จักกัน แต่เวลาต่อมาก็ห่างเหินกันไปก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย”
เมื่อเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ตนเองต้องการอะไร เขาจึงไม่รอช้าที่จะไล่หาความฝันนั้น ซึ่งคือ การได้เป็นนักร้องในวงดนตรีอย่างที่ใจต้องการ แต่ความฝันในการร้องเพลงของเขาก็แทบจะหมดหวังไปโดยพลัน เพียงเพราะว่า การขับร้องของเขา นั้นแทบจะไม่ได้เรื่องเลย
“เราก็ชอบวงดนตรีของจังหวัด ก็อยู่หลายวง อยู่ไปอยู่มาจนร้องเพลงไม่ได้เรื่องแล้ว (หัวเราะ) ร้องเพลงไม่ได้ อักขระและจังหวะไม่ได้ มันเพี้ยนไปมา จนทำให้หมดสิทธิ์เรื่องเพลงในที่สุด”
แต่ถึงแม้ว่า ความฝันในการเป็นนักร้องจะสิ้นสุดลง แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ต่อเส้นทางนี้ และนั่นทำให้เขาเบี่ยงอาชีพมาฝึกเสียง หัดพูด ให้กลายเป็นพิธีกรประจำวงดนตรีท้องถิ่น จนกลายเป็นโฆษกเชิญชวนเรียกผู้ฟังเสียงเพลงได้ในเวลาต่อมา
“อย่างสมัยก่อน วงธีระชัย บูลา ห้างขายยาบูลา บูรพาโอสถ จังหวัดนครสวรรค์ รายการหมอดู หรือ รายการข่าวเขาจะดังไปทั่วเหมือนกัน เราก็หัดพูดเลียนเสียง เพราะคำพูดของเขามันน่าฟังทั้งจังหวัด เราก็อาศัยจับหลักตรงนี้มาพูด ทีนี้เขาให้เราไปอยู่วงดนตรีแถวนครสวรรค์ ก็ให้เราเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ตามรถ แบบดนตรีจะแสดงที่ไหน วิกไหน ตลาดไหน เราก็ขึ้นรถแห่แล้ว “เอ้า อย่าลืมนะครับ วันนี้วงดนตรีทำการแสดงวิกนั้นวิกนี้” ประกาศไปเรื่อยๆ ก็ได้เริ่มอาชีพแรกที่เกี่ยวกับเส้นทางนี้”
ถึงแม้ว่าจะได้เป็นโฆษกประกาศวงดนตรีสมใจ แต่การทำหน้าที่ในวงนั้น หาใช่ตำแหน่งดังกล่าวเพียงอย่างเดียว เขายังต้องทำหน้าที่เป็นนักแสดงตลกอีกด้วย ซึ่งการเล่นเรียกคนของเขานั้น อาจจะเรียกได้ว่า เป็นจุดประกายเล็กๆ ของเขากับศาสตร์แห่งการแสดงตลก ก็ไม่ผิดนัก
“ทีนี้ก็มีวงดนตรี ประจวบ จำปาทอง จากกรุงเทพฯ ไปปักหลักอยู่นครสวรรค์ เราก็ไปสมัครงานกับเขา แล้วทางวงก็ให้เราเล่นตลก เราก็เล่นคู่และเลียนเสียงธง บูลา เหมือนเดิม เพราะเขายังคงดังอยู่ เล่นมาตั้งแต่นครสวรรค์ขึ้นไป เดินสายทางเหนือ แถวเชียงใหม่ เชียงราย ซึ่งเวลาเราเล่น ก็ยังเลียนเสียงเรียกคนมามุงมาชม อาศัยเล่นตลกอะไรไป ตอนนั้น ก็เล่นคู่กับเพื่อนร่วมวงที่เลียนเสียงประจวบ จำปาทอง ก็เล่นคู่กันสองคน สมัยก่อนตลกเล่นง่าย มุกเดียวก็หากินได้หลายปี”
“ตอนที่เราออกมาจากบ้าน เราก็ไปไม่ได้บอกเขา ออกจากบ้านไปเป็นปี จนแม่ต้องไปดูหมอว่า เราตายรึยัง เพราะเมื่อก่อนการสื่อสารยังไม่สะดวก ไม่มีที่จะสื่อสารถึงกันได้ ออกมาดุ่ยๆ เตร่ๆ ไป อาศัยเกาะแกะวงไป ไปแบบหาพวกข้างหน้า ตายดาบหน้า ก็อยู่วงดนตรี เดินสายเล่นไปทั่ว เช่าบ้านอยู่ทางเหนือเป็นปี เล่นตามหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ ไปหมด รู้จักตั้งแต่นครสวรรค์ จนถึงแม่ฮ่องสอน ไปประเทศลาว เราเคยเล่นแบบได้ค่าจ้างเป็นลังกองๆ เต็มไปหมด มาแลกเงินไทยได้หมื่นกว่าบาท ซึ่งตอนนั้นก็ถือว่าอิ่มหนำสำราญกันแล้ว เรียกว่าแบ่งกันได้เต็มที่”
แต่ท้ายที่สุด การเริ่มต้นในเส้นทางนี้ ก็ไม่สวยหรูอย่างที่ตั้งใจ เมื่อทุนทรัพย์ในการแสดง เริ่มร่อยหรอ ประจวบกับ ไปเล่นในบางงานไม่ได้รับค่าจ้าง นั่นทำให้การเป็นโฆษกและการเล่นตลกครั้งแรกของเขาต้องจบลงเพียงแค่ระยะเวลา 2 ปี เท่านั้น
“จนกระทั่งเวลาผ่านไป 2 ปี เล่นไปเล่นมาจนทุนหมดแล้ว ช่วงหลังๆ คือไปเล่นบางงาน มันก็ไม่ได้เงินบ้าง ได้พันกว่าบาทบ้าง เอาของเก่ามากินบ้าง หรือบางทีไปเล่นวิกไหน ค่าจ้างก็เหมาข้าวเขา ตกเย็นเอามาเลี้ยงคณะ บางที กินกันทั้งวง คือทำกับข้าว แกงสองอย่าง และข้าว ไม่มีอะไรมากมาย เล่นไปเล่นมาจนไม่มีค่ารถกลับ จนสุดท้ายก็เลิกกันไป”
ถึงแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในครั้งแรก แต่การที่ได้ร่วมวงดนตรีประจวบ จำปาทอง ครั้งนั้น ก็ได้สร้างประสบการณ์อันล้ำค่าให้กับตัวเขา และอย่างน้อยก็ได้มีทักษะในการพูดและการแสดงติดตัวมาพอสมควร
