xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 25-31 มี.ค.2555

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1.ใต้ป่วน! บึ้มพร้อมกัน 3 จว. “ยะลา-สงขลา-ปัตตานี” ทั้งคาร์บอมบ์-จยย.บอมบ์ ตาย-เจ็บเพียบ!
ภาพยืนยันจากทีมกู้ภัยว่าเหตุระเบิดที่ห้างลีการ์เด้นส์ พลาซ่า ใจกลางเมืองหาดใหญ่ ก็เกิดจากคาร์บอมบ์เช่นกัน(31 มี.ค.)
เมื่อวันที่ 31 มี.ค.ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นใน 3 จังหวัด ในเวลาไล่เลี่ยกัน คือ จ.ยะลา ,ปัตตานี และสงขลา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก เริ่มด้วยที่ยะลา เวลาประมาณเที่ยงเศษ ได้เกิดเหตุคาร์บอมบ์บริเวณหน้าร้านขายข้าวมันไก่ ถ.รวมมิตร ในเขตเทศบาลนครยะลา

หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจ สภ.เมืองยะลาและทหาร ได้รุดเข้าตรวจสอบ พร้อมกันประชาชนให้ออกห่างจากจุดเกิดเหตุในรัศมี 100 เมตร เนื่องจากเกรงจะเกิดระเบิดซ้ำ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า คนร้ายได้นำระเบิดแสวงเครื่องบรรจุถังแก๊สน้ำหนักประมาณ 30 กก.ซุกซ่อนในรถยนต์ อีซูซุ ดีแมคซ์ สีบรอนซ์ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน หลังนำมาจอดที่เกิดเหตุ ได้จุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสาร แรงระเบิดนอกจากทำให้รถและอาคารข้างเคียงได้รับความเสียหายแล้ว ยังมีผู้บาดเจ็บหลายราย

หลังจากนั้นประมาณ 15 นาที ได้เกิดระเบิดขึ้นอีก 1 จุดหน้าร้านสะดวกซื้อ จากการตรวจสอบพบว่า เป็นคาร์บอมบ์เช่นกัน โดยจุดนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่าจุดแรก ทั้งนี้ มีรายงานว่า ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 10 ศพแล้ว ส่วนผู้บาดเจ็บมีจำนวน 69 คน


ส่วนเหตุระเบิดที่ จ.ปัตตานีนั้น เกิดขึ้นในเวลาประมาณ 13.00น. โดยเป็นจักรยานยนต์บอมบ์ เหตุเกิดที่หน้าร้านข้าวแกงสัญญา ต.แม่ลาน ตั้งอยู่ห่างจาก สภ.แม่ลานแค่ 50 เมตร โดยก่อนเกิดเหตุ พ.ต.ท.จิตกานต์ เกื้อก่อยอด รองผู้กำกับการฝ่ายปราบปราม สภ.แม่ลาน ได้ขับรถยนต์มาจอดหน้าร้านข้าวแกงและนั่งกินข้าวอยู่หน้าร้าน ระหว่างนั้นคนร้ายได้ขี่รถจักรยานยนต์มาจอด แล้วเดินไปขึ้นรถจักรยานยนต์อีกคันที่มีเพื่อนมารับ จากนั้นได้กดชนวนระเบิดที่ซุกไว้ในรถจักรยานยนต์คันที่นำมาจอด เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง โดย พ.ต.ท.จิตกานต์ ที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ ก็ได้รับบาดเจ็บด้วยเช่นกัน โดยถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณคิ้วและหูข้างขวา

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เชื่อว่า เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของกลุ่มแนวร่วมที่มีการวางแผนล่วงหน้า หมายสังหารเจ้าหน้าที่เพื่อสร้างสถานการณ์

ส่วนที่ จ.สงขลา ได้เกิดระเบิดขึ้นในเวลาประมาณ 13.00น.เช่นกัน บริเวณห้างลีการ์เด้นส์ พลาซ่า ซึ่งเป็นห้างและโรงแรมระดับ 5 ดาวกลางเมืองหาดใหญ่ โดยผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ได้ยินเสียงระเบิดพร้อมควันพวยพุ่งออกมาจากบริเวณชั้น 1 ของห้าง ซึ่งมีร้านอาหารชื่อดังหลายร้านตั้งอยู่ หลังเกิดระเบิด นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติต่างหนีตายกันอลหม่าน ขณะที่ไฟได้ลุกท่วมตั้งแต่ชั้น 1-4

