xs
xsm
sm
md
lg

คลี่ชีวิต 10 บุคคล "โนเนม" หัวใจพวกคุณช่างน่ากราบ!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เพราะเราไม่ใช่ "หุ่นยนต์" เราเป็นมนุษย์ที่เติบโตเต็มศักยภาพได้ด้วยการทำงาน ทว่าในความเป็นจริง ระบบการทำงานที่ใครหลายคนกำลังเผชิญ กลายเป็นสิ่งที่ซ้ำเติมความทุกข์จนลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ลงไป ไม่แปลกที่ "ไฟ" ในการทำงานจึงค่อยๆ หมดไป จากแรงบันดาลใจที่เคยมีเมื่อเริ่มทำงานใหม่ๆ ก็หมดมอดไปอย่างรวดเร็ว

แต่เชื่อหรือไม่ว่า 10 บุคคลที่จะเขียนถึงต่อไปนี้ พวกเขามองข้อจำกัดต่างๆ ของระบบเป็นสิ่งที่ท้าทายเพื่อจะก้าวข้ามอุปสรรคไปได้ แม้จะไม่ใช่ดารา คนดัง หรือเป็นที่สนใจของสื่อมากนัก แต่ในความเป็นคนตัวเล็กๆ ที่มีชีวิต และมุมคิดดีๆ ก็อดไม่ได้ที่จะต้อง "บอกต่อ" เพื่อให้ "คนทำงาน" เหล่านี้ เป็นตัวอย่างของการทำงานที่มีคุณค่า มีความหมาย และมีความสุขให้กับทุกครอบครัวต่อไป

ผอ.ขี้ขอ พ่อพระของเด็กดอย





ด้วยความเป็นครูที่ต้องการให้เด็กทุกคนได้เรียนหนังสือ หลังจากย้ายมาที่โรงเรียนบ้านแม่เงา ต.แม่สวด อ.สบเบย จ.แม่ฮ่องสอน "ผอ.ศรีใจ วงศ์คำลือ" ทุ่มเททำทุกวิถีทางเพื่อให้เด็กชาวเขาได้เข้าสู่ระบบโรงเรียน แม้จะเดินเข้าป่าไปตามเด็กๆ ที่ช่วยพ่อแม่ในไร่ ผอ.คนนี้ก็ทำ


นอกจากนั้น ยังต้องก้าว "ความอาย" เข้าเมืองไปตลาดเพื่อหาซื้อวัตถุดิบในการทำอาหาร เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่เป็นเด็กไม่มีสัญชาติ ไม่ได้เงินสนับสนุนอาหารกลางวันจากรัฐ เวลาเห็นพืชผัก ผลไม้ที่พ่อค้าแม่ขายทิ้งขว้างก็ไม่รีรอที่จะขอมาให้เด็กทันที หรือแม้กระทั่งถังสังฆทานจากวัด รวมไปถึงร้านขายของชำของภรรยาก็ไปขอเชื่อสินค้าเพื่อนำของมาใช้ในโรงเรียน


"เห็นเด็กทุกข์ เขาด้อยโอกาสก็อยากให้โอกาส เราสร้างโอกาสทางการศึกษาให้เข้าได้ เอาลูกเขามาดูแลแล้ว ต้องดูแลให้ดีที่สุด" ผอ.ฉายาขี้ขอให้คำมั่น


ชีวิตนอกกะลาของ "อ.วิเชียร"





ไม่มีการสอบ ไม่มีเสียงออด เสียงระฆัง ไม่มีดาวให้ผู้เรียน ไม่ต้องใช้แบบเรียน ไม่มีครูอบรมหน้าเสาธง ไม่จำกัดลำดับความสามารถของผู้เรียน ครูสอนเสียงเบาที่สุด และพ่อแม่ต้องมาเรียนรู้ร่วมกับลูก...เป็นโรงเรียนที่ "วิเชียร ไชยบัง" ต้องการให้เด็กได้เรียนอย่างมีความสุข และอยากให้โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา เป็นโรงเรียนนอกกะลาตัวอย่างให้กับโรงเรียนอีก 3 หมื่นกว่าแห่งในชนบท


