xs
xsm
sm
md
lg

น้ำพริกสู้ชีวิต “จอห์น มกจ๊ก” ตลกแคระบนบ่ายักษ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ยิ่งกว่าโดนยักษ์ขย้ำ หรือว่าโลกถล่มทับ
เวลาไม่กี่ปี ก็มีเหตุร้ายพรากคนรักไปทั้งสองคน
ชีวิตคล้ายหล่นลงสู่หุบเหว และพาตนแหลกเหลวในวิถีที่มืดมน
แต่วันนี้ “คนแคระคนนี้” ลุกขึ้นมาได้อีกครั้งอย่างทระนง
..ไม่เพียงโลกมิได้มีไว้ให้แบก แต่มีไว้ให้เหยียบ
หญิงร่างเล็กผู้นี้ยังพาตนขึ้นไปยืนบนไหล่ยักษ์อย่างไม่ครั่นคร้ามอุปสรรคใดๆ อีกแล้ว
…..................................................................................

"ซื้อน้ำพริกสู้ชีวิตหน่อย" หญิงชราวัยคุณยาย เอ่ยวาจาสั่งน้ำพริกจากแม่ค้าวัยกลางคน
"มีทั้งหมดกี่อย่างเอาหมด!..." คุณยายอีกคนพูดสมทบ พลางหยิบธนบัตรสีแดงจากกระเป๋าสตางค์
"ติดตามเรื่องราวมานานแล้ว ชอบ สู้ชีวิตอย่างนี้ ทำให้นึกถึงสมัยรุ่นๆ"

นี่ยังไม่นับตลอดระยะเวลาที่ใครต่อใครเที่ยวแวะเวียนมาจับจ่ายซื้อหา "น้ำพริกเพื่อชีวิต" ของอดีตดาวตลกแคระชื่อดัง "จอห์น มกจ๊ก" หรือ "ศุภาพิชญ์ บัวติ๊ก" ที่ผันตัวเองมาขายน้ำพริก หลังจากสูญเสียสามีดาวตลกแคระ โจ้ (สมชาย จันทร์เจือ) จากเหตุการณ์ปาหินเมื่อปลายปี 2547 และถัดจากนั้นไม่ถึงสองปี น้องเจนนี่ (สุภาวรรณ จันทร์เจือ) ลูกสาวผู้เป็นสักขีพยานรักระหว่างทั้งคู่ วัย 3 ขวบ 4 เดือน ก็พลันเสียชีวิตจากอุบัติเหตุไม่คาดฝัน

...คงไม่ต้องถามถึงหัวอกความรู้สึกในฐานะ 'ภรรยา' และ 'แม่' ขณะนั้นว่าจะเป็นอย่างไร เพราะไม่มีใครเข้าใจห้วงอารมณ์นั้นได้ดีเท่ากับเจ้าตัว
"ไม่เป็นเรา ไม่รู้หรอก" จอห์น มกจ๊ก เผยความรู้สึกในบางช่วงบางตอนที่สนทนากับเรา

ในขณะที่ชีวิตผ่านโมงยามแห่งความผิดหวัง ผิดพลาด รวมไปถึงความสุขก่อนหน้า ชีวิตหลังกระปุกน้ำพริก 5 รสชาติ ความเผ็ดแสบจี๊ดจ๊าดถึงทรวงคือรสอันโอชะชั้นดีที่นำไปสู่การตกตะกอนทางความคิด ถึงขั้นที่ว่า 'ปลง'

ในวันวัย 47 จอห์น มกจ๊ก กับน้ำพริกสู้ชีวิต คือภาพแรกๆ ที่ทำให้เรารู้สึกสนอกสนใจในตัวตนของอดีตดาวตลกแคระชื่อดัง บวกด้วยรสชาติในเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าขายดีเป็นเท่น้ำเทท่า ยิ่งทำให้เราอยากก้าวเข้าไปเพื่อสนทนาด้วย

อะไรคือเคล็ดลับตำรับสู้ชีวิตน้ำพริกจอห์น
อะไรคือมวลสารความคิด
เชิญเปิบให้ถึงเครื่อง
คลุกเคล้าราวเรื่องชีวิตของเธอคนนี้ไปพร้อมๆ กัน...