พอหลังจากการแยกย้ายครั้งนั้น คุณใช้ชีวิตยังไงต่อ
ก็หาทางกลับบ้าน ซึ่งเราก็คิดนะว่าจะทำอะไรต่อไป เพราะไม่มีเงินแล้ว ตอนนั้นวงแตกที่เชียงราย กูจะกลับบ้านยังไงวะเนี่ย (หัวเราะ) เราก็ไปรับจ้างขายน้ำปลา ส่งและแบกน้ำปลา แถวเชียงคำ เชียงของ ดอกคำใต้ แล้วเขาก็ให้ไปเป็นโฆษกขายน้ำปลาแล้ว คือเราก็ยังมีทักษะในการพูดบ้าง เพื่อให้พอเป็นค่ารถกลับบ้าน พอกลับมาก็อาศัยพวกรถสิบล้อแถวลำปางกลับมาบ้าน
พอกลับมาถึง จึงรู้ว่าที่บ้านเขาขายบ้านขายช่อง ย้ายไปอยู่ที่อำเภอไพศาลีกันหมดแล้ว ตอนนั้นเราใจหายแว้บเลย ก็ไปหาพี่ชาย วันต่อมา พี่ชายก็พาไปหาแม่ที่นั่น ไปอยู่กับเขาก็ไม่รู้จะทำอะไร เลยไปรับจ้างพี่สาว แบกถ่าน พี่ชายอีกคนก็ไปเลื่อยไม้และเลื่อยถ่านขาย เผาถ่านขาย และ ลูกพี่ลูกน้องรับจ้างซื้อถ่าน เสร็จแล้วก็จ้างเราไปแบกถ่าน จนวันหนึ่งเราก็แบกมาส่งในเมือง แต่ด้วยที่ก่อนหน้านี้เราเคยอยู่วงดนตรี ได้ออก 9 สถานีวิทยุ คนเขารู้จักทั่วไปหมด แล้วอยู่ดีๆ เรามาแบกถ่าน ก็รู้สึกอายเขาไง ก็เอาผ้าขาวม้าเทียมหัวโพกหน้า แล้วก็แบกมาส่งตามบ้าน (หัวเราะ)
จากที่เราเคยเป็นโฆษก แล้วกลายมาเป็นคนแบกถ่าน ตอนนั้นรู้สึกยังไงครับ
เราก็คิดเหมือนกันนะว่า กูจะไปยังไงดีวะ คิดที่บ้าน ฟังวิทยุบ้างอะไรบ้าง แบบวงดนตรีไปเล่นที่ไหนก็ฟัง วันหนึ่งเราได้ฟังทางวิทยุว่า มีก้อง กำจาย (ก้อง กาจกำแหง) เขาเป็นคนนครสวรรค์จัดวิทยุ แล้วก็ย้ายไปอยู่กับเพลิน พรหมแดนที่กรุงเทพฯ ต่อมาก็จัดวงดนตรีของตัวเอง ยังพอมีชื่อบ้าง (ร้องเพลง) ก็เป็นสไตล์ตลกๆ เขาก็ออกจากเพลิน ไปเดินสายทั่วไป เราก็มาเปิดวิทยุฟัง วันนี้วงก้อง กำจาย มาเปิดแสดงที่ตำบลนาเฉลียง จังหวัดเพชรบูรณ์ เราฟังเสร็จ ก็เก็บเงิน 40-50 บาท แล้วก็มาเลย นั่งรถจากนครสวรรค์แล้วมาลงที่อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร คือไม่รู้จัก แต่อาศัยมาลงที่ตะพานหิน แล้วจะต่อไปยังไง ข้ามถนนมาลงที่ สามแยกวังชมภู ก็ไปเจอวงดนตรีไวพจน์ เพชรสุพรรณ เขากำลังจะเดินสายที่นั่น เราก็อาศัยแล้วบอกเขาว่า พี่ครับ ขอติดรถไปด้วย เราจะไปหาวงดนตรีก้อง กำจาย วงเขาเล่นอยู่ที่นั่นครับ คนขับรถก็นึกว่าเราเป็นพวกนักดนตรีเหมือนกันไง ก็อาศัยขึ้นมาเลย (หัวเราะ)
พอรถมาส่งถึงที่ คือไปถึงตอนเย็นไง ปรากฏว่าวงดนตรีเขาแสดงรอบบ่ายเล่นไปแล้ว มาถึง เราก็ไปเจอชายธงเข้า ซึ่งตอนนั้นเขาก็เล่นตลกอยู่ที่วง เราก็ถามว่า จำกูได้มั้ย มันก็บอกว่าจำได้ เราก็อาศัยมันอยู่ไป คือยังไม่ได้คุยกับหัวหน้าวงนะ คืออาศัยช่วยเก็บของขึ้นหลังคารถ วันแรกก็ช่วยเก็บ แต่เขาก็ไม่ได้จ่ายเงิน เพราะไม่ได้อยู่สังกัดเขา นึกว่าเรารู้จักกับไอ้ธงธรรมดา วันที่สองก็ไปเล่นอีก ก็ทำแบบนี้เหมือนเดิม ก็กินข้าวออกเงินเอง สมัยก่อนกับข้าวมันไม่แพง จนวันที่สาม ไปเล่นที่อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก เริ่มหมดเงินแล้ว กูจะกินที่ไหนดีวะเนี่ย เล่นโรงหนัง ที่ติดกับวัดไง ก็ไปวัดดีกว่า อาศัยตื่นเช้า เพราะเรากินข้าววัดตั้งแต่เด็กไง กินข้าววัดมื้อเช้า แล้วมื้อกลางวันก็กินอีกมื้อ ได้ 2 มื้อ แต่มื้อเย็นจะกินอะไร เพราะเงินหมดแล้วไง ไอ้ธงก็ถาม มีบุหรี่ดูดป่าว ถ้าไม่มีก็แบ่งให้ตัว เราก็ดูดไป ซึ่งเขาก็ไม่ให้เงินไง เพราะไม่รู้ว่าเรามาไงกันแน่ ไม่ได้คุยกับหัวหน้าเลย นั่งก็นั่งท้ายรถ
แจ้งเกิดเป็น “ตลกคิวทอง”
เมื่อถึงคราวอับตาจนและหมดเงิน หนทางสุดท้ายที่มนุษย์ทุกคนจำต้องพึงกระทำ นั่นคือ ‘ดิ้นรน’ เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
“ทำอย่างงั้นอยู่ 3 วัน เราก็คิด เฮ้ย อย่างงี้กูไม่ไหวแล้วเว้ย ต้องจับไมค์พูดโฆษณาบ้างดีกว่า เพราะตกเย็นมันจะมีเปิดเพลงโฆษณาเรียกคนเข้ามาดูวงดนตรี เราก็ไปนั่งตรงเครื่องขยายเสียง ซึ่งคนพูดของวงก็ยืนพูดอยู่แล้ว ไม่ยอมไปไหนซักที คือทางวงก็มีโฆษกคอยประกาศเรียกคนน่ะ ตอนแรกเราก็ไม่กล้า เพราะไม่รู้จักคนพูด และก็ไม่รู้ว่าจะพูดกับมันยังไง พอมันเปิดเสร็จแล้ว มันก็ไปไหนก็ไม่รู้ เราก็บอกคนเปิดแผ่นว่า เอาแผ่นออก กูขอพูดหน่อย เนียนอีกแล้ว (หัวเราะ) พอได้ไมค์มาปุ๊บ เราก็พูดแบบธง บูลา เหมือนเดิมไง เรียกประกาศเรียกคนให้มาดูการแสดงดนตรี บางจังหวะเราก็แอบพูดก็สอดแทรกมุกตลกอะไรไปตามสไตล์ของเรา”
