คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.ทหาร บุก ASTVผู้จัดการ 2 วันซ้อน จี้ ขอโทษ ผบ.ทบ. ด้าน “สนธิ” ยัน ไม่มีวันขอโทษ ซัด “ประยุทธ์” อันธพาลหาเรื่องก่อน!
เมื่อวันที่ 10 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้เดินทางลงพื้นที่ชายแดนเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อตรวจเยี่ยมและพบปะกำลังพลกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 และเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน(ตชด.) ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างลงพื้นที่ ผู้สื่อข่าวได้ถาม พล.อ.ประยุทธ์ถึงกรณีที่กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติประกาศชุมนุมใหญ่ในวันที่ 21 ม.ค.เพื่อคัดค้านอำนาจศาลโลกในการตีความคดีปราสาทพระวิหาร ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ กลับตอบโดยเหมารวมหรือเข้าใจไปเองว่าเป็นพันธมิตรฯ ที่จะชุมนุมใหญ่ ทั้งที่พันธมิตรฯ ยังไม่ได้มีมติที่จะชุมนุมใดใดทั้งสิ้น โดย พล.อ.ประยุทธ์ พูดทำนองเหยียดหยามพันธมิตรฯ ว่า พันธมิตรฯ คือใคร ตนไม่ใส่ใจ ถ้าเขาทำได้ก็ทำไป ถ้ามีช่องทางทำได้ ก็ทำไป ต้องไปดูกฎหมายเขาว่าอย่างไร กติกาโลกว่าอย่างไร ถามว่าเป็นรัฐบาลหรือเปล่า ถ้าเป็นรัฐบาลก็ต้องฟัง แต่เมื่อไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ส่วนเขาจะเชิญชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมก็ให้เขาเชิญไป แต่ถ้าทหารไปร่วมชุมนุม ตนก็ต้องลงโทษ เพราะตนไม่ให้ไป ตนจะปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ
ไม่เพียง พล.อ.ประยุทธ์ จะดูถูกพันธมิตรฯ แต่ยังด่าหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการด้วยว่า เขียนข่าวห่วย “ไม่มีใครอยากให้ประเทศชาติเสียหาย ดังนั้นมองเจตนาคนให้มันดีหน่อย ไอ้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ผมบอกได้เลยว่า มันเขียนห่วย ด่าผมอย่างโน้นอย่างนี้ เอาอะไรมาด่าผม เอาศักดิ์ศรีอะไรมาด่าผม ทำไมรักประเทศชาติอยู่คนเดียวหรืออย่างไร ไปดูพฤติกรรมตัวเองเป็นอย่างไรกันบ้าง ผมทนมานานพอสมควรแล้ว”
ด้านหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการ ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ พล.อ.ประยุทธ์ว่า เป็นเรื่องที่สะท้อนใจอย่างยิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ เกิดอาการเหวี่ยงวีนปรี๊ดแตกใส่สื่อมวลชนเครือ ASTVผู้จัดการ เพียงเพราะนายทหารท่านนี้รับไม่ได้กับข้อเท็จจริงในการนำเสนอข่าวการปฏิบัติหน้าที่ ผบ.ทบ.ของตนที่ล้มเหลวในทุกๆ เรื่อง ซึ่งแทนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะเร่งกำจัดจุดอ่อนเรื่องต่างๆ ให้เข้ารูปเข้ารอย กลับเลือกที่จะบริภาษสื่อที่กล้าเป็นกระจกสะท้อนการทำงาน ซึ่งเป็นนิสัยเดิมๆ ที่ ผบ.ทบ.คนนี้มักจะทำเป็นประจำคือ ขู่คำรามใส่สื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศว่า ภาคประชาชนไม่ใช่รัฐบาล จึงไม่มีความจำเป็นต้องฟังข้อเรียกร้องและข้อเสนอแนะ และนั่นย่อมหมายรวมไปถึงจ้อเสนอแนะจากสื่อมวลชนและนักวิชาการที่นำเอาข้อเท็จจริง ข้อมูลเชิงลึก แผนที่เปรียบเทียบ หลักฐานเขตแดนและคำพิพากษาของศาลโลก ข้อได้เปรียบเสียเปรียบของการรักษาอธิปไตยมาตีแผ่ โดยเป็นข้อโต้แย้งที่แม้แต่รัฐบาลก็ไม่อาจปฏิเสธได้”
ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดว่าผู้จัดการเอาศักดิ์ศรีอะไรมาวิพากษ์วิจารณ์ตนนั้น ASTVผู้จัดการ ระบุว่า การทำหน้าที่สื่อของ ASTVผู้จัดการได้ผ่านการพิสูจน์ทดสอบมาแล้วในทุกรูปแบบ ไม่เว้นแม้แต่การถูกปองร้ายการพยายามลอบสังหารจากผู้เสียประโยชน์หลายฝ่าย แต่บททดสอบของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น ยังมิได้ผ่านการทดสอบเลยสักเรื่อง จึงอยากถามกลับ พล.อ.ประยุทธ์เช่นกันว่า ศักดิ์ศรีความเป็นผู้นำกองทัพของท่านอยู่ตรงไหน
ASTVผู้จัดการ ยังฝากถึง ผบ.ทบ.ด้วยว่า ถ้าคิดว่าตนดีกว่าใคร รู้ทุกเรื่อง ทำไมไม่เห็นจะแก้ไขปัญหาได้สักเรื่อง แล้วยังมาอวดเก่งอวดอำนาจบาตรใหญ่ขู่คำรามแสดงความเจ้ายศเจ้าอย่างผิดที่ผิดเวลาอีก แถลงการณ์ ASTVผู้จัดการ ยังทิ้งคำถามให้สังคมได้คิดด้วยว่า วันนี้ไอ้ผู้จัดการมันเขียนห่วย หรือไอ้ ผบ.ทบ.ที่ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา คนนี้มันห่วยกันแน่
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง ASTVผู้จัดการออกแถลงการณ์ตอบโต้ พล.อ.ประยุทธ์ในวันที่ 11 ม.ค. ปรากฏว่า เย็นวันเดียวกัน ได้มีกลุ่มนายทหารชั้นประทวนจากกองทัพภาคที่ 1 และมณฑลทหารบกที่ 11 กว่า 50 นาย เดินทางมายังสำนักงาน ASTVผู้จัดการ บ้านพระอาทิตย์ เพื่อแสดงความไม่พอใจ โดยอ้างว่าแถลงการณ์ของ ASTVผู้จัดการบั่นทอนกำลังใจทหาร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นการตอบโต้ส่วนตัวระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์กับสื่อมวลชน ตัวแทนนายทหาร อ้างว่า พวกตนรู้สึกน้อยใจ เพราะผู้บัญชาการทหารบกเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่ 2