อยู่ที่รู้จักปล่อยวาง...
"เริ่มขายจากลูกเสียได้ 2 ปี เพราะเราไม่มีเงินทำบุญ ก็เลยคิดทำน้ำพริกขึ้นมาขาย เพื่อจะได้มาซื้อสังฆทาน ตักบาตรถวายพระ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เขา" อดีตดาวตลกแคระ บอกกล่าวเล่าย้อนถึงเหตุผลที่ริเริ่มตำน้ำพริกขายอย่างจริงจัง จนกระทั่งตอนนี้ หากนับระยะเวลาก็ร่วมหกปีเข้าไปแล้ว

"จำได้ว่าครั้งแรกเลยไปนั่งขายที่สะพานลอยแถวรามคำแหง ไปขายทั้งๆ ที่เงินทุนเราก็ไม่มี ก็ต้องไปเซ็นของเขาไว้ก่อน แล้วเราก็มีกล่องไปตั้งขอรับบริจาคซื้อสังฆทาน ตั้งแบบไม่อายเลย ตอนนั้นที่ขายก็ได้เงินมาสี่พัน เพราะลงของไปประมาณสองร้อย แต่คนช่วยบริจาคได้หมื่นห้า ที่คนช่วยก็เอาไปซื้อสังฆทานเก้าชุด กับใส่ซองปัจจัยให้พระ"

และจากการจับพลัดจับผลู ไม่มีแม้ความอาย ไม่มีแม้กระทั่งชื่อเสียงดาวตลกอย่างที่เคยมีแต่หนหลัง มีเพียงสิ่งเดียวที่มุ่งมั่นคือเพื่อส่งผลบุญให้ลูกน้อยในภพภูมิหลังความตายเพียงเท่านั้น แต่เหมือนกับว่ากุศลจิตและบุญทานที่อุทิศให้แด่บุคคลอันเป็นที่รัก ได้นำพาชีวิตที่กำลังมืดหม่น พลิกกลับสู่แสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง...

"พอเราไปตั้งขาย ก็มีคนเอาไปบอกกันแบบปากต่อปากว่าเราขายน้ำพริกอยู่ตรงนั้น ทำให้มีคนมาช่วยอุดหนุน ก็ต้องขอบคุณที่ทุกคนช่วยเหลือ ชีวิตมันเริ่มต้นใหม่จากตรงนั้นจริงๆ เพราะหลังจากนั้น เราก็สู้มาเรื่อยๆ จนถึงวันนี้ ก็ตระเวนขายตามงานวัด งานเทศกาล มีอะไรที่ไหนก็ไป

"เราไม่รู้สึกว่ามันน่าอาย เพราะเราไม่ได้ขอใครกิน เราทำน้ำพริกของเราเอง คนเขาก็มาถามว่าไม่อายเหรอ เราก็อ้าวจะอายทำไม เรามานั่งขายของ จะอายทำไม เราไม่ได้ทำอะไรผิด เรามีมือมีเท้ามีตา เราครบปกติ แต่แค่เราไม่สูงเฉยๆ"

"วันเวลามันผ่านไปเร็ว..." จอห์น มกจ๊ก พาเราย้อนกลับไปสู่ความหลังครั้งกระโน้นอีกหนึ่งห้วง เมื่อครั้งไม่เหลือใครให้แลเหลียว เราจึงได้ยินได้ฟังข่าวคราวช่วงชีวิตของจอห์นในวันนั้น ข้องเกี่ยวกับอบายมุขและการพนัน เดินหักเหชีวิตไปในทิศทางไม่สู้ดีนัก

"เพราะเราเหมือนมืดไปหมดทุกด้าน คือเราไม่เอาอะไรแล้ว อย่างข่าวเรื่องเล่นไพ่ เรายอมรับว่าเล่น ตอนที่เสียลูกไป แต่เรื่องเหล้ายาไม่ยุ่ง ไม่มี ไม่เคยคิด ที่เราไปเล่น มันก็เพราะความเพลิดเพลินทำให้ไม่คิดมาก พูดถึงชีวิตช่วงนั้นแล้วมันก็สุดๆ ใครจูงจมูกก็ไปกับเขาหมด เชื่อเขาหมด