สำหรับสาเหตุของระเบิดครั้งนี้ ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นการลอบวางระเบิดหรือเป็นอุบัติเหตุ แต่นายไพร พัฒโน นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ บอกว่า ต้นเหตุระเบิดดังกล่าวเกิดจากแก๊สระเบิดบริเวณชั้นบี ซึ่งเป็นชั้นใต้ดิน อย่างไรก็ตาม มีรายงานจากทีมกู้ภัยที่เข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บว่า บริเวณชั้น B3 ซึ่งเป็นที่จอดรถใต้ดิน พบร่องรอยการระเบิดที่เกิดจากคาร์บอมบ์

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้พยายามควบคุมเพลิงที่ลุกไหม้อย่างเต็มที่ โดยใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมงเพลิงจึงสงบ เบื้องต้นพบว่ามีผู้บาดเจ็บประมาณ 200 คน ส่วนใหญ่สำลักควันและโดนกระจกบาด ส่วนผู้เสียชีวิตพบแล้ว 5 ราย เป็นชาย 1 ราย ติดอยู่ในซอกบันไดเลื่อนชั้น B1 ร่างกายถูกไฟไหม้จนเกรียม อีก 3 รายพบที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน ส่วนอีก 1 รายคาดว่าเป็นนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย

2. รัฐสภา เสียงข้างมาก ลากรายงาน กมธ.“ปรองดอง” เข้าสภา 4 เม.ย.นี้ ขณะที่ เสธ.หนั่น แนะ “ทักษิณ” เคลียร์ใจ “ป๋าเปรม”!

นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชป.ฉีกรายงานของ กมธ.ปรองดอง กลางที่ประชุมสภาฯ โดยชี้ว่าเป็นรายงานเถื่อน(28 มี.ค.)
เมื่อวันที่ 27 มี.ค.ได้มีการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างพันธสัญญาและข้อตกลงระหว่างประเทศที่เข้าข่ายมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จ และกำลังจะพิจารณากรอบการเจรจาการกู้เงินจากต่างประเทศสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง(บางใหญ่-บางซื่อ)ระยะที่ 3 ต่อ ปรากฏว่า นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ในฐานะวิปรัฐบาล ได้เสนอให้เลื่อนเรื่องที่เสนอใหม่ขึ้นมาพิจารณาก่อน คือเรื่องที่ต้องการให้ที่ประชุมรัฐสภามีมติให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ และอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) เป็นประธาน กมธ.กับคณะเสนอ

ทั้งที่ก่อนหน้านี้รายงานของ กมธ.ปรองดองฯ ดังกล่าว ถูกคัดค้านจาก กมธ.ซีกพรรคประชาธิปัตย์ที่พยายามเรียกร้องให้ พล.อ.สนธิเรียกประชุม กมธ.เพื่อทบทวนรายงานดังกล่าวก่อน เนื่องจากมองว่า กมธ.ซีกพรรคเพื่อไทย และ พล.อ.สนธิมีความพยายามรวบรัดข้อเสนอที่สถาบันพระปกเกล้าได้จากการทำวิจัยเพื่อนำไปสู่การนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และล้มล้างคดีที่เกิดจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) แต่ พล.อ.สนธิก็ไม่เรียกประชุม กมธ.ทั้งที่ กมธ.ยังมีเวลา เพราะได้ขยายเวลาทำงานออกไปอีก 30 วัน เมื่อ พล.อ.สนธิยืนยันไม่ทบทวนรายงาน โดยอ้างว่าทุกอย่างจบแล้ว ส่งผลให้ กมธ.ซีกพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 9 คนยื่นหนังสือลาออกจากการเป็น กมธ. เพราะไม่อยากถูกคนบางกลุ่มใช้เป็นเครื่องมือ