“แล้วทีนี้หัวหน้าวงกำลังนั่งกินข้าวกับไอ้ธงและก็อีกคนคือ หัวหน้าค่ายมวยศักดิ์เทวัญ อยู่ที่หน้าโรงหนังพอดี เขาได้ยินเราประกาศไง ก็ใช้ไอ้ธงว่า มึงไปดูซิว่าใครพูดวะ พอไอ้ธงเดินมาก็เห็นว่าเป็นเรา มันก็บอกหัวหน้าว่าไอ้คนที่มาจากนครสวรรค์น่ะ เพราะเขายังไม่รู้จักชื่อเราไง เรายังไม่ได้บอกอะไร ไอ้ธงก็มาบอกหัวหน้า หัวหน้าบอก มึงไปเรียกมันมาซิ ไอ้ธงก็บอกเราว่า หัวหน้าเรียกมึงว่ะ เราก็เอาแล้ว งานเข้า (หัวเราะ) เราก็คิดในใจว่า เขาจะไล่หรือทำอะไรกับกูวะเนี่ย”
จากการพูดเรียกคนให้มาชมการแสดงวงดนตรีจนไปสะดุดหูกับทางหัวหน้าคณะในคืนนั้น อาจจะเรียกได้ว่า จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตของดอน เลยก็ว่าได้ ซึ่งเชื่อได้เลยว่า น่าจะเป็นอีกหนึ่งคืนที่ ดอน จะไม่มีทางลืมไปจากความทรงจำอย่างแน่นอน
“พอมาถึง เราก็สวัสดีครับ หัวหน้า เขาก็ถามว่า มึงกินข้าวรึยัง เราก็ ยังไม่ได้กินเลยครับ เขาก็มึงสั่งกินไป และยื่นตังค์ให้เรา 200 บาท ซึ่งถือว่าเยอะนะในสมัยก่อน คืนนั้นเขาให้เราเล่นตลกเลย และก็ถามว่า มึงเล่นตลกได้มั้ย เพราะเราก็มีพื้นฐานตลกอยู่แล้ว คือเราเล่นอยู่ตามวงดนตรีเดินสายมาก่อนไง เราก็บอกได้ครับ หัวหน้าก็บอก เออ เดี๋ยวคืนนี้มึงเล่นกับไอ้ธงนะ เราก็โอเค”
“พอตอนเล่นก็เล่นกับธง เหมือนโชคเข้าข้าง คนฮาเราตลอด พูดหรือแสดงท่าทางอะไรก็ฮา เดินออกมา เล่นเสร็จแล้วก็หมดมุก จบ แล้วก็ปล่อยเพลงเข้าหลังเวที พอออกไปใหม่ ยังไม่ทันพูดอะไร คนมันก็ยังฮา ต่อมา เราก็ไปยืนประกบหัวหน้า หัวหน้าจะพูดอะไร คนก็ยังฮาแต่เราอย่างเดียว เรายังไม่ทันพูดอะไรเลย คนยังตลกกับเรา จนหัวหน้าบอกไอ้ธง เฮ้ย มึงเอาไอ้นี่เข้าไปข้างหลังก่อน คนจ้องแต่ฮาเราคนเดียว (หัวเราะ) เหมือนกับสวรรค์ส่ง ในที่สุด ได้ประจักษ์วงในคืนนั้นเลย จากนั่งหลังรถ กลายเป็นนั่งหน้ารถเลย ขึ้นชั้นแล้ว (หัวเราะอีกครั้ง)”
หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้น นั่นแทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ได้เปลี่ยนสถานะจากเพื่อนของคนในวงคนหนึ่ง ให้กลายเป็น “หนึ่งในสมาชิกของวงดนตรีก้อง กำจาย” อีกคน และนั่นถือว่าเป็นก้าวสำคัญในชีวิตของเขา สำหรับเส้นทางสายนี้ที่เขาเลือกเดิน
“คือเล่นตลกเดินสายไปทั่วก็นานเหมือนกัน จนทางวงจะเข้ากรุงเทพฯ อยู่แล้ว วันหนึ่งหัวหน้าก็ถามว่า มึงจะไปกับกูมั้ย เราก็ ผมอยากไปครับ แล้วมึงรู้จักใครมั่ง ผมไม่รู้จักใครเลย หัวหน้า เออ ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปอยู่กับกู นั่นคือครั้งแรกที่ได้เข้ากรุงเทพฯ และก็มาอยู่กับหัวหน้า พอมาถึงก็ให้เราไปอยู่ห้วยขวาง บวกกับ ไอ้ธงก็เริ่มสร้างครอบครัวแล้ว เขาก็ชวนไปอยู่ นอนห้วยขวางก็ได้ พี่ก้องก็อยู่บุคคโล เราก็ไปสลับไปมา บุคคโลบ้าง ห้วยขวางบ้าง เราก็ไปเล่นงานอะไร เขาก็ให้ตเงิน ทีนี้พองานไม่มีปุ๊บ วงศรีสะอาด ทองศาลา เล่นกับไอ้ธงแล้วเข้าขา ฮาที่สุด เล่นมุกเล่นอะไรก็ฮา สมัยก่อนเล่นกับไอ้ธงมันเข้ากันไง เล่นมุกจีบผู้หญิง เล่นฮากัน กลายเป็นแบบว่า ศรีสะอาด ทองศาลา หรือ คณะดาวน้อย ดวงใหญ่ ก็เอาเราไปเล่นในวง ไปรับเชิญอะไรมั่ง พอพี่ก้องไม่มีงานปุ๊บ เราก็ไปกับวง รับเชิญ ได้ครั้งละ 200 บาท เราก็คิดในใจว่า กูรวยแล้วเว้ย เพราะ ตอนเราทำงานที่บ้านนอก เราจะได้วันละ 8-10 บาทเอง”
“พอมาถึงช่วงนี้เราก็เดินสายเล่นตลกกับวงดนตรีลูกทุ่งอย่างต่อเนื่องเลย คือเล่นไปเล่นมา จนขวัญจิต ศรีประจันต์ ขอเอาไปอยู่วงด้วย ตอนนั้นขวัญจิตกำลังดังจากเพลง กับข้าวเพชฌฆาต จากนั้น จีรพันธ์ วีระพงษ์ ที่กำลังดังจากเพลง คุณนายใจบุญ ก็เริ่มดังอีก ก็ต้องการเรากับไอ้ธงอีก เพราะทั้งสองคนก็รู้จักกันไง ไอ้ธงก็บอก เฮ้ย เดี๋ยวกูเข้ากรุงเทพฯ ก่อน ไปรอมึงที่โน่นก่อน ก็ออกมาอยู่กับจีรพันธ์ ซึ่งมาเจอกับเด๋อ (ดอกสะเดา) และพี่เหี่ยว (เหี่ยวฟ้า) ก็มาเล่นกับวงนี้ด้วยกัน และก็วงศรชัย เมฆวิเชียร กับ พรไพร เพชรดำเนิน ตามลำดับ”