"ดังนั้น คนจะมองว่าจอห์นไม่ดีก็ได้ มองแง่ลบอย่างเดียวก็ได้ ไม่ต้องมองแง่บวก คนเราอ่ะจะดีไปทุกอย่างเป็นไปไม่ได้ มันมีผิดพลาดทุกคน แต่เราอยากให้ตัดสินชี้วัดที่ปัจจุบัน อดีตไม่ต้องพูดถึง ทุกวันนี้แค่นั้น จอห์นขอแค่นี้

"เพราะมันไม่มีใครรู้ซึ้งถึงความรู้สึกเราในวันนั้นได้ดีเท่ากับเรา เราไม่เหลือใคร ใครๆ ก็ถามว่าเป็นยังไง หายเจ็บหายปวด หายโศกเศร้าหรือยัง อยู่คนเดียวเป็นอย่างไร อยู่ได้ไหม เราก็อยากให้คนรู้ว่าความรู้สึกเราเป็นอย่างไร หลังจากที่ทำน้ำพริก เราก็เลยยึดเอาตัวนี้เป็นตัวแทนความรู้สึกของชีวิตเรา ใครกินก็จะรู้ว่ารสชาติมันแซ่บทรวง นั่นแหละคือชีวิตของจอห์น"

"ระวังแซ่บหลาย..." จอห์นว่าแซมยิ้มพร้อมกับชี้ไปที่ข้อความคำเตือนที่เขียนกำกับใต้รายการของน้ำพริกทั้ง 5 รสชาติที่กลั่นสกัดออกมาจากรสชาติของชีวิต เป็นการยืนยัน
"นรกก็หน้าตาอย่างนี้ คล้ายๆ ที่เห็นในกระปุกน้ำพริก แดงๆ ปนดำ จัดจ้าน เหมือนชีวิตตอนนั้น ตอนที่เราเป็นบ้า ตอนที่ปล่อยวางไม่ลง เครียด เราจะทำอะไรยังไง ไปไม่ถูก มีแต่อารมณ์ชั่ววูบ โกรธแค้นแต่คนที่ทำร้ายแฟนเรา

"คือชีวิตตอนนั้นเหมือนทำอะไรก็ติดๆ ขัดๆ ไปหมด จนวันหนึ่งเรานึกอย่างไรก็ไม่รู้ เราตัดสินใจที่จะโทร.ไปหาศูนย์เด็กเยาวชนหมู่บ้านกาญจนา ที่ศาลายา ให้ช่วยอภัยโทษเด็กคนนั้น เพราะคิดว่าเผื่อชีวิตมันจะดีขึ้น เพราะเราไม่รู้ว่าจะจองเวรจองกรรมไปทำไมอีก โจ้เขาก็ตายไปแล้ว เราโกรธแค้นไป คนตายก็ไม่ฟื้นอยู่ดี แล้วอีกอย่าง การที่เราอภัยให้เขา เราก็อยากจะให้บุญไปถึงโจ้ด้วย อยากให้เขาสบาย ไม่อยากให้มีเจ้ากรรมนายเวรมาเกาะเราอีก

"แล้วชีวิตมันก็ดีขึ้นจริงๆ จากตอนแรกที่เราไม่มองหน้าเขาเลยตั้งแต่วันที่ก่อเหตุ จนวันนั้นที่เราขออภัยโทษ เขาเข้ามากอดเรา เราก็รู้สึกในวินาทีแรกเลยว่า ที่เราอมทุกข์อมโศกอยู่ตั้งนาน มันออกไปหมดเลย จากคนที่ไม่กล้ามาก เราก็กล้าที่จะทำโน่นทำนี่ เราไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ใครจะพูดอย่างไร เราก็ไม่สนใจ เราไม่เก็บมาคิดมาก เราไม่ได้ทำอะไรให้เขาไม่ดี แล้วเขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้เราไม่ดี เราคิดอย่างนั้น มันถึงสบายใจ มันทำให้เรารู้ว่าทำดีไม่ต้องคอยให้คนอื่นเห็น เพราะข้างบนเขาเห็น แล้วเขาจะให้สิ่งดีๆ นำสิ่งดีๆ กลับมาเอง หนึ่งใจบริสุทธิ์และทำดีแค่นั้น อะไรก็สู้เราไม่ได้ เราถึงสบายใจ เขาถึงเรียกว่าปล่อยวาง