ทั้งนี้ เมื่อ นพ.ชลน่านเสนอให้ที่ประชุมรัฐสภาเลื่อนเรื่องรายงานของ กมธ.ปรองดองขึ้นมาพิจารณาก่อน ปรากฏว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ได้ลุกขึ้นทักท้วง โดยเสนอให้พิจารณาไปตามวาระ ไม่ใช่เลื่อนเรื่องที่เสนอทีหลังขึ้นมาพิจารณาก่อน แต่ นพ.ชลน่านยังยืนยันข้อเสนอเดิม ส่งผลให้การประชุมเริ่มตึงเครียดและการประท้วงเริ่มลุกลามใหญ่โต ขณะที่ พล.อ.สนธิได้แต่อมยิ้ม

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน พยายามยืนยันว่า รายงานของ กมธ.ปรองดองยังไม่สมบูรณ์ แต่ที่ประชุมก็ยังคงประท้วงกันวุ่นวาย ขณะที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ พยายามตัดบทให้ที่ประชุมลงมติว่าจะเลื่อนเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาหรือไม่ ส่งผลให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ประท้วงด้วยการโห่ และลุกขึ้นชูรายงานของ กมธ.ปรองดอง พร้อมตะโกนว่า “เราไม่รับรายงานเถื่อน” และ “ปรองดองเผด็จการ” ด้านนายสมศักดิ์รีบตัดบทด้วยการสั่งพักประชุม

เมื่อกลับมาประชุมอีกครั้ง พล.อ.สนธิ ได้ลุกขึ้นชี้แจงโดยอ้างว่า เมื่อผลวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าเป็นอย่างไร ตนต้องเสนอรายงานเข้าที่ประชุมรัฐสภาโดยเร็วที่สุด ถ้าต้องมาคุยกันอีกจะเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างที่ พล.อ.สนธิชี้แจง ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้ปรบมือให้กำลังใจเป็นระยะๆ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ย้ำอีกครั้งว่า ถ้าไม่อยากเห็นความขัดแย้ง ก็ถอนรายงานกลับไปทำให้ถูก นั่นจึงจะสะท้อนถึงความจริงใจในการปรองดอง

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายที่ประชุมได้มีมติเสียงข้างมากให้เลื่อนเรื่องรายงานของ กมธ.ปรองดองขึ้นมาพิจารณาก่อนตามที่ นพ.ชลน่านเสนอ ด้วยคะแนน 348 ต่อ 163 เสียง งดออกเสียง 12 เสียง และเมื่อที่ประชุมอภิปรายไปได้สักระยะ ปรากฏว่า ฝ่ายพรรคเพื่อไทยเสนอให้ปิดอภิปรายเพื่อลงมติว่าจะเสนอให้สภาพิจารณารายงานของ กมธ.ปรองดองหรือไม่ ด้านพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งยังไม่ต้องการให้ปิดอภิปราย จึงได้ประท้วงด้วยการวอล์กเอาต์ จากนั้นที่ประชุมได้ลงมติ 346 ต่อ 13 เสียง ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณารายงานของ กมธ.ปรองดองในสมัยสามัญนิติบัญญัติ

ด้านนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธาน กมธ.ปรองดอง บอกว่า สามารถนำรายงานของ กมธ.เข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ได้ในวันที่ 4 เม.ย. โดยน่าจะมีเวลาอภิปรายต่อเนื่องจนถึงวันที่ 5 เม.ย. พร้อมเชื่อว่าจะไม่เกิดความรุนแรงเหมือนการพิจารณาของรัฐสภาที่ผ่านมา นายสามารถ ยังเชื่อด้วยว่า ฝ่ายบริหารไม่มีแนวคิดที่จะออก พ.ร.ก.ปรองดอง เพราะจะทำให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น

ขณะที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ได้เสนอให้ พล.อ.สนธิทบทวนการเสนอรายงานของ กมธ.ปรองดองเข้าที่ประชุมสภา เพราะอาจนำไปสู่การออก พ.ร.บ.หรือ พ.ร.ก.นิรโทษกรรม เพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งนอกจากจะทำให้ไม่เกิดความปรองดองแล้ว ยังจะเกิดความรุนแรงยิ่งกว่าในอดีต เพราะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคยประกาศแล้วว่าจะออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านหากมีการออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรม และหากครั้งนี้เกิดเหตุรุนแรงขึ้น สถาบันพระปกเกล้าที่เป็นคนเสนอจะต้องรับผิดชอบด้วย

