xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 10-16 พ.ย.2556

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1.ศาลโลก มีมติเอกฉันท์ยกชะง่อนผาพระวิหารให้กัมพูชา คาดไทยอาจเสียดินแดนเกือบครึ่งของ 4.6 ตร.กม. ขณะที่ รบ.-ทูตไทย ยังอ้างคำตัดสินเป็นคุณ!
(บน) แผนที่ที่เว็บไซต์ ฟิฟทีนมูฟ คำนวณว่าไทยอาจต้องเสียดินแดนให้กัมพูชาเกือบครึ่งหนึ่งของ 4.6 ตร.กม. (ล่าง) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ขอบคุณนายวีรชัย พลาศรัย หัวหน้าทีมต่อสู้คดีพระวิหาร ที่ทำงานอย่างเต็มที่
เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้นัดฟังคำตัดสินกรณีที่กัมพูชายื่นขอให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 ว่าพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ไทยต้องถอนทหารออกจากบริเวณดังกล่าว

ทั้งนี้ นายปีเตอร์ ทอมก้า ประธานองค์คณะผู้พิพากษาศาลโลก อ่านคำพิพากษา สรุปว่า ศาลเห็นว่า ข้อพิพาทของทั้ง 2 ประเทศตามคำพิพากษาเมื่อปี 2505 เป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยเกี่ยวกับที่ตั้งปราสาท ซึ่งศาลไม่ได้มีหน้าที่ปักปันเขตแดน ดังนั้นศาลจะรับไว้พิจารณาเท่าที่จำเป็นและอยู่ภายใต้ขอบเขตเดิมอย่างเคร่งครัด โดยศาลมีมติเอกฉันท์ 2 ประการ 1.ศาลมีอำนาจรับคำร้องขอตีความของกัมพูชา 2.ศาลมีมติเอกฉันท์ว่า บริเวณปราสาทพระวิหารนั้น พื้นที่ที่จำกัดทั้งทางตะวันออกเฉียงเหนือและทางเหนือถือว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา และควรขยายให้ครอบคลุมชะง่อนผา เพื่อนำมาใช้แทนที่ส่วนที่ได้มีการเลือกโดยมติ ครม.ปี 2505 ของไทย โดยกัมพูชามีอธิปไตยทั้งหมดเหนือชะง่อนผาที่ตั้งปราสาทพระวิหาร ยังผลให้ไทยมีพันธะต้องถอนกำลังออกจากบริเวณดังกล่าว ทั้งกำลังทหารและตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รักษาการณ์อื่นๆ หรือผู้ดูแลรักษา ออกไปพ้นจากพื้นที่ดังกล่าว ส่วนพื้นที่ชะง่อนผาจะมีจำนวนเท่าใดนั้น ให้ทั้ง 2 ฝ่ายไปเจรจากัน ศาลยังชี้ด้วยว่า พื้นที่บริเวณชะง่อนผาไม่รวมภูมะเขือ เพราะภูมะเขืออยู่นอกพื้นที่ และคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ก็ไม่ได้พิจารณาว่าภูมะเขืออยู่ในไทยหรือกัมพูชา

ผู้พิพากษาศาลโลก ยังระบุอีกว่า ปราสาทพระวิหารเป็นวัตถุโบราณสำหรับทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อขึ้นทะเบียนมรดกโลกแล้ว ศาลเห็นว่า ไทยและกัมพูชาต้องคุยกันเอง โดยมียูเนสโกควบคุม และว่า แต่ละรัฐมีพันธกรณีต้องดูแลและปกป้องมรดกโลกชิ้นนี้ไว้ ศาลยังเน้นด้วยว่า การเข้าถึงปราสาทพระวิหาร ต้องเข้าถึงจากทางกัมพูชาเช่นกัน

หลังฟังคำตัดสิน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำเนเธอร์แลนด์ หัวหน้าทีมต่อสู้คดีพระวิหาร ได้ออกมาแถลงร่วมกัน โดยนายสุรพงษ์ บอกว่า ผลการตัดสินเป็นที่น่าพอใจทั้ง 2 ฝ่าย และว่า หลังจากนี้จะหารือกับกัมพูชาภายใต้กลไกคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือ(เจซี) ไทย-กัมพูชาต่อไป ขณะที่นายวีรชัย กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องแพ้เรื่องชนะ ข้อเท็จจริงคือกัมพูชาไม่ได้ในสิ่งที่ขอ ซึ่งมี 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ พื้นที่ 4.6 ตร.กม.และแผนที่ 1 : 200,000 ซึ่งศาลไม่ได้ระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำตัดสินเมื่อปี 2505 คือไม่อาจผูกพันคู่กรณีได้ ยกเว้นที่เดียวคือ บริเวณใกล้เคียงปราสาท ให้เอาเส้น 1 : 200,000 มาใช้กำหนดบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเป็นพื้นที่แคบมากๆ ตรงกับมติ ครม.ปี 2505 ส่วนการกำหนดพื้นที่ดังกล่าว คู่กรณีจะหารือในกรอบเจซีต่อไป

