คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1. สภาฯ เสียงข้างมากผ่านวาระ 3 ร่าง กม.กู้เงิน 2 ล้านล้านแล้ว เตรียมชงเข้าที่ประชุมวุฒิฯ ด้าน ปชป.เล็งยื่นศาลตีความขัด รธน.หรือไม่!
เมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. ได้มีการประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ หรือ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ในวาระ 2 ซึ่งร่างกฎหมายดังกล่าวมีทั้งหมด 18 มาตรา โดยวันแรกอภิปรายและลงมติผ่านได้ 2 มาตรา คือ มาตรา 1 ว่าด้วยชื่อ พ.ร.บ.ฉบับนี้ ซึ่ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) เสนอให้เรียกชื่อ พ.ร.บ.นี้แตกต่างกันไป เช่น นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก เสนอให้ใช้ชื่อว่า “ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจรัฐบาลกู้เงินสองล้านล้านบาทเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศโดยสร้างภาระหนี้เพิ่มห้าสิบปี” แต่สุดท้าย ที่ประชุมลงมติยืนยันตามที่กรรมาธิการเสียงข้างมากกำหนด ด้วยคะแนน 288 ต่อ 122 เสียง สำหรับมาตรา 2 ว่าด้วยวันบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ซึ่งที่ประชุมเสียงข้างมากยืนยันตามกรรมาธิการเสียงข้างมากให้ พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ด้วยคะแนน 292 ต่อ 111 เสียง
ส่วนมาตรา 3 ว่าด้วยนิยามของคำว่า “ยุทธศาสตร์ แผนงาน หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานเจ้าของโครงการ” นั้น อภิปรายไม่จบ จึงพิจารณาต่อในวันที่ 20 ก.ย. ทั้งนี้ นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านนี้ ขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรง และว่า นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย(คปก.) ก็ได้ระบุว่า การออกกฎหมายกู้เงินดังกล่าวเป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 และไม่มีประเทศไหนในโลกที่ออกกฎหมายกู้เงินมโหฬารขนาดนี้ ด้านนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงว่า รัฐบาลได้สอบถามไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ยืนยันว่าไม่มีประเด็นไหนขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งต่อมาที่ประชุมได้ลงมติเห็นชอบมาตรา 3 ด้วยคะแนน 282 ต่อ 98 เสียง
จากนั้นได้พิจารณามาตรา 4 ต่อ ที่กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตาม พ.ร.บ.นี้ ซึ่ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายโดยเสนอให้เพิ่มนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.บ.นี้ด้วย เนื่องจากเห็นว่ากฎหมายฉบับนี้มีความสำคัญ อีกทั้งนายกฯ มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจพิจารณาโครงการต่างๆ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมเสียงข้างมากไม่เห็นด้วยและมีมติเห็นชอบตามกรรมาธิการด้วยคะแนน 289 ต่อ 103 เสียง งดออกเสียง 10 เสียง
ส่วนมาตรา 5 ที่กำหนดให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจอนุมัติกู้เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศในนามรัฐบาลเพื่อนำไปใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมไม่เกิน 2 ล้านล้านบาท และให้ดำเนินการภายในวันที่ 31 ธ.ค.2563 นั้น นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ที่รัฐบาลอ้างว่า หากใช้งบประมาณปกติ จะมีผลกระทบต่อโครงการ ตนขอถามว่าการใช้งบประมาณปกติจะทำให้โครงการไม่ต่อเนื่องอย่างไร ที่ผ่านมาโครงการใหญ่ๆ เช่น โครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิที่ล่าช้า ปัญหาก็ไม่ได้มาจากเงินงบประมาณ แต่เป็นปัญหาการจัดการของฝ่ายบริหาร นายกรณ์ ยังชี้ด้วยว่า การลงทุนตาม พ.ร.บ.กู้เงินนี้ หลายโครงการจะทำให้ประเทศขาดทุนและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เช่น รถไฟความเร็วสูงทั้ง 4 เส้นทาง เชื่อว่าจะขาดทุนถึงปีละ 1 แสนล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน 10 เส้นทางเพิ่มเติมใน กทม.จะขาดทุนปีละ 2 แสนล้านบาท ต้องนำเงินภาษีคนทั้งประเทศมาชดเชยการขาดทุน
ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ชี้แจงว่า รัฐบาลมองประโยชน์ของรถไฟความเร็วสูงคือการสร้างเศรษฐกิจ สร้างเมือง และสร้างรายได้ คล้ายๆ เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยลงทุนสร้างถนนไป 6 แสนล้านบาท ไม่ได้คืนแม้แต่บาทเดียว เพราะไม่ได้เก็บเงินคนใช้ถนน แต่สิ่งที่ได้คือความเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเจริญของบ้านเมือง ซึ่งต่อมา ที่ประชุมได้ลงมติเห็นชอบมาตรา 5 ด้วยคะแนน 288 ต่อ 115 เสียง
จากนั้นได้พิจารณามาตรา 6 ต่อ โดยนายกรณ์อภิปรายไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลอ้างว่า เงินกู้ 2 ล้านล้านไม่ได้ส่งเข้าคลังจึงไม่ถือว่าเป็นเงินแผ่นดิน พร้อมชี้ ถ้ารัฐบาลเดินหน้ากู้ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว เสี่ยงแน่นอน ถ้ายื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ก็ไม่รู้ว่าจะออกมาเช่นไร ดังนั้นรัฐบาลควรลดความเสี่ยงด้วยการนำเงินกู้เข้าสู่คลัง และนำเงินออกมามาใช้ตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ด้านนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อ้างว่า ในชั้น กมธ.เคยสอบถามคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว บอกว่าไม่ต้องนำเงินส่งคลังก็ดำเนินการได้ จากนั้นที่ประชุมได้มีการลงมติ ซึ่งเสียงข้างมากเห็นชอบมาตรา 6 ด้วยคะแนน 288 ต่อ 99 เสียง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบมาตรา 7-19 อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมี ส.ส.อภิปรายไม่มาก มาตราละ 1-2 คน ขณะที่บางมาตราไม่มีผู้อภิปราย ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายมาตรา 14 ว่า เมื่อ ครม.ให้ความเห็นชอบการกู้เงินแล้ว ควรนำเสนอสภาและวุฒิสภาพิจารณาอีกครั้ง เพื่ออนุมัติโครงการและวงเงินกู้ที่เหมาะสม เพื่อจะได้ดูว่าที่ไปจ้างที่ปรึกษา 3 หมื่นล้านบาท สมควรหรือไม่ ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์ว่ารัฐบาลต้องการเลี่ยงการตรวจสอบหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าวไม่มีผล เพราะในที่สุดที่ประชุมได้ลงมติเห็นชอบตาม กมธ.เสียงข้างมากด้วยคะแนน 288 ต่อ 105 เสียง
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้สงวนคำแปรญัตติให้เพิ่มมาตรา 20 ว่า ภายในปีงบประมาณ 2560 ให้ ครม.จัดทำงบประมาณประจำปีเป็นงบประมาณแบบสมดุล หากไม่สามารถดำเนินการได้ หรือหากหนี้สาธารณะต่อรายได้ประชาชาติมีสัดส่วนสูงกว่าร้อยละ 50 ห้ามกู้เงินหรือจัดสรรเงินกู้ตาม พ.ร.บ.นี้ ขณะที่นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ สงวนคำแปรญัตติให้เพิ่มมาตรา 21 ว่า หากโครงการใดผลการศึกษาพบว่าไม่มีความคุ้มค่าทางการเงิน ให้ยกเลิกโครงการนั้นทันที เพื่อลดภาระหนี้ให้กับรัฐ นอกจากนี้นายจุติ ยังสงวนคำแปรญัตติให้เพิ่มมาตรา 22 ด้วยว่า โครงการที่ได้รับความเสียหายจากการละเว้น โดยไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องตามสายบังคับบัญชามีความรับผิดทางแพ่ง อย่างไรก็ตามที่ประชุมไม่เห็นด้วยกับการแปรญัตติเพิ่มดังกล่าว ก่อนมีการลงมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินในวาระ 3 ด้วยคะแนน 287 ต่อ 105 เสียง
สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินจะต้องเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาอีก 3 วาระ หากวุฒิสภาให้ความเห็นชอบ จะมีการส่งร่างกลับไปยังสภาผู้แทนราษฎร หากสภาฯ เห็นด้วยกับวุฒิสภา ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ก่อนประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาต่อไป อย่างไรก็ตาม พรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งสัญญาณแล้วว่า จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ หลังผ่านวาระ 3 แล้ว
2. ป.ป.ช. ชี้ “วิเชษฐ์” ถือหุ้นเกิน 5% เตรียมชง กกต. ส่งศาล รธน.ชี้ขาด หลุด รมต.หรือไม่ ด้าน “สรวงศ์” ลุ้นต่อ รอหลักฐานเพิ่ม!
