ที่ประชุม ครม.รับทราบคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหาร โฆษกเผยรัฐบาลเตรียมชี้แจงรัฐสภากรณีปราสาทพระวิหารพรุ่งนี้ กำชับคณะรัฐมนตรีให้เตรียมตัวอภิปรายไม่ไว้วางใจ
วันนี้ (12 พ.ย.) นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการดำเนินการต่อคำพิพากษาของศาลโลกกรณีปราสาทพระวิหารว่า นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีชี้แจงเกี่ยวกับการตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 ของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก เมื่อวานนี้ ทั้งนี้ เนื่องจากคำตัดสินดังกล่าวเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน จึงได้แต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อศึกษาในรายละเอียดอย่างรอบคอบ โดยรัฐบาลจะใช้กลไกของคณะกรรมาธิการร่วมชายแดนไทย-กัมพูชา (เจซี) ที่จะมีการหารือ เพื่อหาทางในการพัฒนาปราสาทพระวิหารในฐานะมรดกโลกต่อไป ซึ่งนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา มีความยินดีต่อกลไกดังกล่าว
ทั้งนี้ การประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ เมื่อวานนี้ ที่ประชุมได้จัดทำหนังสือนำเสนอต่อประธานรัฐสภา เพื่อขอเปิดประชุมสภา ชี้แจงกรณีปราสาทพระวิหาร โดยย้ำว่าเป็นเรื่องนี้เรื่องเดียวไม่ใช่ตามที่เป็นข่าวออกมาว่าเป็นการหาทางออกเรื่องบ้านเมือง แต่เป็นการขอชี้แจงต่อรัฐสภาตามมาตรา 179 ซึ่งล่าสุดได้มีการบรรจุในวาระของรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว โดยนายกรัฐมนตรีได้แสดงความขอบคุณคณะเจ้าหน้าที่ของไทยที่ทำหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับคดี และขอบคุณกระทรวงมหาดไทยที่ได้ดำเนินการชี้แจงประชาชนในพื้นที่จนเป็นที่เข้าใจและไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น
นายธีรัตถ์ แถลงว่า คณะรัฐมนตรียังมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ ให้เสนอเรื่องคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหาร ให้ประธานรัฐสภาเพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามมาตรา 179 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป โดยรับทราบตามที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคณะดำเนินคดีปราสาทพระวิหารของประเทศไทย รายงานให้คณะที่ปรึกษากฎหมายศึกษารายละเอียดและสาระสำคัญของคำพิพากษา เพื่อนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะไปประกอบการพิจารณาดำเนินการของรัฐบาลต่อไป ต่อจากนั้นฝ่ายไทยและกัมพูชาจะต้องเจรจาหารือภายใต้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ เพื่อให้ได้ข้อยุติที่เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย โดยจะต้องคำนึงถึงขั้นตอน และกระบวนการตามกฎหมาย ตลอดจนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยด้วย ให้ฝ่ายทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยังคงรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน รักษาอธิปไตย และดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่เพื่อสันติภาพ สันติสุข และความสงบเรียบร้อยดังที่ได้ปฏิบัติมาโดยตลอด
ทั้งนี้ ตามที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศกำหนดอ่านคำพิพากษาเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหารในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 เวลาประมาณ 16.00 น.และนายกรัฐมนตรีได้มีบัญชาให้จัดการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 โดยให้เชิญรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมตามนัยมาตรา 8 วรรคสอง ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งผลการประชุมมีดังนี้
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า เรื่อง คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหารเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหวเกี่ยวข้องกับอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ และอยู่ในความสนใจของประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งเข้าข่ายเป็นกรณีที่เป็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่สมควรจะรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาด้วย นายสุรพงษ์ และคณะดำเนินคดีปราสาทพระวิหารของประเทศไทย สรุปได้ว่า คำพิพากษาของศาลฯ ให้ความสำคัญกับการที่ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาจะต้องเจรจากัน
โดยมีประเด็นหลักๆ ดังนี้ ศาลฯ รับฟังข้อต่อสู้ของฝ่ายไทย และได้ยืนยันที่จะตัดสินภายในขอบเขตของคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 ศาลฯ รับฟังข้อต่อสู้ของฝ่ายไทย โดยยืนยันว่าคำพิพากษาเดิมเมื่อปี พ.ศ. 2505 ไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับประเด็นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งหมายความว่าศาลฯ ไม่รับพิจารณาข้อเรียกร้องของกัมพูชาเหนือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลกเมตร และที่สำคัญศาลฯ ไม่ได้ตัดสินว่าแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ผูกพันกับไทย โดยผลของคำพิพากษาเมื่อปี พ.ศ. 2505 ศาลฯ รับตีความเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร (vicinity) ตามคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505
โดยอธิบายว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ขนาดเล็กมาก ซึ่งกำหนดขึ้นตามสภาพภูมิศาสตร์ที่ประกอบขึ้นเป็นยอดเขาพระวิหาร โดยไม่ได้กำหนดเส้นเขตแดน และที่สำคัญไม่รวมพื้นที่ภูมะเขือ ซึ่งในส่วนของพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทนี้ ทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องหารือกันในรายละเอียดต่อไปโดยกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ศาลฯ ได้แนะนำให้ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับการที่จะต้องร่วมมือกันอนุรักษ์และพัฒนาปราสาทพระวิหารในฐานะที่เป็นมรดกโลก
ด้าน นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ได้แจ้งที่ประชุม ครม.ว่า เนื่องจากผลการตัดสินคดีของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก เกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหาร เป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคม และมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง รัฐสภาจึงได้บรรจุเรื่องดังกล่าวในระเบียบวาระการประชุมของรัฐสภา ประมาณลำดับที่ 10 เพื่อเปิดให้มีการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ต้องลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 179 ซึ่งหากในการประชุมร่วมรัฐสภาในวันพรุ่งนี้ (13 พ.ย.) รัฐสภามีมติเลื่อนวาระเกี่ยวกับคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ขึ้นมาพิจารณาในลำดับต้นๆ รัฐบาลก็มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการชี้แจงเรื่องดังกล่าว และรับฟังความคิดเห็นของรัฐสภา ทั้งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคำตัดสินของศาลโลกและสถานการณ์ทางการเมืองที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมช.กลาโหม ได้กำชับคณะรัฐมนตรีให้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการชี้แจง หากพรรคฝ่ายค้านยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล รวมทั้งในการแถลงผลงานครบรอบ 2 ปีของรัฐบาลด้วย โดย นายวราเทพ ได้ขอความร่วมมือคณะรัฐมนตรีให้งดการเดินทางไปต่างประเทศหากไม่จำเป็น ในช่วง 2 สัปดาห์หลังจากนี้ ก่อนที่จะมีการปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไป ในวันที่ 29 พ.ย.