พล.ต.สนั่น ยังเสนอแนวทางการสร้างความปรองดองด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องพูดคุยกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพื่อทำความเข้าใจกัน เพราะจากข่าวกรองที่ได้รับมา พล.อ.เปรมไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ ซึ่งตรงนี้ พล.อ.สนธิจะต้องตอบคำถามที่ตนได้ถามไปให้ชัดเจน

ด้านคณะผู้วิจัยสถาบันพระปกเกล้า เตรียมหารือเพื่อหาแนวทางยับยั้งไม่ให้ กมธ.ปรองดองนำผลวิจัยของสถาบันฯ ไปอ้างอิงหรือไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องในวันที่ 3 เม.ย.นี้ พร้อมยอมรับว่า ผลวิจัยของสถาบันกำลังถูกนำไปใช้โดยไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของสถาบันที่ต้องการให้เกิดความปรองดอง จึงกังวลว่าอาจนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่ได้

3. กมธ. “เพื่อไทย” แพ้โหวต “ที่มา ส.ส.ร.” รับไม่ได้ ใช้พวกมากลากโหวตใหม่ ไม่สน ปชป.วอล์กเอาต์!
กมธ.พิจารณาร่าง รธน.ซีกพรรค ปชป.แถลงเหตุวอล์กเอาต์ พร้อมตำหนิ ปธ.จากพรรค พท.ที่ให้ลงมติที่มา ส.ส.ร.ใหม่(29 มี.ค.)
ความคืบหน้าการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 ของคณะกรรมาธิการ(กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 28 มี.ค. กมธ.ที่มีนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย เป็นประธานได้มีการประชุมเพื่อสรุปว่าจะเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.)อย่างไร โดยมี 2 แนวทาง คือ ออกเป็น พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.ร.ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)เสนอ หรือให้นำกฎหมายเดิมที่มีอยู่มาอนุโลมใช้

จากนั้นที่ประชุมได้พิจารณามาตรา 291/1 ที่ระบุว่า ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้ง เพื่อหาข้อสรุปเรื่องที่มาของ ส.ส.ร. ทั้งนี้ ได้มีผู้เสนอคำแปรญัตติ 9 คน ประกอบด้วย ร่างของ นพ.เหวง โตจิราการ ,นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา ขณะที่ กมธ.ซีกพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) เสนอแปรญัตติในมาตราดังกล่าว 7 คน เช่น นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา เสนอให้มี ส.ส.ร.200 คนและมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ไม่จำกัดวุฒิการศึกษาและคำนึงถึงสัดส่วนประชากรในแต่ละจังหวัด

ทั้งนี้ หลัง กมธ.ได้มีการอภิปรายกันแล้ว ประธานได้มีมติให้สมาชิกลงคะแนนเสียงว่าเห็นด้วยกับร่างของ ครม.หรือไม่ที่ให้มี ส.ส.ร.99 คน โดยมาจากการเลือกตั้ง 75 คน และให้รัฐสภาคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิอีก 22 คน ปรากฏว่า ที่ประชุมเห็นด้วยแค่ 10 คน ไม่เห็นด้วย 12 คน ส่งผลให้ร่าง ครม.ตกไป และให้ยึดตามร่างของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งขณะที่ลงมติ กมธ.ซีกพรรคเพื่อไทยอยู่ร่วมประชุมน้อย

เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อร่างของ ครม.ตกไป เพราะแพ้โหวต นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ได้เสนอให้มีการนำร่างของพรรคเพื่อไทยเข้าสู่การพิจารณาด้วย จึงเกิดการโต้เถียงกับ กมธ.ซีกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยืนยันว่าได้ลงมติไปเรียบร้อยแล้ว โดยที่ประชุมเห็นชอบร่างของพรรคประชาธิปัตย์ที่เสนอให้เลือกตั้ง ส.ส.ร.โดยตรง 200 คน พรรคเพื่อไทยไม่มีสิทธิจะเสนออะไรเข้ามาโหวตอีก จะเอาอย่างไรก็ไปว่ากันในสภา แต่ซีกพรรคเพื่อไทยไม่ยอม จึงโต้เถียงกันไปมาประมาณ 2 ชั่วโมง ประธานจึงสั่งยุติการประชุม แล้วให้นำเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาต่อในวันที่ 29 มี.ค.