เมื่อวันที่ 17 ก.ย. นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เผยว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาเรื่องการถือครองหุ้นเกิน 5% ของนายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ภริยานายวิเชษฐ์ถือหุ้นบริษัทเอกชนเกิน 5% ของทุนจดทะเบียนจริง และไม่มีการแจ้งให้ประธาน ป.ป.ช.ทราบภายใน 30 วันนับจากวันเข้ารับตำแหน่ง ถือว่าทำผิดตาม พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจพิจารณาว่า นายวิเชษฐ์จะหมดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะเป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่จะตัดสิน ดังนั้น ป.ป.ช.จะส่งเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ส.ส.และ ส.ว. รวมถึงนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้มีอำนาจส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดคุณสมบัติของนายวิเชษฐ์ต่อไป โดยคาดว่า ภายใน 1-2 สัปดาห์ จะสามารถส่งเรื่องไปยัง กกต.และนายกรัฐมนตรีได้ ส่วนนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่มีข่าวว่าถือหุ้นเกิน 5% เช่นกันนั้น ที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติให้หาหลักฐานเพิ่มเติม
ด้านนายวิเชษฐ์ ได้กล่าวก่อนหน้าที่ ป.ป.ช.จะมีมติดังกล่าวโดยยืนยันว่า ตนไม่มีเจตนาจะปกปิดข้อมูล และได้ทำเรื่องให้บริษัทเอกชนรายหนึ่งเข้ามาถือครองกรรมสิทธิ์หุ้นดังกล่าวตามที่กฎหมายกำหนดเรียบร้อยแล้ว “หลังจากมีข่าวว่า ภรรยาผมถือครองหุ้นธุรกิจเกิน 5% ของทุนจดทะเบียน และไม่ได้แจ้ง ป.ป.ช. ผมก็ได้ไปตรวจสอบข้อมูลดูอีกครั้ง และพบว่า กฎหมายกำหนดให้ต้องดำเนินการเรื่องนี้ โดยแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน คือการแจ้งข้อมูลให้ ป.ป.ช.รับทราบภายในกรอบระยะเวลา 30 วัน และการโอนหุ้นไปให้บริษัทจัดการหุ้นดูแลภายใน 90 วัน ซึ่งแม้จะพ้นขั้นตอนกรอบระยะเวลา 30 วันไปแล้ว แต่ขณะนี้ยังอยู่ในกรอบระยะเวลา 90 วันอยู่ และ ล่าสุดผมก็ได้ดำเนินการโอนหุ้นให้บริษัทจัดการหุ้นเรียบร้อยแล้ว”
3. รัฐบาล ดีเดย์จ่ายเงินช่วยปัจจัยผลิตชาวสวนยาง 2,520 บ./ไร่ รอบแรก 450 คน 24 ก.ย.นี้ ที่ อ.ชะอวด!
ความคืบหน้าหลังคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ(กนย.) และคณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้มีมติเห็นชอบให้ช่วยเหลือปัจจัยการผลิตแก่ชาวสวนยาง จากเดิมไร่ละ 1,260 บาท สำหรับผู้ที่มีสวนยางไม่เกิน 10 ไร่ เพิ่มเป็นไร่ละ 2,520 บาท สำหรับชาวสวนยางที่เปิดกรีดไม่เกิน 25 ไร่ พร้อมยืนยันว่าการช่วยเหลือดังกล่าวเป็นไปตามราคาที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหายางพาราตั้งไว้ที่ 90 บาท/กก. ส่วนผู้ที่เปิดกรีดยางมากกว่า 25 ไร่ จะเหมาจ่ายที่ 63,000 บาทต่อราย ซึ่งในส่วนของเกษตรกรชาวสวนยาง มีทั้งกลุ่มที่พอใจและไม่พอใจ โดยกลุ่มที่พอใจได้เรียกร้องให้รัฐบาลส่งตัวแทนไปลงนามกับเกษตรกรที่ จ.นครศรีธรรมราชในวันที่ 13 ก.ย.นั้น
ปรากฏว่า รัฐบาลได้ส่ง พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เดินทางไปพบเกษตรกรที่ จ.นครศรีธรรมราชเมื่อวันที่ 14 ก.ย. ก่อนลงนามร่วมกัน ซึ่งเกษตรกรบางส่วนพอใจจึงยุติการเคลื่อนไหว แต่บางส่วนไม่พอใจ จึงยังคงชุมนุมต่อไป เช่น ที่บริเวณบ้านเตาปูน อ.จุฬาภรณ์ และแยกควนหนองหงษ์ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช แต่ภายหลังผู้ชุมนุมที่บ้านเตาปูนได้ย้ายไปชุมนุมรวมกับที่แยกควนหนองหงษ์ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลส่งคนที่มีอำนาจลงไปเจรจา ไม่ใช่ส่งใครก็ได้ลงไป โดยเรียกร้อง 3 ข้อ 1.ราคายางต้องไม่ต่ำกว่า กก.ละ 100 บาท 2.ปาล์มน้ำมัน กก.ละ 6 บาท 3.รัฐบาลต้องเข้ามาดูแลด้วยความจริงใจ หากไม่สนใจ จะยกระดับเป็นการชุมนุมขับไล่รัฐบาลทันที
ด้านตำรวจในพื้นที่ได้ระดมกำลังกองร้อยปราบจลาจล 650 นาย เข้าปฏิบัติการปิดล้อมยึดคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุมบริเวณแยกควนหนองหงษ์เมื่อวันที่ 16 ก.ย. โดยเลือกช่วงเวลาที่ผู้ชุมนุมเหลืออยู่น้อย ส่งผลให้ผู้ชุมนุมต้องยอมเปิดทาง อย่างไรก็ตาม ภายหลังผู้ชุมนุมได้ยึดพื้นที่คืน ส่งผลให้มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยตำรวจได้ยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุม ขณะที่ผู้ชุมนุมตอบโต้ด้วยการยิงหนังสติ๊กและขว้างปาก้อนหินเข้าใส่ จนมีผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ยังมีรถเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกเผา 8 คัน ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นการกระทำของฝ่ายใด
ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อ้างว่า รัฐบาลได้พูดคุยกับตัวแทนชาวสวนยางทั้งหมดแล้ว และพยายามช่วยอย่างเต็มที่ “ถ้าเราไปช่วยเหลือในต้นน้ำมาก ปลายน้ำหรือผู้บริโภคก็จะซื้อในราคาที่แพงขึ้น ตรงนี้เราต้องช่วยกันรักษาสมดุล” ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ยืนยันการช่วยเหลือที่ไร่ละ 2,520 บาท ซึ่งเทียบได้กับ กก.ละ 90 บาท จะไม่มีการปรับเพิ่มตามที่มีการเรียกร้อง
ด้านนายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ห้ามบุคคลเข้าพื้นที่ชุมนุมบริเวณแยกควนหนองหงษ์ เพื่อปรามไม่ให้มีการชุมนุม โดยได้ขยายเวลาการบังคับกฎหมายใช้ดังกล่าววันต่อวัน
ขณะที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย พยายามโยงว่ามีการเมืองอยู่เบื้องหลังผู้ชุมนุมเพื่อหวังล้มรัฐบาล ร้อนถึง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ต้องออกมาโต้กลับว่าพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลไม่ควรใส่ร้ายผู้ชุมนุม เพื่อเบี่ยงเบนความล้มเหลวในการแก้ปัญหา ด้านนายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ออกมาส่งสัญญาณขอพึ่งบารมี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ให้ช่วยเจรจากับผู้ชุมนุม โดยบอกว่า ตนจะเป็นตัวแทนรัฐบาลไปขอพบและพูดคุยกับนายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่พอใจแนวคิดของนายวิสาร ส่งผลให้ภายหลัง นายวิสารต้องไปหารือกับ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ในนามส่วนตัว ไม่ใช่ในนามรัฐบาล ด้าน ส.ส.ภาคใต้ พรรคประชาธิปัตย์พร้อมช่วยเหลือ โดยลงไปเยี่ยมและพูดคุยกับผู้ชุมนุมแล้ว และผู้ชุมนุมพร้อมจะตั้งตัวแทนขึ้นมาเจรจากับรัฐบาล