"ตอนนี้ก็อยู่ตัวแล้ว พอคิดทุกอย่างได้ ปล่อยวางได้ ก็มีความสุขกับชีวิต มีแต่ความสบายใจ อยู่กินไปวันๆ ไม่สนใจกับอะไรแล้ว เพราะไม่รู้จะหาเพื่อใคร แต่ก่อนหาเพื่อลูกเพื่ออะไร แต่เดี๋ยวนี้เราเหลือชีวิตเดียว ก็หาเก็บแค่ยามเจ็บป่วย พอเพียงเหมือนที่พ่อหลวงสอน นอกนั้นก็ทำบุญ ใส่บาตร ชาติหน้าเจ้ากรรมนายเวรจะได้ไม่ต้องตาม (หัวเราะ) ขอชาตินี้ชาติเดียวพอ ชาติหน้าห้ามตามมาอีกนะ ตามมา โดน"

คำว่า "โศกเศร้า" มลายหายไปจากพจนานุกรมชีวิต แม้ว่าจะมีอยู่เพียงลำพังในวันนี้ แต่จอห์นก็เลือกที่จะสู้ เลือกที่จะมีชีวิต ไม่เลือกที่จะใช้วิธีลัดพบจุดจบ ยังคงเลือกที่จะชดใช้เจ้ากรรมนายเวร เสมือนรอคอยวันที่ได้พบคนที่รักโดยปราศจากอุปสรรคเหมือนชาตินี้หลังม่านชีวิตปิดฉากลง

เพราะชีวิตสั้น "จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด"

"ทันทีที่พี่ชาวคณะกลับมาแล้วบอกว่า โจ้เสียชีวิตแล้ว ทุกอย่างมันก็พังทลาย เราช็อกเป็นลมล้มสลบตรงนั้นเลย..." จอห์นเล่าย้อนถึงวินาทีที่ทราบข่าวการจากไปอย่างไม่มีวันกลับมาของสามี ซึ่งแทบไม่ต่างกับเหตุการณ์หลังจากนั้นอีกสองปีเศษ ที่เธอต้องพบกับความสูญเสียจนสิ้นเนื้อประดาตัวผู้คนอันเป็นที่รักในชีวิต

"คือเราไม่มีพ่อมีแม่ พอมีครอบครัว เราก็หวังจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นมีความสุข ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่คิดฝันว่าจะมีครอบครัวเหมือนกับคนอื่นเขา แต่แล้วเราก็ได้มีครอบครัว ตอนนั้นเราคิดกันไว้ว่า ถ้าเราเก็บเงินได้สักก้อน ก็จะกลับไปอยู่บ้านโจ้ที่ต่างจังหวัด จะไปเปิดร้านขายของเล็กๆ สร้างบ้านเล็กๆ ซื้อดินถมที่ทางเรียบร้อย แม่โจ้ยังบอกเลยว่าเอาดินมาถมแล้วเดี๋ยวแม่ทำให้ เราวางอนาคตไว้หมดแล้ว แต่พอโจ้ไป เราก็ใจสลายไปเลย เราก็ไม่คิดจะไปไหนอีกเลย"

พ.ศ.2545 ทั้งคู่ตกลงปลงใจร่วมใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งของกันและกัน ชีวิตดำเนินไปอย่างสวยงาม ไม่มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจหรือทะเลาะเบาะแว้งเหมือนคู่อื่นๆ มีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้ม
พ.ศ.2546 โจ้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุวัยรุ่นคึกคะนองปาหิน
จอห์นย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่จังหวัดปทุมธานี เพื่อหลีกหนีความเจ็บปวด และพยายามเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทว่าได้ไม่นาน...
พ.ศ.2547 น้องเจนนี่ลูกสาววัย 3 ขวบ 4 เดือน ก็ประสบอุบัติเหตุรถกระบะทับอาการสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

นาทีนั้นเชื่อว่า หญิงร่างเล็กที่ใครๆ ต่างเรียกขานว่า "คนแคระ" ต้องพบเจอกับความใหญ่โตของโลกจนเรามิอาจคาดคะเนนับความรู้สึกเหล่านั้นได้ เพราะเมื่อถามย้อนถึงเหตุการณ์ในวันนั้นๆ เราสัมผัสได้ถึงภาพความทรงจำอันเป็นเหมือนฝันร้ายค่อยๆ ไล่เรียงสลับเรื่องราวในแววตาของเธอ