เป็นที่น่าสังเกตว่า สื่อต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเอเอฟพี ,เอพี ,รอยเตอร์ ,บีบีซี ต่างรายงานว่าศาลโลกตัดสินให้กัมพูชาชนะคดี โดยยกให้กัมพูชามีอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ทั้งหมดของชะง่อนผาพระวิหารและให้ไทยถอนกำลังออกจากบริเวณดังกล่าว ขณะที่นายฮอ นัมฮง รองนายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ให้สัมภาษณ์นักข่าวหลังฟังคำตัดสินของศาลโลกว่า “เพียงเท่านี้ก็ดีพอแล้ว”

ขณะที่ท่าทีของรัฐบาลไทย ทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ,นายสุรพงษ์ และนายวีรชัย ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า คำตัดสินของศาลโลกเป็นบวก เป็นคุณกับไทย โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกว่า คำตัดสินของศาลโลกครั้งนี้เป็นชัยชนะของทั้ง 2 ฝ่าย และเป็นความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่จะไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันและไม่เกิดความรุนแรงในพื้นที่

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายได้ออกมาชี้ว่า คำตัดสินของศาลโลกไม่ได้เป็นคุณกับไทย เพราะตัดสินให้ไทยเสียดินแดนบริเวณชะง่อนผาให้แก่กัมพูชา โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้จี้ให้รัฐบาลบอกความจริงกับประชาชน เพราะพื้นที่ชะง่อนผาที่ศาลบอกว่าเล็กๆ ซึ่งเลยออกมาจากรั้วลวดหนามของไทยนั้น เมื่อคำนวณคร่าวๆ โดยยังไม่มีการยืนยันตัวเลขที่ชัดเจนจะอยู่ประมาณ 0.3 ตร.กม.

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ออกมาปรามคนที่พูดว่าศาลโลกตัดสินให้ไทยเสียดินแดน โดยย้อนถามว่า เสียตรงไหน ที่บอกว่าแคบๆ ตรงไหน เมื่อศาลยังไม่ได้บอกก็ยังไม่เสีย และว่า การวิเคราะห์วิจารณ์ทำได้ แต่อย่าทำให้เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว กลายเป็นสงครามขึ้นมา ตอนนี้ใช้ทหารเกือบหมด ทั้งใต้ ชายแดน ภัยพิบัติ ถ้าดิสเครดิตทหารไปเรื่อยๆ จะไม่มีทหารให้ใช้...

ทั้งนี้ รัฐบาลได้ทำหนังสือถึงประธานรัฐสภา เพื่อขอเปิดประชุมสภาเพื่อนำคำตัดสินคดีพระวิหารไปชี้แจงต่อสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179 ซึ่งจะเป็นการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ อย่างไรก็ตาม กลุ่ม 40 ส.ว.แถลงค้านการเรียกประชุมดังกล่าว โดยมองว่า รัฐบาลควรใช้กลไกตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เพื่อให้ที่ประชุมรัฐสภาร่วมกันพิจารณามากกว่า ไม่ใช่แค่ให้รัฐสภารับทราบตามมาตรา 179 แต่รัฐบาลไม่สน เดินหน้าประชุมรัฐสภาตามมาตรา 179 เมื่อวันที่ 13 พ.ย. โดยรัฐบาลให้นายวีรชัยชี้แจงสรุปสาระสำคัญของคำพิพากษาของศาลโลกให้ที่ประชุมทราบ ขณะที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ว.ต่างอภิปรายวิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาลโลก เช่น นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา อภิปรายว่า เมื่อปี 2505 หลังจากที่ศาลโลกตัดสินให้ไทยแพ้คดี ทำให้ไทยเสียพื้นที่ 153 ไร่ คนไทยเสียใจทั้งประเทศ มาถึงคำพิพากษาวันนี้รัฐบาลกลับบอกว่าเป็นผลดีกับไทย และเสียดินแดนเล็กๆ และแคบๆ ซึ่งตนไม่เห็นด้วย เพราะครั้งนี้ไทยจะเสียพื้นที่มากกว่าเดิม หรือประมาณ 600 กว่าไร่