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่มีกลุ่มทหารบุกมาบ้านพระอาทิตย์ ทวิตเตอร์ @WassanaNanuam ของน.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ได้เผยแพร่ข้อความระบุว่า พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ผบ.ร.11 รอ.) ได้แสดงความไม่พอใจแถลงการณ์ของ ASTVผู้จัดการ ที่ตอบโต้ ผบ.ทบ.เช่นกัน โดยระบุว่า “พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.พล.ร.11 ฮึ่มด่า ‘ผู้จัดการ’ ถ่อย สถุน ด่า ผบ.ทบ. ทหารทนไม่ได้ หมิ่นศักดิ์ศรี ผบ.ทบ. ปัดส่งสัญญาณให้ทหารตบเท้า บิ๊กตู่ไม่รู้เห็น ทำส่วนตัว หน่วยไหนจะปกป้องก็เป็นสิทธิ์”
ด้านนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือ ASTVผู้จัดการ พูดถึงกรณีทหารตบเท้าบุกผู้จัดการว่า ถือเป็นการข่มขู่คุกคามสื่อ “การตบเท้ามาที่นี่ไม่ต่างอะไรกับการคุกคามสื่อ รู้สึกสมเพชพวกเขา ทหารพวกนี้แสดงว่าไม่เคยอ่านเนื้อหาข่าวของผู้จัดการเลย มาหาว่าเราเป็นหนังสือพิมพ์ถ่อย ทั้งๆ ที่ผู้จัดการเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวด้วยซ้ำ ที่ยืนหยัดเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับทหารที่บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอาวุธสงครามของกองกำลังติดอาวุธตอนที่เผาเมือง แล้วโดนส่งไปเป็นจำเลย ที่นายลอยตัว ผู้จัดการก็สู้ให้ทหารเหล่านี้ตลอด ทหารพวกนี้ควรจะไปแสดงพลังกับสื่อในเครือมติชน หรือพวกเอเชียอัพเดท วอยซ์ทีวีมากกว่า ที่ยัดเยียดให้ทหารที่เขาปกป้องให้บ้านเมืองสงบ กลายเป็นฆาตกรไปแทน สื่อแบบนั้นบั่นทอนกำลังใจในการทำหน้าที่ของทหารอย่างแท้จริง”
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังทหารกว่า 50 นายตบเท้าบุกผู้จัดการเมื่อวันที่ 11 ม.ค.แล้ว ปรากฏว่า วันต่อมา(12 ม.ค.) ได้มีทหารสังกัดกองทัพบกอีกกว่า 100 นาย มารวมตัวที่หน้าสำนักงานผู้จัดการเช่นกัน พร้อมเรียกร้องให้เครือ ASTVผู้จัดการ ขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งนี้ ก่อนที่ทหารกลุ่มดังกล่าวจะบุกผู้จัดการ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อระหว่างร่วมงานวันเด็ก โดยพูดทำนองให้ท้ายการตบเท้าแสดงพลังของทหารที่บุกมาผู้จัดการว่า สามารถทำได้ เพราะเป็นสิทธิในการปกป้องกองทัพ ไม่ใช่การปกป้องตน
ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งอยู่ระหว่างพบปะพันธมิตรฯ ที่สหรัฐอเมริกา ได้โฟนอินมายังรายการทาง ASTV ถึงกรณีที่ทหารตบเท้าบุกผู้จัดการ เรียกร้องให้ขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์ว่า “พล.อ.ประยุทธ์อยู่ดีไม่ว่าดี หนังสือพิมพ์ผู้จัดการทำหน้าที่สื่ออยู่ดีดี มาว่าเขาห่วยแตก ASTVผู้จัดการจึงถามกลับไปว่าใครห่วยแตกกว่ากัน ระหว่างผู้จัดการกับ ผบ.ทบ.ก็โกรธทันที นี่คือลักษณะของผู้ไม่มีการศึกษา เป็นอันธพาล... ส่วนทหารที่ พล.อ.ประยุทธ์ใช้มาและออกมาเพราะอยากเอาใจ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องถามตัวเองว่า ASTVผู้จัดการห่วยตรงไหน... ที่มาประท้วง ลืมตัว ทุกเดือนที่เรารับเงินเดือน เราหักภาษีเป็นเงินทองที่เอาไปเลี้ยงพวกคุณ คุณมาประท้วงหาอะไร” นายสนธิ ยังยืนยันด้วยว่า อีกกี่ชาติก็ไม่มีวันขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกรมทหารราบที่ 11รักษาพระองค์ (ผบ.ร.11 รอ.) ออกมากล่าวหาว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการถ่อย สถุน นั้น นายสนธิ โต้กลับว่า แล้วทหารที่มีแต่ใช้ยศตำแหน่งทำมาหากิน แอบช่วยคนขายชาติที่อยู่ต่างประเทศ ใครถ่อยกว่ากัน “เมื่อหลายปีก่อน มีคนยิงใส่บ้านตน รู้หรือเปล่าว่าสัตว์นรกตัวไหนสั่งยิง ฟังแล้วอย่าสะอึก ตนรู้ใครสั่งยิง คุณจะเอาใจนายก็ให้มันดีหน่อย... พล.ต.อภิรัชต์ เป็นลูก พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ให้ไปดูประวัติพ่อตัวเอง ที่สนิทสนม พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณกับทักษิณยังไงก็ต้องสัมพันธ์กัน ติดต่อกัน คุณเกี่ยวพันอะไรกับการแอบช่วยทักษิณอยู่หรือเปล่า คุณมาว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการถ่อย ถ้าถ่อยเพื่อชาติก็ให้มันถ่อยไป อย่าให้เปิดเลยว่าคุณทำมาหากินอะไรกับนายสนธยา คุณปลื้ม ทางภาคตะวันออก เมื่อก่อนมาเฟียทหารที่ทำมาหากิน รู้จักคุณหมดเลย คุณเป็นทหารแบบไหน ถ้าไม่พอใจ จะกระซิบใครมาจัดการตนก็เชิญ”
ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พูดถึงการตบเท้าแสดงพลังที่บ้านพระอาทิตย์ของทหารทั้ง 2 วันว่า ถือเป็นการข่มขู่และคุกคามการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ซึ่งตนได้ปรึกษากับผู้บริหาร ASTV และเตรียมรวบรวมข้อมูลหลักฐานเพื่อฟ้องร้องเอาผิดผู้เกี่ยวข้องแล้ว
ด้านสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ขอให้กองทัพยุติการคุกคามสื่อมวลชนในทุกรูปแบบ เพราะหากสื่อถูกข่มขู่คุกคามจนไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างอิสระ จะส่งให้ประชาชนไม่ได้รับรู้ข่าวสารและข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วน พร้อมขอให้ผู้บัญชาการทหารบกรับฟังความคิดเห็นของสื่อมวลชนที่สะท้อนภาพการทำงานของกองทัพและผู้บัญชาการทหารบกอย่างปราศจากอคติ เป็นธรรม และสร้างสรรค์
2.“ทักษิณ” โว พท.เอาเสาไฟฟ้าลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ก็ชนะ ด้าน “อภิสิทธิ์” ขอชาว กทม. สั่งสอนทักษิณ เลือก “สุขุมพันธุ์” !