“จนมาเข้า ศรชัย เมฆวิเชียร เวลาต่อมา โดนซื้อวงเลยซื้อจาก ครูฉลอง ภู่สว่าง (ผู้แต่งคำร้องเพลงปูไก่ไข่หลง) พอเขามาซื้อวงปุ๊บ ตลกเก่าก็ต้องไล่ออกหมด เพราะเค้ามีตลกใหม่เข้ามา ตลกใหม่ก็ เพชร โพธิ์ทอง ที่พูดเสียงสมัครพูดกับเด๋อสมัยก่อนเนี่ย และก็ ป้อง ปัตตานี (ดี๋ ดอกมะดัน) กับ ลูกอ๊อด (ดู๋ ดอกกระโดน) 3 คนนี้ เล่นกันในนาม ตลก 36 ฮา เขาก็ซื้อ 3 คนนี้มาอยู่วงดนตรีศรชัย ตลกศรชัยก็โละทิ้งหมดเลย แต่ทีนี้ก็บอกว่า จะคัดคนไว้ซักคนนึง จะเอาใครไว้ และมอบเป็นหน้าที่ของเพชร โพธิ์ทอง ปรากฎว่าเขาก็มาเลือกเราไว้ และก็มารวมทีมกัน จนกระทั่ง เด๋อก็มาดังจาก คณะเด่นเด๋อเทพ จากหนังเรื่อง เทพบุตรต๊ะติ๊งโหน่ง เขาก็ไปเล่นที่ห้องอาหาร ซึ่งสมัยก่อนก็มีไม่มาก เล่นแค่เสาร์-อาทิตย์ เพราะหนังเรื่องดังกล่าวดัง ทีนี้เราก็ยังเล่นอยู่ที่วงศรชัย คือเราก็รู้จักพรรคพวกนี้แล้ว พี่เพชรก็รู้จักเทพ รู้จักกันมาก่อน เพียงแต่ไม่สนิทกับพี่เด่นแค่นั้นเอง รู้จักกันหมด ตอนหลังๆ เค้ามีห้องอาหาร แล้วเด่นเด๋อเทพ ส่วนมากจะไปเล่นต่างจังหวัด แล้วห้องอาหารจะไม่มีคนแทน เราก็ปรึกษากัน 4 คน ไปตั้งคณะ 4 สลึงกัน และก็ออกจากวงศรชัย”
หลังจากที่ลาออกจากวงดนตรี ศรชัย เมฆวิเชียร แล้ว ชีวิตทางการแสดงของดอน ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง หากเปรียบเป็นภาษาฟุตบอล ก็อาจจะเรียกได้ว่า เป็นจุดพีคของอาชีพเลยก็ว่าได้ ประกอบกับ เป็นช่วงรอยต่อจากเดินสายวงดนตรีลูกทุ่ง มาเป็นเล่นตามสถานที่จำกัด อย่าง ร้านอาหาร และ คาเฟ่ นั่นยิ่งทำให้ อาชีพทางการแสดงของเขามีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น...
“ช่วงเวลานั้น เด่นเด๋อเทพ เขาไปเล่นที่เชียงใหม่ งานในกรุงเทพมันไม่มีคนแทน วันไหนไม่ว่าง หรือ ไม่อยู่ เพราะเรารู้จักกับเด๋อและเทพ เราก็ได้งานแทนหมด เรียกว่าสลับกันเล่น เล่นไปเล่นมาจน คณะ 4 สลึง และเด่นเด๋อเทพแตกกัน เทพออกไป พอเทพออกไปปุ๊บ พี่เด่น (ดอกประดู่) ก็มาเจอ ดู๋กับดี๋ เข้าตาเขา ก็ชวน 2 คนนี้ไปอยู่ ตั้งเป็น เด่นเด๋อดู๋ดี๋ ทีนี้ก็เหลือเรากับเพชร โพธิ์ทอง ก็เอาแล้ว เคว้งคว้างแล้ว วงกำลังมาดีๆ มีรายการทีวีจะมาดีๆ ก็มาโดนดึงไปแล้ว แต่มันก็บอกว่า ถ้ากูดัง อาจจะมีโอกาสกลับมาดึงตัวไป เราก็รอความหวัง แล้วก็เล่น 4 สลึงของเราไปก่อน แทนงานจากมัน แล้วเราก็ไปเอาพี่เหี่ยวฟ้ามาร่วมด้วย ทีนี้เราอยู่วงเวียนใหญ่ เราก็ไปหาถึงนู่น ซ้อมมุก แล้วพอตอนเย็นก็กลับ นั่งรถมาที่นี่ แล้วมาเจอ โน้ต (เชิญยิ้ม) ตอนนั้นโน้ตกำลังเล่นลิเกของบรรหาร ศิษย์หอมหวล ที่ตลาดพลู เราก็ชวนว่าไปเล่นตลกกันกับโน้ต จนต่อมาเขานึกไงไม่รู้ พี่ผมเล่นด้วย ก็นัดกันมา ก็ฮาดี สมัยก่อนมันจะนั่งเป็นลิเกแล้วมันจะนั่งไขว่ห้าง ใส่ถุงเท้าคาร์สัน เมื่อก่อนมันดัง เล่นฮาดี ทำไปทำมา ก็อยู่ด้วยกันเลย"
“คณะ 4 สลึง ทำท่าจะดี พี่เพชรก็ชวนไอ้โน้ตไปอยู่ วงดนตรี สายัณห์ ครรชิต ซึ่งเป็นวงดนตรีดารา เขาก็เอาไอ้โน้ตและพี่เพชรไป ทีนี้เราก็ไปมั่ง คือไปอยู่ แต่ค่าตัวไม่ได้เท่าเค้าอ่ะ ก็กลับมาทำสี่สลึง ดึงพี่เหี่ยว และก็ปั้นตัวใหม่มาเล่น ก็พอไปได้ ซักพัก เด่น ดอกประดู่ก็ตั้งวงดนตรี เด่นเด๋อดู๋ดี๋ ก็เดินสาย เราก็ไปอยู่ด้วย เป็นตลกหน้าม่าน ออกมาเล่น 2 คน เล่นกับพี่เพชรก่อน หลังๆ พี่เพชรก็ออกจากพี่เด่น ออกมาจากสายัณห์ครรชิต ก็ออกมาด้วยกัน ออกไป”
“ตอนนี้ ทำไปทำมา งานพี่เด่นเขาหยุด 2-3 วัน เราก็มาหาเด๋อดู๋ดี๋ เพราะเขาก็เล่นคาเฟ่กัน เราก็ไปนั่งดูหน่อยซิวะ ว่ามันเป็นไง พอไปกับมัน มันให้ขึ้นเวทีไง ก็ปรากฎว่า ฮาแบบเดียวกับตอนพี่ก้องน่ะ เล่นอะไรกัน 2 คนกับไอ้เด๋อ ก็ฮา เล่นอะไรก็ฮา จนดู๋บอกมาอยู่ด้วยกันมั้ย เราก็ กูก็อยากมา มันชวนมา เราก็ดีใจแล้ว คือเราจะได้ไม่ต้องเดินสายไง พอดีลูกชายกำลังจะเกิดพอดี เราก็ออก เลยมาอยู่กับ เด๋อดู๋ดี๋ เข้ามาเล่นกับมัน เข้ามาเล่นใหม่ๆ ไปอัดเทปตลก เด๋อดู๋ดี๋ดอนแดง ปรากฏว่า ดังกระหึ่มเลย ไปป้ายรถเมล์ที่ไหน ก็เปิดเทปชุดนี้กระหึ่มเลย ก็เลยติดเรื่อยๆ มา”