เป็นที่น่าสังเกตว่า การอภิปรายในช่วงดึกได้มีการโต้คารมกันระหว่างนายวีรชัย กับนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อนายศิริโชคอภิปรายและแสดงแผนที่พื้นที่ที่ไทยต้องเสียดินแดนจากคำพิพากษาของศาลโลก จากแผนที่ 1 : 200,000 ว่า นักวิชาการส่วนตัวของตนประเมินได้ภายใน 48 ชั่วโมงว่า พื้นที่ที่เสียดินแดนอยู่ระหว่าง 0.3-2 ตร.กม. ด้านนายวีรชัย ไม่พอใจ จึงสวนกลับทำนองเยาะเย้ยนายศิริโชคว่า ขอชื่นชมนายศิริโชคและผู้เชี่ยวชาญของนายศิริโชคที่ใช้เวลาเพียง 48 ชั่วโมงก็สรุปได้ว่าวรรคที่ 98 หน้าตาเป็นอย่างไร เพราะตนและคณะทำงานระดับโลกที่เก่งที่สุด จนถึงวันนี้ก็ยังไม่กล้าสรุปชี้ชัดในประเด็นนี้ นายวีรชัย ยังโจมตีนายศิริโชคด้วยว่า ตั้งสมมติฐานผิดตั้งแต่แรก เพราะเส้น 1 : 200,000 เป็นเส้นที่ทีมงานพยายามทำลายมาตลอด แต่สิ่งที่นายศิริโชคทำคือ การอ้างเส้น 1 : 200,000 ของกัมพูชาให้เป็นไปได้ และจะทำให้การทำงานของฝ่ายไทยยากขึ้น จึงขอสงวนสิทธิแทนประชาชนและประเทศไทยว่า ไม่ใช่การยอมรับของประเทศไทย เป็นเพียง 1 คนในรัฐสภานี้เท่านั้นที่พูด และว่า การที่นายศิริโชคให้สถานะแก่เส้นที่กัมพูชาทำขึ้นตามอำเภอใจ เป็นการทำร้ายผลประโยชน์ของประเทศ ขณะที่นายศิริโชค ได้ลุกขึ้นชี้แจงทันทีว่า รู้สึกแปลกใจมากที่นายวีรชัยมีปฏิกิริยารุนแรงอย่างนี้ ทั้งที่ตนกำลังบอกว่าเส้นแผนที่นี้โยกไปโยกมาได้ สิ่งที่เราต้องทำคือไปทำให้มันนิ่ง ตนไม่ได้บอกว่าสิ่งที่อยู่บนแผนที่เป็นของกัมพูชา 100% แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอาเส้นนั้นไว้ตรงไหน นายศิริโชค ยังย้ำด้วยว่า ตนตั้งใจทำงานเพื่อชาติไม่แพ้นายวีรชัย และภาพแผนที่ที่เอามา ก็ไม่ใช่เส้นที่จะทำลายชาติได้

ด้านสภาทนายความได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับคำตัดสินของศาลโลก โดยชี้ว่า ศาลโลกพิพากษาให้กัมพูชาได้ดินแดนเพิ่มขึ้น คือส่วนที่เป็นชะง่อนผา แต่ยังไม่รู้เนื้อที่จริงๆ ว่าเท่าไร อาจจะอยู่ประมาณ 1 ตร.กม. ซึ่งถือว่ากัมพูชาชนะคดีบางส่วน ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดพูดเรื่องศาลโลกตัดสินให้ไทยเสียดินแดน โดยบอกว่า ขอให้ทุกคนหยุดวิจารณ์ หยุดตีความคำตัดสินของศาลโลก เพราะเป็นประเด็นที่อ่อนไหว