ความคืบหน้าการส่งผู้สมัครลงชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หลังพรรคประชาธิปัตย์มีมติส่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ลงชิงตำแหน่งอีกสมัยเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ขณะที่พรรคเพื่อไทย มีข่าวว่ารอเคาะวันที่ 10 ม.ค. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.คนปัจจุบัน ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 7 ม.ค. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาเผยว่า เมื่อช่วงค่ำวันที่ 5 ม.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้สไกป์มาพูดคุยกับ ส.ส.กทม. - ส.ก.และ ส.ข.ของพรรค เพื่อหารือถึงความชัดเจนในการส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ที่โรงแรมเอสซีปาร์ค โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ย้ำ ส.ส.-ส.ก.-ส.ข. ขอให้สนับสนุนคนที่พรรคมีมติให้ลงสมัคร พร้อมระบุด้วยว่า การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะส่งใครหรือเอาเสาไฟฟ้าลงสมัคร ก็ชนะ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์แน่นอน
นายจิรายุ ยังบอกด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ไม่ควรลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ เพราะคุณหญิงสุดารัตน์เคยผ่านตำแหน่งสำคัญมามาก จึงไม่ควรลดตัวลงมาสมัครผู้ว่าฯ กทม. แต่เหมาะจะช่วยรัฐบาลในระดับชาติมากกว่า
ทั้งนี้ รายงานแจ้งว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้สไกป์มาขอให้คุณหญิงสุดารัตน์เปิดทางให้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ในนามพรรคเพื่อไทย โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่า ในการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ครั้งหน้า จะให้คุณหญิงสุดารัตน์มีตำแหน่งใน ครม.ในระดับรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการ ซึ่งข้อเสนอดังกล่าว ทำให้ ส.ส.กทม.ที่สนับสนุนคุณหญิงสุดารัตน์ ยินยอม และพร้อมช่วย พล.ต.อ.พงศพัศหาเสียงอย่างเต็มที่
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ชวนประชาชนช่วยกันให้บทเรียน พ.ต.ท. ทักษิณกรณีระบุว่าส่งเสาไฟฟ้าลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ก็ชนะ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ “ประชาชนคงต้องพิจารณาและช่วยกันตัดสินใจ แล้วบอกกับ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับไปในวันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เพราะเขามองว่าส่งอะไรมา คน กทม.ต้องเลือก สาเหตุที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความเชื่อเช่นนั้น คิดว่าคงเชื่อมั่นในอำนาจรัฐ เชื่อมั่นในความพร้อมด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินหรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่”
ขณะที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.เมื่อวันที่ 9 ม.ค. ซึ่งเป็นการลาออกก่อนที่จะครบวาระการดำรงตำแหน่ง 1 วัน “ผมลาออกเพราะอยากให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มีเวลาจัดการเลือกตั้งเพิ่มขึ้นเป็น 60 วัน เพราะหากอยู่ครบวาระ กกต.ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 45 วัน ดังนั้นวันเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 3 มี.ค. แม้การยืดเวลาหาเสียงจะทำให้ผมเสียเปรียบ เพราะทำให้คู่แข่งมีเวลาในการหาเสียงเพิ่มขึ้น”
ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้เปิดศูนย์อำนวยการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 ม.ค.พร้อมเปิดแคมเปญรณรงค์หาเสียงของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ข้อความว่า “รักกรุงเทพฯ ร่วมกันสร้างกรุงเทพฯ” เลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร พรรคประชาธิปัตย์ และ “รักกรุงเทพฯ ร่วมสร้างกรุงเทพฯ มั่นใจร่วมกันพากรุงเทพฯ ก้าวหน้า โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ ร่วมสร้างกรุงเทพฯ ให้เป็นมหานครของทุกคน”
ด้านนายอภิสิทธิ์ ได้ช่วยหาเสียงให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ โดยเชิญชวนให้ชาว กทม.ร่วมเดินทางไปกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เพื่อสร้างกรุงเทพฯ เป็นมหานครของทุกคนภายใต้ปรัชญา ประชาชนต้องมาก่อน และก้าวไปสู่การเป็นมหานครของอาเซียนและมหานครแห่งความสุข และว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้รับการยอมรับเป็นประธานนายกเทศมนตรีของโลกด้วย
ขณะที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ให้ความมั่นใจแก่ชาว กทม.ว่า หากตนได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ว่าฯ กทม.อีกครั้ง จะทำหน้าที่ได้ดีกว่าเดิม เพราะมีต้นทุนสำคัญ 3 เรื่อง 1.มีแรงสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ 2.มีประสบการณ์มาแล้ว 4 ปี ซึ่ง กทม.จำเป็นต้องได้คนที่คุ้นเคยเรื่องงานและคนเข้ามาบริหาร และ 3.มีต้นทุนการทำงานร่วมกับข้าราชการทุกคน จึงรู้ว่าตนทำได้บนความรักที่มีต่อ กทม.
3.กัมพูชา อภัยโทษ “ราตรี” แล้ว คาด ได้กลับบ้าน 1 ก.พ. ขณะที่ “วีระ” ได้ลดโทษ 6 เดือน ด้าน “สุรพงษ์” โอ่ ผลงาน “ยิ่งลักษณ์”!