ด้วยความที่อยากเห็นการศึกษาตอบโจทย์ของการพัฒนาความเป็นมนุษย์ จึงเป็นสาเหตุของการลาออกจากราชการในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารโรงเรียนเพื่อสร้างโรงเรียนนอกกะลาแห่งนี้


"1. ผมมองอนาคตของตนเองจากเพื่อนผู้บริหารที่ไม่รู้จะทำอะไรหลังเกษียณอายุราชการ กลายเป็นชีวิตที่เหี่ยวเฉามาก 2. ได้มีโอกาสเข้าไปร่วมช่วงปฏิรูปการศึกษา และมองกลับไปที่โรงเรียน เห็นว่าเด็กที่เรียนไม่ผ่าน ติด ร. ติด มส. เด็กจะถูกทอดทิ้ง ไม่มีอะไรดึงเด็กกลับขึ้นมา และ 3. ตอนอยู่ ม.2 เคยเฉียดความตายจนรอดชีวิตมาได้ ทำให้มีการตั้งเป้าหมายชีวิตว่าจะอยู่ถึงอายุ 70 ปี และขอตายอย่างมีคุณค่า" เขาให้เหตุผลในการออกมาทำโรงเรียนแนวใหม่ พร้อมกับฝากแง่คิดสะกิดใจไปถึงคนทำงานทุกๆ ครอบครัว


"อย่าลืมตัวเอง ลืมตัวเอง หมายถึง เมื่อเวลาผ่านไป เราย้อนนึกถึงสิ่งที่เราทำในอดีต เราไม่มีอะไรจดจำได้เลย เราจะเสียใจมาก ต้องทำสักอย่าง ต้องทำให้ไม่ลืมตัวเอง มีสิ่งที่จดจำ มีความภูมิใจในสิ่งที่มีความหมาย ไม่เช่นนั้น เราจะตายเปล่า ถ้าเราลืมตัวเอง" ผอ.วิเชียรฝากให้คิด

ช่างเชื่อม สไตล์ "ครูจิ๋ว"




จากเด็กบ้านแตกสาแหรกขาด แถมเผชิญกับความกดดันจากความยากจน ทำให้ "ครูจิ๋ว-ทองพูล บัวศรี" ผู้จัดการโครงการครูข้างถนนและเด็กก่อสร้าง มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก เข้าใจถึงจิตใจของเด็กที่อยากเรียนแต่ไม่มีทุนทรัพย์ จึงเป็นที่มาของการสมัครเป็นครูอาสาตามโครงการก่อสร้างต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ติดตามพ่อแม่ไปทำงานก่อสร้าง และไม่มีโอกาสเข้าเรียนในโรงเรียน


แม้ความไว้วางใจกับพ่อแม่จะเป็นเรื่องยาก แต่ครูที่เปรียบตัวเองเหมือนเป็น "ช่างเชื่อม (โอกาส)" คนนี้ก็ไม่ย้อท้อ เพราะเชื่อว่าการให้โอกาสและความรู้ คือการให้เด็กมีจิตสำนึกที่ดีงาม และมีทางเดินแห่งอาชีพที่พวกเขาเลือกเดินได้ นี่คือเคล็ดลับในการสร้างพลังใจสไตล์ครูจิ๋ว


"เราต้องสู้กับปัญหา วันนี้แก้ไม่ได้ พรุ่งนี้อาจจะถึงเวลาของเรา ดังนั้น คนทำงานต้องสร้างแรงบันดาลใจ สร้างพลังของตนเองขึ้นมา แล้วนำพลังเหล่านี้ไปส่งต่อให้คนอื่น ถามว่าชีวิตมีท้อไหม มีค่ะ ทั้งท้อ ทั้งเหนื่อย แต่การสร้างพลังใจให้ตัวเองด้วยการสร้างกำลังใจ และให้โอกาสเด็กๆ นี่คือความสุขของครู ความสุขที่ได้ดูแลเด็กๆ แม้จะเหนื่อย แต่ก็มีความสุขกับมันได้เสมอ เพราะมันคืองานที่รัก" ครูจิ๋วบอก