ขณะที่นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชี้ว่า คำตัดสินของศาลโลกที่ให้กัมพูชาได้พื้นที่บริเวณชะง่อนผา ถือเป็นเรื่องที่อยุติธรรมมาก “ศาลโลกว่าภูมะเขือไม่อยู่ในข้อพิพาท แต่ศาลโลกกลับตัดสินให้ลากเส้นจากยอดเขาพระวิหารลงไป ลากถึงตีนเขาภูมะเขือได้อย่างไร มันล้ำจนเกินเหตุ เหตุผลข้อเดียวคือเอาใจกัมพูชา เพื่อให้มีพื้นที่พอสร้างถนน วัด ชุมชน จากทางกัมพูชาเข้าพระวิหาร รุกฝั่งไทยเพื่อขึ้นทะเบียนมรดกโลก เป็นเรื่องที่อยุติธรรมมาก” แต่ทูตวีรชัยกลับอ้างว่าคำตัดสินเป็นคุณ เพราะทั้งสองฝ่ายต้องไปเจรจากันอีกที ตนเห็นว่าไม่ควรโกหกประชาชนแบบนี้ ขณะที่รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศก็ไม่กล้าพูดความจริง เอาแต่ว่าเป็นผลงานของตัวเอง ทั้งที่ไม่เป็นผลดีเลย วันนี้คนไทยต้องการรู้ความจริงทั้งหมด เพื่อช่วยกันหาทางออกว่าจะรับหรือไม่รับอำนาจศาลโลกด้วยกันไหม จะทำประชามติร่วมกันไหม หรือจะเจรจาอีก 100 ปี

ด้านเว็บไซต์ “ฟิฟทีนมูฟ” ซึ่งเกาะติดการเสียดินแดนบริเวณปราสาทพระวิหารมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ได้แปลคำนิยามของวรรคที่ 98 ของคำตัดสินของศาลโลกเมื่อวันที่ 11 พ.ย.แล้วนำไปวางจุดบนแผนที่จริงและคำนวณพื้นที่ ซึ่งพบว่า ขอบเขตของชะง่อนผาพระวิหารตามคำนิยามวรรค 98 มีพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของ 4.6 ตร.กม. และขยายขอบเขตกินความไกลเกินกว่าคำว่าชะง่อนผา คือรวมเอาพื้นที่หุบเขาพลาญอินทรีย์ เนินที่ตั้งของสถูปคู่และธงชาติไทยเข้าไว้ด้วย รวมทั้งอาจมีการตีความกินพื้นที่ผามออีแดงที่มีรูปสลักนูนต่ำและอื่นๆ เข้าไปด้วย “ฟิฟทีนมูฟ” ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า แม้ศาลโลกจะพยายามบอกว่า ไม่ได้ตีความเรื่องเขตแดน แต่การให้ใช้เส้นแผนที่ 1 : 200,000 กำหนดขอบเขตล่วงเลยไปไกลกว่าสภาพทางภูมิศาสตร์ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะบอกว่า ศาลโลกให้ใช้เส้นนี้แบ่งเขตระหว่างไทย-กัมพูชา

2.สุเทพ” ควง 8 ส.ส.ปชป.ลาออก ประกาศยกระดับชุมนุมงัดมาตรการอารยะขัดขืน-ขจัดระบอบทักษิณให้สิ้นซาก!
ประชาชนเข้าร่วมชุมนุมที่ถนนราชดำเนินอย่างล้นหลาม(11 พ.ย.)
ความคืบหน้าการชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยที่ถนนราชดำเนิน หลังนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศบนเวทีปราศรัยยื่นคำขาดให้รัฐบาลทำให้กฎหมายฉบับดังกล่าวตายไปจากสภาไม่เกินเวลา 18.00น.วันที่ 11 พ.ย. หากไม่ทำตาม จะเป่านกหวีด รวมทั้งจะตั้งศาลประชาชนขึ้นบนถนนราชดำเนิน เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าที่ทำมาทั้งหมดผิดหรือถูก และจะทำอย่างไรกับบุคคลทั้งสองนั้น

ปรากฏว่า เมื่อถึงเส้นตายที่กำหนด ได้มีประชาชนมาร่วมชุมนุมอย่างล้นหลาม ขณะที่นายสุเทพ ขึ้นเวทีประกาศว่า รัฐบาลไม่ดำเนินการตามมติประชาชน ทั้งยังมีหลักฐานที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยระบุว่า หากประชาชนเผลอ รัฐบาลจะใช้อำนาจ ครม.ประกาศเป็น พ.ร.ก.นิรโทษกรรม เพื่อบังคับใช้ทันที จึงมี 2 ทางเลือกให้ประชาชนว่าจะเลือกทางใด 1.จะยินดีกับชัยชนะขั้นต้นที่รัฐบาลได้ชะลอกฎหมายเอาไว้ และวุฒิสภาจะลงมติคว่ำกฎหมายนี้ หรือ 2.จะต่อสู้ต่อไปด้วยพลังของมหาชน ดำเนินการจนกฎหมายนิรโทษฯ ตายไปจากโลก ซึ่งผลปรากฏว่า ผู้ชุมนุมเลือกแนวทางที่ 2 สู้ต่อไป

จากนั้นนายสุเทพ ได้ประกาศลาออกจาก ส.ส. เพื่อให้การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ของประชาชน และว่า มีสมาชิกพรรคลาออกเป็นเพื่อนตนอีก 8 คน ประกอบด้วย 1.นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา ,นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง 3.นายอิสสระ สมชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ 4.นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช 5.นายชุมพล จุลใส ส.ส.ชุมพร 6.นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ส.ส.กทม. 7.นายเอกณัฎ พร้อมพันธุ์ ส.ส.กทม. และนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ส.ส.กทม.

