พันธมิตรฯ แถลงเตือน"รัฐตำรวจ"กลับมาแล้ว ซัด"คำรณวิทย์"ให้"นช.แม้ว"ติดยศ แถมก่อม็อบพกอาวุธกดดันฝ่ายค้าน รับใช้การเมืองชัดเจน ชี้ตำรวจอยุติธรรม เร่งรัดคดียิงเสื้อแดง ดองคดีคนชุดดำใช้อาวุธยิงทหาร เมินไต่สวน"น้องโบว์"เสียชีวิต 7 ตุลาฯ ซ้ำปล่อยแก๊งหมิ่นลุกลาม แต่กลับกุลีกุจอเอาผิดครูสาวปกป้องสถาบัน ถาม"ไฮโซดา"กลางห้างดัง เผย พธม.พร้อมส่งทนายช่วย หนุนพี่น้องร่วมให้กำลังใจ 25 ก.ย.
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง การแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฉบับที่6
เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น.วันนี้(21ก.ย.) ที่บ้านพระอาทิตย์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แกนนำรุ่นที่ 2 และโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้อ่านแถลงการณ์พันธมิตรฯ ฉบับที่ 6/2555 เรื่อง"การกลับมาอีกครั้งของรัฐตำรวจ" โดยมีเนื้อหาดังนี้ิ
"กรณีที่ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ได้เดินทางไปพบกับนักโทษหนีอาญาแผ่นดิน ทักษิณ ชินวัตร ในต่างประเทศ พร้อมกับให้นักโทษหนีอาญาแผ่นดินทักษิณ ชินวัตร ประดับยศให้นั้น อีกทั้งยังได้ติดป้ายที่สำนักงานด้วยข้อความว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้” นั้น อีกทั้งยังประกาศว่าพร้อมลาออกทันทีหากพรรคการเมืองฝ่ายค้านกลับมาเป็นรัฐบาล สะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานจริยธรรมที่ตกต่ำซึ่งอาจทำให้ประเทศไทยเข้าสู่วิกฤติที่ร้ายแรง เมื่อตำรวจซึ่งเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายกลายแสดงตนเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างชัดเจน
ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555 พรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อเรียกร้องให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบการกระทำดังกล่าว
อันเป็นเหตุให้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ได้แจ้งต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555 ว่าจะไปยื่นหนังสือให้แก่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และได้กล่าวเชิญตำรวจคนอื่นให้ไปด้วยกันนั้น ปรากฏว่าเมื่อถึงวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555 มีการนำตำรวจกว่า 200 นายซึ่งพกอาวุธรวมตัวกันในเวลาราชการเข้ามาบริเวณพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งแม้ต่อมาพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง จะไม่ได้มาที่พรรคประชาธิปัตย์ แต่การกระทำดังกล่าวนั้นย่อมถือเป็นการนำกองกำลังเจ้าหน้าที่รัฐติดอาวุธข่มขู่พรรคการเมือง ลุแก่อำนาจ อันจะยิ่งสร้างความแตกแยกให้กับบ้านเมืองในระดับที่รุนแรงและร้าวลึกไปยิ่งกว่าเดิมในอนาคตอันใกล้นี้
การที่รัฐบาลซึ่งกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตลอดจนสามารถเอื้อประโยชน์ให้กับสำนักงานอัยการสูงสุดโดยให้ตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจที่มีผลตอบแทนในรูปของสิทธิพิเศษหรือเงินทอง หรือในรูปคณะกรรมการต่างๆ ทำให้กระบวนการยุติธรรมของประเทศชาตินั้น ก้าวเข้าสู่ความตกต่ำลง อีกทั้งรัฐบาลซึ่งมีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหลายระดับได้เคยกระทำความผิดต่อกฎหมายในระหว่างการชุมนุม ก่อให้เกิดการขัดกันแห่งผลประโยชน์ และมีการดำเนินคดีความเป็นไปอย่างเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม และไม่เกิดความเท่าเทียมกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
มีการดำเนินการโดยพนักงานสอบสวน ร่วมมือกับอัยการได้ดำเนินการขอให้ศาลไต่สวนการชันสูตรพลิกศพของผู้ร่วมชุมนุมกับแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี พ.ศ. 2553 ว่าเสียชีวิตด้วยเจ้าหน้าที่รัฐหรือโดยการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคดีของแกนนำของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)ที่ไม่มีความคืบหน้า และคดีที่เกี่ยวกับชายชุดดำที่ติดอาวุธสงครามโจมตีทำร้ายและสังหารทหารนั้นก็ไม่ได้มีความคืบหน้าแต่ประการใดเช่นกัน
การกระทำดังกล่าวยิ่งทำให้เกิดกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ทัดเทียมกัน ซึ่งอาจทำให้สังคมเกิดความสับสนและเกิดการโฆษณาชวนเชื่อด้านเดียวว่า ทหารหรือรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ฆ่าประชาชน ซึ่งจะสร้างความแตกแยกให้กับคนในชาติมากไปกว่าเดิม โดยปราศจากข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งที่ว่าการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)มีกลุ่มชายชุดดำติดอาวุธสงครามยิงทำร้ายและสังหารทหารก่อนที่จะมีการสลายการชุมนุมในเวลาต่อมา ดังปรากฏในรายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เป็นที่ชัดเจนแล้ว
นอกจากนี้ยังปรากฏอีกว่า เจ้าพนักงานสอบสวน กับอัยการสูงสุดในยุครัฐบาลปัจจุบัน ได้ร่วมมือกันดำเนินการ ไต่สวนชันสูตรพลิกศพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 เพื่อพิสูจน์ว่า การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เสียชีวิตโดยการกระทำของทหารนั้น เป็นการปฏิบัติที่มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับกรณีของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ (โบว์) ซึ่งเป็นผู้ร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยสงบและปราศจากอาวุธและเสียชีวิตด้วยระเบิดแก๊สน้ำตาของเจ้าหน้าที่รัฐยิงเข้าใส่นั้น ก็ไม่ได้มีการดำเนินการไต่สวนชันสูตรพลิกศพเพื่อชี้ว่าเป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐแต่ประการใด ซึ่งสะท้อนเห็นว่ามีความอยุติธรรมเกิดขึ้นกับผู้ชุมนุม 2 กลุ่มที่ไม่ทัดเทียมกันในกระบวนการยุติธรรม
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงขอแจ้งมายังพี่น้องประชาชนให้ทราบว่ารัฐตำรวจได้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว และขอเตือนไปยังรัฐบาลว่าหากยังคงดำเนินการในลักษณะก่อให้เกิดความอยุติธรรมเช่นนี้ต่อไป นอกจากสังคมไทยจะไม่มีโอกาสทราบความเป็นจริงอันจะนำไปสู่ความสงบสุขที่แท้จริงภายใต้กระบวนการยุติรรมที่ทัดเทียมกันแล้ว สังคมไทยก็จะมีความขัดแย้งและแตกแยกด้วยความรุนแรงยิ่งไปกว่าเดิมอย่างแน่นอน
อนึ่ง ท่ามกลางขบวนการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ได้เกิดขึ้นขยายตัวไปมากขึ้น โดยที่เจ้าหน้าที่รัฐมิได้ดำเนินการเอาจริงเอาจังในเรื่องดังกล่าว ทั้งในทางเปิดเผยและในทางลับ ทั้งคำพูดในทางตรงและทางอ้อม ตลอดการพูดดูหมิ่นแบบหลบเลี่ยงให้เข้าใจในเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งกรณีที่มีสตรีคนหนึ่งซึ่งได้แสดงออกด้วยคำพูดต่อว่าและตั้งคำถามกับนาง ดารณี กฤตบุญญาลัย เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ที่ห้างสรรพสินค้าพารากอน ต่อมากองบังคับการปราบปรามได้ออกหมายเรียกสตรีคนดังกล่าวในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการป่าวประกาศและนัดให้มาพบพนักงานสอบสวนวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555 นั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีความเห็นดังนี้
กรณีสตรีดังกล่าวนั้น ได้แสดงออกโดยมีเจตนาอย่างชัดเจนว่ามีความต้องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และใช้ความกล้าหาญในการแสดงออกอันเป็นการกดดันทางสังคมเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพรักของคนไทย อีกทั้งยังไม่ได้เป็นผู้เผยแพร่คำกล่าวของตนเองด้วยการโฆษณาผ่านเข้าไปในเว็บไซต์ยูทูป จึงเห็นว่าควรให้การสนับสนุนและให้การช่วยเหลือสตรีที่มีเจตนาดังกล่าว โดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขอให้กำลังใจสตรีดังกล่าวและพร้อมจะจัดส่งทนายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในการต่อสู้คดีความดังกล่าวหากเป็นความประสงค์ของสตรีคนดังกล่าวนี้ พร้อมสนับสนุนให้ประชาชนที่รักสถาบันพระมหากษัตริย์ไปแสดงออกให้กำลังใจสตรีคนดังกล่าวไในวันและเวลาที่มารายงานตัวกับพนักงานสอบสวน
ด้วยจิตคารวะ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
21 กันยายน พ.ศ. 2555
ณ บ้านพระอาทิตย์"