เขาคือ "แพทย์เดินเท้า" แห่งอมก๋อย





"เบาหวาน" เป็นจุดเปลี่ยนให้ "หมอเล็ก-นพ.ประจินต์ เหล่าเที่ยง" ตัดสินใจปิดคลินิก เพราะไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิต แม้จะมีเงิน แต่สุขภาพกลับทรุดลง จึงย้ายไปบรรจุอยู่อมก๋อย เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลอมก๋อย ก่อตั้งโครงการแพทย์เดินเท้า ช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยการเดินเท้าเข้าไปรักษา โดยมีหลักคิดจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมถึงสมเด็จพระเทพฯ ที่ทรงทำงานด้วยความยากลำบาก ไม่หวังผลตอบแทน ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระจันทร์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา


ทุกวันนี้ "เหนื่อยแต่ไม่ท้อ เป็นหมอต้องเอาชนะปัญหาได้ทุกอย่าง" คือคติประจำใจในการทำงานของหมอเล็ก ถามว่าทำไมต้องทำ คุณหมอบอกว่า "เขาเป็นคน ฉะนั้นเขาก็มีศักดิ์ศรีของความเป็นคนอยู่ ถ้าเราเคารพตรงนี้ เราก็ช่วยเหลือกันได้" นอกจากนั้นยังได้ขยายความต่อไปว่า


"หากปล่อยให้คนต้องมาตายเพียงเพราะเขาไม่สามารถเดินทางมาโรงพยาบาลได้ เป็นเรื่องที่ไม่สมควร เนื่องจากเขาเหล่านั้นเป็นคนเช่นเดียวกับเรา ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานะไหน มีสัญชาติหรือเชื้อชาติอะไร คนเมื่อเจ็บป่วยก็ต้องมีหมอไปช่วยรักษา" นพ.ประจินต์บอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


"หมอตุ่ย" หัวใจเพื่อมวลชน





ได้ชื่อว่าเป็นแพทย์ที่อุทิศตนให้กับเพื่อนมนุษย์ผู้ห่างไกล สำหรับ "หมอตุ่ย-นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์" ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก คุณหมอที่รักษาทุกคน ทุกเชื้อชาติด้วยมาตรฐานเดียวกัน เพราะเขาบอกกับตัวเองอยู่ตลอดว่า "ชาวบ้านเขาก็เป็นคนเหมือนเรา เจ็บป่วยมา ไม่มีสิทธิ แล้วไม่รักษา คงจะไม่ได้หรอก ผมต้องช่วยคน อย่าว่าแต่คนเลย หมาคลอดลูกไม่ออก เราก็ผ่าตัดทำคลอดให้"


ด้วยคุณงามความดี และผลงานที่ปรากฏ ทำให้ได้รางวัลผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชนดีเด่นประจำปี 2537 รางวัลแพทย์ชนบทดีเด่นประจำปี 2538 และรางวัลแพทย์ดีเด่นในชนบทประจำปี 2551


"การทำงานของคนเราก็มันเหมือนเป็นเส้นกราฟ มีความสุข ทุกข์ ปัญหา มีอุปสรรค แต่สิ่งที่ผมไม่เคยทิ้งเลยก็คือ ใช้ใจในการรักษาคนไข้ ทำตัวเองให้มีประโยชน์ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ความมุ่งมั่น เวลาที่เหนื่อย เราก็นอนพักไป ตื่นนอนขึ้นมาแล้วค่อยเดินหน้าต่อไป" หมอตุ่ยให้หลักคิด