พร้อมกันนี้ นายสุเทพ ยังชวนให้ประชาชนใช้มาตรการอารยะขัดขืนอย่างเข้มแข็งทั่วประเทศระหว่างวันที่ 13-15 พ.ย. โดยขอให้เจ้าของกิจการหยุดงานทั่วประเทศ เพื่อมาร่วมชุมนุม รวมถึงนักศึกษาให้ขึ้นป้ายหยุดเรียนหยุดสอนทั่วประเทศ และขอความร่วมมือนักธุรกิจเอกชนชะลอการชำระภาษีพร้อมกันทั่วประเทศ อย่าให้รัฐบาลนี้มีเงินไปโกงกิน และขอให้ต่อสู้ด้วยสัญลักษณ์โดยให้ทุกบ้านติดธงชาติ และติดที่รถยนต์ รวมทั้งแขวนนกหวีดไว้ที่คอ หากพบเห็นนายกรัฐมนตรีและลิ่วล้อบริวาร ไม่ต้องพูดอะไร ให้เป่านกหวีดอย่างเดียว

ทั้งนี้ คืนวันเดียวกัน(11 พ.ย.) ที่ประชุมวุฒิสภา ได้มีมติเอกฉันท์ไม่รับหลักการวาระ 1 ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย ด้วยคะแนน 141 ต่อ 0 หลังใช้เวลาอภิปรายเกือบ 10 ชม. ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่อภิปรายว่า ไม่สามารถรับหลักการร่างดังกล่าวได้ เพราะขัดต่อหลักการและรัฐธรรมนูญ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลและ ส.ส.ทั้ง 310 คน ที่ลงมติผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวแสดงความรับผิดชอบ หลังเกิดกระแสคัดค้านจากหลายภาคส่วน สำหรับขั้นตอนต่อไป วุฒิสภาจะส่งร่างดังกล่าวกลับคืนไปยังสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งตามกฏฎหมาย หลังผ่านพ้น 180 วัน สภาฯ ยังสามารถนำร่างดังกล่าวกลับมาพิจารณาใหม่ได้ ทำให้หลายฝ่ายยังหวาดระแวง

เป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐบาลพยายามดิสเครดิตและหาทางสกัดการชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน โดย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง อ้างว่า มีการขนคนติดยามาร่วมชุมนุม และหวั่นว่าจะมีมือที่ 3 สร้างสถานการณ์ ขณะที่นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมือง ขู่ใช้กฎหมายฟอกเงินยึดทรัพย์นายทุนที่หนุนหลังม็อบ พร้อมอ้างว่า มีข่าวเชิงลึกว่า ผู้ที่จะสร้างสถานการณ์ไม่ใช่มือที่ 3 แต่เป็นแกนนำการชุมนุม โดยมีการขนอาวุธมาจากกองร้อยทหารพรานที่ 42 หาดใหญ่ จ.สงขลา อย่างไรก็ตาม พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ได้ออกมายืนยันว่า จากการตรวจ ยังไม่พบการขนอาวุธเข้ามาเพื่อสร้างสถานการณ์แต่อย่างใด