เรียกได้ว่า งานคาเฟ่ เล่นเกือบทุกวันเลย
ทุกวัน ทั้งคาเฟ่ ทั้งหนัง ทั้งอะไร ไปเล่น เชียงใหม่ หาดใหญ่ ภาคอีสาน นั่งเครื่องบินทั้งนั้น สมัยก่อนเล่นตามต่างจังหวัด แค่รับเชิญ ก็มีแต่ค่าตัวดีๆ ทั้งนั้น แต่เล่นไม่เท่าไหร่ประมาณปีนึง ดี๋ก็มาชวนออก ไปตั้งคณะใหม่ ค่าตัวมันจะได้เท่ากัน ที่จริงอยู่กับเด๋อ มันก็เอาค่าตัวไม่เท่าไหร่นะ ไม่กี่ร้อย แต่เราแบบ ดี๋มาชวน ออกมาเป็นดี๋ดอน เล่นไปเล่นมา ดี๋ก็ไปเอาไวพจน์ เพชรสุพรรณ มาแหล่ เล่นตลกด้วยกัน แต่พอเล่นไปเล่นมา ไวพจน์เขาก็แหล่หน้าเวทีได้เงินดีอะไรดี นายห้างเทปมาเห็น เออยังร้องเพลงได้ดีอยู่ ก็เอาไปร้องเพลงอย่างเก่า แล้วก็เอาสีเทามาเล่น และก็เอา จุ๋มจิ๋มมา เลยเปลี่ยนชื่อคณะเป็น ซุปเปอร์โจ๊ก
การตั้งคณะซุปเปอร์โจ๊ก ถือว่าเป็นจุดสูงสุดในการเล่นตลกของคุณ
ใช่ๆ คิดว่าดีแล้ว งานดีเหลือเกิน คณะนี้มาแรงเหมือนกัน ตอนจุ๋มจิ๋ม (เข็มเล็ก) อยู่ ประมาณเทียบเท่ากับเชิญยิ้มเลย ทีนี้มีหลานเป็นนักมวย ชื่อลูกแมน ซุปเปอร์โจ๊ก เอาไปต่อยที่นั่นที่นี่มั่ง ตามรังสิต สำโรง เพราะนักมวยมันยังเด็ก ยังเข้าเวทีใหญ่ไม่ได้ มวยมัน 30 กว่าโล พอทีนี้ไปรับงานนอกเยอะ ก็ไปหัวค่ำ ดูหลานที่เป็นนักมวย ทีนี้เราไปงานมันช้าหน่อยไง ไปถึงงานมันช้าหน่อย เราก็เอ๊ะ สงสัยเป็นตัวถ่วงของวงแล้วมั้ง เราก็ตัดสินใจลาออก กูจะตั้งเอง เพราะไปเล่นซุเปอร์โจ๊กตอนหลังๆ พอมันเล่นไปประมาณ 10 กว่านาที พอมันเห็นเรามันลง เราไม่ได้ค่าตัวแล้ว ค่าตัวรับเท่าไหร่เราไม่รู้เรื่องแล้ว มันก็ไม่ได้แบ่งให้เรา ตอนนั้น เราก็น้อยใจเหมือนกัน ก็ลาออกดีกว่า ตั้งเป็นซุปเปอร์ดอน หลานที่เป็นนักมวยก็เปลี่ยนเป็นซุปเปอร์ดอน ก็เอาพี่เหี่ยวฟ้ามาเล่น เล่นไปเล่นมาก็ดี มีเหี่ยวดอนก็เล่นเข้ากันมาก พี่เหี่ยวคือตัวที่เราอำแล้วคนขำ อยู่กันไปอยู่กันมา พอตอนดีๆ ดังๆ มันมีกรณีที่ไปเล่นอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี พี่เหี่ยว เค้าฟังว่าเป็นอ่างทอง (หัวเราะ) คือมันเป็นคนละที่เลย ทีนี้เค้าก็มานั่งกลับ รอเราที่วิลล่า คาเฟ่ เพราะเราต้องมาเล่นที่วิลล่าต่อ เสร็จปุ๊บ เราก็มาแบ่งกับเขาอ่ะ พี่เหี่ยวบอก ไอ้ห่า กูก็ไปแล้วนี่หว่า พี่เหี่ยวไปไหน กูไปอ่างทอง (หัวเราะเบาๆ) แต่ที่สุดเขาก็มาขอแยก แต่ที่สุดเขาก็มาเอาเราหมดอีกมาได้งานจากที่เราเล่นอยู่ เจ้าของก็มาเอาเราหมด เพราะตอนนั้นเรามีค่ายมวยซุเปอร์ดอนด้วยไง มาตอนหลังๆ เราก็เอาตลกคณะนู้นมา รวมกันไปมา แล้วเอาน้องทราย (คุณแม่ขอร้อง) มาเล่นด้วย ก็เริ่มติด กว่าจะดังก็เหนื่อยเหมือนกัน
กำลังเล่นตลกอยู่ดีๆ ทำไมถึงทำค่ายมวย ‘ซุปเปอร์ดอน’ ด้วยครับ
มันมีหลานต่อยด้วยไง ลูกแมน ซุเปอร์ดอน ต่อยดี คือเราไม่ได้เอาค่าตัวมันไง คือถ้าไปอยู่ค่าย เขาจะแบ่ง มันได้ 40 เจ้าของจะได้ 60 แต่อยู่กับเรา มันได้เต็มๆ เหมือนกับอาศัยชื่อเราเป็นซุปเปอร์ดอนไง ตอนนั้นก็บ้ามวยอีก ทำอยู่นานเหมือนกัน ปั้นนักมวยเป็นสิบๆ ตัว เป็นชิงแชมป์มวยไทย ตอนหลังก็เลิก คือคนอื่นเขามาทำร้านอาหาร แต่เราทำค่ายมวย เราก็มาคิดอีกทีว่าคิดผิด คิดสนุกไป แต่ก็ถือว่าสร้างปรากฎการณ์ให้กับวงการมวย ไปเสนออะไรให้ง่าย เสนอปุ๊บ เค้าก็จัดต่อยให้ มันทำได้ง่าย มันก็มีกะใจที่จะทำต่อ สามารถเลี้ยงเด็กในค่าย ก็ไม่ได้หักอะไรมัน แต่เสียค่าใช้จ่ายเยอะ ต่อยจนเรามีติดปลายนวม ได้มาก็กินกัน เสียมาก็เสียเรา ทำค่ายมา 10 ปี เหมือนกัน
ตอนนั้นเล่นคาเฟ่อยู่นาน จนเริ่มซาลง