"เกื้อจิตร" นางฟ้าของผู้ป่วยระยะสุดท้าย





มีงานประจำเป็นหัวหน้าตึกศัลยกรรมกระดูกพิเศษ โรงพยาบาลบุรีรัมย์ แต่เนื้องานที่ "เกื้อจิตร แขรัมย์" ต้องรับบทหนักที่สุดก็คือ การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายให้พร้อม และยอมรับการเผชิญหน้ากับสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจหลีกหนีพ้น นั่นก็คือ "ความตาย" ดังนั้น หากไม่ติดธุระออกนอกพื้นที่ เกือบทุกคืน เธอจะพาคนไข้สวดมนต์ก่อนนอน เพื่อชวยให้คนไข้ค่อยๆ พาตัวเองออกจากความทุกข์ ความกังวลเรื่องโรคภัยที่เป็นอยู่


"พี่เป็นเด็กบ้านนอก เข้าใจสภาพเวลาญาติเราป่วยไข้ดี แล้วก็เป็นพยาบาลที่เคยเป็นคนไข้ด้วย พี่รู้ว่าเวลาคนเราป่วยนั้น ไม่ได้ป่วยทางกายอย่างเดียว ใจมันป่วยด้วย มันว้าเหว่ เคว้งคว้าง อ่อนแอ คำพูดคำจา ท่าทีของหมอ พยาบาลจึงสำคัญสำหรับคนไข้มาก" พยาบาลเกื้อจิตรบอก ก่อนเผยให้ฟังต่อไปถึงความท้อแท้ว่ามีเข้ามาเหมือนกัน


"ในระบบงานอาจมีท้อบ้าง แต่เนื้องานไม่เหนื่อยเลย เห็นคนไข้ เห็นญาติมีความเปลี่ยนแปลง เราก็ดีใจ และมีความสุขที่จะทำงาน แม้บางครั้งจะเจอคำถามว่าทำทำไม มันไม่ใช่ แต่เราจะทำซะอย่าง อีกส่วนที่ทำให้งานมีความสุขก็คือ ความรัก ความเมตตาต่อกัน ไม่เอาความดีใส่ตัวคนเดียว ดังนั้น งานสร้างคน คนสร้างสิ่งแวดล้อม และคนทำงานให้มีความสุข" พยาบาลเกื้อจิตรบอกด้วยน้ำเสียงแห่งความสุข


เธอคือคนปลดโซ่ตรวนผู้ป่วยจิตเวช




"ช่วยปลดโซ่ตรวนผู้ป่วยจิตเวชที่โดนตรวนมา 24 ปี" นี่คือความภูมิใจของ "ณัฐกานต์ เหมือนตา" พยาบาลวิชาชีพและนักจิตเวช รพ.สต.ส้มป่อย ศรีสะเกษ ซึ่งการช่วยเหลือ ไม่ใช่กระบวนการรักษาอย่างเดียว แต่พยายามหาแนวร่วม การยอมรับจากชุมชน และทลายจารีตประเพณีจนค่อยๆ หายไปจากชุมชน


ด้วยการรักษาที่มองความเป็นมนุษย์ของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มองเห็นสายใยความสัมพันธ์ของคนในชุมชนอย่างเข้าใจถึงรากเหง้าชุมชน และความสุขที่เห็นชีวิตที่ดีขึ้นของคนในชุมชน เป็นสิ่งที่ทำให้ รพ.สต.ส้มป่อย เป็น รพ.สต.ใกล้บ้าน ใกล้ใจอย่างแท้จริง


"ความอดทนแม้เป็นสิ่งที่ขมขื่น แต่ผลของมันมักหวานชื่นเสมอ อย่าให้เสียงของคนอื่น มาเอาชนะเสียงภายในของตัวเราเอง ส่วนตัวเคยท้อ ร้องไห้ เพราะความกดดัน คนในครอบครัวไม่อยากให้ยุ่ง เพราะกลัวจะเดือดร้อน แต่ก็ไม่ท้อ เดินหน้าต่อจนสามารถทำให้เขามาใช้ชีวิตปกติได้อย่างมีความสุข มีชีวิตคู่ มีลูกตัวน้อยๆ" ณัฐกานต์บอก