ด้านนายสุเทพ ได้ประกาศยกระดับการชุมนุมอีกครั้งเมื่อวันที่ 15 พ.ย. “ผมขอประกาศยกระดับการต่อสู้ เป็นการขจัดระบอบทักษิณแบบถอนรากถอนโคนให้หมดไปจากแผ่นดินไทย มาตรการที่ 1 เราจะร่วมกันจัดการกับ ส.ส.310 คน ที่บังอาจลงมติกฎหมายล้างผิดคนโกง เราจะยกร่างคำร้องให้พี่น้องมาร่วมลงชื่อและให้ทุกเครือข่ายทุกเวทีดำเนินการเช่นเดียวกัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย. และจะทำให้เสร็จภายในวันที่ 19 พ.ย. จากนั้นจะส่งไปยัง ป.ป.ช. ถ้า ป.ป.ช.ชี้มูลวันใด ทั้ง 310 คนต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที สภาทาสก็จะเป็นอัมพาต รัฐบาลก็จะไม่มีสภาทาสมาเป็นเครื่องมือใช้งานอีกต่อไป” นอกจากนี้นายสุเทพ ยังขอให้ประชาชนแสดงความรังเกียจสมุนบริวารของระบอบทักษิณด้วยการไม่พูดคุยด้วย เจอที่ไหนเป่านกหวีดใส่อย่างเดียว และร่วมกันต่อต้านสินค้าในเครือทักษิณทั้งหมด ไม่ซื้อไม่สนับสนุน พร้อมชวนข้าราชการหยุดงานพร้อมกันทั้งประเทศ

ทั้งนี้ เครือข่ายภาคพลเมือง นิสิต นักศึกษา 4 สถาบัน และชมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย นำโดย นายวิเชียร คุตวัตส์ ได้ยื่นหนังสือถึงประธานวุฒิสภา เพื่อแสดงตนในการเป็นผู้รวบรวมรายชื่อประชาชน 2 หมื่นชื่อ เพื่อถอดถอน ส.ส.310 คนที่ลงมติผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ออกจากตำแหน่งแล้ว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 เนื่องจากทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 ขณะที่เครือข่ายแพทย์คัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่มี นพ.สวรรค์ กาญจนะ เป็นผู้ประสานเครือข่าย ก็เตรียมรวบรวมรายชื่อประชาชน 20,000 ชื่อ เพื่อยื่นถอดถอน ส.ส.ทั้ง 310 คนเช่นกัน พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา เพื่อคืนสิทธิให้ประชาชนตัดสินอนาคตประเทศ

3.ปชป.ยื่นญัตติซักฟอกพ่วงถอดถอน “ยิ่งลักษณ์-จารุพงศ์-ปลอดประสพ” แล้ว ด้าน “ขุนค้อน” ส่อช่วยนายกฯ บีบ ปชป.แนบข้อกล่าวหา!
(บน) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ปชป.ยื่นถอดถอนนายกฯ พ่วง 2 รมต.ผ่านรอง  ปธ.วุฒิฯ (ล่าง) ยื่นญัตติเพื่อขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และ รมว.มหาดไทย
เมื่อวันที่ 15 พ.ย. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และประธานวิปฝ่ายค้าน ได้นำรายชื่อ ส.ส.ของพรรคจำนวน 146 คน ยื่นต่อประธานวุฒิสภา ผ่านนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภา เพื่อขอใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 271 เข้าชื่อ 1 ใน 4 เพื่อถอดถอนรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง 3 คน ประกอบด้วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ,นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี และนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อประกอบการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 158-159 เนื่องจากกระทำผิดและส่อทุจริต โดยเอกสารที่ยื่นถือว่าเป็นความลับที่สุด จึงขอให้วุฒิสภาอย่าเปิดเผย ด้านนายสุรชัย บอกว่า จะส่งรายชื่อ ส.ส.ให้สภาฯ ตรวจสอบความถูกต้องภายใน 15 วัน หากถูกต้องจะส่งต่อไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อไต่สวนต่อไป หาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด จะต้องส่งกลับมายังวุฒิสภาเพื่อลงมติโดยใช้เสียง 3 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมด

จากนั้นนายจุรินทร์ได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายจารุพงศ์ ต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 159 ประกอบมาตรา 271 ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อนายสมศักดิ์รับหนังสือแล้ว ได้รีบตรวจสอบรายละเอียดทันที เมื่อพบว่าไม่มีรายละเอียดของข้อกล่าวหา นายสมศักดิ์ จึงอ้างว่า วิปรัฐบาลได้หารือกันว่าควรจะต้องมีรายละเอียดข้อกล่าวหาแนบมากับตัวญัตติด้วย เปรียบเหมือนการฟ้องคดีต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาให้จำเลยได้รับทราบก่อน ซึ่งเรื่องนี้ได้หารือกับทีมกฎหมายของสภาฯ ไปแล้ว ขณะที่นายจุรินทร์ ยืนยันว่า การยื่นญัตติดังกล่าวถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งรายละเอียดได้ยื่นพร้อมกับการยื่นถอดถอนต่อประธานวุฒิสภาไปแล้วและถือเป็นเอกสารลับ ส่วนการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ได้ยื่นถูกต้องตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติมา ไม่เคยมีการแนบข้อกล่าวหา

ทั้งนี้ บรรยากาศการยื่นญัตติเป็นไปด้วยความตึงเครียดและมีการโต้แย้งกันระหว่างนายสมศักดิ์และนายจุรินทร์ โดยมี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ตะโกนต่อว่านายสมศักดิ์ว่าไม่เป็นกลาง ด้านนายสมศักดิ์อ้างว่าทำตามขั้นตอนที่ฝ่ายกฎหมายสภาฯ หารือมา ดังนั้นจะไปปรึกษาฝ่ายกฎหมายอีกครั้ง โดยจะทราบผลในวันที่ 18 พ.ย.