เมื่อวันที่ 10 ม.ค. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เผยว่า ได้รับแจ้งข่าวดีอย่างไม่เป็นทางการจากฝ่ายกัมพูชาว่า ได้เตรียมพระราชทานอภัยโทษให้กับ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ และลดหย่อนโทษให้นายวีระ สมความคิด เป็นเวลา 6 เดือน โดย น.ส.ราตรี จะได้รับการปล่อยตัวในช่วงงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์กัมพูชา ในวันที่ 1 ก.พ.นี้
นายสุรพงษ์ ยังคุยโวด้วยว่า การอภัยโทษ น.ส.ราตรี และการลดโทษนายวีระครั้งนี้ เป็นผลจากการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และตน ได้ขอความอนุเคราะห์ทางการกัมพูชามาอย่างต่อเนื่อง และว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และตน พร้อมด้วยรัฐมนตรีอีก 2-3 คน จะเดินทางไปร่วมในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ในวันที่ 4 ก.พ.ด้วย
วันเดียวกัน(10 ม.ค.) เว็บไซต์กระทรวงต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชา ได้ลงแถลงการณ์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ร้องขอต่อสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้พิจารณาความเป็นไปได้ที่จะอภัยโทษให้ผู้ต้องขังทั้งสองที่ถูกจำคุกอยู่ในกัมพูชาข้อหาจารกรรมและละเมิดพื้นที่ต้องห้ามทางทหารของกัมพูชา ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามคำร้องขอ สมเด็จฯ ฮุน เซน จึงได้สั่งการให้กระทรวงยุติธรรมพิจารณาลดโทษให้แก่นายวีระ ซึ่งจะนำไปสู่การอภัยโทษต่อไปในอนาคต และให้อภัยโทษ น.ส.ราตรีในทันที เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระนโรดม สีหนุ
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ออกมาขอบคุณรัฐบาลกัมพูชา พร้อมยืนยันว่า หลังจากนี้ รัฐบาลจะประสานเพื่อช่วยเหลือนายวีระให้ได้รับการปล่อยตัวต่อไป
ทั้งนี้ ศาลกัมพูชาพิพากษาเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2554 ว่า นายวีระและ น.ส.ราตรี มีความผิด 3 ข้อหา คือ รุกล้ำชายแดน ,เข้าไปในเขตทหาร และจารกรรมข้อมูลทางทหาร ให้จำคุกนายวีระเป็นเวลา 8 ปี ปรับ 1.8 ล้านเรียล และจำคุก น.ส.ราตรี 6 ปี ปรับ 1.2 ล้านเรียล
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงกรณีที่นายวีระได้รับการลดหย่อนโทษและ น.ส.ราตรีได้รับการอภัยโทษจากทางการกัมพูชาว่า ถือเป็นข่าวดี เพราะเป็นเรื่องที่คนไทยต้องการเห็น และรัฐบาลต้องร้องขอทางกัมพูชาในกรณีของนายวีระต่อไป ส่วนการอภัยโทษครั้งนี้จะมีนัยยะอะไรหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ บอกว่า อย่าเพิ่งสรุป เพราะการดำเนินการมาพร้อมๆ กับโอกาสสำคัญ จึงเป็นเหตุผลที่จะเสนอเรื่องการอภัยโทษ แต่จะมีอะไรตามมาหรือเกี่ยวข้องกับอะไรหรือไม่อย่างที่บางคนกังวล ต้องติดตามและตรวจสอบกันต่อไป
4.แกนนำ นปช. ยื่นหนังสือจี้ ศาล รธน.ไขข้อข้องใจต้องทำประชามติก่อนโหวตวาระ 3 หรือไม่ ด้าน “วสันต์” สงสัย โง่จริงหรือแกล้งโง่!
เมื่อวันที่ 10 ม.ค. นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) พร้อมด้วยนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ,นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ได้เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกถึงคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสอบถามความชัดเจนของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ที่ศาลมีคำวินิจฉัยว่า เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ควรจะให้ประชาชนได้ลงประชามติก่อนนั้น แกนนำ นปช.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตอบให้ชัดเจนว่า คำว่า “ควรทำประชามติ” นั้น เป็นคำวินิจฉัยหรือคำแนะนำที่ใช้บังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ และใช้บทบัญญัติใด มาตราใดของรัฐธรรมนูญมารองรับ 2.ศาลรัฐธรรมนูญห้ามรัฐสภาลงมติวาระ 3 ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ และอาศัยบทบัญญัติใด มาตราใดมารองรับ และว่า เหตุที่ต้องสอบถามศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสร้างความกระจ่างให้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร จะได้ตัดสินใจเดินหน้าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญได้ ทั้งยังเป็นทางออกให้กับปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย
ด้านนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ พูดถึงการยื่นจดหมายเปิดผนึกของแกนนำ นปช.ว่า ยังไม่เห็นคำร้อง พร้อมยืนยันว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีหน้าที่ต้องอธิบายคำวินิจฉัยที่ออกไปแล้ว แต่ยอมรับว่า ถ้าคู่กรณีไม่เข้าใจในคำวินิจฉัยสามารถยื่นคำร้องต่อศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่ต้องดูก่อนว่า คู่ความร้องมาว่าอย่างไร ไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่าแกล้งไม่เข้าใจ โง่จริงๆ หรือแกล้งโง่ ถ้าแกล้งโง่ ขอให้โง่จริงๆ
วันต่อมา(11 ม.ค.) นายจตุพร ได้ออกมาสวนกลับนายวสันต์ว่า “การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ ไปซ้ายหรือขวาก็โดนหมด ไม่มีใครแกล้งโง่หรือโง่จริง แต่ศาลรัฐธรรมนูญเขียนคำวินิจฉัยเหมือนใบ้หวย หากตีความไม่ตรงก็โดนร้องเรียนอีก และวิกฤตบ้านเมืองจะกลับมาใหม่ พวกผมไปถามว่า ต้องการให้ทำประชามติก่อนโหวตวาระ 3 หรือโหวตวาระ 3 ได้เลย... อยากให้ศาลชี้แจงให้ชัดเจน ท่านจะว่าพวกผมโง่หรือแกล้งโง่ก็ไม่เป็นไร พวกเราไม่โกรธ แต่ขอวิงวอนให้ท่านได้แกล้งฉลาดสักครั้ง”
ด้านนายกมล โสตถิโภคา โฆษกศาลรัฐธรรมนูญ เผยว่า จะนำหนังสือของแกนนำ นปช.เข้าที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดต่อไปในวันที่ 23 ม.ค.นี้ เพื่อดูว่าเข้าข่ายเป็นคำร้องตามหลักการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญข้อ 17 หรือไม่ แต่ส่วนตัวมองว่า จดหมายเปิดผนึกไม่ใช่คำร้อง ดังนั้นคงเป็นการหารือทั่วไปที่ไม่มีมติรับหรือไม่รับพิจารณาวินิจฉัย
1.ทหาร บุก ASTVผู้จัดการ 2 วันซ้อน จี้ ขอโทษ ผบ.ทบ. ด้าน “สนธิ” ยัน ไม่มีวันขอโทษ ซัด “ประยุทธ์” อันธพาลหาเรื่องก่อน!