เล่นจนซา มาซามากๆ ก็ตอนที่น้องทรายออก พอออกไปตั้งคณะมาได้ไม่ถึงปี เขาก็เสีย แล้วประกอบกับงานน้อยแล้ว งานไม่ค่อยมีแล้ว คาเฟ่ทยอยปิด พระราม 9 ก็ปิด ทีนี้ก็เหลือหมูกะทะ แต่หมูกะทะ 4 ทุ่มก็ปิดแล้ว เล่นก็เล่นเฉพาะ 2 ทุ่ม แล้วเวลามันก็ตรงกันทุกที่น่ะ มันจะไปกันยังไง อยู่ไกลกันเงี้ย อย่างเล่นอยู่ฝั่งธน ตีมาพระโขนง เล่นสองทุ่ม ที่ต่อมาก็ถึงตอน 3 ทุ่มกว่า มันก็จะปิดร้านแล้วอ่ะ หมูกะทะไม่เกิน 4 ทุ่ม คนก็เริ่มออกหมดแล้ว ทำไปทำมา ก็มาเล่นละครบ้างอะไรบ้าง พอได้มั่ง เพราะตอนที่มีไม่เก็บไง ซึ่งใครจะไปคิดว่า มันละฮวบฮาบขนาดนั้น ประกอบกับหมดไปกับธุรกิจด้วย คือชะล่าใจอีกครั้งว่า วงการตลกจะไม่ซบเซาอ่ะ อยู่ๆ ไป ช่วงทักษิณ (ชินวัตร) มาเป็นนายกฯ เพราะเขาจัดโซนนิ่งไง ทำให้คนไม่ออกมา ตอนแรกก็ดีใจกัน เล่นเป็นสัดส่วน แต่หารู้ไม่ มันนิ่งจริงๆ แล้วยิ่งมาตรวจแอลกอฮอล์ด้วย เป่าด้วย แล้วคาเฟ่ไหนใกล้จะปิดมันก็ตั้งด่าน เอาแล้ว เตรียมเป่าแล้ว ออกกฎหมายมา คาเฟ่ก็เตรียมเจ๊งแล้ว แล้วใครจะนั่งแท็กซี่ไปกินน่ะ ทุกคนเค้ามีรถกัน ที่ไปก็ไม่ได้ไปกินเหล้าเบียร์ เมานิดหน่อย ก็หวังเด็ก แล้วจะเอาเด็กนั่งแท็กซี่มาเหรอ มันก็ไม่ได้ ตอนหลังๆ คนก็หยุดเที่ยวไปโดยปริยาย โดนเป่าด้วย
พอเหตุการณ์มาเป็นแบบนี้แล้ว คุณรู้สึกยังไง
มันก็รู้สึกว่า มันไม่ดีขึ้น รอจังหวะ มันก็ไม่มีซักที ไม่มีขึ้น มีแต่ลงๆ พระราม 9 ปิด ที่นั่นปิด ไปหมด วิลล่าปิด พระราม 9 ปิด มันก็ไปแล้ว 2ที่มันก็เป็นตลกทำมาหากิน พระราม 9 ดัง วิลล่า ดัง คนเยอะๆ ไปดูคนเยอะๆ ปุ๊บ ที่อื่นก็อยากเปิดเค้าก็เอาตลกไปเล่น จนมาจับโซนนิ่งมันเหลือแค่ตี 1 แล้วใครจะมาอยู่ คนกินยังไม่ทันเมาเลย หมดเวลาแล้ว เปิดไปแล้ว ต่างกับสมัยยุคเฟื่องฟู เช้า พระบิณฑบาตรกันยังไม่เลิกเลย (หัวเราะ) เล่นจนไม่อยากรับงานน่ะ มันก็แค่นี้ จนผลที่สุด เราก็มาเจอกับโรคภัยไข้เจ็บ
บุญกุศลคือหลักชัย
ทำดีไว้ไม่ไร้ค่า
หลังจากที่เจอวิกฤตการณ์โซนนิ่ง ของรัฐบาลในสมัยนั้น ย่อมทั้งให้งานทางการแสดงของดอน เริ่มห่างหายไป แต่ก็ยังมีบ้างที่ยังรับงานแสดงทั้งทางจอแก้วและทางจอเงิน ซึ่งในทางชื่อเสียงอาจจะไม่เฟื่องฟูเหมือนกับยุครุ่งเรือง และทำงานตามปกติ จนกระทั่ง เมื่อช่วงปี 2553 ดอนก็กลับมามีข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อีกครั้ง แต่ข่าวนี้กล่าวว่า ดอนกำลังเป็นโรคมะเร็งขั้นที่สี่...
“ตอนนั้นร่างกายเรายังดีอยู่ไง คือเราคิดว่าเรายังพอไปไหว เวลาเจ็บป่วยบางที กินยานิดๆ หน่อยมันก็หายแล้ว เราก็ไม่ได้ไปตรวจอะไรเลย จนมันมาถ่ายละครเรื่องปลาบู่ทอง ระหว่างตอนถ่ายใกล้จะปิดกล้อง มีอาการตัวเหลืองมาก คือน้ำหนักจะลดตลอดๆ ก็รู้สึกว่าเวลาเรานั่ง มันจะปวดไปทั้งแถบขวา เราก็ทนเอา จนละครปิดกล้อง ที่นี้กลับมานอน ก็นอนไม่ลงแล้ว มันแน่นหมดเลย เลยต้องอาศัยนั่งหลับเอา นอนไม่ได้ ก็จนแบบว่า เป็นอะไรกันแน่ อาการแบบนี้เราไม่เคยเจอ เราก็ตัดสินใจไปโรงพยาบาลของรัฐบาล ครั้งแรกก็ให้ยามากินแบบ แก้เคล็ดขลัดยอก ท้องอืดท้องเฟ้อ ยาคลายกล้ามเนื้อ มันก็ไม่ดีขึ้น ทีนี้หลานมาเจอเรา เขาก็ให้ไปตรวจ ตอนนั้นก็หนักใจหน่อยตรงที่ ถ้าไปตรวจแล้วเจอ แล้วเราไม่มีเงินจะทำยังไง ระหว่างงานที่ตกมาเยอะแล้วไง ตลกมันไม่ค่อยมีงาน ทำให้เราเก็บไว้ไม่ค่อยมีกำลังหลัก หลานก็บอกไม่เป็นไร เดี๋ยวจัดการให้ ก็เลยไปตรวจที่โรงบาลไทยนครินทร์ ทีนี้หมอก็คุยกับญาติแล้วว่าเราเป็นมะเร็ง แต่หมอก็ไม่กล้าบอกเราว่าเป็น แต่คือว่ามาบอกเราว่าเป็นตับโต เราก็ถามว่า มีวิธีต้องทำยังไง กินยาจะได้มั้ย หมอก็บอกว่า กินยาก็ไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าผ่าก็จะดีขึ้นมา แต่ตอนนั้นเราก็ไม่มั่นใจ เพราะว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชนเหมือนกัน เราก็ตัดสินใจไปโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ที่นั่นอาจารย์หมอเยอะ ไปให้เขาตรวจดูอีกที”