ด้านนายจุรินทร์ ชี้ว่า การกระทำของนายสมศักดิ์เป็นการสกัดกั้นการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน เพื่อพยายามช่วยเหลือรัฐบาล และยังขัดต่อคำพูดของนายกฯ ที่บอกว่าพร้อมรับการตรวจสอบ นายจุรินทร์ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การกระทำของนายสมศักดิ์เป็นความพยายามที่จะช่วยรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง หลังจากก่อนหน้านี้ได้ช่วยเหลือไปแล้วในร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เนื้อหาญัตติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุไว้จำนวนมาก เช่น บริหารราชการแผ่นดินบกพร่อง ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ไร้ภูมิปัญญา ไร้จริยธรรม ไร้คุณธรรม ไร้สำนึก ไร้ความรับผิดชอบต่อสภาและประชาชน ลอยตัวหนีปัญหา เลือกปฏิบัติ พูดอย่างทำอย่าง ปากว่าตาขยิบ กระทำการไม่บังควร สมรู้ร่วมคิดกับพวกพ้อง ทำลายข่มขู่ก้าวก่ายสถาบันหลักในระบอบประชาธิปไตยทั้งนิติบัญญัติ ตุลาการ และองค์กรอิสระ มุ่งแก้ไขปัญหาบุคคลในครอบครัวมากกว่าประชาชน มีพฤติกรรมฉ้อฉลทุจริต วางแผนใช้อำนาจออกกฎหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์โดยมิชอบ ฯลฯ หากปล่อยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ต่อไป จะทำให้ประเทศไปสู่ความวิบัติ จึงไม่สมควรดำรงตำแหน่งนายกฯ อีกต่อไป

4.“เสื้อแดง” เหิม ขู่ศาล รธน.หากวินิจฉัยแก้ที่มา ส.ว.เป็นลบ เจอตอบโต้รุนแรง ด้าน “คปท.” ให้กำลังใจศาล!
ซ้าย) นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ แกนนำเสื้อแดงปทุมธานี ขู่ตอบโต้ศาล รธน.อย่างรุนแรง หากชี้คดีแก้ที่มา ส.ว.เป็นลบ (ขวา) คปท.และเครือข่ายประชาชน 77 จังหวัด เคลื่อนไปมอบดอกไม้ให้กำลังศาล รธน.
จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ไต่สวนพยานผู้ร้องและผู้ถูกร้องเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ว.ว่าเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 หรือไม่เสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 8 พ.ย. โดยพยานต่างให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่า เนื้อหาของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว.ฉบับที่นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย และคณะ ผู้เสนอร่าง ยื่นต่อสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กับร่างที่นำมาให้สมาชิกรัฐสภาพิจารณาในวาระ 1 เป็นคนละฉบับกัน ทำให้ร่างฯ ที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาเป็นร่างฯ ปลอม ขณะที่ ส.ว.ที่ลงชื่อเสนอร่างฯ ก็เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเนื้อหาสาระที่มีการแก้ไข นอกจากนี้เนื้อหาที่มีการแก้ไขยังเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอำนาจรัฐ ทำให้เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ต้องการให้องค์กรวุฒิสภาเป็นองค์กรตรวจสอบ กลั่นกรองการใช้อำนาจรัฐ สูญเสียไป นอกจากนั้นกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ของรัฐสภายังมีการตัดสิทธิการอภิปรายของผู้สงวนคำแปรญัตติ การพิจารณาไม่ได้เรียงเป็นมาตรา มีการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน และเป็นการลิดรอนอำนาจการตรวจสอบของศาลรัฐธรรมนูญว่าร่างฯ ดังกล่าวชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ รวมทั้งยังมีพฤติกรรมที่บ่งชี้ว่า มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันในการเสนอและลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญระหว่าง ส.ส.กับ ส.ว.ด้วย ซึ่งศาลฯ ให้ผู้ร้องและผู้ถูกร้องยื่นคำแถลงปิดคดีภายใน 7 วันนับแต่วันที่ 8 พ.ย. พร้อมนัดคู่กรณีฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 20 พ.ย. เวลา 11.00น.นั้น