เมื่อวันที่ 10 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้เดินทางลงพื้นที่ชายแดนเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อตรวจเยี่ยมและพบปะกำลังพลกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 และเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน(ตชด.) ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างลงพื้นที่ ผู้สื่อข่าวได้ถาม พล.อ.ประยุทธ์ถึงกรณีที่กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติประกาศชุมนุมใหญ่ในวันที่ 21 ม.ค.เพื่อคัดค้านอำนาจศาลโลกในการตีความคดีปราสาทพระวิหาร ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ กลับตอบโดยเหมารวมหรือเข้าใจไปเองว่าเป็นพันธมิตรฯ ที่จะชุมนุมใหญ่ ทั้งที่พันธมิตรฯ ยังไม่ได้มีมติที่จะชุมนุมใดใดทั้งสิ้น โดย พล.อ.ประยุทธ์ พูดทำนองเหยียดหยามพันธมิตรฯ ว่า พันธมิตรฯ คือใคร ตนไม่ใส่ใจ ถ้าเขาทำได้ก็ทำไป ถ้ามีช่องทางทำได้ ก็ทำไป ต้องไปดูกฎหมายเขาว่าอย่างไร กติกาโลกว่าอย่างไร ถามว่าเป็นรัฐบาลหรือเปล่า ถ้าเป็นรัฐบาลก็ต้องฟัง แต่เมื่อไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ส่วนเขาจะเชิญชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมก็ให้เขาเชิญไป แต่ถ้าทหารไปร่วมชุมนุม ตนก็ต้องลงโทษ เพราะตนไม่ให้ไป ตนจะปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ
ไม่เพียง พล.อ.ประยุทธ์ จะดูถูกพันธมิตรฯ แต่ยังด่าหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการด้วยว่า เขียนข่าวห่วย “ไม่มีใครอยากให้ประเทศชาติเสียหาย ดังนั้นมองเจตนาคนให้มันดีหน่อย ไอ้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ผมบอกได้เลยว่า มันเขียนห่วย ด่าผมอย่างโน้นอย่างนี้ เอาอะไรมาด่าผม เอาศักดิ์ศรีอะไรมาด่าผม ทำไมรักประเทศชาติอยู่คนเดียวหรืออย่างไร ไปดูพฤติกรรมตัวเองเป็นอย่างไรกันบ้าง ผมทนมานานพอสมควรแล้ว”
ด้านหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการ ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ พล.อ.ประยุทธ์ว่า เป็นเรื่องที่สะท้อนใจอย่างยิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ เกิดอาการเหวี่ยงวีนปรี๊ดแตกใส่สื่อมวลชนเครือ ASTVผู้จัดการ เพียงเพราะนายทหารท่านนี้รับไม่ได้กับข้อเท็จจริงในการนำเสนอข่าวการปฏิบัติหน้าที่ ผบ.ทบ.ของตนที่ล้มเหลวในทุกๆ เรื่อง ซึ่งแทนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะเร่งกำจัดจุดอ่อนเรื่องต่างๆ ให้เข้ารูปเข้ารอย กลับเลือกที่จะบริภาษสื่อที่กล้าเป็นกระจกสะท้อนการทำงาน ซึ่งเป็นนิสัยเดิมๆ ที่ ผบ.ทบ.คนนี้มักจะทำเป็นประจำคือ ขู่คำรามใส่สื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศว่า ภาคประชาชนไม่ใช่รัฐบาล จึงไม่มีความจำเป็นต้องฟังข้อเรียกร้องและข้อเสนอแนะ และนั่นย่อมหมายรวมไปถึงจ้อเสนอแนะจากสื่อมวลชนและนักวิชาการที่นำเอาข้อเท็จจริง ข้อมูลเชิงลึก แผนที่เปรียบเทียบ หลักฐานเขตแดนและคำพิพากษาของศาลโลก ข้อได้เปรียบเสียเปรียบของการรักษาอธิปไตยมาตีแผ่ โดยเป็นข้อโต้แย้งที่แม้แต่รัฐบาลก็ไม่อาจปฏิเสธได้”
ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดว่าผู้จัดการเอาศักดิ์ศรีอะไรมาวิพากษ์วิจารณ์ตนนั้น ASTVผู้จัดการ ระบุว่า การทำหน้าที่สื่อของ ASTVผู้จัดการได้ผ่านการพิสูจน์ทดสอบมาแล้วในทุกรูปแบบ ไม่เว้นแม้แต่การถูกปองร้ายการพยายามลอบสังหารจากผู้เสียประโยชน์หลายฝ่าย แต่บททดสอบของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น ยังมิได้ผ่านการทดสอบเลยสักเรื่อง จึงอยากถามกลับ พล.อ.ประยุทธ์เช่นกันว่า ศักดิ์ศรีความเป็นผู้นำกองทัพของท่านอยู่ตรงไหน
ASTVผู้จัดการ ยังฝากถึง ผบ.ทบ.ด้วยว่า ถ้าคิดว่าตนดีกว่าใคร รู้ทุกเรื่อง ทำไมไม่เห็นจะแก้ไขปัญหาได้สักเรื่อง แล้วยังมาอวดเก่งอวดอำนาจบาตรใหญ่ขู่คำรามแสดงความเจ้ายศเจ้าอย่างผิดที่ผิดเวลาอีก แถลงการณ์ ASTVผู้จัดการ ยังทิ้งคำถามให้สังคมได้คิดด้วยว่า วันนี้ไอ้ผู้จัดการมันเขียนห่วย หรือไอ้ ผบ.ทบ.ที่ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา คนนี้มันห่วยกันแน่
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง ASTVผู้จัดการออกแถลงการณ์ตอบโต้ พล.อ.ประยุทธ์ในวันที่ 11 ม.ค. ปรากฏว่า เย็นวันเดียวกัน ได้มีกลุ่มนายทหารชั้นประทวนจากกองทัพภาคที่ 1 และมณฑลทหารบกที่ 11 กว่า 50 นาย เดินทางมายังสำนักงาน ASTVผู้จัดการ บ้านพระอาทิตย์ เพื่อแสดงความไม่พอใจ โดยอ้างว่าแถลงการณ์ของ ASTVผู้จัดการบั่นทอนกำลังใจทหาร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นการตอบโต้ส่วนตัวระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์กับสื่อมวลชน ตัวแทนนายทหาร อ้างว่า พวกตนรู้สึกน้อยใจ เพราะผู้บัญชาการทหารบกเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่ 2