“เราก็รอฟังผลประมาณ 2 อาทิตย์ ก็เข้าไปฟังผล หมอก็บอกกับหลานว่า ให้เราไปผ่าตัดที่เก่าน่ะดีแล้ว เพราะที่นี่ก็คิวเยอะ ถ้าผ่าตัดมันก็ไม่ทันกาล แต่ถ้าเป็นเอกชน มันจะสะดวกสบาย เราก็เลยกลับมาเล่าให้หมอที่ไทยนครินทร์ฟัง ก็บอกว่า ผมก็ไม่มีเงิน จะผ่าตัด ใช้เงินเยอะ ก็ลำบากหน่อย งานการก็น้อย ก็ไม่ค่อยมีเงิน หมอก็คิดสงสาร เพราะเราเป็นคนของประชาชน ก็บอกเราว่า ไมเป็นไร เดี๋ยวผมจัดการให้ เราก็สบายใจแล้ว เพราะหมอก็รับปากเรียบร้อย ก็นัดไปผ่าตัด พอนัดไปผ่าเสร็จ ไปนอน เขาก็เอาผลมาให้เราดู ก้อนใหญ่เลย เราก็ไม่กล้าไปดู พักฟื้นได้ 3 วัน หมอก็มาถามว่า คุณดอนรู้รึยังว่าเป็นอะไร เราก็บอกว่า หมอบอกว่าเป็นโรคตับโตนี่ หมอก็บอกว่า จริงๆ คุณดอนไม่ใช่เป็นโรคตับโตหรอก เป็นมะเร็ง คือถ้าไม่ผ่าตัด อยู่ไม่เกินหกเดือน”
“เราก็ถามหมอกลับว่า ผมไม่กินเหล้าแล้วมันเป็นได้ยังไง หมอบอกว่า มันมีสิทธิ์เป็นได้ เพราะคุณดอนไม่ได้กินอาหารแบบ กินร้อนช้อนกลาง คือตอนเราเล่นตลก จะไปแบบกับเพื่อนฝูงที่นู่นที่นี่ คือสมัยก่อนมันไม่มีกินร้อนช้อนกลาง เราก็ไม่ได้นึกถึงข้อนี้ เพราะไม่มีใครรู้ คือไปเล่นต่างจังหวัด เขาก็จะหาว่า มึงนี้สำอางเกินไป เข้าเพื่อนเข้าฝูงไม่ได้เลยนะ ทีนี้กินรวมเข้าไปก็เกิดแจ็คพอตไง คนที่เป็นไวรัสตับอักเสบปีมันก็ติดเข้ามา พอติดมาแล้วเราก็ไม่ดูแลรักษาตัวไง คือถ้าตอนนั้นเป็นใหม่ๆ ไปให้หมอตรวจดูกินยาก็อาจจะหายกะทันหัน เหมือนกับที่หลานชายเป็น พอไปตรวจดูปุ๊บ กินยาแล้วก็หาย รักษาทัน คือเป็นแค่ไวรัสตับอักเสบบีไง สะดวกสบาย ไม่ต้องมาถึงขั้นแบบเรา คือมันไม่กลายไง แต่ของเรามันปล่อยให้กลายเป็นมะเร็ง”
พอร่างกายโอเคแล้ว การดูแลร่างกายของเราเป็นยังไง
ปกติ อยากจะกินอะไรก็กิน แต่จะไม่กินพวกของหมักของดอง เหล้าเราไม่กินอยู่แล้ว บุหรี่นี่เลิกเลย จากเมื่อก่อนเราบุหรี่ดูดวันละ 2 ซองกว่า หมดเช็คแล้วว่าปอดไม่เป็นไร แค่สึกหรอประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ โดยรวมก็คือไม่แตกต่างจากตอนป่วยมากนัก ก็เหมือนคนทั่วไป เรากินได้ แต่ว่า ไก่หมูเราก็กิน แต่ว่ากินน้ำมัน อาศัยน้ำมัน พวกเนื้อไม่กินแล้ว แบบ ไก่ใส่มะเขือ เราก็กินมะเขือกับน้ำไก่ พอเคี้ยวๆ เราก็ขายทิ้งไป แก้อยาก ไม่ได้กลืนลงคอ พวกนี้จะย่อยยาก แต่ถ้าปลาจะกินเป็นหลัก
หลังจากหายป่วย ก็มาจับธุรกิจ “ปลาร้าสับทรงเครื่อง”
หลังจากผ่าตัด เราก็รู้สึกว่า ยังไม่ตายนี่ ก็ไม่เป็นอะไรมั้ง เพราะยังไปไหนมาไหนได้ คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ เลยคิดว่าเรายังอยู่แน่นอน หาเงินใช้หนี้ใช้สินเค้าไป หาเงินได้ก็คิดว่าโชคดี และก็เลยมาจับปลาร้าสับทรงเครื่องขาย ก็ค่อยยังชั่วหน่อย ก็พอได้ เป็นที่ทำมาหากินของเรา พอเลี้ยงชีพ พอได้ค่าค่ายา ได้ค่ารักษาพยาบาลได้บ้าง โดยที่ไม่ต้องไปรบกวนใคร คือเราตั้งใจจะทำตั้งนานอยู่แล้ว กินแล้วมันอร่อย เราชอบปลาร้า คือตัวนี้อร่อยมากเลย คนเขาก็เชียร์ว่า ลองทำสิ เราก็เอา ตอนไปถ่ายละครกับเด่อ เด๋อบอกว่า ดีมากเลย ปลาร้าอร่อยว่ะ เดี๋ยวไปขายคู่กู คือจะทำแต่มาป่วยซะก่อน พอหายป่วย ก็จับตัวนี้มาทำเลย ทำมา 4 ปี ธุรกิจนี้ถือว่าอยู่ได้ เพราะว่าคนเขากินอร่อยไง ทำให้เรามีขายได้เรื่อยๆ คือของอะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่อร่อยอย่างเดียว ก็ไปไม่รอดและ กินแล้วไม่ถูกปากก็จบ ถ้า 100 เปอร์เซ็นต์ ขอแค่ 80 ก็พอแล้ว ก็ให้พออยู่ได้
จากตลอดชีวิตที่ผ่านมา คิดว่าเราได้ประสบการณ์อะไรบ้าง
ได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่ แรกๆ ใครมันจะไปคิดว่า มีคนรู้จักเราได้ขนาดนี้ จากลำบากลำบน ทุกสิ่งทุกอย่าง เรียกว่าศูนย์น่ะ ศูนย์จนมาบวก บวกแล้วก็มาศูนย์ใหม่ (หัวเราะเบาๆ) พอมาป่วยก็กลับมาศูนย์ใหม่ ชีวิตไม่ติดลบ เพราะเราไม่มีต้นทุนอยู่แล้วไง ก็กลายเป็นคนไม่ติดลบไง ถ้ามีทุนก็โอเค ใช่ติดลบแน่ ทุนเรามาจากศูนย์ จนมามีคนรู้จักไปทั้งประเทศก็ถือว่ากำไรเยอะ ก็ถือว่าประสบกาณณ์ไปทุกสถานที่ ผ่านดีร้ายเลว ผ่านมาทุกอย่าง ผ่านมาหมด ได้เห็นอะไรทุกสิ่งอย่าง ประสบการณ์เยอะ ก็ถือว่าโชคดีแล้ว ทุกจังหวัดของประเทศไทย ทุกตำบล ไม่ได้ไปตรงตามหมู่บ้านแค่นั้นเอง นอกจากนั้นไปหมด เป็นกำไร