ขณะที่รัฐบาลเตรียมเดินหน้าจ่ายเงินช่วยเหลือปัจจัยการผลิตแก่เกษตรกรชาวสวนยางแล้ว หลังเปิดให้ลงทะเบียนทั่วประเทศ โดยข้อมูลจากกรมส่งเสริมการเกษตร ระบุว่า มีเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราจาก 70 จังหวัดยื่นคำร้องขอขึ้นทะเบียนแล้ว 4 แสนกว่าครัวเรือน จากทั้งหมดกว่า 1.1 ล้านครัวเรือน
ด้าน พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เผยว่า รัฐบาลสามารถจ่ายเงินค่าปัจจัยการผลิตไร่ละ 2,520 บาทเข้าระบบให้เกษตรกรชุดแรกได้ในวันที่ 24 ก.ย.นี้ จำนวน 450 ราย ที่ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ส่วนเกษตรกรที่ปลูกยางในพื้นที่เขตป่าสงวนและเขตอุทยานฯ ที่ติดปัญหาเรื่องเอสารสิทธิยังให้ไม่ได้
ขณะที่นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยว่า วันที่ 25 ก.ย.จะเริ่มจ่ายค่าปัจจัยการผลิตให้เกษตรกรใน จ.นราธิวาส 500 ครัวเรือน วันที่ 26 ก.ย. จ.ปัตตานี ,สงขลา ,พัทลุง จังหวัดละ 500 ครัวเรือน วันที่ 27 ก.ย. จ.กระบี่ ,ยะลา ,ชุมพร ,ระนอง ,สตูล ,ภูเก็ต และพังงา จังหวัดละ 500 ครัวเรือน ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มผู้ชุมนุมที่เหลืออยู่เป็นคนกรีดยาง จะช่วยเหลือเยียวยาหรือไม่ นายยุคล บอกว่า ต้องแยกคนกรีดยางกับเกษตรกรออกจากกัน โดยรัฐบาลจะช่วยเหลือเกษตรกรเป็นหลัก
4. โปรดเกล้าฯ โยกย้ายนายทหารแล้ว “นิพัทธ์” ปลัด กห.- “ณรงค์” ผบ.ทร. - “อุดมเดช” รอง ผบ.ทบ. จ่อ ผบ.ทบ.ปีหน้า!
เมื่อวันที่ 15 ก.ย. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายทหารรับราชการสนองพระเดชพระคุณ หรือการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี 2556 จำนวน 861 นาย มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2556 โดยตำแหน่งที่น่าสนใจ ได้แก่ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ตท.14 รองปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีข่าวว่าเป็นไปตามแรงผลักดันของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่วน พล.ร.อ.อมรเทพ ณ บางช้าง ตท.13 ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพเรือ ซึ่งก่อนหน้านี้มีชื่ออยู่ในคลิปเสียงคล้าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คุยกับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม อกหักไม่ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ โดยย้ายข้ามไปเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขณะที่ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ตท.13 รองผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ
ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ได้แก่ พล.ต.พันลึก สุวรรณทัต ตท.21 นายทหารคนสนิทนายกรัฐมนตรี น้องชาย พล.อ.พฤณฑ์ สุวรรณทัต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เป็น พล.ท. ตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ขณะที่ พล.ต.พิษณุ พุทธวงศ์ ตท.19 ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก นายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้เป็น พล.ท. ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
ด้าน พล.อ.อ.อดิศักดิ์ กลั่นเสนาะ ตท.12 ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพอากาศ ย้ายข้ามไปเป็นประธานคณะที่ปรึกษากองทัพไทย ขณะที่ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ตท.13 ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ถูกย้ายไปเป็นเสนาธิการทหาร
ในส่วนของ 5 เสือ ทบ.ก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เนื่องจากมีการเกษียณอายุราชการ โดย พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร ตท.14 เสนาธิการทหารบก ได้ขึ้นเป็นรอง ผบ.ทบ. แทน พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ที่เกษียณอายุราชการ โดยจ่อขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ในปีหน้าหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เกษียณอายุราชการ ขณะที่ พล.อ.จิระเดช โมกขะสมิต ตท.13 ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ซึ่งเป็นแคนดิเดตปลัดกระทรวงกลาโหมก่อนหน้านี้ อกหักได้เป็นแค่ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก
ด้าน พล.อ.ฉัตรชัย สาลิกัลป์ยะ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก และ ผอ.สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 เพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. และอยู่ในไลน์ท้าชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ.ในปีหน้าเช่นกัน ขณะที่ พล.ท.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ตท.15 แม่ทัพภาค 1 ได้ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. ,พล.ท.ธีรชัย นาควานิช ตท.14 รอง เสธ.ทบ.ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 , พล.ต.ชาญชัย ภู่ทอง ตท.15 รองแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ส่วน พ.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ตท.20 รองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์(พล.ร.2 รอ.) ขึ้นเป็น ผบ.พล.ร.2 รอ. คุมกำลัง 1 ในค่ายทหารที่สำคัญในการปฏิวัติรัฐประหาร
5. ปปง. มีมติยึดทรัพย์ “อดีตเณรคำ” 24 ล้าน-สหกรณ์ยูเนี่ยน 227 ล้าน พร้อมชงอัยการตามยึดทรัพย์คดีบีบีซีนับหมื่นล้าน ด้าน “เสี่ยอู๊ด” โดนด้วย 23 ล้าน!
เมื่อวันที่ 19 ก.ย. พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) แถลงว่า คณะกรรมการธุรกรรมของ ปปง.ที่มีนายวิรัช ชินวินิจกุล เป็นประธาน ได้ประชุมพิจารณาผลตรวจสอบคดีสำคัญ 7 คดี โดยมีมติให้สรุปสำนวนอายัดทรัพย์สินของนายวิรพล สุขผล หรืออดีตพระเณรคำและบุคคลใกล้ชิด ส่งให้พนักงานอัยการพิจารณายื่นคำร้องขอให้ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน 31 รายการ มูลค่ากว่า 24 ล้านบาท โดยเป็นไปตามมูลฐานความผิดฉ้อโกงประชาชน เนื่องจากอดีตพระเณรคำและบุคคลใกล้ชิดไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์ได้บางส่วน นอกจากนี้คณะกรรมการธุรกรรมยังมีมติให้เพิกถอนการอายัดทรัพย์สินของอดีตพระเณรคำและบุคคลใกล้ชิด 14 รายการ มูลค่ากว่า 4 แสนบาท ทั้งนี้ ในการชี้แจงที่มาทรัพย์สิน อดีตพระเณรคำได้ส่งตัวแทนเข้ามาชี้แจงแทน
นอกจากนี้คณะกรรมการธุรกรรม ยังมีมติให้เพิกถอนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินอดีตผู้บริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด กับพวก 87 รายการ และให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินเพิ่มเติม 37 รายการ มูลค่ากว่า 227 ล้านบาท รวมทั้งเห็นชอบให้เลขาธิการ ปปง.ดำเนินการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายเป็นรายคดี โดยร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ตั้งคณะกรรมการคุ้มครองสิทธิ นำทรัพย์สินที่อายัดไว้ไปจำหน่ายหรือบริหาร เพื่อนำรายได้กลับคืนสหกรณ์เพื่อคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายให้มากที่สุด ซึ่งมีทรัพย์สินที่ต้องดำเนินการ 306 รายการ มูลค่ากว่า 633 ล้านบาท
ส่วนกรณีทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง พร้อมอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานครนั้น คณะกรรมการธุรกรรมมีมติให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมและทรัพย์สินของนายประชา มาลีนนท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม.ว่าได้มาจากไหน อย่างไร ชี้แจงได้หรือไม่ นอกจากนี้คณะกรรมการธุรกรรมยังมีมติรับทราบกรณีที่เลขาธิการ ปปง.ใช้อำนาจตามมาตรา 48 สั่งอายัดเงินฝากในบัญชีธนาคารของบริษัท ดิจิตอล คราวน์ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ DCHL กว่า 74 ล้านบาท ฐานฉ้อโกงประชาชน และมีมติให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมและทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพิ่มเติม ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ส่วนอีก 3 คดีนั้น คณะกรรมการธุรกรรมมีมติให้อายัดทรัพย์คดีอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ(บีบีซี) ที่อนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัท ซิตี้เทรดดิ้ง คอร์ปอเรชั่น เป็นที่ดิน นส.3 ที่ จ.นครราชสีมา จำนวน 61 แปลง มูลค่ากว่า 25 ล้านบาท และขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามยึดทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมมูลค่าประมาณ 5,000-10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้คณะกรรมการธุรกรรมยังมีมติให้อายัดทรัพย์คดีฉ้อโกงประชาชนในการจัดสร้างและให้เช่าบูชาพระสมเด็จเหนือหัว ที่ดำเนินการโดยนายสิทธิกร บุญฉิม หรือเสี่ยอู๊ด โดยให้อายัดบัญชีเงินฝากธนาคาร 4 บัญชี มูลค่า 23 ล้านบาท ไว้ชั่วคราวเป็นเวลา 90 วันเพื่อดำเนินการตามกฎหมายตามมูลฐานความผิดฉ้อโกงประชาชน
6. ทัพลูกยางสาวทีมชาติไทย โชว์ฟอร์มเยี่ยมคว่ำทีมชาติญี่ปุ่น 3 เซตรวด คว้าแชมป์เอเชีย 2013 ได้สำเร็จ!
เมื่อวันที่ 21 ก.ย. ได้มีการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย 2013 ที่ชาติชายฮอลล์ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ จังหวัดนครราชสีมา โดยทัพลูกยางสาวทีมชาติไทย ได้สร้างชื่อกระหึ่มอีกครั้งหลังโชว์ฟอร์มสุดยอดคว่ำทีมชาติญี่ปุ่น 3 เซตรวด 25-22, 25-18 และ 25-17 คว้าแชมป์เอเชีย 2013 ได้สำเร็จเป็นสมัยที่ 2 ต่อจากปี 2009 โดยก่อนหน้า 1 วัน ได้โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมมาแล้วด้วยการเอาชนะจีน 3-2 เซต
ความสำเร็จครั้งนี้ ส่งผลให้ “กัปตันกิ๊ฟ” วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์ ได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์มาครอง ขณะที่ นุศรา ต้อมคำ ได้รับรางวัลมือเซตยอดเยี่ยม ด้านวิลาวัณย์ เผยถึงความสำเร็จครั้งนี้ว่า “ดีใจมาก เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อที่สามารถเล่นกับญี่ปุ่นได้ขนาดนี้ ซึ่งรางวัลนี้ต้องขอยกความสำเร็จให้กับเพื่อนร่วมทีมและสต๊าฟโค้ชทุกคน เพราะหากไม่มีคนเซต เราก็ตบไม่ได้ และหากไม่มีคนบล็อก เราก็ไม่สามารถที่จะรับลูกได้”
ขณะที่ "โค้ชอ๊อด” เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร หัวหน้าผู้ฝึกสอน ได้แสดงความชื่นชมลูกทีมทุกคน “วันนี้ต้องขอชื่นชมลูกทีมทุกคนที่เล่นได้ตามการบ้านที่วางไว้ ไม่เคยคิดว่าจะเล่นได้เป๊ะขนาดนี้ ซึ่งแชมป์ครั้งนี้เป็นที่น่าพอใจกว่าเมื่อปี 2009 เพราะคู่แข่งทุกทีมนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ทุกคนก็กัดฟันสู้ได้แม้จะมีหลายคนที่มีอาการบาดเจ็บไม่ฟิต รวมถึงต้องขอบคุณผู้สนับสนุนทุกท่านและต้นสังกัดของผมและนักกีฬาด้วยเช่นกัน”
ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นพิธีรับรางวัล ทัพ “ลูกยางสาวไทย” ได้เดินแก้บนตามที่ วรรณา บัวแก้ว ขอไว้ โดยเดินจากสนามแข่งขันไปถึงลานย่าโม รวมระยะทางกว่า 12 กิโลเมตร สำหรับโปรแกรมต่อไปของ “นักตบสาวไทย” จะลงสู้ศึกรายการ ไอวีบีเวิลด์ แกรนด์ แชมเปียนส์ คัพ 2013 ที่ประเทศญี่ปุ่น ในเดือน พ.ย. ต่อด้วย ซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ที่ประเทศพม่า ในเดือน ธ.ค.