"แอปเปิ้ล" เปลี่ยนจากกลัว เป็นกล้า





อยู่ในสายงานที่แวดล้อมไปด้วยผลกระทบจากความรุนแรง ความขัดแย้ง และการทารุณกรรม เช่น เด็กโดนทำร้าย ถูกพ่อแท้ๆ ข่มขืน ทำให้ "วรภัทร แสงแก้ว" หรือแอปเปิ้ล หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมสวัสดิการสังคมศูนย์พึ่งได้ รพ.ปทุมธานี นั่งดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องเข้าไปช่วยเหลือ เพราะหมอ พยาบาลบางคนไม่กล้านำตัวเองเข้ามาเสี่ยง แถมยังพูดสวนกลับด้วยว่า "ไม่ใช่หน้าที่" "ทำ ทำไม เป็นภาระของโรงพยาบาล" "อยากได้ลูกปืนเป็นของแถมหรือไง"


แม้จะเจอแรงกดดัน แต่ก็ไม่ท้อ เปลี่ยนจากความกลัว เป็นความกล้า แล้วหาตัวช่วย เช่น ตำรวจ ศาล อัยการ จากนั้นเผชิญหน้าอย่างมีสติ ทำแบบแนบเนียน ไม่เผชิญหน้าโดยตรง มุ่งมั่นช่วยเหลือเด็ก และสตรี เพราะมองเห็นคุณค่าของงานที่ทำว่ามีความหมายต่อผู้ถูกกระทำอย่างไร


"ระบบไม่เอื้อ ตัวเราต้องเปลี่ยนแปลง ทำให้เต็มที่ ถ้าทำดีไม่เห็นต้องกลัวอะไร ทำดีไม่ได้ดีก็ให้มันรู้กันไป สุดท้ายที่ทำทั้งหมดก็ได้รับการยอมรับ แถมยังเป็นต้นแบบให้หน่วยงานต่างๆ รวมไปถึงเด็กที่เคยช่วยเหลือเมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันสอบติดคณะแพทยศาสตร์ ม.มหิดล นี่คือแรงบันดาลใจให้ก้าวต่อไป เวลาเจอปัญหาหนักๆ ก็จะนึกย้อนเรื่องราวของเคสต่างๆ บางเคสเจอหนักกว่าปัญหาที่เรามีอีก" แอปเปิ้ลเผย


ชีวิตที่มากกว่าแค่นักกายภาพบำบัด





"ไม่สนนโยบาย ไม่สนเงิน จะทำซะอย่าง" พร้อมยืนยันว่า "ไม่มีคนไข้คนไหนที่เข้าไม่ถึงบริการของผม" เป็นสโลแกนในการทำงานของ "สมคิด เพื่อนรัมย์" นักกายภาพบำบัด โรงพยาบาลท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์ ผู้ทุ่มเทใช้ความรู้ฟื้นฟูชีวิตคนพิการให้กลับมีคุณค่าความเป็นมนุษย์


ชีวิตการทำงานของผู้ชายคนนี้ เปรียบเสมือนสายน้ำ ไม่ใช่เป็นน้ำแค่ในบ่อ แต่เป็นสายน้ำที่ไหลไปถึงผู้ป่วย ดังนั้นหัวใจในการทำงานของเขา ไม่ใช่นั่งรอผู้ป่วยอยู่แต่ในห้องแอร์ แต่คือการลงพื้นที่ไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยด้วยหลักคิด 4 ประการคือ 1. ทุกครั้งที่ออกไป คนไข้จะต้องดีขึ้น (กาย จิต สังคมและปัญญา) 2. ให้ความรู้ครอบครัว ช่วยเยียวยาคนในบ้าน 3. สร้างเครือข่าย 4. ต้องเก่งขึ้นทุกวัน ไม่มีความรู้เรื่องยา ก็ต้องไปฝึกฝน เรียนรู้เรื่องยา