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่มีกลุ่มทหารบุกมาบ้านพระอาทิตย์ ทวิตเตอร์ @WassanaNanuam ของน.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ได้เผยแพร่ข้อความระบุว่า พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ผบ.ร.11 รอ.) ได้แสดงความไม่พอใจแถลงการณ์ของ ASTVผู้จัดการ ที่ตอบโต้ ผบ.ทบ.เช่นกัน โดยระบุว่า “พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.พล.ร.11 ฮึ่มด่า ‘ผู้จัดการ’ ถ่อย สถุน ด่า ผบ.ทบ. ทหารทนไม่ได้ หมิ่นศักดิ์ศรี ผบ.ทบ. ปัดส่งสัญญาณให้ทหารตบเท้า บิ๊กตู่ไม่รู้เห็น ทำส่วนตัว หน่วยไหนจะปกป้องก็เป็นสิทธิ์”
ด้านนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือ ASTVผู้จัดการ พูดถึงกรณีทหารตบเท้าบุกผู้จัดการว่า ถือเป็นการข่มขู่คุกคามสื่อ “การตบเท้ามาที่นี่ไม่ต่างอะไรกับการคุกคามสื่อ รู้สึกสมเพชพวกเขา ทหารพวกนี้แสดงว่าไม่เคยอ่านเนื้อหาข่าวของผู้จัดการเลย มาหาว่าเราเป็นหนังสือพิมพ์ถ่อย ทั้งๆ ที่ผู้จัดการเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวด้วยซ้ำ ที่ยืนหยัดเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับทหารที่บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอาวุธสงครามของกองกำลังติดอาวุธตอนที่เผาเมือง แล้วโดนส่งไปเป็นจำเลย ที่นายลอยตัว ผู้จัดการก็สู้ให้ทหารเหล่านี้ตลอด ทหารพวกนี้ควรจะไปแสดงพลังกับสื่อในเครือมติชน หรือพวกเอเชียอัพเดท วอยซ์ทีวีมากกว่า ที่ยัดเยียดให้ทหารที่เขาปกป้องให้บ้านเมืองสงบ กลายเป็นฆาตกรไปแทน สื่อแบบนั้นบั่นทอนกำลังใจในการทำหน้าที่ของทหารอย่างแท้จริง”
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังทหารกว่า 50 นายตบเท้าบุกผู้จัดการเมื่อวันที่ 11 ม.ค.แล้ว ปรากฏว่า วันต่อมา(12 ม.ค.) ได้มีทหารสังกัดกองทัพบกอีกกว่า 100 นาย มารวมตัวที่หน้าสำนักงานผู้จัดการเช่นกัน พร้อมเรียกร้องให้เครือ ASTVผู้จัดการ ขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งนี้ ก่อนที่ทหารกลุ่มดังกล่าวจะบุกผู้จัดการ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อระหว่างร่วมงานวันเด็ก โดยพูดทำนองให้ท้ายการตบเท้าแสดงพลังของทหารที่บุกมาผู้จัดการว่า สามารถทำได้ เพราะเป็นสิทธิในการปกป้องกองทัพ ไม่ใช่การปกป้องตน
ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งอยู่ระหว่างพบปะพันธมิตรฯ ที่สหรัฐอเมริกา ได้โฟนอินมายังรายการทาง ASTV ถึงกรณีที่ทหารตบเท้าบุกผู้จัดการ เรียกร้องให้ขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์ว่า “พล.อ.ประยุทธ์อยู่ดีไม่ว่าดี หนังสือพิมพ์ผู้จัดการทำหน้าที่สื่ออยู่ดีดี มาว่าเขาห่วยแตก ASTVผู้จัดการจึงถามกลับไปว่าใครห่วยแตกกว่ากัน ระหว่างผู้จัดการกับ ผบ.ทบ.ก็โกรธทันที นี่คือลักษณะของผู้ไม่มีการศึกษา เป็นอันธพาล... ส่วนทหารที่ พล.อ.ประยุทธ์ใช้มาและออกมาเพราะอยากเอาใจ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องถามตัวเองว่า ASTVผู้จัดการห่วยตรงไหน... ที่มาประท้วง ลืมตัว ทุกเดือนที่เรารับเงินเดือน เราหักภาษีเป็นเงินทองที่เอาไปเลี้ยงพวกคุณ คุณมาประท้วงหาอะไร” นายสนธิ ยังยืนยันด้วยว่า อีกกี่ชาติก็ไม่มีวันขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกรมทหารราบที่ 11รักษาพระองค์ (ผบ.ร.11 รอ.) ออกมากล่าวหาว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการถ่อย สถุน นั้น นายสนธิ โต้กลับว่า แล้วทหารที่มีแต่ใช้ยศตำแหน่งทำมาหากิน แอบช่วยคนขายชาติที่อยู่ต่างประเทศ ใครถ่อยกว่ากัน “เมื่อหลายปีก่อน มีคนยิงใส่บ้านตน รู้หรือเปล่าว่าสัตว์นรกตัวไหนสั่งยิง ฟังแล้วอย่าสะอึก ตนรู้ใครสั่งยิง คุณจะเอาใจนายก็ให้มันดีหน่อย... พล.ต.อภิรัชต์ เป็นลูก พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ให้ไปดูประวัติพ่อตัวเอง ที่สนิทสนม พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณกับทักษิณยังไงก็ต้องสัมพันธ์กัน ติดต่อกัน คุณเกี่ยวพันอะไรกับการแอบช่วยทักษิณอยู่หรือเปล่า คุณมาว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการถ่อย ถ้าถ่อยเพื่อชาติก็ให้มันถ่อยไป อย่าให้เปิดเลยว่าคุณทำมาหากินอะไรกับนายสนธยา คุณปลื้ม ทางภาคตะวันออก เมื่อก่อนมาเฟียทหารที่ทำมาหากิน รู้จักคุณหมดเลย คุณเป็นทหารแบบไหน ถ้าไม่พอใจ จะกระซิบใครมาจัดการตนก็เชิญ”
ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พูดถึงการตบเท้าแสดงพลังที่บ้านพระอาทิตย์ของทหารทั้ง 2 วันว่า ถือเป็นการข่มขู่และคุกคามการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ซึ่งตนได้ปรึกษากับผู้บริหาร ASTV และเตรียมรวบรวมข้อมูลหลักฐานเพื่อฟ้องร้องเอาผิดผู้เกี่ยวข้องแล้ว
ด้านสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ขอให้กองทัพยุติการคุกคามสื่อมวลชนในทุกรูปแบบ เพราะหากสื่อถูกข่มขู่คุกคามจนไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างอิสระ จะส่งให้ประชาชนไม่ได้รับรู้ข่าวสารและข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วน พร้อมขอให้ผู้บัญชาการทหารบกรับฟังความคิดเห็นของสื่อมวลชนที่สะท้อนภาพการทำงานของกองทัพและผู้บัญชาการทหารบกอย่างปราศจากอคติ เป็นธรรม และสร้างสรรค์
2.“ทักษิณ” โว พท.เอาเสาไฟฟ้าลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ก็ชนะ ด้าน “อภิสิทธิ์” ขอชาว กทม. สั่งสอนทักษิณ เลือก “สุขุมพันธุ์” !