1. สภาฯ เสียงข้างมากผ่านวาระ 3 ร่าง กม.กู้เงิน 2 ล้านล้านแล้ว เตรียมชงเข้าที่ประชุมวุฒิฯ ด้าน ปชป.เล็งยื่นศาลตีความขัด รธน.หรือไม่!
เมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. ได้มีการประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ หรือ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ในวาระ 2 ซึ่งร่างกฎหมายดังกล่าวมีทั้งหมด 18 มาตรา โดยวันแรกอภิปรายและลงมติผ่านได้ 2 มาตรา คือ มาตรา 1 ว่าด้วยชื่อ พ.ร.บ.ฉบับนี้ ซึ่ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) เสนอให้เรียกชื่อ พ.ร.บ.นี้แตกต่างกันไป เช่น นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก เสนอให้ใช้ชื่อว่า “ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจรัฐบาลกู้เงินสองล้านล้านบาทเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศโดยสร้างภาระหนี้เพิ่มห้าสิบปี” แต่สุดท้าย ที่ประชุมลงมติยืนยันตามที่กรรมาธิการเสียงข้างมากกำหนด ด้วยคะแนน 288 ต่อ 122 เสียง สำหรับมาตรา 2 ว่าด้วยวันบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ซึ่งที่ประชุมเสียงข้างมากยืนยันตามกรรมาธิการเสียงข้างมากให้ พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ด้วยคะแนน 292 ต่อ 111 เสียง
ส่วนมาตรา 3 ว่าด้วยนิยามของคำว่า “ยุทธศาสตร์ แผนงาน หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานเจ้าของโครงการ” นั้น อภิปรายไม่จบ จึงพิจารณาต่อในวันที่ 20 ก.ย. ทั้งนี้ นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านนี้ ขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรง และว่า นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย(คปก.) ก็ได้ระบุว่า การออกกฎหมายกู้เงินดังกล่าวเป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 และไม่มีประเทศไหนในโลกที่ออกกฎหมายกู้เงินมโหฬารขนาดนี้ ด้านนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงว่า รัฐบาลได้สอบถามไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ยืนยันว่าไม่มีประเด็นไหนขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งต่อมาที่ประชุมได้ลงมติเห็นชอบมาตรา 3 ด้วยคะแนน 282 ต่อ 98 เสียง
จากนั้นได้พิจารณามาตรา 4 ต่อ ที่กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตาม พ.ร.บ.นี้ ซึ่ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายโดยเสนอให้เพิ่มนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.บ.นี้ด้วย เนื่องจากเห็นว่ากฎหมายฉบับนี้มีความสำคัญ อีกทั้งนายกฯ มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจพิจารณาโครงการต่างๆ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมเสียงข้างมากไม่เห็นด้วยและมีมติเห็นชอบตามกรรมาธิการด้วยคะแนน 289 ต่อ 103 เสียง งดออกเสียง 10 เสียง
ส่วนมาตรา 5 ที่กำหนดให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจอนุมัติกู้เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศในนามรัฐบาลเพื่อนำไปใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมไม่เกิน 2 ล้านล้านบาท และให้ดำเนินการภายในวันที่ 31 ธ.ค.2563 นั้น นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ที่รัฐบาลอ้างว่า หากใช้งบประมาณปกติ จะมีผลกระทบต่อโครงการ ตนขอถามว่าการใช้งบประมาณปกติจะทำให้โครงการไม่ต่อเนื่องอย่างไร ที่ผ่านมาโครงการใหญ่ๆ เช่น โครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิที่ล่าช้า ปัญหาก็ไม่ได้มาจากเงินงบประมาณ แต่เป็นปัญหาการจัดการของฝ่ายบริหาร นายกรณ์ ยังชี้ด้วยว่า การลงทุนตาม พ.ร.บ.กู้เงินนี้ หลายโครงการจะทำให้ประเทศขาดทุนและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เช่น รถไฟความเร็วสูงทั้ง 4 เส้นทาง เชื่อว่าจะขาดทุนถึงปีละ 1 แสนล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน 10 เส้นทางเพิ่มเติมใน กทม.จะขาดทุนปีละ 2 แสนล้านบาท ต้องนำเงินภาษีคนทั้งประเทศมาชดเชยการขาดทุน
ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ชี้แจงว่า รัฐบาลมองประโยชน์ของรถไฟความเร็วสูงคือการสร้างเศรษฐกิจ สร้างเมือง และสร้างรายได้ คล้ายๆ เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยลงทุนสร้างถนนไป 6 แสนล้านบาท ไม่ได้คืนแม้แต่บาทเดียว เพราะไม่ได้เก็บเงินคนใช้ถนน แต่สิ่งที่ได้คือความเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเจริญของบ้านเมือง ซึ่งต่อมา ที่ประชุมได้ลงมติเห็นชอบมาตรา 5 ด้วยคะแนน 288 ต่อ 115 เสียง
จากนั้นได้พิจารณามาตรา 6 ต่อ โดยนายกรณ์อภิปรายไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลอ้างว่า เงินกู้ 2 ล้านล้านไม่ได้ส่งเข้าคลังจึงไม่ถือว่าเป็นเงินแผ่นดิน พร้อมชี้ ถ้ารัฐบาลเดินหน้ากู้ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว เสี่ยงแน่นอน ถ้ายื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ก็ไม่รู้ว่าจะออกมาเช่นไร ดังนั้นรัฐบาลควรลดความเสี่ยงด้วยการนำเงินกู้เข้าสู่คลัง และนำเงินออกมามาใช้ตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ด้านนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อ้างว่า ในชั้น กมธ.เคยสอบถามคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว บอกว่าไม่ต้องนำเงินส่งคลังก็ดำเนินการได้ จากนั้นที่ประชุมได้มีการลงมติ ซึ่งเสียงข้างมากเห็นชอบมาตรา 6 ด้วยคะแนน 288 ต่อ 99 เสียง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบมาตรา 7-19 อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมี ส.ส.อภิปรายไม่มาก มาตราละ 1-2 คน ขณะที่บางมาตราไม่มีผู้อภิปราย ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายมาตรา 14 ว่า เมื่อ ครม.ให้ความเห็นชอบการกู้เงินแล้ว ควรนำเสนอสภาและวุฒิสภาพิจารณาอีกครั้ง เพื่ออนุมัติโครงการและวงเงินกู้ที่เหมาะสม เพื่อจะได้ดูว่าที่ไปจ้างที่ปรึกษา 3 หมื่นล้านบาท สมควรหรือไม่ ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์ว่ารัฐบาลต้องการเลี่ยงการตรวจสอบหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าวไม่มีผล เพราะในที่สุดที่ประชุมได้ลงมติเห็นชอบตาม กมธ.เสียงข้างมากด้วยคะแนน 288 ต่อ 105 เสียง
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้สงวนคำแปรญัตติให้เพิ่มมาตรา 20 ว่า ภายในปีงบประมาณ 2560 ให้ ครม.จัดทำงบประมาณประจำปีเป็นงบประมาณแบบสมดุล หากไม่สามารถดำเนินการได้ หรือหากหนี้สาธารณะต่อรายได้ประชาชาติมีสัดส่วนสูงกว่าร้อยละ 50 ห้ามกู้เงินหรือจัดสรรเงินกู้ตาม พ.ร.บ.นี้ ขณะที่นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ สงวนคำแปรญัตติให้เพิ่มมาตรา 21 ว่า หากโครงการใดผลการศึกษาพบว่าไม่มีความคุ้มค่าทางการเงิน ให้ยกเลิกโครงการนั้นทันที เพื่อลดภาระหนี้ให้กับรัฐ นอกจากนี้นายจุติ ยังสงวนคำแปรญัตติให้เพิ่มมาตรา 22 ด้วยว่า โครงการที่ได้รับความเสียหายจากการละเว้น โดยไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องตามสายบังคับบัญชามีความรับผิดทางแพ่ง อย่างไรก็ตามที่ประชุมไม่เห็นด้วยกับการแปรญัตติเพิ่มดังกล่าว ก่อนมีการลงมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินในวาระ 3 ด้วยคะแนน 287 ต่อ 105 เสียง
สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินจะต้องเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาอีก 3 วาระ หากวุฒิสภาให้ความเห็นชอบ จะมีการส่งร่างกลับไปยังสภาผู้แทนราษฎร หากสภาฯ เห็นด้วยกับวุฒิสภา ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ก่อนประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาต่อไป อย่างไรก็ตาม พรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งสัญญาณแล้วว่า จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ หลังผ่านวาระ 3 แล้ว
2. ป.ป.ช. ชี้ “วิเชษฐ์” ถือหุ้นเกิน 5% เตรียมชง กกต. ส่งศาล รธน.ชี้ขาด หลุด รมต.หรือไม่ ด้าน “สรวงศ์” ลุ้นต่อ รอหลักฐานเพิ่ม!
เมื่อวันที่ 17 ก.ย. นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เผยว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาเรื่องการถือครองหุ้นเกิน 5% ของนายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ภริยานายวิเชษฐ์ถือหุ้นบริษัทเอกชนเกิน 5% ของทุนจดทะเบียนจริง และไม่มีการแจ้งให้ประธาน ป.ป.ช.ทราบภายใน 30 วันนับจากวันเข้ารับตำแหน่ง ถือว่าทำผิดตาม พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจพิจารณาว่า นายวิเชษฐ์จะหมดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะเป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่จะตัดสิน ดังนั้น ป.ป.ช.จะส่งเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ส.ส.และ ส.ว. รวมถึงนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้มีอำนาจส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดคุณสมบัติของนายวิเชษฐ์ต่อไป โดยคาดว่า ภายใน 1-2 สัปดาห์ จะสามารถส่งเรื่องไปยัง กกต.และนายกรัฐมนตรีได้ ส่วนนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่มีข่าวว่าถือหุ้นเกิน 5% เช่นกันนั้น ที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติให้หาหลักฐานเพิ่มเติม
ด้านนายวิเชษฐ์ ได้กล่าวก่อนหน้าที่ ป.ป.ช.จะมีมติดังกล่าวโดยยืนยันว่า ตนไม่มีเจตนาจะปกปิดข้อมูล และได้ทำเรื่องให้บริษัทเอกชนรายหนึ่งเข้ามาถือครองกรรมสิทธิ์หุ้นดังกล่าวตามที่กฎหมายกำหนดเรียบร้อยแล้ว “หลังจากมีข่าวว่า ภรรยาผมถือครองหุ้นธุรกิจเกิน 5% ของทุนจดทะเบียน และไม่ได้แจ้ง ป.ป.ช. ผมก็ได้ไปตรวจสอบข้อมูลดูอีกครั้ง และพบว่า กฎหมายกำหนดให้ต้องดำเนินการเรื่องนี้ โดยแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน คือการแจ้งข้อมูลให้ ป.ป.ช.รับทราบภายในกรอบระยะเวลา 30 วัน และการโอนหุ้นไปให้บริษัทจัดการหุ้นดูแลภายใน 90 วัน ซึ่งแม้จะพ้นขั้นตอนกรอบระยะเวลา 30 วันไปแล้ว แต่ขณะนี้ยังอยู่ในกรอบระยะเวลา 90 วันอยู่ และ ล่าสุดผมก็ได้ดำเนินการโอนหุ้นให้บริษัทจัดการหุ้นเรียบร้อยแล้ว”
3. รัฐบาล ดีเดย์จ่ายเงินช่วยปัจจัยผลิตชาวสวนยาง 2,520 บ./ไร่ รอบแรก 450 คน 24 ก.ย.นี้ ที่ อ.ชะอวด!
ความคืบหน้าหลังคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ(กนย.) และคณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้มีมติเห็นชอบให้ช่วยเหลือปัจจัยการผลิตแก่ชาวสวนยาง จากเดิมไร่ละ 1,260 บาท สำหรับผู้ที่มีสวนยางไม่เกิน 10 ไร่ เพิ่มเป็นไร่ละ 2,520 บาท สำหรับชาวสวนยางที่เปิดกรีดไม่เกิน 25 ไร่ พร้อมยืนยันว่าการช่วยเหลือดังกล่าวเป็นไปตามราคาที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหายางพาราตั้งไว้ที่ 90 บาท/กก. ส่วนผู้ที่เปิดกรีดยางมากกว่า 25 ไร่ จะเหมาจ่ายที่ 63,000 บาทต่อราย ซึ่งในส่วนของเกษตรกรชาวสวนยาง มีทั้งกลุ่มที่พอใจและไม่พอใจ โดยกลุ่มที่พอใจได้เรียกร้องให้รัฐบาลส่งตัวแทนไปลงนามกับเกษตรกรที่ จ.นครศรีธรรมราชในวันที่ 13 ก.ย.นั้น
ปรากฏว่า รัฐบาลได้ส่ง พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เดินทางไปพบเกษตรกรที่ จ.นครศรีธรรมราชเมื่อวันที่ 14 ก.ย. ก่อนลงนามร่วมกัน ซึ่งเกษตรกรบางส่วนพอใจจึงยุติการเคลื่อนไหว แต่บางส่วนไม่พอใจ จึงยังคงชุมนุมต่อไป เช่น ที่บริเวณบ้านเตาปูน อ.จุฬาภรณ์ และแยกควนหนองหงษ์ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช แต่ภายหลังผู้ชุมนุมที่บ้านเตาปูนได้ย้ายไปชุมนุมรวมกับที่แยกควนหนองหงษ์ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลส่งคนที่มีอำนาจลงไปเจรจา ไม่ใช่ส่งใครก็ได้ลงไป โดยเรียกร้อง 3 ข้อ 1.ราคายางต้องไม่ต่ำกว่า กก.ละ 100 บาท 2.ปาล์มน้ำมัน กก.ละ 6 บาท 3.รัฐบาลต้องเข้ามาดูแลด้วยความจริงใจ หากไม่สนใจ จะยกระดับเป็นการชุมนุมขับไล่รัฐบาลทันที
ด้านตำรวจในพื้นที่ได้ระดมกำลังกองร้อยปราบจลาจล 650 นาย เข้าปฏิบัติการปิดล้อมยึดคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุมบริเวณแยกควนหนองหงษ์เมื่อวันที่ 16 ก.ย. โดยเลือกช่วงเวลาที่ผู้ชุมนุมเหลืออยู่น้อย ส่งผลให้ผู้ชุมนุมต้องยอมเปิดทาง อย่างไรก็ตาม ภายหลังผู้ชุมนุมได้ยึดพื้นที่คืน ส่งผลให้มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยตำรวจได้ยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุม ขณะที่ผู้ชุมนุมตอบโต้ด้วยการยิงหนังสติ๊กและขว้างปาก้อนหินเข้าใส่ จนมีผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ยังมีรถเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกเผา 8 คัน ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นการกระทำของฝ่ายใด
ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อ้างว่า รัฐบาลได้พูดคุยกับตัวแทนชาวสวนยางทั้งหมดแล้ว และพยายามช่วยอย่างเต็มที่ “ถ้าเราไปช่วยเหลือในต้นน้ำมาก ปลายน้ำหรือผู้บริโภคก็จะซื้อในราคาที่แพงขึ้น ตรงนี้เราต้องช่วยกันรักษาสมดุล” ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ยืนยันการช่วยเหลือที่ไร่ละ 2,520 บาท ซึ่งเทียบได้กับ กก.ละ 90 บาท จะไม่มีการปรับเพิ่มตามที่มีการเรียกร้อง
ด้านนายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ห้ามบุคคลเข้าพื้นที่ชุมนุมบริเวณแยกควนหนองหงษ์ เพื่อปรามไม่ให้มีการชุมนุม โดยได้ขยายเวลาการบังคับกฎหมายใช้ดังกล่าววันต่อวัน
ขณะที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย พยายามโยงว่ามีการเมืองอยู่เบื้องหลังผู้ชุมนุมเพื่อหวังล้มรัฐบาล ร้อนถึง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ต้องออกมาโต้กลับว่าพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลไม่ควรใส่ร้ายผู้ชุมนุม เพื่อเบี่ยงเบนความล้มเหลวในการแก้ปัญหา ด้านนายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ออกมาส่งสัญญาณขอพึ่งบารมี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ให้ช่วยเจรจากับผู้ชุมนุม โดยบอกว่า ตนจะเป็นตัวแทนรัฐบาลไปขอพบและพูดคุยกับนายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่พอใจแนวคิดของนายวิสาร ส่งผลให้ภายหลัง นายวิสารต้องไปหารือกับ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ในนามส่วนตัว ไม่ใช่ในนามรัฐบาล ด้าน ส.ส.ภาคใต้ พรรคประชาธิปัตย์พร้อมช่วยเหลือ โดยลงไปเยี่ยมและพูดคุยกับผู้ชุมนุมแล้ว และผู้ชุมนุมพร้อมจะตั้งตัวแทนขึ้นมาเจรจากับรัฐบาล