ตอนนี้ก็สร้างหาทุนใหม่ ก็มาได้ทุนจากปลาร้าสับทรงเครื่อง ก็อยู่กินได้ ไม่มีงานก็มาขายของ ถือว่าชื่อของเรา ไม่ตายไปทีเดียว คือถ้าเรามีแต่ชื่อ แล้วไม่ทำอะไร คนมันก็ลืม พอเรามีชื่อติดมามั่ง สินค้าติดมามั่ง สินค้าออกมาปุ๊บ เออไอ้ดอนนี่หว่า แล้วเรามาป่วยด้วยอะไรด้วย ก็เป็นความกรุณาของคนอีก ตายแล้วเกิดใหม่ ถือว่าตายไปแล้วก็เกิดใหม่อีก ฉะนั้น ไม่ต้องไปท้อแท้มัน มันท้อมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ทำทุกอย่าง จนมาถึงจากข้างล่างมาข้างบนได้ ถือว่ากำลังยังไปได้ โชคดี ตายก็ไม่เป็นไรแล้ว ไม่สูญเปล่าแล้ว ยังมีบุญกุศลติดตัวไว้ด้วย ก็ช่วยไว้ ทำบุญทุกปีก็ได้จากวงการมวยบ้าง พวกที่รู้จักมักจี่ ทอดกฐินผ้าป่า เค้าก็ร่วมด้วยช่วยกันทั้งนั้น ทำด้วยความจริงใจ ก็จะได้ความจริงใจ ผลที่สุด เราเจ็บไข้ได้ป่วย จะตาย เจ้ากรรมนายเวรเห็นเราทำดี กูยังเอามึงไปไม่ได้ ก็อยู่ต่อไป (หัวเราะ)
จากชีวิตเราที่เป็นศูนย์ มาตลอด คิดว่าได้ให้อะไรกับเราบ้าง ในแง่การสู้ชีวิต
การสู้ชีวิตของเรา เราทำแบบว่า เราคิดว่าเราได้ตลอด เลยไม่มีการที่จะเก็บ ไม่มีการที่จะหยุดยั้งเอาไว้ ได้มาก็ปล่อยไปเรื่อยๆ มันเข้าออกอย่างนี้ตลอด เราไม่มีกักมันไว้ ใจล้วนๆ ซึ่งก็ทำให้ผิดพลาด ผิดพลาดเพราะ เหมือนคนทำงาน กำไรดี ค้าขายอะไรก็แล้วแต่ แล้วมันฟุ่มเฟือย คนที่ประหยัด ก็รวยไปใหญ่ คนที่ไม่ประหยัด ก็ฟุ่มเฟือยไป ถ่ายไปๆ สุดท้ายก็เจ๊ง มันเป็นบทเรียนให้เรา ฉะนั้น จะทำอะไรควรจะระวังหน้าหลัง ระวังบ้าง อย่าไปหลวมตัวว่า กูต้องได้ตลอด ดวงเรามีขึ้นมีตก มีดีมีเลว ไม่ใช่ดีตลอด คนเราจะมาชอบทุกคนไม่ได้ มันก็มีคนเกลียด ขนาดพระดีๆ ยังมีคนว่าเลย ให้มองในแง่จริง มันเป็นปกติของคน ซึ่งปกติทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ผลที่สุด มันจะไปรวมที่เดียว คือการตาย ไม่รอด คนไหนรอด ลองคุยซิว่า จะรอดได้กี่ปี ร่างกายใจสู้ แต่ไม่ไหวก็นอนอยู่อย่างงั้น เราเป็นแค่มะเร็ง เราไม่ตาย แต่เรายังไปได้ ยังมีชีวิตอยู่ ยังทำงานได้ ถือว่าเรายังดีกว่าเขา
ทุกคนต้องมีอันเป็นไปทั้งนั้นแหละ เพียงจะไปแบบไหน จะไปยังไงแล้วแต่การกระทำ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซักวันนึงก็ต้องเจอ ทำดีมันก็ติดตัวเราไปตลอด ทำความดี ใครก็มาปล้นจี้จากเราไม่ได้ มันติดตัวเรา แต่ถ้ามันมาปล้นจี้เรา ก็โอเค เอาไปได้ (หัวเราะ) ใช้ชีวิตทุกนาทีให้คุ้มค่าที่สุด อย่าไปหลง ฟุ่มเฟือย คิดอะไรให้มากมาย คิดให้มันพอประมาณ เอาบุญกุศลเป็นหลัก ซักวันหนึ่งเราต้องตาย ตายแล้วก็ยังมีชาติหน้าอีกนะ ไม่ใช่มีชาติเดียว จะเกิดเป็นคนหรือสัตว์แค่นั้นเอง เกิดเป็นคนนี่โชคดีที่สุด แต่คนก็ยังเป็นคนนั่นแหละ มันหลายชนิด คนดี คนเลว คนชั่ว คนกุศล กับ คนอกุศล ระหว่างคนดีกับคนชั่ว มี 2 อย่าง ที่มันจะติดเราไป ถ้าทำชั่วก็ติดเราไป ทำดีก็ติดเราไป มีอยู่แค่นี้แหละ ไม่มีใครอยู่ได้ยาว ชีวิตบั้นปลายมันก็รวมกันหมด ฉะนั้นเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันไป ฉะนั้น สร้างกุศลผลบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน สร้างกุศลผลบุญร่วมกัน ก็เราจะไม่มีกรรมต่อกัน ให้อภัยซึ่งกันและกัน ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ความดี อยู่แบบว่า มึงไม่ดี กูดี ที่จริงมึงก็ไม่ดี แต่มึงอวดตัวว่าดี คนมันหลงตัวเยอะ ดีหรือไม่ดีมันอยู่ที่ตัวเรา ตัวเราจะรู้ว่าดีหรือไม่ดี เหมือนกับทำอะไรก็แล้วแต่ ทำบุญใส่ซอง เราเป็นเจ้าภาพ เป็นผู้ดำเนินงานหรืออะไร เค้าเห็นเราว่าน่านับถือนะ เค้าก็ช่วยมาเป็นกุศล เราจะแกะซองเท่าไหร่ก็ได้ เราได้เป็นหมื่นเป็นแสน เค้าได้มาแล้วจะเอาเท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีใครรู้ แต่เราจะรู้เอง พอรู้ปุ๊บ ถือว่าเราไม่สบายใจแล้ว คนอื่นไม่รู้ แต่เรารู้ ยิ่งกว่าคนอื่นรู้นะ ก็จะไม่สบายใจกับสิ่งที่เราทำไป ฉะนั้น ทำดีดีกว่า
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร