คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.พันธมิตรฯ แถลงเตือน “รัฐตำรวจ” กลับมาแล้ว ซัด “คำรณวิทย์” ลุแก่อำนาจ เตรียมส่งทนายช่วยครูสาวปกป้องสถาบัน!
เมื่อวันที่ 21 ก.ย.แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง “การกลับมาอีกครั้งของรัฐตำรวจ” โดยยกตัวอย่างกรณีที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางไปพบทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีอาญาแผ่นดิน ในต่างประเทศ และให้ทักษิณประดับยศให้ ทั้งยังได้ติดป้ายที่สำนักงานด้วยว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้” แถมยังประกาศอีกว่าพร้อมลาออกทันทีถ้าพรรคการเมืองฝายค้านกลับมาเป็นรัฐบาล พันธมิตรฯ เห็นว่า การกระทำดังกล่าวสะท้อนถึงความตกต่ำด้านจริยธรรม ซึ่งอาจทำให้ประเทศเข้าสู่วิกฤตร้ายแรง เพราะตำรวจที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายแสดงตัวเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างชัดเจน
ไม่เท่านั้น เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นหนังสือให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมการสอบการกระทำของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ได้ประกาศจะไปยื่นหนังสือถึงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกล่าวเชิญชวนตำรวจคนอื่นให้ไปด้วยกันในวันที่ 18 ก.ย. ซึ่งเมื่อถึงกำหนด ปรากฏว่า มีการนำตำรวจกว่า 200 นายไปรวมตัวกันที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งแม้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์จะไม่ได้ไปที่พรรคประชาธิปัตย์ แต่พันธมิตรฯ เห็นว่า การกระทำดังกล่าวถือว่าลุแก่อำนาจ เพราะเป็นการนำกองกำลังเจ้าหน้าที่รัฐที่ติดอาวุธไปข่มขู่พรรคการเมือง จะยิ่งสร้างความแตกแยกให้ร้าวลึกและรุนแรงกว่าเดิม
นอกจากนี้พันธมิตรฯ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า มีการเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินคดีระหว่างกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างไม่เป็นธรรม ตัวอย่างเช่น พนักงานสอบสวนร่วมกับอัยการขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรพลิกศพผู้ชุมนุมกลุ่ม นปช.ว่าเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่เมื่อปี 2553 ผิดกับคดีผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ถูกระเบิดแก๊สน้ำตาของเจ้าหน้าที่รัฐเสียชีวิต กลับไม่มีการไต่สวนชันสูตรพลิกศพแต่อย่างใด
พันธมิตรฯ จึงขอแจ้งประชาชนว่า รัฐตำรวจได้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว พร้อมเตือนรัฐบาลด้วยว่า หากยังดำรงความอยุติธรรมเช่นนี้ต่อไป นอกจากสังคมจะไม่มีโอกาสทราบความเป็นจริงที่จะนำไปสู่ความสงบสุขที่แท้จริงแล้ว สังคมจะยิ่งเกิดความขัดแย้งและแตกแยกรุนแรงกว่าเดิมแน่นอน
นอกจากนี้ พันธมิตรฯ ยังได้ตำหนิเจ้าหน้าที่รัฐว่าไม่เอาจริงเอาจังกับขบวนการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ สังเกตได้จากกรณีที่สตรีคนหนึ่ง(อดีตครูโรงเรียนนานาชาติ) ได้พูดต่อว่าและตั้งคำถามนางดารุณี กฤตบุญญาลัย เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ห้างสรรพสินค้าพารากอน ว่าเหตุใดจึงพูดจาบจ้วงสถาบัน ปรากฏว่า กองบังคับการปราบปรามได้ออกหมายเรียกสตรีคนดังกล่าวในข้อหาหมิ่นประมาท และนัดให้มาพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 25 ก.ย.นี้ พันธมิตรฯ เห็นว่า สตรีดังกล่าวมีเจตนาชัดเจนว่าต้องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นพันธมิตรฯ พร้อมจะจัดส่งทนายไปช่วยในการต่อสู้คดีหากสตรีดังกล่าวต้องการ และพร้อมสนับสนุนให้ประชาชนที่รักสถาบันพระมหากษัตริย์ไปให้กำลังใจสตรีคนดังกล่าวในวันที่ 25 ก.ย.ด้วย
ด้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้เปิดแถลงกรณียกเลิกการไปยื่นหนังสือถึงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า เนื่องจากนายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ แนะนำว่าไม่อยากให้เกิดภาพประจันหน้ากัน จึงให้ พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ ฉันทวรลักษณ์ ผู้บังคับการตำรวจสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ไปยื่นหนังสือแทน ไม่ใช่เพราะผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยขอไม่ให้เดินทางไปแต่อย่างใด
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ยังตำหนิกรณีทีทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ยื่นหนังสือให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสอบวินัยตนกรณีเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่ต่างประเทศเพื่อให้ประดับยศว่า ถือว่าพรรคประชาธิปัตย์มีวิสัยทัศน์ที่คับแคบ ไร้เหตุผล ปราศจากความเป็นธรรม พร้อมยืนยันว่า “ทั้งหมดเป็นเรื่องส่วนตัวของกระผม ไม่ควรที่ผู้ใดจะมายุ่งเกี่ยว อีกทั้งยังเป็นประเพณีของสังคมไทยที่สืบต่อกันมายาวนาน เพื่อความสบายใจของ ปชป.จึงเรียนมายังท่านหัวหน้า ปชป. หากวันใดก็ตามที่ ปชป.ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล กระผมจะลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และจะลาออกจากชีวิตรับราชการตำรวจทันที”
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ติงกรณีที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ประกาศเชิญชวนตำรวจไปพร้อมกันที่พรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 18 ก.ย.ว่า ถ้า พล.ต.ท.คำรณวิทย์จะร้องเรียนหรือชี้แจงอะไร สามารถทำได้ แต่ควรดูความเหมาะสมด้วย ถ้าเกณฑ์ตำรวจมากันเป็นพันนาย อยากถามว่า ไม่มีงานทำหรือ ตกลงทำงานเพื่อใคร อยากให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ยึดประโยชน์ส่วนรวม ดูความประพฤติของตนเองว่าเหมาะสมหรือไม่
2.“คณิต” นำทีมแถลงรายงาน คอป.ฉบับสมบูรณ์ ชี้ “ชายชุดดำ” มีจริง ยิงทหารดับ 6 ศพ พบหลักฐานใกล้ชิด “เสธ.แดง”-การ์ด นปช.หนุน!
เมื่อวันที่ 17 ก.ย. คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.) นำโดยนายคณิต ณ นคร ประธาน คอป.ได้เปิดแถลงรายงานฉบับสมบูรณ์ เกี่ยวกับความขัดแย้งและความรุนแรงในประเทศ หลังทำงานครบวาระ 2 ปี โดยรายงานดังกล่าวมีเนื้อหาเกือบ 300 หน้า พร้อมภาคผนวกเกี่ยวกับข้อเนอแนะของ คอป.
ทั้งนี้ นายสมชาย หอมลออ หนึ่งในกรรมการ คอป.ได้ลำดับเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 โดยบอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดความสูญเสียมากสุดคือบริเวณแยกคอกวัวและถนนดินสอ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 โดยมีผู้เสียชีวิต 26 คน แบ่งเป็นพลเรือน 21 คน ในจำนวนนี้มีสื่อต่างประเทศรวมอยู่ด้วย 1 คน และทหารอีก 5 นาย ส่วนผู้บาดเจ็บมีจำนวน 864 คน โดยในจำนวนนี้เป็นทหารกว่า 300 นาย
นายสมชาย บอกด้วยว่า คอป.ได้พบหลักฐานชายชุดดำคือบุคคลที่ไม่ทราบฝ่ายแน่ชัด ได้ใช้อาวุธสงครามโจมตีเจ้าหน้าที่ทั้งก่อนและหลังวันที่ 10 เม.ย.2553 ซึ่งจากการตรวจสอบกับกองพิสูจน์หลักฐานของตำรวจพบว่า มีการใช้ระเบิดเอ็ม 79 และปืนเล็กยาวยิงใส่เจ้าหน้าที่ด้วย นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่า ชายชุดดำได้รับการสนับสนุนจากการ์ด นปช.6 คน บางคนใกล้ชิดกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง และยังมีหลักฐานด้วยว่า มีผู้เสียชีวิตเพราะชายชุดดำจำนวน 9 คน แบ่งเป็นทหาร 6 คน ตำรวจ 2 คน และประชาชนกลุ่มรักษ์สีลม 1 คน
สำหรับเหตุการณ์ที่วัดปทุมวนารามนั้น นายสมชาย บอกว่า ก่อนจะมีผู้เสียชีวิต 6 ศพ ได้มีการปะทะระหว่างทหารกับชายชุดดำ โดยมีพยานเห็นว่าชายชุดดำวิ่งเลียบกำแพงวัดปทุมวนารามด้วย “มีการแต่งกายของชายชุดดำจริง ใช้อาวุธโจมตีเจ้าหน้าที่ สิ่งนี้ต้องยอมรับ ประกอบกับมีการก่อวินาศกรรมทั้งก่อนและระหว่างการชุมนุมหลายสิบจุด ขณะนี้ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ ยกเว้นคนยิงกระทรวงกลาโหม ชายชุดดำที่มีอาวุธเหล่านี้ หลายคนใกล้ชิดกับ เสธ.แดง และปฏิบัติการของชายชุดดำได้รับความร่วมมือจากการ์ด นปช. แต่จะใกล้ชิดกับผู้นำและแกนนำ นปช.หรือไม่ คอป.ไม่มีหลักฐานยืนยัน”
ทั้งนี้ คอป.เห็นว่า แกนนำ นปช.ไม่ใช้ความพยายามในการป้องกันเหตุรุนแรง แถมยังสนับสนุนการกระทำของชายชุดดำด้วย ขณะที่รัฐไม่ควรใช้ทหารมาควบคุมฝูงชนหรือใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ ส่วน ศอฉ.ก็มีความบกพร่อง ไม่มีระบบตรวจสอบเจ้าหน้าที่ที่ออกไปปฏิบัติการ ไม่มีการประเมินผลคำสั่งปฏิบัติการว่าจะมีผลอย่างไรกับผู้ชุมนุม ขณะที่ผู้บริหารบางคนยังเข้าใจว่าใช้กระสุนซ้อม ทั้งที่มีการใช้กระสุนจริง
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายคณิต และ คอป.ได้แนะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยว่า “การจะทำให้บ้านเมืองสงบและสันติได้ ขึ้นอยู่กับความเสียสละของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องยุติบทบาททางการเมืองของตัวเองลง” พร้อมเปรียบเทียบกรณีนายปรีดี พนมยงค์ ที่เสียสละเพื่อส่วนรวม โดยทำงานเพื่อประเทศและประชาชนคนไทย แต่ไม่เดินทางกลับไทย เพราะหวังให้บ้านเมืองสงบสุข
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ไปถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถึงรายงานฉบับสมบูรณ์ของ คอป. ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกว่า จะรับเรื่องของ คอป.ก่อนส่งให้คณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(ปคอป.) ที่มีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน เพื่อพิจารณา หากสิ่งใดเป็นประโยชน์และทำให้เกิดความสงบได้ ยินดีจะรับไปดำเนินการ
ด้านแกนนำ นปช.และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะบุตรสาว เสธ.แดง ไม่พอใจรายงานของ คอป.เป็นอันมาก โดยได้นำทีมเปิดแถลงโจมตี คอป.ว่า โยนความผิดให้ เสธ.แดง โดยอ้างว่าชายชุดดำมีส่วนเกี่ยวข้องกับ เสธ.แดง เพื่อให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เป็นคนดีและพ้นจากความผิด โดยที่ เสธ.แดงไม่สามารถฟื้นขึ้นมาไขความจริงได้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในวันนั้น “ทุกอย่างเป็นการโยนบาปให้คุณพ่อ โยนให้ เสธ.แดงมีส่วนเกี่ยวข้องหมด รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ความดีความชอบ ...กล่าวหาชายชุดดำใกล้ชิด เสธ.แดง ได้รับการฝึกจาก เสธ.แดง คุณพ่อไปฝึก เพราะรู้ว่าทหารอาจเข้ามาสลายการชุมนุม เมื่อเราไม่มีอาวุธ ทำไงถึงปกป้องได้ ทำอย่างนี้ผิดหรือคะ”
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังแถลงข่าวเสร็จ น.ส.ขัตติยา พร้อมด้วย นพ.เหวง โตจิราการ และน.ส.จารุพรรณ กุลดิลก ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้ร่วมกันฉีกรายงานฉบับสมบูรณ์ของ คอป.ต่อหน้าสื่อมวลชน โดยอ้างว่าเป็นรายงานที่ไม่สมบูรณ์และใช้ความเชื่อส่วนตัว
3.ศาล ชี้ “แท็กซี่เสื้อแดง” ดับ ถูกกระสุนปืนทหารที่ยิงใส่รถตู้รุกเขตควบคุม ด้าน “ธาริต” เตรียมบี้ “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ข้อหาฆาตกรรม!
เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ศาลอาญา ได้อ่านคำสั่งคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 และนางหนูชิต คำกอง ภรรยาของนายพัน คำกอง ชาวยโสธร อาชีพขับรถแท็กซี่ และเป็นแนวร่วมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ที่เสียชีวิตระหว่างเหตุการณ์ทหารกระชับพื้นที่บริเวณราชประสงค์เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2553 ได้ร้องให้ศาลชันสูตรสาเหตุการเสียชีวิตของนายพันว่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์หลักฐานและพยานแวดล้อม รวมทั้งทำให้การของพยานแล้ว มีคำสั่งว่า การเสียชีวิตของนายพัน เกิดจากการถูกกระสุนปืนขนาด .223 จากอาวุธปืนที่ใช้ในราชการสงครามที่เจ้าพนักงานทหารร่วมกันยิงไปที่รถตู้หมายเลขทะเบียน ฮค 8561 กรุงเทพมหานคร ที่มีนายสมร ไหมทอง เป็นผู้ขับ ซึ่งรถตู้ดังกล่าวได้ขับเข้าไปในพื้นที่ควบคุมของทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) โดยไม่สนใจประกาศเตือนของทหาร ซึ่งพื้นที่ควบคุมของทหาร มีการปิดป้ายข้อความว่า “เขตใช้กระสุนจริง” เมื่อเจ้าหน้าที่ยิงใส่รถตู้ กระสุนปืนได้ไปถูกนายพันที่เดินออกจากคอนโดมิเนียมมาดูสถานการณ์ถึงแก่ความตาย
ทั้งนี้ ได้มีทหารหลายนายเบิกความถึงเหตุการณ์วันดังกล่าว โดย พ.ท.วรกานต์ ฮุ่นตระกูล ผู้บังคับการกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 31 รักษาพระองค์ เบิกวามว่า คืนวันที่ 14 พ.ค.2553 หลังเวลา 20.00น.ได้มีคนร้ายยิงลูกระเบิดแบบเอ็ม 79 เข้ามาในบริเวณที่ตนรับผิดชอบ ขณะเดียวกันได้มีวิทยุทหารแจ้งว่า ให้ระวังรถตู้สีขาวอาจทำคาร์บอมบ์หรือขนอาวุธใช้ทำร้ายทหาร
ขณะที่ ร.อ.เสริมศักดิ์ คำละมูล ผู้บังคับกองร้อยทหารปืนใหญ่ที่ 31 รักษาพระองค์ เบิกความว่า ได้รับแจ้งจากผู้บังคับบัญชาให้สังเกตรถตู้ จะมีการขนอาวุธ ซึ่งในวันเกิดเหตุ ได้มีรถตู้ขับไปจอดที่หน้าปากซอยราชปรารภ 8 เวลาเที่ยงคืน จึงได้สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้เครื่องขยายเสียงประกาศให้รถตู้แล่นกลับออกไป
ด้าน ร.ต.อ.สากล คำยิ่งยง และ ส.อ.ชิตณรงค์ สุดชัย ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ เบิกความว่า ช่วงที่ทหารควบคุมพื้นที่ การเข้า-ออกต้องได้รับอนุญาตก่อน แม้แต่ตำรวจก็ไม่สามารถเข้า-ออกได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาต ขณะที่นายเอนก ชาติโกฏิ รปภ.ของคอนโดมิเนียมไอดีโอ เบิกความว่า เวลาประมาณเที่ยงคืน ตนได้นั่งเล่นหมากฮอสกับนายพัน ผู้ตาย อยู่ในสำนักงานขายคอนโดฯ ระหว่างนั้น ได้ยินเสียงประกาศของทหารให้รถหยุดแล่นเข้าไปในพื้นที่ควบคุม ถ้าไม่หยุดจะยิง ซึ่งต่อมามีเสียงปืนดังทีละนัด นายพันได้วิ่งออกไปดูเหตุการณ์ที่หน้าสำนักงาน จากนั้นมีเสียงปืนดังแบบยิงอัตโนมัติติดๆ กัน ก่อนที่นายพันจะวิ่งเข้ามาบอกตนว่าถูกยิง แล้วล้มลง
ขณะที่นายสมร ไหมทอง คนขับรถตู้คันดังกล่าว บอกว่า หลังเสียงปืนสงบลง ได้ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ จากนั้นได้มีทหารเข้ามาทุบกระจกรถเพื่อช่วยนำตนออกจากรถตู้
ทั้งนี้ ศาลเชื่อว่า ในที่เกิดเหตุมีเพียงทหารเท่านั้นที่สามารถถืออาวุธปืนได้ แม้ไม่มีประจักษ์พยานเห็นว่าผู้ตายถูกกระสุนปืนของผู้ใด แต่ที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ควบคุมของทหาร จึงเชื่อว่า กลุ่มที่ร่วมระดมยิงปืนใส่รถตู้คันดังกล่าวเป็นทหาร
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังศาลมีคำสั่งว่านายพันเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ปรากฏว่า แกนนำ นปช.เช่น นางธิดา ถาวรเศรษฐ รีบออกมาชี้ว่า ผลของคดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานสำหรับคดีอื่นๆ ที่คนเสื้อแดงเสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ด้วย
ขณะที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เตรียมนำคำสั่งศาลกรณีนี้ไปประกอบสำนวนคดีหลัก คือคดีฆาตกรรม เป็นคดีแรก จากจำนวน 36 ศพ พร้อมส่งสัญญาณเอาผิดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ “ต้นตอของเรื่องคือผู้ออกคำสั่งของ ศอฉ.ดังนั้นคงหนีไม่พ้นจะดำเนินคดีกับนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้ออกคำสั่งของ ศอฉ.” ส่วนเจ้าหน้าที่ทหาร หรือแม้แต่ผู้บัญชาการทหารบกนั้น นายธาริต บอกว่า คงไม่ต้องรับผิดทางคดี เพราะเป็นเพียงผู้ผ่านคำสั่ง ศอฉ.ไปเป็นทอดๆ เท่านั้น
ด้านนายอภิสิทธิ์ ได้ออกมาสวนกลับนายธาริตว่า ศาลได้บอกแล้วว่า คำสั่งของ ศอฉ.เป็นการสั่งให้ควบคุมพื้นที่ ไม่ใช่สั่งให้ไปฆ่าคน ดังนั้นหลังจากนี้ ตนจะดูว่า การใช้อำนาจของฝ่ายต่างๆ เป็นไปตามกระบวนการแค่ไหน “ตอนนี้นายธาริต พูดในสิ่งที่ฝ่ายการเมืองฝ่ายนู้นเขาพูดมาก่อน ซึ่งข้องใจว่าเป็นการชี้นำหรือไม่ โดยผมจะดูหนทางในการดำเนินคดี และทุกฝ่ายต้องอยู่ใต้กระบวนการยุติธรรม” นายอภิสิทธิ์ ยังเตือนนายธาริตด้วยว่า ถ้าจะตั้งข้อหาตนและนายสุเทพ ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ.ก็อยากรู้เหมือนกันว่า นายธาริตจะถูกอ้างเป็นพยานหรือจะต้องมาเป็นจำเลยร่วมกันแน่ เพราะนายธาริตก็มีส่วนในการตัดสินใจใน ศอฉ.เหมือนกัน
4.วุฒิสภา มีมติไม่ถอดถอน “สุเทพ” 95 : 40 รอดเว้นวรรคการเมือง 5 ปี!
เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ได้มีการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณาเรื่องด่วนเกี่ยวกับการลงมติถอดถอนหรือไม่ถอดถอนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ หลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดกรณีเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อส่ง ส.ส.ของพรรค และบุคคลอื่นรวม 19 คนไปช่วยงานที่กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่ง ป.ป.ช.มองว่าเป็นการแทรกแซงการทำงานของข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 268 และ 266(1)
ทั้งนี้ การจะถอดถอนได้ ต้องใช้เสียง 3 ใน 5 ของ ส.ว.ทั้งหมด หรือ 89 จากทั้งหมด 146 คน โดยหากนายสุเทพถูกถอดถอน จะต้องพ้นจาก ส.ส.และห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี ซึ่งนายสุเทพได้ประกาศก่อนหน้าแล้วว่า ถ้าต้องเว้นวรรคการเมือง 5 ปี ถึงตอนนั้นก็อายุ 69 ปี คงจะไม่กลับมาเล่นการเมืองอีก อย่างไรก็ตาม หลังที่ประชุมวุฒิสภาได้ลงมติด้วยวิธีลงคะแนนลับ ปรากฏว่า มี ส.ว.แสดงตนจำนวน 139 คน มีผู้ลงมติไม่ถอดถอนนายสุเทพ 95 คน ลงมติถอดถอน 40 คน ไม่ลงคะแนน 3 คน และไม่ใช้สิทธิลงคะแนน 1 คน สรุปว่า เสียงถอดถอนไม่ถึง 3 ใน 5 นายสุเทพจึงยังคงเป็น ส.ส.ต่อไป
5.ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ 7 : 0 ฟัน “สรยุทธ-บ.ไร่ส้ม” ผิดอาญา โกงค่าโฆษณา อสมท 138 ล้าน!
เมื่อวันที่ 21 ก.ย. นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) แถลงว่า ที่ประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่ได้พิจารณาเรื่องกล่าวหานางพิชชาภา เอี่ยมสอาด เจ้าหน้าที่ธุรการระดับ 5 บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กับพวก กรณีช่วยเหลือบริษัท ไร่ส้ม จำกัด โฆษณาเกินกำหนดเวลาในสัญญาเป็นเงิน 138,790,000 บาท โดยมีการแก้ไขใบคิวช่วยเหลือบริษัทไร่ส้มฯ ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดัง โดยมีนายสรยุทธ ,น.ส.มณฑา ธีระเดช และบริษัทไร่ส้ม เป็นผู้สนับสนุน ทำให้ อสมท ได้รับความเสียหาย ตามที่อนุกรรมการไต่สวนชุดที่มีนายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธาน เสนอ
ทั้งนี้ จากการไต่สวนพบว่า นางพิชชาภาซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวในการจัดทำคิวโฆษณารวม ได้ให้ความช่วยเหลือ บริษัทไร่ส้มฯ โดยไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลาของ บริษัทไร่ส้มฯ ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ.2548 - 30 มิ.ย.2549 โดยเป็นไปตามคำแนะนำของนายสรยุทธและ น.ส.มณฑา นอกจากนี้ยังพบว่า นายสรยุทธได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คของธนาคารธนชาติ สาขาพระรามสี่ ให้กับนางพิชชาภา โดยมีการทำเอกสารหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้รวม 6 ครั้ง เป็นเงิน 739,770.50 บาท เพื่อตอบแทนที่นางพิชชาภามิได้รายงานการโฆษณาเกินเวลาของบริษัทไร่ส้มให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
ที่ประชุมป.ป.ช.จึงมีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ว่า นางพิชชาภา (หรือนางชนาภา บุญโต) มีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรงและมีมูลความผิดทางอาญา ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความมผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 8 และ 11 ขณะที่ น.ส.อัญญา หรือสาริศา อู่ไทย ซึ่งเป็นหัวหน้างานและเป็นผู้บังคับบัญชาในฝ่ายสนับสนุนและบริการลูกค้าของนางพิชชาภา มีมูลความผิดทางวินัย ฐานประมาทเลินเล่อ ส่วนทางอาญาขาดเจตนา ให้ยกคำร้อง
สำหรับนายสรยุทธและ น.ส.มณฑา ซึ่งได้ใช้ให้นางพิชชาภาไม่ต้องรายงานการโฆษณาเกิน
เวลาให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และบริษัทไร่ส้มฯ ในฐานะนิติบุคคล มีมูลความผิดฐานสนับสนุนพนักงานกระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6 ,8 และ 11 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 จึงได้ส่งเรื่องไปยังผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อพิจารณาโทษทางวินัย พร้อมส่งรายงานและความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญากับผู้ถูกกล่าวหา ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542
ด้านนายสรยุทธ ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็นการกระทำของนางพิชชาภา แต่ยอมรับว่าตนมีอำนาจลงนามสั่งจ่ายเช็ค โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจ่ายค่านายหน้าโฆษณา และมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ส่วนค่าโฆษณา 138 ล้าน ตนก็ได้จ่ายให้ อสมท ไปแล้ว จึงไม่มีความเสียหายด้านตัวเงิน นายสรยุทธ ยังบอกด้วยว่า ตนจะขอใช้สิทธิ์สู้คดีในชั้นอัยการและศาลต่อไป พร้อมชี้ว่า เป็นไปไม่ได้ที่ตนจะขอให้พนักงานระดับธุรการเพียงคนเดียวของ อสมท ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ โดยไม่มีใครตรวจสอบพบ หรือไม่มีใครพบ เป็นระยะเวลายาวนาน
1.พันธมิตรฯ แถลงเตือน “รัฐตำรวจ” กลับมาแล้ว ซัด “คำรณวิทย์” ลุแก่อำนาจ เตรียมส่งทนายช่วยครูสาวปกป้องสถาบัน!
เมื่อวันที่ 21 ก.ย.แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง “การกลับมาอีกครั้งของรัฐตำรวจ” โดยยกตัวอย่างกรณีที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางไปพบทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีอาญาแผ่นดิน ในต่างประเทศ และให้ทักษิณประดับยศให้ ทั้งยังได้ติดป้ายที่สำนักงานด้วยว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้” แถมยังประกาศอีกว่าพร้อมลาออกทันทีถ้าพรรคการเมืองฝายค้านกลับมาเป็นรัฐบาล พันธมิตรฯ เห็นว่า การกระทำดังกล่าวสะท้อนถึงความตกต่ำด้านจริยธรรม ซึ่งอาจทำให้ประเทศเข้าสู่วิกฤตร้ายแรง เพราะตำรวจที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายแสดงตัวเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างชัดเจน
ไม่เท่านั้น เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นหนังสือให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมการสอบการกระทำของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ได้ประกาศจะไปยื่นหนังสือถึงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกล่าวเชิญชวนตำรวจคนอื่นให้ไปด้วยกันในวันที่ 18 ก.ย. ซึ่งเมื่อถึงกำหนด ปรากฏว่า มีการนำตำรวจกว่า 200 นายไปรวมตัวกันที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งแม้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์จะไม่ได้ไปที่พรรคประชาธิปัตย์ แต่พันธมิตรฯ เห็นว่า การกระทำดังกล่าวถือว่าลุแก่อำนาจ เพราะเป็นการนำกองกำลังเจ้าหน้าที่รัฐที่ติดอาวุธไปข่มขู่พรรคการเมือง จะยิ่งสร้างความแตกแยกให้ร้าวลึกและรุนแรงกว่าเดิม
นอกจากนี้พันธมิตรฯ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า มีการเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินคดีระหว่างกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างไม่เป็นธรรม ตัวอย่างเช่น พนักงานสอบสวนร่วมกับอัยการขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรพลิกศพผู้ชุมนุมกลุ่ม นปช.ว่าเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่เมื่อปี 2553 ผิดกับคดีผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ถูกระเบิดแก๊สน้ำตาของเจ้าหน้าที่รัฐเสียชีวิต กลับไม่มีการไต่สวนชันสูตรพลิกศพแต่อย่างใด
พันธมิตรฯ จึงขอแจ้งประชาชนว่า รัฐตำรวจได้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว พร้อมเตือนรัฐบาลด้วยว่า หากยังดำรงความอยุติธรรมเช่นนี้ต่อไป นอกจากสังคมจะไม่มีโอกาสทราบความเป็นจริงที่จะนำไปสู่ความสงบสุขที่แท้จริงแล้ว สังคมจะยิ่งเกิดความขัดแย้งและแตกแยกรุนแรงกว่าเดิมแน่นอน
นอกจากนี้ พันธมิตรฯ ยังได้ตำหนิเจ้าหน้าที่รัฐว่าไม่เอาจริงเอาจังกับขบวนการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ สังเกตได้จากกรณีที่สตรีคนหนึ่ง(อดีตครูโรงเรียนนานาชาติ) ได้พูดต่อว่าและตั้งคำถามนางดารุณี กฤตบุญญาลัย เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ห้างสรรพสินค้าพารากอน ว่าเหตุใดจึงพูดจาบจ้วงสถาบัน ปรากฏว่า กองบังคับการปราบปรามได้ออกหมายเรียกสตรีคนดังกล่าวในข้อหาหมิ่นประมาท และนัดให้มาพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 25 ก.ย.นี้ พันธมิตรฯ เห็นว่า สตรีดังกล่าวมีเจตนาชัดเจนว่าต้องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นพันธมิตรฯ พร้อมจะจัดส่งทนายไปช่วยในการต่อสู้คดีหากสตรีดังกล่าวต้องการ และพร้อมสนับสนุนให้ประชาชนที่รักสถาบันพระมหากษัตริย์ไปให้กำลังใจสตรีคนดังกล่าวในวันที่ 25 ก.ย.ด้วย
ด้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้เปิดแถลงกรณียกเลิกการไปยื่นหนังสือถึงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า เนื่องจากนายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ แนะนำว่าไม่อยากให้เกิดภาพประจันหน้ากัน จึงให้ พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ ฉันทวรลักษณ์ ผู้บังคับการตำรวจสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ไปยื่นหนังสือแทน ไม่ใช่เพราะผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยขอไม่ให้เดินทางไปแต่อย่างใด
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ยังตำหนิกรณีทีทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ยื่นหนังสือให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสอบวินัยตนกรณีเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่ต่างประเทศเพื่อให้ประดับยศว่า ถือว่าพรรคประชาธิปัตย์มีวิสัยทัศน์ที่คับแคบ ไร้เหตุผล ปราศจากความเป็นธรรม พร้อมยืนยันว่า “ทั้งหมดเป็นเรื่องส่วนตัวของกระผม ไม่ควรที่ผู้ใดจะมายุ่งเกี่ยว อีกทั้งยังเป็นประเพณีของสังคมไทยที่สืบต่อกันมายาวนาน เพื่อความสบายใจของ ปชป.จึงเรียนมายังท่านหัวหน้า ปชป. หากวันใดก็ตามที่ ปชป.ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล กระผมจะลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และจะลาออกจากชีวิตรับราชการตำรวจทันที”
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ติงกรณีที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ประกาศเชิญชวนตำรวจไปพร้อมกันที่พรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 18 ก.ย.ว่า ถ้า พล.ต.ท.คำรณวิทย์จะร้องเรียนหรือชี้แจงอะไร สามารถทำได้ แต่ควรดูความเหมาะสมด้วย ถ้าเกณฑ์ตำรวจมากันเป็นพันนาย อยากถามว่า ไม่มีงานทำหรือ ตกลงทำงานเพื่อใคร อยากให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ยึดประโยชน์ส่วนรวม ดูความประพฤติของตนเองว่าเหมาะสมหรือไม่
2.“คณิต” นำทีมแถลงรายงาน คอป.ฉบับสมบูรณ์ ชี้ “ชายชุดดำ” มีจริง ยิงทหารดับ 6 ศพ พบหลักฐานใกล้ชิด “เสธ.แดง”-การ์ด นปช.หนุน!