ขณะที่รัฐบาลเตรียมเดินหน้าจ่ายเงินช่วยเหลือปัจจัยการผลิตแก่เกษตรกรชาวสวนยางแล้ว หลังเปิดให้ลงทะเบียนทั่วประเทศ โดยข้อมูลจากกรมส่งเสริมการเกษตร ระบุว่า มีเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราจาก 70 จังหวัดยื่นคำร้องขอขึ้นทะเบียนแล้ว 4 แสนกว่าครัวเรือน จากทั้งหมดกว่า 1.1 ล้านครัวเรือน
ด้าน พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เผยว่า รัฐบาลสามารถจ่ายเงินค่าปัจจัยการผลิตไร่ละ 2,520 บาทเข้าระบบให้เกษตรกรชุดแรกได้ในวันที่ 24 ก.ย.นี้ จำนวน 450 ราย ที่ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ส่วนเกษตรกรที่ปลูกยางในพื้นที่เขตป่าสงวนและเขตอุทยานฯ ที่ติดปัญหาเรื่องเอสารสิทธิยังให้ไม่ได้
ขณะที่นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยว่า วันที่ 25 ก.ย.จะเริ่มจ่ายค่าปัจจัยการผลิตให้เกษตรกรใน จ.นราธิวาส 500 ครัวเรือน วันที่ 26 ก.ย. จ.ปัตตานี ,สงขลา ,พัทลุง จังหวัดละ 500 ครัวเรือน วันที่ 27 ก.ย. จ.กระบี่ ,ยะลา ,ชุมพร ,ระนอง ,สตูล ,ภูเก็ต และพังงา จังหวัดละ 500 ครัวเรือน ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มผู้ชุมนุมที่เหลืออยู่เป็นคนกรีดยาง จะช่วยเหลือเยียวยาหรือไม่ นายยุคล บอกว่า ต้องแยกคนกรีดยางกับเกษตรกรออกจากกัน โดยรัฐบาลจะช่วยเหลือเกษตรกรเป็นหลัก
4. โปรดเกล้าฯ โยกย้ายนายทหารแล้ว “นิพัทธ์” ปลัด กห.- “ณรงค์” ผบ.ทร. - “อุดมเดช” รอง ผบ.ทบ. จ่อ ผบ.ทบ.ปีหน้า!
เมื่อวันที่ 15 ก.ย. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายทหารรับราชการสนองพระเดชพระคุณ หรือการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี 2556 จำนวน 861 นาย มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2556 โดยตำแหน่งที่น่าสนใจ ได้แก่ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ตท.14 รองปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีข่าวว่าเป็นไปตามแรงผลักดันของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่วน พล.ร.อ.อมรเทพ ณ บางช้าง ตท.13 ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพเรือ ซึ่งก่อนหน้านี้มีชื่ออยู่ในคลิปเสียงคล้าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คุยกับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม อกหักไม่ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ โดยย้ายข้ามไปเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขณะที่ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ตท.13 รองผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ
ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ได้แก่ พล.ต.พันลึก สุวรรณทัต ตท.21 นายทหารคนสนิทนายกรัฐมนตรี น้องชาย พล.อ.พฤณฑ์ สุวรรณทัต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เป็น พล.ท. ตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ขณะที่ พล.ต.พิษณุ พุทธวงศ์ ตท.19 ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก นายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้เป็น พล.ท. ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
ด้าน พล.อ.อ.อดิศักดิ์ กลั่นเสนาะ ตท.12 ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพอากาศ ย้ายข้ามไปเป็นประธานคณะที่ปรึกษากองทัพไทย ขณะที่ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ตท.13 ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ถูกย้ายไปเป็นเสนาธิการทหาร
ในส่วนของ 5 เสือ ทบ.ก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เนื่องจากมีการเกษียณอายุราชการ โดย พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร ตท.14 เสนาธิการทหารบก ได้ขึ้นเป็นรอง ผบ.ทบ. แทน พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ที่เกษียณอายุราชการ โดยจ่อขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ในปีหน้าหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เกษียณอายุราชการ ขณะที่ พล.อ.จิระเดช โมกขะสมิต ตท.13 ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ซึ่งเป็นแคนดิเดตปลัดกระทรวงกลาโหมก่อนหน้านี้ อกหักได้เป็นแค่ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก
ด้าน พล.อ.ฉัตรชัย สาลิกัลป์ยะ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก และ ผอ.สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 เพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. และอยู่ในไลน์ท้าชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ.ในปีหน้าเช่นกัน ขณะที่ พล.ท.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ตท.15 แม่ทัพภาค 1 ได้ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. ,พล.ท.ธีรชัย นาควานิช ตท.14 รอง เสธ.ทบ.ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 , พล.ต.ชาญชัย ภู่ทอง ตท.15 รองแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ส่วน พ.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ตท.20 รองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์(พล.ร.2 รอ.) ขึ้นเป็น ผบ.พล.ร.2 รอ. คุมกำลัง 1 ในค่ายทหารที่สำคัญในการปฏิวัติรัฐประหาร
5. ปปง. มีมติยึดทรัพย์ “อดีตเณรคำ” 24 ล้าน-สหกรณ์ยูเนี่ยน 227 ล้าน พร้อมชงอัยการตามยึดทรัพย์คดีบีบีซีนับหมื่นล้าน ด้าน “เสี่ยอู๊ด” โดนด้วย 23 ล้าน!
เมื่อวันที่ 19 ก.ย. พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) แถลงว่า คณะกรรมการธุรกรรมของ ปปง.ที่มีนายวิรัช ชินวินิจกุล เป็นประธาน ได้ประชุมพิจารณาผลตรวจสอบคดีสำคัญ 7 คดี โดยมีมติให้สรุปสำนวนอายัดทรัพย์สินของนายวิรพล สุขผล หรืออดีตพระเณรคำและบุคคลใกล้ชิด ส่งให้พนักงานอัยการพิจารณายื่นคำร้องขอให้ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน 31 รายการ มูลค่ากว่า 24 ล้านบาท โดยเป็นไปตามมูลฐานความผิดฉ้อโกงประชาชน เนื่องจากอดีตพระเณรคำและบุคคลใกล้ชิดไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์ได้บางส่วน นอกจากนี้คณะกรรมการธุรกรรมยังมีมติให้เพิกถอนการอายัดทรัพย์สินของอดีตพระเณรคำและบุคคลใกล้ชิด 14 รายการ มูลค่ากว่า 4 แสนบาท ทั้งนี้ ในการชี้แจงที่มาทรัพย์สิน อดีตพระเณรคำได้ส่งตัวแทนเข้ามาชี้แจงแทน
นอกจากนี้คณะกรรมการธุรกรรม ยังมีมติให้เพิกถอนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินอดีตผู้บริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด กับพวก 87 รายการ และให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินเพิ่มเติม 37 รายการ มูลค่ากว่า 227 ล้านบาท รวมทั้งเห็นชอบให้เลขาธิการ ปปง.ดำเนินการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายเป็นรายคดี โดยร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ตั้งคณะกรรมการคุ้มครองสิทธิ นำทรัพย์สินที่อายัดไว้ไปจำหน่ายหรือบริหาร เพื่อนำรายได้กลับคืนสหกรณ์เพื่อคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายให้มากที่สุด ซึ่งมีทรัพย์สินที่ต้องดำเนินการ 306 รายการ มูลค่ากว่า 633 ล้านบาท
ส่วนกรณีทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง พร้อมอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานครนั้น คณะกรรมการธุรกรรมมีมติให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมและทรัพย์สินของนายประชา มาลีนนท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม.ว่าได้มาจากไหน อย่างไร ชี้แจงได้หรือไม่ นอกจากนี้คณะกรรมการธุรกรรมยังมีมติรับทราบกรณีที่เลขาธิการ ปปง.ใช้อำนาจตามมาตรา 48 สั่งอายัดเงินฝากในบัญชีธนาคารของบริษัท ดิจิตอล คราวน์ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ DCHL กว่า 74 ล้านบาท ฐานฉ้อโกงประชาชน และมีมติให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมและทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพิ่มเติม ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ส่วนอีก 3 คดีนั้น คณะกรรมการธุรกรรมมีมติให้อายัดทรัพย์คดีอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ(บีบีซี) ที่อนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัท ซิตี้เทรดดิ้ง คอร์ปอเรชั่น เป็นที่ดิน นส.3 ที่ จ.นครราชสีมา จำนวน 61 แปลง มูลค่ากว่า 25 ล้านบาท และขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามยึดทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมมูลค่าประมาณ 5,000-10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้คณะกรรมการธุรกรรมยังมีมติให้อายัดทรัพย์คดีฉ้อโกงประชาชนในการจัดสร้างและให้เช่าบูชาพระสมเด็จเหนือหัว ที่ดำเนินการโดยนายสิทธิกร บุญฉิม หรือเสี่ยอู๊ด โดยให้อายัดบัญชีเงินฝากธนาคาร 4 บัญชี มูลค่า 23 ล้านบาท ไว้ชั่วคราวเป็นเวลา 90 วันเพื่อดำเนินการตามกฎหมายตามมูลฐานความผิดฉ้อโกงประชาชน
6. ทัพลูกยางสาวทีมชาติไทย โชว์ฟอร์มเยี่ยมคว่ำทีมชาติญี่ปุ่น 3 เซตรวด คว้าแชมป์เอเชีย 2013 ได้สำเร็จ!
เมื่อวันที่ 21 ก.ย. ได้มีการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย 2013 ที่ชาติชายฮอลล์ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ จังหวัดนครราชสีมา โดยทัพลูกยางสาวทีมชาติไทย ได้สร้างชื่อกระหึ่มอีกครั้งหลังโชว์ฟอร์มสุดยอดคว่ำทีมชาติญี่ปุ่น 3 เซตรวด 25-22, 25-18 และ 25-17 คว้าแชมป์เอเชีย 2013 ได้สำเร็จเป็นสมัยที่ 2 ต่อจากปี 2009 โดยก่อนหน้า 1 วัน ได้โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมมาแล้วด้วยการเอาชนะจีน 3-2 เซต
ความสำเร็จครั้งนี้ ส่งผลให้ “กัปตันกิ๊ฟ” วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์ ได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์มาครอง ขณะที่ นุศรา ต้อมคำ ได้รับรางวัลมือเซตยอดเยี่ยม ด้านวิลาวัณย์ เผยถึงความสำเร็จครั้งนี้ว่า “ดีใจมาก เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อที่สามารถเล่นกับญี่ปุ่นได้ขนาดนี้ ซึ่งรางวัลนี้ต้องขอยกความสำเร็จให้กับเพื่อนร่วมทีมและสต๊าฟโค้ชทุกคน เพราะหากไม่มีคนเซต เราก็ตบไม่ได้ และหากไม่มีคนบล็อก เราก็ไม่สามารถที่จะรับลูกได้”
ขณะที่ "โค้ชอ๊อด” เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร หัวหน้าผู้ฝึกสอน ได้แสดงความชื่นชมลูกทีมทุกคน “วันนี้ต้องขอชื่นชมลูกทีมทุกคนที่เล่นได้ตามการบ้านที่วางไว้ ไม่เคยคิดว่าจะเล่นได้เป๊ะขนาดนี้ ซึ่งแชมป์ครั้งนี้เป็นที่น่าพอใจกว่าเมื่อปี 2009 เพราะคู่แข่งทุกทีมนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ทุกคนก็กัดฟันสู้ได้แม้จะมีหลายคนที่มีอาการบาดเจ็บไม่ฟิต รวมถึงต้องขอบคุณผู้สนับสนุนทุกท่านและต้นสังกัดของผมและนักกีฬาด้วยเช่นกัน”
ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นพิธีรับรางวัล ทัพ “ลูกยางสาวไทย” ได้เดินแก้บนตามที่ วรรณา บัวแก้ว ขอไว้ โดยเดินจากสนามแข่งขันไปถึงลานย่าโม รวมระยะทางกว่า 12 กิโลเมตร สำหรับโปรแกรมต่อไปของ “นักตบสาวไทย” จะลงสู้ศึกรายการ ไอวีบีเวิลด์ แกรนด์ แชมเปียนส์ คัพ 2013 ที่ประเทศญี่ปุ่น ในเดือน พ.ย. ต่อด้วย ซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ที่ประเทศพม่า ในเดือน ธ.ค.