"ชีวิตที่มีคุณค่า ไม่ใช่ชีวิตที่ร่ำรวย อายุยืนหรือมีชื่อเสียง แต่ชีวิตที่มีคุณค่าคือการที่เราทำตัวเราให้มีคุณค่า และทำให้ชีวิตผู้อื่นมีคุณค่าด้วย อย่างผู้ป่วยรายหนึ่งมีความพิการหนักมาก อยากยกแขนได้ เพื่อจะได้กอดแม่ ได้ยินแบบนี้ บอกกับตัวเองทันทีว่า เขาจะเคยเป็นอย่างไรมาก่อน มีชีวิตอย่างไรมาก่อนเราไม่สนใจ เราสนใจตั้งแต่วันที่เราเจอเขา เขาจะดีขึ้นได้อย่างไร แล้วเขาจะต้องดีขึ้นๆ" สมคิดบอกด้วยความมุ่งมั่น


"เกษม" สง่างามในวิถีที่เป็น





30 ปีบนเส้นทางการทำงาน "เกษม เผียดสูงเนิน" เจ้าหน้าที่ประจำ รพ.สต. อ.ลำสนธิ จ.ลพบุรี มุ่งมั่น ทุ่มเท และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ ที่ผ่านเข้ามา จากสถานีอนามัยที่ชาวบ้านมองข้าม สู่ความไว้วางใจของคนในชุมชน และเป็นความภูมิใจของโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพระดับตำบลที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย


"มีเสียงบ่น เสียงเหน็บแนมตลอดเวลา ว่าสถานีอนามัยไม่ได้เรื่อง บางคนก็พูดว่าอาหารที่จัดมาเลี้ยงไม่ต่างอะไรกับให้ วัว ให้สัตว์ต่างๆ กิน ประตูห้องน้ำก็ล็อกไม่ได้ เสียงสบประมาทในวันนั้น ผมเอามาเป็นพลัง และลุกขึ้นมาพัฒนา" สอดรับกับหลักปรัชญาในการทำงานที่ว่า "ให้เข้ามาหาเราเพราะเชื่อมั่นและศรัทธาแต่อย่าให้เข้ามาเพราะไม่มีทางเลือก"


ความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้ มาจากแรงบันดาลที่มีพื้นฐานของการมองเห็นคุณค่าจากงาน และความเป็นพี่เป็นน้องของผู้ชายคนนี้นั่นเอง 
"อย่าเอาความขาดแคลนมาเป็นข้ออ้าง แต่จงเอาความขาดแคลนมาทำให้งานนั้นมีประสิทธิภาพ" เจ้าหน้าที่ในวัย 49 ปีทิ้งท้าย แม้จะมีโอกาสไปทำงานในที่ที่ดีกว่า แต่เขาขอยอมสง่างามในวิถีที่เป็น และพัฒนาสร้างสรรค์งานที่ทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป

ทั้ง 10 คนทำงานบันดาลใจจาก "โครงการงานบันดาลใจ" ของสำนักวิจัยสังคม และสุขภาพ (สวสส.) นับเป็นตัวอย่างของการทุ่มเท และเป็นตัวอย่างของความไม่ยอมจำนนกับข้อจำกัดต่างๆ ทั้งยังเป็นตัวอย่างของการทำงานที่ขัดเกลา หล่อเลี้ยงความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ พร้อมเติบโตงอกงามไปกับงานที่ทำโดยไม่ปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นหุ่นยนต์ที่ทำได้แต่งานตามหน้าที่ หรือถูกสั่งให้ทำโดยไม่ต้องคิด และไม่รู้สึกอะไร


ดังที่ นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ (สวสส.) เขียนเอาไว้ในหนังสือ "คนทำงานบันดาลใจ" ว่า


"...เราไม่ใช่หุ่นยนต์ เราเป็นมนุษย์ มีความใฝ่ฝันและมีศักยภาพในการเลือก เลือกที่จะอยู่ เลือกที่จะเป็น เลือกที่จะทำตามเสียงของความเป็นมนุษย์ในตัวเรา เลือกที่จะเดินตามความฝันที่เรามี แทนที่จะยอมถูกกลืนและใช้ชีวิตสิ้นเปลืองไปกับบทละครที่เราไม่ได้มีส่วนเขียนขึ้น แต่เราเลือกที่จะทำงานที่มีคุณค่า มีความหมาย และมีความสุขได้..."


อยู่ที่ว่าคุณจะเลือกแบบไหน


//////////////////////

ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!

และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น