เมื่อวันที่ 17 ก.ย. คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.) นำโดยนายคณิต ณ นคร ประธาน คอป.ได้เปิดแถลงรายงานฉบับสมบูรณ์ เกี่ยวกับความขัดแย้งและความรุนแรงในประเทศ หลังทำงานครบวาระ 2 ปี โดยรายงานดังกล่าวมีเนื้อหาเกือบ 300 หน้า พร้อมภาคผนวกเกี่ยวกับข้อเนอแนะของ คอป.
ทั้งนี้ นายสมชาย หอมลออ หนึ่งในกรรมการ คอป.ได้ลำดับเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 โดยบอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดความสูญเสียมากสุดคือบริเวณแยกคอกวัวและถนนดินสอ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 โดยมีผู้เสียชีวิต 26 คน แบ่งเป็นพลเรือน 21 คน ในจำนวนนี้มีสื่อต่างประเทศรวมอยู่ด้วย 1 คน และทหารอีก 5 นาย ส่วนผู้บาดเจ็บมีจำนวน 864 คน โดยในจำนวนนี้เป็นทหารกว่า 300 นาย
นายสมชาย บอกด้วยว่า คอป.ได้พบหลักฐานชายชุดดำคือบุคคลที่ไม่ทราบฝ่ายแน่ชัด ได้ใช้อาวุธสงครามโจมตีเจ้าหน้าที่ทั้งก่อนและหลังวันที่ 10 เม.ย.2553 ซึ่งจากการตรวจสอบกับกองพิสูจน์หลักฐานของตำรวจพบว่า มีการใช้ระเบิดเอ็ม 79 และปืนเล็กยาวยิงใส่เจ้าหน้าที่ด้วย นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่า ชายชุดดำได้รับการสนับสนุนจากการ์ด นปช.6 คน บางคนใกล้ชิดกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง และยังมีหลักฐานด้วยว่า มีผู้เสียชีวิตเพราะชายชุดดำจำนวน 9 คน แบ่งเป็นทหาร 6 คน ตำรวจ 2 คน และประชาชนกลุ่มรักษ์สีลม 1 คน
สำหรับเหตุการณ์ที่วัดปทุมวนารามนั้น นายสมชาย บอกว่า ก่อนจะมีผู้เสียชีวิต 6 ศพ ได้มีการปะทะระหว่างทหารกับชายชุดดำ โดยมีพยานเห็นว่าชายชุดดำวิ่งเลียบกำแพงวัดปทุมวนารามด้วย “มีการแต่งกายของชายชุดดำจริง ใช้อาวุธโจมตีเจ้าหน้าที่ สิ่งนี้ต้องยอมรับ ประกอบกับมีการก่อวินาศกรรมทั้งก่อนและระหว่างการชุมนุมหลายสิบจุด ขณะนี้ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ ยกเว้นคนยิงกระทรวงกลาโหม ชายชุดดำที่มีอาวุธเหล่านี้ หลายคนใกล้ชิดกับ เสธ.แดง และปฏิบัติการของชายชุดดำได้รับความร่วมมือจากการ์ด นปช. แต่จะใกล้ชิดกับผู้นำและแกนนำ นปช.หรือไม่ คอป.ไม่มีหลักฐานยืนยัน”
ทั้งนี้ คอป.เห็นว่า แกนนำ นปช.ไม่ใช้ความพยายามในการป้องกันเหตุรุนแรง แถมยังสนับสนุนการกระทำของชายชุดดำด้วย ขณะที่รัฐไม่ควรใช้ทหารมาควบคุมฝูงชนหรือใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ ส่วน ศอฉ.ก็มีความบกพร่อง ไม่มีระบบตรวจสอบเจ้าหน้าที่ที่ออกไปปฏิบัติการ ไม่มีการประเมินผลคำสั่งปฏิบัติการว่าจะมีผลอย่างไรกับผู้ชุมนุม ขณะที่ผู้บริหารบางคนยังเข้าใจว่าใช้กระสุนซ้อม ทั้งที่มีการใช้กระสุนจริง
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายคณิต และ คอป.ได้แนะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยว่า “การจะทำให้บ้านเมืองสงบและสันติได้ ขึ้นอยู่กับความเสียสละของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องยุติบทบาททางการเมืองของตัวเองลง” พร้อมเปรียบเทียบกรณีนายปรีดี พนมยงค์ ที่เสียสละเพื่อส่วนรวม โดยทำงานเพื่อประเทศและประชาชนคนไทย แต่ไม่เดินทางกลับไทย เพราะหวังให้บ้านเมืองสงบสุข
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ไปถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถึงรายงานฉบับสมบูรณ์ของ คอป. ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกว่า จะรับเรื่องของ คอป.ก่อนส่งให้คณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(ปคอป.) ที่มีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน เพื่อพิจารณา หากสิ่งใดเป็นประโยชน์และทำให้เกิดความสงบได้ ยินดีจะรับไปดำเนินการ
ด้านแกนนำ นปช.และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะบุตรสาว เสธ.แดง ไม่พอใจรายงานของ คอป.เป็นอันมาก โดยได้นำทีมเปิดแถลงโจมตี คอป.ว่า โยนความผิดให้ เสธ.แดง โดยอ้างว่าชายชุดดำมีส่วนเกี่ยวข้องกับ เสธ.แดง เพื่อให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เป็นคนดีและพ้นจากความผิด โดยที่ เสธ.แดงไม่สามารถฟื้นขึ้นมาไขความจริงได้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในวันนั้น “ทุกอย่างเป็นการโยนบาปให้คุณพ่อ โยนให้ เสธ.แดงมีส่วนเกี่ยวข้องหมด รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ความดีความชอบ ...กล่าวหาชายชุดดำใกล้ชิด เสธ.แดง ได้รับการฝึกจาก เสธ.แดง คุณพ่อไปฝึก เพราะรู้ว่าทหารอาจเข้ามาสลายการชุมนุม เมื่อเราไม่มีอาวุธ ทำไงถึงปกป้องได้ ทำอย่างนี้ผิดหรือคะ”
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังแถลงข่าวเสร็จ น.ส.ขัตติยา พร้อมด้วย นพ.เหวง โตจิราการ และน.ส.จารุพรรณ กุลดิลก ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้ร่วมกันฉีกรายงานฉบับสมบูรณ์ของ คอป.ต่อหน้าสื่อมวลชน โดยอ้างว่าเป็นรายงานที่ไม่สมบูรณ์และใช้ความเชื่อส่วนตัว
3.ศาล ชี้ “แท็กซี่เสื้อแดง” ดับ ถูกกระสุนปืนทหารที่ยิงใส่รถตู้รุกเขตควบคุม ด้าน “ธาริต” เตรียมบี้ “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ข้อหาฆาตกรรม!
เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ศาลอาญา ได้อ่านคำสั่งคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 และนางหนูชิต คำกอง ภรรยาของนายพัน คำกอง ชาวยโสธร อาชีพขับรถแท็กซี่ และเป็นแนวร่วมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ที่เสียชีวิตระหว่างเหตุการณ์ทหารกระชับพื้นที่บริเวณราชประสงค์เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2553 ได้ร้องให้ศาลชันสูตรสาเหตุการเสียชีวิตของนายพันว่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์หลักฐานและพยานแวดล้อม รวมทั้งทำให้การของพยานแล้ว มีคำสั่งว่า การเสียชีวิตของนายพัน เกิดจากการถูกกระสุนปืนขนาด .223 จากอาวุธปืนที่ใช้ในราชการสงครามที่เจ้าพนักงานทหารร่วมกันยิงไปที่รถตู้หมายเลขทะเบียน ฮค 8561 กรุงเทพมหานคร ที่มีนายสมร ไหมทอง เป็นผู้ขับ ซึ่งรถตู้ดังกล่าวได้ขับเข้าไปในพื้นที่ควบคุมของทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) โดยไม่สนใจประกาศเตือนของทหาร ซึ่งพื้นที่ควบคุมของทหาร มีการปิดป้ายข้อความว่า “เขตใช้กระสุนจริง” เมื่อเจ้าหน้าที่ยิงใส่รถตู้ กระสุนปืนได้ไปถูกนายพันที่เดินออกจากคอนโดมิเนียมมาดูสถานการณ์ถึงแก่ความตาย
ทั้งนี้ ได้มีทหารหลายนายเบิกความถึงเหตุการณ์วันดังกล่าว โดย พ.ท.วรกานต์ ฮุ่นตระกูล ผู้บังคับการกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 31 รักษาพระองค์ เบิกวามว่า คืนวันที่ 14 พ.ค.2553 หลังเวลา 20.00น.ได้มีคนร้ายยิงลูกระเบิดแบบเอ็ม 79 เข้ามาในบริเวณที่ตนรับผิดชอบ ขณะเดียวกันได้มีวิทยุทหารแจ้งว่า ให้ระวังรถตู้สีขาวอาจทำคาร์บอมบ์หรือขนอาวุธใช้ทำร้ายทหาร
ขณะที่ ร.อ.เสริมศักดิ์ คำละมูล ผู้บังคับกองร้อยทหารปืนใหญ่ที่ 31 รักษาพระองค์ เบิกความว่า ได้รับแจ้งจากผู้บังคับบัญชาให้สังเกตรถตู้ จะมีการขนอาวุธ ซึ่งในวันเกิดเหตุ ได้มีรถตู้ขับไปจอดที่หน้าปากซอยราชปรารภ 8 เวลาเที่ยงคืน จึงได้สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้เครื่องขยายเสียงประกาศให้รถตู้แล่นกลับออกไป
ด้าน ร.ต.อ.สากล คำยิ่งยง และ ส.อ.ชิตณรงค์ สุดชัย ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ เบิกความว่า ช่วงที่ทหารควบคุมพื้นที่ การเข้า-ออกต้องได้รับอนุญาตก่อน แม้แต่ตำรวจก็ไม่สามารถเข้า-ออกได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาต ขณะที่นายเอนก ชาติโกฏิ รปภ.ของคอนโดมิเนียมไอดีโอ เบิกความว่า เวลาประมาณเที่ยงคืน ตนได้นั่งเล่นหมากฮอสกับนายพัน ผู้ตาย อยู่ในสำนักงานขายคอนโดฯ ระหว่างนั้น ได้ยินเสียงประกาศของทหารให้รถหยุดแล่นเข้าไปในพื้นที่ควบคุม ถ้าไม่หยุดจะยิง ซึ่งต่อมามีเสียงปืนดังทีละนัด นายพันได้วิ่งออกไปดูเหตุการณ์ที่หน้าสำนักงาน จากนั้นมีเสียงปืนดังแบบยิงอัตโนมัติติดๆ กัน ก่อนที่นายพันจะวิ่งเข้ามาบอกตนว่าถูกยิง แล้วล้มลง
ขณะที่นายสมร ไหมทอง คนขับรถตู้คันดังกล่าว บอกว่า หลังเสียงปืนสงบลง ได้ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ จากนั้นได้มีทหารเข้ามาทุบกระจกรถเพื่อช่วยนำตนออกจากรถตู้
ทั้งนี้ ศาลเชื่อว่า ในที่เกิดเหตุมีเพียงทหารเท่านั้นที่สามารถถืออาวุธปืนได้ แม้ไม่มีประจักษ์พยานเห็นว่าผู้ตายถูกกระสุนปืนของผู้ใด แต่ที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ควบคุมของทหาร จึงเชื่อว่า กลุ่มที่ร่วมระดมยิงปืนใส่รถตู้คันดังกล่าวเป็นทหาร
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังศาลมีคำสั่งว่านายพันเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ปรากฏว่า แกนนำ นปช.เช่น นางธิดา ถาวรเศรษฐ รีบออกมาชี้ว่า ผลของคดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานสำหรับคดีอื่นๆ ที่คนเสื้อแดงเสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ด้วย
ขณะที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เตรียมนำคำสั่งศาลกรณีนี้ไปประกอบสำนวนคดีหลัก คือคดีฆาตกรรม เป็นคดีแรก จากจำนวน 36 ศพ พร้อมส่งสัญญาณเอาผิดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ “ต้นตอของเรื่องคือผู้ออกคำสั่งของ ศอฉ.ดังนั้นคงหนีไม่พ้นจะดำเนินคดีกับนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้ออกคำสั่งของ ศอฉ.” ส่วนเจ้าหน้าที่ทหาร หรือแม้แต่ผู้บัญชาการทหารบกนั้น นายธาริต บอกว่า คงไม่ต้องรับผิดทางคดี เพราะเป็นเพียงผู้ผ่านคำสั่ง ศอฉ.ไปเป็นทอดๆ เท่านั้น
ด้านนายอภิสิทธิ์ ได้ออกมาสวนกลับนายธาริตว่า ศาลได้บอกแล้วว่า คำสั่งของ ศอฉ.เป็นการสั่งให้ควบคุมพื้นที่ ไม่ใช่สั่งให้ไปฆ่าคน ดังนั้นหลังจากนี้ ตนจะดูว่า การใช้อำนาจของฝ่ายต่างๆ เป็นไปตามกระบวนการแค่ไหน “ตอนนี้นายธาริต พูดในสิ่งที่ฝ่ายการเมืองฝ่ายนู้นเขาพูดมาก่อน ซึ่งข้องใจว่าเป็นการชี้นำหรือไม่ โดยผมจะดูหนทางในการดำเนินคดี และทุกฝ่ายต้องอยู่ใต้กระบวนการยุติธรรม” นายอภิสิทธิ์ ยังเตือนนายธาริตด้วยว่า ถ้าจะตั้งข้อหาตนและนายสุเทพ ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ.ก็อยากรู้เหมือนกันว่า นายธาริตจะถูกอ้างเป็นพยานหรือจะต้องมาเป็นจำเลยร่วมกันแน่ เพราะนายธาริตก็มีส่วนในการตัดสินใจใน ศอฉ.เหมือนกัน
4.วุฒิสภา มีมติไม่ถอดถอน “สุเทพ” 95 : 40 รอดเว้นวรรคการเมือง 5 ปี!
เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ได้มีการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณาเรื่องด่วนเกี่ยวกับการลงมติถอดถอนหรือไม่ถอดถอนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ หลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดกรณีเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อส่ง ส.ส.ของพรรค และบุคคลอื่นรวม 19 คนไปช่วยงานที่กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่ง ป.ป.ช.มองว่าเป็นการแทรกแซงการทำงานของข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 268 และ 266(1)
ทั้งนี้ การจะถอดถอนได้ ต้องใช้เสียง 3 ใน 5 ของ ส.ว.ทั้งหมด หรือ 89 จากทั้งหมด 146 คน โดยหากนายสุเทพถูกถอดถอน จะต้องพ้นจาก ส.ส.และห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี ซึ่งนายสุเทพได้ประกาศก่อนหน้าแล้วว่า ถ้าต้องเว้นวรรคการเมือง 5 ปี ถึงตอนนั้นก็อายุ 69 ปี คงจะไม่กลับมาเล่นการเมืองอีก อย่างไรก็ตาม หลังที่ประชุมวุฒิสภาได้ลงมติด้วยวิธีลงคะแนนลับ ปรากฏว่า มี ส.ว.แสดงตนจำนวน 139 คน มีผู้ลงมติไม่ถอดถอนนายสุเทพ 95 คน ลงมติถอดถอน 40 คน ไม่ลงคะแนน 3 คน และไม่ใช้สิทธิลงคะแนน 1 คน สรุปว่า เสียงถอดถอนไม่ถึง 3 ใน 5 นายสุเทพจึงยังคงเป็น ส.ส.ต่อไป
5.ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ 7 : 0 ฟัน “สรยุทธ-บ.ไร่ส้ม” ผิดอาญา โกงค่าโฆษณา อสมท 138 ล้าน!
เมื่อวันที่ 21 ก.ย. นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) แถลงว่า ที่ประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่ได้พิจารณาเรื่องกล่าวหานางพิชชาภา เอี่ยมสอาด เจ้าหน้าที่ธุรการระดับ 5 บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กับพวก กรณีช่วยเหลือบริษัท ไร่ส้ม จำกัด โฆษณาเกินกำหนดเวลาในสัญญาเป็นเงิน 138,790,000 บาท โดยมีการแก้ไขใบคิวช่วยเหลือบริษัทไร่ส้มฯ ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดัง โดยมีนายสรยุทธ ,น.ส.มณฑา ธีระเดช และบริษัทไร่ส้ม เป็นผู้สนับสนุน ทำให้ อสมท ได้รับความเสียหาย ตามที่อนุกรรมการไต่สวนชุดที่มีนายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธาน เสนอ
ทั้งนี้ จากการไต่สวนพบว่า นางพิชชาภาซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวในการจัดทำคิวโฆษณารวม ได้ให้ความช่วยเหลือ บริษัทไร่ส้มฯ โดยไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลาของ บริษัทไร่ส้มฯ ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ.2548 - 30 มิ.ย.2549 โดยเป็นไปตามคำแนะนำของนายสรยุทธและ น.ส.มณฑา นอกจากนี้ยังพบว่า นายสรยุทธได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คของธนาคารธนชาติ สาขาพระรามสี่ ให้กับนางพิชชาภา โดยมีการทำเอกสารหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้รวม 6 ครั้ง เป็นเงิน 739,770.50 บาท เพื่อตอบแทนที่นางพิชชาภามิได้รายงานการโฆษณาเกินเวลาของบริษัทไร่ส้มให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
ที่ประชุมป.ป.ช.จึงมีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ว่า นางพิชชาภา (หรือนางชนาภา บุญโต) มีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรงและมีมูลความผิดทางอาญา ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความมผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 8 และ 11 ขณะที่ น.ส.อัญญา หรือสาริศา อู่ไทย ซึ่งเป็นหัวหน้างานและเป็นผู้บังคับบัญชาในฝ่ายสนับสนุนและบริการลูกค้าของนางพิชชาภา มีมูลความผิดทางวินัย ฐานประมาทเลินเล่อ ส่วนทางอาญาขาดเจตนา ให้ยกคำร้อง
สำหรับนายสรยุทธและ น.ส.มณฑา ซึ่งได้ใช้ให้นางพิชชาภาไม่ต้องรายงานการโฆษณาเกิน
เวลาให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และบริษัทไร่ส้มฯ ในฐานะนิติบุคคล มีมูลความผิดฐานสนับสนุนพนักงานกระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6 ,8 และ 11 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 จึงได้ส่งเรื่องไปยังผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อพิจารณาโทษทางวินัย พร้อมส่งรายงานและความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญากับผู้ถูกกล่าวหา ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542
ด้านนายสรยุทธ ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็นการกระทำของนางพิชชาภา แต่ยอมรับว่าตนมีอำนาจลงนามสั่งจ่ายเช็ค โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจ่ายค่านายหน้าโฆษณา และมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ส่วนค่าโฆษณา 138 ล้าน ตนก็ได้จ่ายให้ อสมท ไปแล้ว จึงไม่มีความเสียหายด้านตัวเงิน นายสรยุทธ ยังบอกด้วยว่า ตนจะขอใช้สิทธิ์สู้คดีในชั้นอัยการและศาลต่อไป พร้อมชี้ว่า เป็นไปไม่ได้ที่ตนจะขอให้พนักงานระดับธุรการเพียงคนเดียวของ อสมท ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ โดยไม่มีใครตรวจสอบพบ หรือไม่มีใครพบ เป็นระยะเวลายาวนาน