ความคืบหน้าการส่งผู้สมัครลงชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หลังพรรคประชาธิปัตย์มีมติส่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ลงชิงตำแหน่งอีกสมัยเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ขณะที่พรรคเพื่อไทย มีข่าวว่ารอเคาะวันที่ 10 ม.ค. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.คนปัจจุบัน ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 7 ม.ค. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาเผยว่า เมื่อช่วงค่ำวันที่ 5 ม.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้สไกป์มาพูดคุยกับ ส.ส.กทม. - ส.ก.และ ส.ข.ของพรรค เพื่อหารือถึงความชัดเจนในการส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ที่โรงแรมเอสซีปาร์ค โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ย้ำ ส.ส.-ส.ก.-ส.ข. ขอให้สนับสนุนคนที่พรรคมีมติให้ลงสมัคร พร้อมระบุด้วยว่า การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะส่งใครหรือเอาเสาไฟฟ้าลงสมัคร ก็ชนะ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์แน่นอน
นายจิรายุ ยังบอกด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ไม่ควรลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ เพราะคุณหญิงสุดารัตน์เคยผ่านตำแหน่งสำคัญมามาก จึงไม่ควรลดตัวลงมาสมัครผู้ว่าฯ กทม. แต่เหมาะจะช่วยรัฐบาลในระดับชาติมากกว่า
ทั้งนี้ รายงานแจ้งว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้สไกป์มาขอให้คุณหญิงสุดารัตน์เปิดทางให้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ในนามพรรคเพื่อไทย โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่า ในการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ครั้งหน้า จะให้คุณหญิงสุดารัตน์มีตำแหน่งใน ครม.ในระดับรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการ ซึ่งข้อเสนอดังกล่าว ทำให้ ส.ส.กทม.ที่สนับสนุนคุณหญิงสุดารัตน์ ยินยอม และพร้อมช่วย พล.ต.อ.พงศพัศหาเสียงอย่างเต็มที่
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ชวนประชาชนช่วยกันให้บทเรียน พ.ต.ท. ทักษิณกรณีระบุว่าส่งเสาไฟฟ้าลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ก็ชนะ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ “ประชาชนคงต้องพิจารณาและช่วยกันตัดสินใจ แล้วบอกกับ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับไปในวันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เพราะเขามองว่าส่งอะไรมา คน กทม.ต้องเลือก สาเหตุที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความเชื่อเช่นนั้น คิดว่าคงเชื่อมั่นในอำนาจรัฐ เชื่อมั่นในความพร้อมด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินหรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่”
ขณะที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.เมื่อวันที่ 9 ม.ค. ซึ่งเป็นการลาออกก่อนที่จะครบวาระการดำรงตำแหน่ง 1 วัน “ผมลาออกเพราะอยากให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มีเวลาจัดการเลือกตั้งเพิ่มขึ้นเป็น 60 วัน เพราะหากอยู่ครบวาระ กกต.ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 45 วัน ดังนั้นวันเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 3 มี.ค. แม้การยืดเวลาหาเสียงจะทำให้ผมเสียเปรียบ เพราะทำให้คู่แข่งมีเวลาในการหาเสียงเพิ่มขึ้น”
ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้เปิดศูนย์อำนวยการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 ม.ค.พร้อมเปิดแคมเปญรณรงค์หาเสียงของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ข้อความว่า “รักกรุงเทพฯ ร่วมกันสร้างกรุงเทพฯ” เลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร พรรคประชาธิปัตย์ และ “รักกรุงเทพฯ ร่วมสร้างกรุงเทพฯ มั่นใจร่วมกันพากรุงเทพฯ ก้าวหน้า โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ ร่วมสร้างกรุงเทพฯ ให้เป็นมหานครของทุกคน”
ด้านนายอภิสิทธิ์ ได้ช่วยหาเสียงให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ โดยเชิญชวนให้ชาว กทม.ร่วมเดินทางไปกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เพื่อสร้างกรุงเทพฯ เป็นมหานครของทุกคนภายใต้ปรัชญา ประชาชนต้องมาก่อน และก้าวไปสู่การเป็นมหานครของอาเซียนและมหานครแห่งความสุข และว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้รับการยอมรับเป็นประธานนายกเทศมนตรีของโลกด้วย
ขณะที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ให้ความมั่นใจแก่ชาว กทม.ว่า หากตนได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ว่าฯ กทม.อีกครั้ง จะทำหน้าที่ได้ดีกว่าเดิม เพราะมีต้นทุนสำคัญ 3 เรื่อง 1.มีแรงสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ 2.มีประสบการณ์มาแล้ว 4 ปี ซึ่ง กทม.จำเป็นต้องได้คนที่คุ้นเคยเรื่องงานและคนเข้ามาบริหาร และ 3.มีต้นทุนการทำงานร่วมกับข้าราชการทุกคน จึงรู้ว่าตนทำได้บนความรักที่มีต่อ กทม.
3.กัมพูชา อภัยโทษ “ราตรี” แล้ว คาด ได้กลับบ้าน 1 ก.พ. ขณะที่ “วีระ” ได้ลดโทษ 6 เดือน ด้าน “สุรพงษ์” โอ่ ผลงาน “ยิ่งลักษณ์”!