"ถ้าย้อนกลับไปได้นะ คือเราก็อยากจะอยู่ด้วยกัน ใช้เวลาด้วยกัน เพราะตอนนั้น เราก็มัวแต่ทำงาน โจ้ก็เล่นตลกก็กลับบ้านดึก เราก็ดูน้องเจนนี่อย่างเดียว คือเขาทำงาน ให้เราเลี้ยงลูก เราก็คิดว่าเราดูแลเขาได้ไม่เต็มที่ เพราะโจ้เป็นคนไม่คล่อง จอห์นจะคล่องกว่า เราก็ช่วยเขาแต่งตัว ดูแลทุกอย่างในบ้าน ล้างรถ อย่างเวลาโจ้จะกลับมา เราก็จะเตรียมกับข้าวให้เขากินตอนกลางคืน พอเขาอาบน้ำ เราก็อุ่นอาหารรอให้เขากินได้เลยตอนนั้นก่อนนอน มันมีความสุขมาก ภาพตอนที่เรากินข้าวด้วยกัน 3 คน ภาพโจ้กำลังป้อนข้าวน้องเจนนี่ ที่กำลังร้อง "ป๊ะป๋า หม่ำๆ" มันยังอยู่ในความทรงจำเราอยู่เลย นึกทีไรก็คิดถึง"

แม้ระยะเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจะแสนสั้นและผ่านมาราวร่วมสิบปีแล้วก็ตาม แต่จอห์นยังจำเรื่องราวความทรงจำได้อย่างไม่เคยลืมเลือน ภาพครั้งแรกที่โจ้หยอกเย้าเข้ามาเป็นฝ่ายขายขนมจีบโดยที่ตัวเองไม่ได้ชอบพอเลยสักนิด ยังคงเป็นเรื่องชวนอมยิ้มในความรู้สึกเสมอไม่เปลี่ยนแปร

และในทุกๆ เช้าที่ลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่ต้องทำคือการมองดูรูปถ่ายครั้งมีชีวิตพลางพูดคุยทักทายกับพ่อโจ้และลูกเจนนี่ เพราะจอห์นยังคงรู้สึกว่าทั้งคู่ยังคงอยู่กับเธอตลอดเวลา โดยเฉพาะน้องเจนนี่ ที่มักจะแวะเวียนมาหาอยู่เสมอๆ

"เราสัมผัสได้บางที อย่างนอนกลางวัน เราหลับๆ อยู่ เขาก็มาเป่าหู เล่นหูเรา (ยิ้ม) เราก็จะบอกว่าแม่ขอนอนก่อน ลูกไปวิ่งเล่นก่อนไป ก็แซวกันเล่นๆ บางทีเราเหนื่อยๆ กลับมาบ้าน เราก็เล่นกับรูปภาพ พูดแหย่เหมือนสมัยอยู่ด้วยกัน "เป็นไงบ้าง พ่อกับลูกสองคนไปแล้วเนี่ยสบายไหม" "มีเงินใช้ไหม ไม่มีเอาบัตรเอทีเอ็มมา เดี๋ยวโอนไปให้" "แล้วโทร.ไปทำไมไม่รับสาย" ประมาณนั้น เราก็แกล้งพูดกับเขา

"คือคนอื่นอาจจะมองว่าเราคิดไปเองก็ไม่เป็นไร คนอาจจะมองว่าเราคิดไปเองก็ช่าง เรามีความสุขที่ได้คิดได้รู้สึกถึงเขา

"เราไม่คิดว่าชีวิตมันจะแปรผันเร็วขนาดนั้น ตอนแรกที่เขาไป มันกระชั้นชิด เรายังไม่ทันได้กล่าวคำอำลากันสักคำเลย ไม่มีเหตุการณ์ล่วงหน้าเลย เขาแค่ไปเล่นตลกแล้วเขาก็จากไป"

"จอห์น เราเดินสายวันนี้นะ แค่นั้น..." จอห์นเผยถึงเสียงปลายสายประโยคสุดท้ายในวันนั้น ที่ยังตราตรึงถึงการจากไป ทั้งๆ ที่เธอยังคิดว่ายังดูแลทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์

