โฆษกสำนักนายกฯ เผยนายกฯ ถก “เต็ง เส่ง” ปธน.พม่า กระชับสัมพันธ์ เปิดพรมแดน-ค้าขายระหว่างกัน ฝากพิจารณาถนนไปอินเดีย อีกด้านถก “บัน คี มุน” เผยชมโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ขอแบ่งปันความรู้นานาประเทศ แจงรัฐบาลไทยอยู่ระหว่างพยายามสร้างเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ
นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก่อนการประชุมสุดยอดอาเซียนวันสุดท้ายจะเริ่มขึ้นที่กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน บรูไนดารุสซาลาม นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พบหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีเต็งเส่ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ถึงความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศที่มีมายาวนานกว่า 65 ปี โดยไทยพร้อมที่จะช่วยเหลือเมียนมาร์ในการปฏิรูปทุกด้าน รวมถึงความร่วมมือด้านการค้าชายแดน และการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษท่าเรือน้ำลึกทวาย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเห็นพ้องกับประธานาธิบดีเมียนมาร์ ที่ทั้งสองประเทศได้เปิดพรมแดนระหว่างกัน เพิ่มความสะดวกในการไปมาหาสู่กัน รวมถึงการพัฒนาการค้าชายแดนระหว่างกัน โดยเฉพาะที่เมียวดี และท่าขี้เหล็กที่สามารถเพิ่มศักยภาพการค้าได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามทั้งสองประเทศ พบว่ายังมีการลักลอบนำสินค้าผ่านแดนทำให้สองประเทศสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษี โดยไทยได้เสนอว่าขณะนี้มีแนวคิดในการใช้ระบบศุลกากรเดียวกัน หรือ National Single Window ซึ่งไทยพร้อมจะสนับสนุนเทคโนโลยีและความรู้ให้แก่เมียนมาร์ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีได้เสนอให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรระดับสูงของทั้งสองประเทศได้หารือร่วมกันในการหาทางอุดช่องโหว่ที่เกิดขึ้น
นายกรัฐมนตรีได้เรียกร้องให้ประธานาธิบดีเต็งเส่ง เน้นให้ความสำคัญถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษท่าเรือน้ำลึกทวายว่าเป็นโครงการลงทุนที่จะก่อให้เกิดการเชื่อมโยงในภูมิภาค เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อเมียนมาร์และไทยเท่านั้น แต่จะเป็นประโยชน์ต่อเอเชียตะวันออกโดยรวม โดยทั้งสองผู้นำเห็นตรงกันว่าระหว่างรอการตัดสินใจลงทุนในโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย ทั้งไทยและเมียนมาร์ควรจะหานักลงทุนผู้สนใจจากประเทศอื่นเข้ามาร่วมลงทุนไปพร้อมๆ กัน ทั้งนี้ได้จะจัดให้มีการประชุมระดับรองนายกรัฐมนตรีของไทยและรองประธานาธิบดีของเมียนมาร์ในการผลักดันโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายต่อไป
นายกรัฐมนตรียังได้เสนอให้เมียนมาร์พิจารณาในการพัฒนาถนน Trilateral Highway ซึ่งจะเป็นการเชื่อมโยงการคมนาคมทางบก ระหว่างอินเดีย เมียนมาร์ และไทย โดยทางเมียนมาร์เห็นด้วยกับการพัฒนาโครงการดังกล่าว เพราะจะช่วยส่งเสริมการเชื่อมโยงระหว่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ โดยไทยและเมียนมาร์ เตรียมหารือกับนายกรัฐมนตรีอินเดีย ในการประชุม ASEAN+3 เพื่อพัฒนาถนนเส้นดังกล่าว เนื่องจากว่าเป็นการพัฒนาการเชื่อมโยงตามแนวทางพัฒนามองตะวันออก หรือ LOOK EAST ของอินเดีย
ต่อมาเวลา 15.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น นายกรัฐมนตรี ได้พบหารือกับนายบัน คี มุน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ระหว่างประชุมสุดยอดสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ที่กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน บรูไนดารุสซาลาม โดยนายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้ชื่นชมโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคของไทย เพราะเห็นว่าเป็นโครงการที่เริ่มมากว่า 10 ปีในสมัย ที่รายได้ต่อหัวของประชาชนยังอยู่ในระดับไม่สูงมากนัก แต่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจุบัน เพราะสามารถดูแลคนไทยทั้งประเทศได้ จึงอยากให้ประเทศไทยได้แบ่งปันความรู้ในการบริหารจัดการโครงการดังกล่าวให้กับประเทศต่างๆ เพื่อจะได้ให้บริการสุขภาพแก่ประชาชนได้
ขณะที่นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการเตรียมหารือระดับสูงกับผู้นำชาติในแอฟริกาช่วงต้นปีหน้า คงจะได้มีการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์การการบริหารโครงการดังกล่าวให้กับประเทศในแอฟริกาไปปฏิบัติใช้ ขณะเดียวกันไทยยังได้ขยายความคุ้มครองการบริการสุขภาพไปยังแรงงานต่างด้าวอีกด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในประเทศว่า ขณะนี้รัฐบาลพยายามที่จะสร้างเสถียรภาพทางการเมืองให้เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยอาศัยแนวทางการเคารพสิทธิมนุษยชนของประชาชนในประเทศ พร้อมกับเปิดกว้างให้แสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ตามระบอบประชาธิปไตย ขณะที่ นายบัน คี มุน กล่าวชื่นชมประเทศไทยในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ หรือ MDGs ที่ไทยสามารถลดการเสียชีวิตจากการตั้งครรภ์ ลดความยากจน ก่อให้เกิดการพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เรียกร้องให้สหประชาชาติเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการดูแลผู้อพยพชาวโรฮิงญาจากเมียนมาร์ ซึ่งเลขาธิการองค์การสหประชาชาติขอบคุณประเทศไทยที่ได้ดูแลผู้อพยพตามหลักมนุษยธรรม โดยจะประสานงานให้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเข้าไปช่วยดูแลเพิ่มเติมให้ ขณะเดียวกันสหประชาชาติได้กล่าวชื่นชมไทยที่เริ่มการพูดคุยกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยขอให้ไทยดูแลความปลอดภัยของโรงเรียน ผู้หญิง และเด็ก ซึ่งนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการดูแลความปลอดภัยให้เด็ก ผู้หญิง อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ทางเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้เชิญนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศของสหประชาชาติที่จะจัดขึ้นก่อนการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญทั่วไปในเดือนกันยายน 2557 เพราะเห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ จากภาวะน้ำท่วม ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีตอบรับที่จะเข้าร่วมประชุมดังกล่าว เพื่อร่วมหาข้อสรุปในการผลักดันข้อตกลงร่วมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศโลกของสมาชิกสหประชาชาติต่อไป