เมื่อวันที่ 10 ม.ค. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เผยว่า ได้รับแจ้งข่าวดีอย่างไม่เป็นทางการจากฝ่ายกัมพูชาว่า ได้เตรียมพระราชทานอภัยโทษให้กับ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ และลดหย่อนโทษให้นายวีระ สมความคิด เป็นเวลา 6 เดือน โดย น.ส.ราตรี จะได้รับการปล่อยตัวในช่วงงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์กัมพูชา ในวันที่ 1 ก.พ.นี้
นายสุรพงษ์ ยังคุยโวด้วยว่า การอภัยโทษ น.ส.ราตรี และการลดโทษนายวีระครั้งนี้ เป็นผลจากการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และตน ได้ขอความอนุเคราะห์ทางการกัมพูชามาอย่างต่อเนื่อง และว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และตน พร้อมด้วยรัฐมนตรีอีก 2-3 คน จะเดินทางไปร่วมในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ในวันที่ 4 ก.พ.ด้วย
วันเดียวกัน(10 ม.ค.) เว็บไซต์กระทรวงต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชา ได้ลงแถลงการณ์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ร้องขอต่อสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้พิจารณาความเป็นไปได้ที่จะอภัยโทษให้ผู้ต้องขังทั้งสองที่ถูกจำคุกอยู่ในกัมพูชาข้อหาจารกรรมและละเมิดพื้นที่ต้องห้ามทางทหารของกัมพูชา ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามคำร้องขอ สมเด็จฯ ฮุน เซน จึงได้สั่งการให้กระทรวงยุติธรรมพิจารณาลดโทษให้แก่นายวีระ ซึ่งจะนำไปสู่การอภัยโทษต่อไปในอนาคต และให้อภัยโทษ น.ส.ราตรีในทันที เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระนโรดม สีหนุ
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ออกมาขอบคุณรัฐบาลกัมพูชา พร้อมยืนยันว่า หลังจากนี้ รัฐบาลจะประสานเพื่อช่วยเหลือนายวีระให้ได้รับการปล่อยตัวต่อไป
ทั้งนี้ ศาลกัมพูชาพิพากษาเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2554 ว่า นายวีระและ น.ส.ราตรี มีความผิด 3 ข้อหา คือ รุกล้ำชายแดน ,เข้าไปในเขตทหาร และจารกรรมข้อมูลทางทหาร ให้จำคุกนายวีระเป็นเวลา 8 ปี ปรับ 1.8 ล้านเรียล และจำคุก น.ส.ราตรี 6 ปี ปรับ 1.2 ล้านเรียล
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงกรณีที่นายวีระได้รับการลดหย่อนโทษและ น.ส.ราตรีได้รับการอภัยโทษจากทางการกัมพูชาว่า ถือเป็นข่าวดี เพราะเป็นเรื่องที่คนไทยต้องการเห็น และรัฐบาลต้องร้องขอทางกัมพูชาในกรณีของนายวีระต่อไป ส่วนการอภัยโทษครั้งนี้จะมีนัยยะอะไรหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ บอกว่า อย่าเพิ่งสรุป เพราะการดำเนินการมาพร้อมๆ กับโอกาสสำคัญ จึงเป็นเหตุผลที่จะเสนอเรื่องการอภัยโทษ แต่จะมีอะไรตามมาหรือเกี่ยวข้องกับอะไรหรือไม่อย่างที่บางคนกังวล ต้องติดตามและตรวจสอบกันต่อไป
4.แกนนำ นปช. ยื่นหนังสือจี้ ศาล รธน.ไขข้อข้องใจต้องทำประชามติก่อนโหวตวาระ 3 หรือไม่ ด้าน “วสันต์” สงสัย โง่จริงหรือแกล้งโง่!
เมื่อวันที่ 10 ม.ค. นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) พร้อมด้วยนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ,นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ได้เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกถึงคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสอบถามความชัดเจนของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ที่ศาลมีคำวินิจฉัยว่า เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ควรจะให้ประชาชนได้ลงประชามติก่อนนั้น แกนนำ นปช.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตอบให้ชัดเจนว่า คำว่า “ควรทำประชามติ” นั้น เป็นคำวินิจฉัยหรือคำแนะนำที่ใช้บังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ และใช้บทบัญญัติใด มาตราใดของรัฐธรรมนูญมารองรับ 2.ศาลรัฐธรรมนูญห้ามรัฐสภาลงมติวาระ 3 ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ และอาศัยบทบัญญัติใด มาตราใดมารองรับ และว่า เหตุที่ต้องสอบถามศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสร้างความกระจ่างให้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร จะได้ตัดสินใจเดินหน้าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญได้ ทั้งยังเป็นทางออกให้กับปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย
ด้านนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ พูดถึงการยื่นจดหมายเปิดผนึกของแกนนำ นปช.ว่า ยังไม่เห็นคำร้อง พร้อมยืนยันว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีหน้าที่ต้องอธิบายคำวินิจฉัยที่ออกไปแล้ว แต่ยอมรับว่า ถ้าคู่กรณีไม่เข้าใจในคำวินิจฉัยสามารถยื่นคำร้องต่อศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่ต้องดูก่อนว่า คู่ความร้องมาว่าอย่างไร ไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่าแกล้งไม่เข้าใจ โง่จริงๆ หรือแกล้งโง่ ถ้าแกล้งโง่ ขอให้โง่จริงๆ
วันต่อมา(11 ม.ค.) นายจตุพร ได้ออกมาสวนกลับนายวสันต์ว่า “การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ ไปซ้ายหรือขวาก็โดนหมด ไม่มีใครแกล้งโง่หรือโง่จริง แต่ศาลรัฐธรรมนูญเขียนคำวินิจฉัยเหมือนใบ้หวย หากตีความไม่ตรงก็โดนร้องเรียนอีก และวิกฤตบ้านเมืองจะกลับมาใหม่ พวกผมไปถามว่า ต้องการให้ทำประชามติก่อนโหวตวาระ 3 หรือโหวตวาระ 3 ได้เลย... อยากให้ศาลชี้แจงให้ชัดเจน ท่านจะว่าพวกผมโง่หรือแกล้งโง่ก็ไม่เป็นไร พวกเราไม่โกรธ แต่ขอวิงวอนให้ท่านได้แกล้งฉลาดสักครั้ง”
ด้านนายกมล โสตถิโภคา โฆษกศาลรัฐธรรมนูญ เผยว่า จะนำหนังสือของแกนนำ นปช.เข้าที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดต่อไปในวันที่ 23 ม.ค.นี้ เพื่อดูว่าเข้าข่ายเป็นคำร้องตามหลักการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญข้อ 17 หรือไม่ แต่ส่วนตัวมองว่า จดหมายเปิดผนึกไม่ใช่คำร้อง ดังนั้นคงเป็นการหารือทั่วไปที่ไม่มีมติรับหรือไม่รับพิจารณาวินิจฉัย