"เราอยากย้อนเวลากลับไปตรงนั้น ถ้าถามความรู้สึกจริงๆ จากใจ เราอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงนั้น แค่นั้น ไม่อยากให้เรื่องอะไรมันเกิดขึ้นกับชีวิตเรา คือถ้ามีอะไรมาแลก ต่อให้ต้องทำสักแค่ไหน จอห์นก็จะทำเพื่อให้ได้ช่วงเวลานั้น แม้จะสักชั่วโมงหรือนาทีก็ตาม

"แต่มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าได้ จะทำวันนั้นให้ดีที่สุด ทำให้เต็มที่ที่สุด ก็ได้แต่บอกตัวเองในวันนี้ ให้อภัยตัวเอง มันยังไม่สายสำหรับเรา ก็ท่องไว้ในใจ เราต้องให้อภัยตัวเราเอง มีชีวิตทำตัวเองให้ดี เขามองจากตรงนั้น เขาจะได้ดีด้วย เพราะว่าเราฝืนชะตาไม่ได้ เราก็ต้องฝ่าฟันวันนี้ให้ดีที่สุด"

ชีวิตต้องสู้
เพราะพรุ่งนี้ยังมีเสมอ

ถึงบรรทัดนี้ เชื่อว่าใครหลายคนคงประจักษ์ชัดในชีวิตของหญิงร่างเล็กผู้โดดเดี่ยว ว่าเหตุใดไยจึงสามารถมีชีวิตยืดหยัดได้อย่างมั่นคง กระทั่งประคับประคองนาวาแห่งชีวิตให้ไหลตามความสุขที่พอจะมีได้โดยไม่ตกหล่นจมหายเหมือนครั้งอดีตที่ผ่านมา

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพาตัวเองพ้นผ่านวันคืนที่เมฆหมอกมืดมัวปกคลุมชีวิต ก็เอื้อเฟื้อแบ่งปันกันและกัน มองตัวเองในวันนั้นแล้วเอาใจเขามาใส่ใจเรา อย่างเช่นราคาน้ำพริกเพียงแค่ 20 บาท ที่แตกต่างจากแม่ค้าพ่อค้าทั่วไปในสายอาชีพ หรือทำกับข้าวแจกในละแวกห้องเช่าด้วยกัน

"คือจอห์นคิดถึงคนที่เขาไม่มีไง คิดเผื่อคนไม่มี เพราะเราก็เคยไม่มี เราไปซื้อของเขา เรายังคิดว่าแพงเลย ทำไมแพงจัง เพราะฉะนั้น วันนี้เราพอมี จะให้ขายเท่าราคาข้าวหนึ่งกล่อง ขายไม่ได้หรอก เราเห็นใจคนที่เขาซื้อกิน เราคิดถึงหัวอกคนอื่นที่เขาไม่มี เราไม่คิดจะเอาอย่างเดียว เพราะอย่างน้ำพริก กำไรมันได้ครึ่งๆ อยู่แล้วของจอห์นอ่ะ

"ถามว่าทำไมคิดอย่างนี้ เพราะเราเจอมาไง เราเจอมาหมดทุกรูปแบบชีวิต อย่างตอนมีชื่อเสียง คนก็รุมล้อม แต่ตอนไม่มี แม้แต่แมวยังไม่มอง นั่นเป็นสัจธรรมชีวิต ไม่ต้องไปโกรธ ไปเกลียด ถึงวันนั้น เราบอกว่าไม่เอาใครอีกแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะต้องแล้งน้ำใจ ทำไปเถิดความดี เพราะมันเหมือนทำบุญพร้อมทำทาน วันไหนเราว่างๆ ก็ทำกับข้าวกับปลาแจก เผื่อวันไหน เราตกทุกข์ได้ยาก ชีวิตเราจะได้ไม่เลวร้ายเหมือนตอนนั้น จอห์นคิดอย่างนี้

"แล้วมันก็ดีขึ้นจริงๆ นั่นแหละเราถึงมีกำลังใจลุกขึ้นสู้ พอเรามองคนที่ด้อยกว่าเรา คนที่เขาไม่มี จอห์นจะพูดกับตัวเองเสมอว่า "กูจะเป็นแมวเก้าชีวิต" เราจะสู้ให้ทุกคนเห็น เราก็อยากเป็นแรงบันดาลใจให้คนมีกำลังสู้"