ปรากฏว่า ทั้งแกนนำพรรคเพื่อไทย ,อดีตแกนนำ นปช.ที่เป็น ส.ส.ในพรรคเพื่อไทย รวมทั้งแกนนำคนเสื้อแดงต่างออกมาประสานเสียงดิสเครดิตและข่มขู่คุกคามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นการใหญ่ เริ่มจากนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาเตือนศาลว่าอย่าใช้ทฤษฎีสมคบคิดร่วมมือกันในการล้มรัฐบาล เหมือนกลุ่มที่เคยล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ,รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช มาแล้ว โดยฝ่ายตรงข้ามพยายามเอาการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญกับองค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช.มากดดันรัฐบาลควบคู่ไปกับการเดินเกมเคลื่อนไหวชุมนุมนอกสภาฯ

ขณะที่นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และอดีตแกนนำ นปช.ออกมากล่าวหาว่า มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 คน ซึ่งเป็นชุดเดียวกับที่ล้มรัฐบาลนายสมชาย นัดพบกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จึงอาจมีการวางแผนที่จะล้มรัฐบาลหรือไม่ โดยใช้ประเด็นที่ยื่นศาลตีความการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว.มาเป็นเงื่อนไข

อย่างไรก็ตามศาลรัฐธรรมนูญไม่หลงกลนายวรชัย โดยแหล่งข่าวจากศาลรัฐธรรมนูญยืนยันว่า คำอ้างของนายวรชัยไม่เป็นความจริง และเชื่อว่า นายวรชัยต้องการดิสเครดิตตุลาการ เพื่อให้ตุลาการไปแจ้งความดำเนินคดี เมื่อถึงเวลาพิจารณาคดีสำคัญ ตุลาการฯ คนนั้นก็จะถูกร้องคัดค้านไม่ให้เป็นองค์คณะพิจารณา เพราะถือว่าเป็นคู่ความกันในคดีอาญา ทำให้ตุลาการฯ คนนั้นต้องถอนตัว ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

ด้านนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ แกนนำคนเสื้อแดงปทุมานี ได้ออกมาข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วยการประกาศว่า กลุ่มสื่อวิทยุคนเสื้อแดง เช่น กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(กวป.) จะไปปักหลักรอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย. และหากวันที่ 20 พ.ย. ผลคำวินิจฉัยออกมาในทางลบ จะดำเนินมาตรการตอบโต้ศาลรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรงทันที รวมทั้งจะตอบโต้มวลชนกลุ่มต่างๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการบริหารงานของรัฐบาลในขณะนี้ด้วย โดยมีข้อมูลบ้านเลขที่ของแกนนำกลุ่มต่างๆ เรียบร้อยแล้ว และว่า ได้เปิดรับสมัครนักรบเสื้อแดงเพื่อร่วมขับเคลื่อนในวันที่ 20 พ.ย.แล้ว โดยใบสมัครหมดไปแล้วกว่า 3 พันใบ

ขณะที่นางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำ นปช. เผยว่า กลุ่ม นปช.นัดชุมนุมวันที่ 19-20 พ.ย. โดยสถานที่น่าจะเป็นที่สนามราชมังคลากีฬาสถานหรือที่ที่เหมาะสมกว่า เพราะมวลชนที่มาร่วมชุมนุมน่าจะอยู่ระดับ 1 แสนคน ส่วนสาเหตุที่ชุมนุม เนื่องจากเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับวินิจฉัยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว.เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ผ่านอัยการ และการแก้รัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ และว่า หากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาเป็นบวก ทางกลุ่มก็จะแยกย้ายกันกลับ แต่หากผลออกมาเป็นลบ ก็ต้องปรึกษากันอีกทีว่าจะทำอย่างไร

ด้านเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย(คปท.) และภาคีเครือข่ายประชาชน 77 จังหวัด ที่ชุมนุมบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ได้เคลื่อนขบวนไปมอบดอกไม้ให้กำลังใจศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 15 พ.ย. โดยมีตัวแทนสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญออกมารับดอกไม้ ก่อนที่กลุ่ม คปท.จะเคลื่อนกลับมัฆวานฯ ตามเดิม
กำลังโหลดความคิดเห็น