"และตรงนี้เป็นที่มาของความหมายชื่อน้ำพริกด้วย" จอห์นย้ำชัดถึงความหนักอันเป็นอีกสาเหตุหนึ่งในการลุกขึ้นสู้

ขณะที่หลายคนมองว่าร่างกายไม่สมบูรณ์ จะลุกนั่งยืนทรงตัวแทบจะไม่สะดวกเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ทว่าจอห์นกลับคิดว่าตัวเองสมบูรณ์เช่นเดียวกับคนอื่น สมบูรณ์กว่าคนที่ร่างกายไม่ครบ และเมื่อถามถึงเรื่องนี้ จอห์นให้เหตุผลสั้นๆ ว่า “เพราะเราครบ 32 ส่วน”

"ก็คนที่ด้อยกว่าเรามีเยอะ แต่แค่เราไม่สูงเท่านั้นเอง ส่วนคนอื่น เขาอาจไม่มีแขนมีขา หรือตาบอด เขายังอยู่ได้ สู้ได้ ทำไมเราจะสู้แบบเขาไม่ได้ เราก็อยากจะเป็นกำลังใจให้เขา เพราะขนาดคนมองเราอย่างนี้ แต่เราก็ทำได้ ทุกคนก็ทำได้เหมือนกัน

"ก็อยากให้ทุกคนที่กำลังท้อ อย่าท้อ อย่าคิดสั้น นึกถึงคนข้างหลัง นึกถึงตัวเอง เราเกิดมาชาตินี้กว่าจะเป็นคนได้ เราต้องฝ่าฟันทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะละครหรือชีวิตจริงเหมือนกันทั้งนั้น เราต้องคิดก่อนทำ ไม่ใช่ว่าทำแล้วค่อยมาคิด แล้วมาผิดพลาด เราต้องมุ่งมั่น ท้อได้แต่อย่าถอย คนแย่กว่าเรามีเยอะ เขายังลุกขึ้นสู้ได้ เขายังอยู่รอดเลย ฉะนั้น เรามีลมหายใจ เราครบ 32 เราก็ต้องสู้ ลุกขึ้นมา อย่าไปมองคนที่เขาสูงกว่า แต่มองคนที่เขาต่ำกว่า วันนี้เรายังไม่มี แต่พรุ่งนี้วันหน้ามันต้องมี เพราะชีวิตคนเราเกิดมามันก็ไม่มีอะไรติดมาตั้งแต่เกิด

"เราต้องมองไปข้างหน้า มันยังมีแสงสว่างให้เราเลือกเยอะ อย่าไปท้อ อย่าไปจมปลักกับความคิดที่แย่ๆ เราต้องลุกขึ้นด้วยลำแข้งตัวเอง เพราะไม่มีใครสามารถพยุงเราได้ เราต้องทำให้ดี พรุ่งนี้มันต้องดี พรุ่งนี้มันต้องดีกว่านี้"

เช้าจดเย็น-เย็นจดค่ำ นับแรมปี บนเส้นทางของน้ำพริกสู้ชีวิต จอห์นก็ยังคงเป็นจอห์น
ก่อนไก่โห่ต้องตื่นตี 4 ทำน้ำพริกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่ว่างเว้น
นี่ยังไม่นับรวมกระเตงตะกร้าขึ้นรถเมล์ตระเวนไปทั่วงานเทศกาลในบางวาระบางโอกาส
เพราะความสุขอย่างเดียวที่เหลือคือการสู้ชีวิต
เพราะความสุขอย่างเดียวคือการทำให้ดีที่สุด
เพราะความสุขอย่างเดียวคือการสร้างกุศลเพื่อตัวเองและคนที่รัก...

"ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อยแต่ก็มีความสุข มีกำลังใจ คือเราปล่อยวางอะไรได้ เรามีความสุขตรงนี้ที่เราทำได้ แม้ว่าวันนี้เขาจะไปจากเรา ก็เพียงร่างกาย แต่ในหัวใจ เรามีกันตลอด"






ใครสนใจสนับสนุนน้ำพริกสู้ชีวิตของ “จอห์น มกจ๊ก” (ทั้งปลีกและส่ง) สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 08-4639-4530 (จอห์นสู้ชีวิต)
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : ปวริศร์ แพงราช

กำลังโหลดความคิดเห็น