และเมื่อการประชุมวันที่ 29 มี.ค. เริ่มขึ้น ปรากฏว่า นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน กมธ. ก็เอาใจพรรคเพื่อไทย ด้วยการเสนอให้นำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยและของพรรคชาติไทยพัฒนาเข้ามาพิจารณาด้วย ทั้งที่การประชุมวันที่ 28 มี.ค. ได้ลงมติไปเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ กมธ.ซีกพรรคประชาธิปัตย์ไม่พอใจข้อเสนอของนายสามารถ จึงเกิดการโต้เถียงกันไปมา 2 ชั่วโมง จากนั้นนายสามารถได้ขอมติที่ประชุมว่าจะให้นำร่างของพรรคเพื่อไทยและพรรคชาติไทยพัฒนามาลงมติหรือไม่ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่พอใจ จึงวอล์กเอาต์ ด้าน นพ.ชลน่าน จึงเสนอให้พักการประชุม

เมื่อกลับมาประชุมอีกครั้งในช่วงบ่าย ปรากฏว่า กมธ.ซีกพรรคเพื่อไทยเสนอให้ที่ประชุมทบทวนการลงมติที่มาของ ส.ส.ร.ที่เคยทำให้ร่างของ ครม.ตกไป ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่พอใจ วอล์กเอาต์อีกรอบ ขณะที่นายสามารถ ประธาน กมธ.ยังคงเดินหน้าประชุมต่อไป พร้อมให้ที่ประชุมลงมติว่ารับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของ ครม.หรือไม่ ปรากฏว่า ที่ประชุมซึ่งไม่มี กมธ.จากซีกพรรคประชาธิปัตย์อยู่ มีมติ 21 ต่อ 3 เห็นชอบยืนตามร่างเดิมของ ครม.

ขณะที่ กมธ.จากซีกพรรคประชาธิปัตย์ ได้แก่ นายสุทัศน์ เงินหมื่น ,นายนิพนธ์ บุญญามณี และนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ได้เปิดแถลงชี้แจงสาเหตุที่ต้องวอล์กเอาต์ ว่ารับไม่ได้กับการเสนอให้ทบทวนการลงมติใหม่ พร้อมตำหนินายสามารถ แก้วมีชัย ประธาน กมธ.ที่พยายามให้นำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับอื่นขึ้นมาพิจารณาอีก ทั้งที่ได้มีการลงมติไปเรียบร้อยแล้ว ถือว่าผิดข้อบังคับการประชุมสภา

4. ดีเอสไอ สั่งยุติคดี “ยิ่งลักษณ์” ให้การเท็จ-ซุกหุ้นชินคอร์ป อ้าง ไม่มีส่วนรู้เห็น ด้าน “กรณ์” อัด อัปยศ แก้ต่างให้ผู้ต้องหา!

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ
เมื่อวันที่ 29 มี.ค. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) แถลงถึงกรณีที่นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ร้องขอให้เร่งรัดดำเนินคดีอาญา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ,นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ,นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร ข้อหาร่วมกันแจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานและปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งควรแจ้งในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และหนังสือชี้ชวน ซึ่งน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา 267 และ 278 โดยนายกรณ์ ระบุว่า คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ได้ส่งข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ได้จากการตรวจสอบกรณีที่บุคคลทั้ง 4 ปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นในบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ทั้งหมดให้ดีเอสไอแล้ว เพื่อดำเนินการตามที่เห็นสมควรต่อไป

อย่างไรก็ตาม นายธาริต แถลงว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า ข้อมูลที่ ก.ล.ต.ส่งมาให้ดีเอสไอเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นในบริษัท ชินคอร์ปฯ ที่ไม่มีการนำเอาหุ้นชินคอร์ปในส่วนของบริษัท แอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ และบริษัท วินมาร์ค มานับรวมกับหุ้นชินคอร์ปที่ถือโดยบุคคลทั้ง 4 ซึ่งนายธาริต อ้างว่า ไม่เป็นความผิด เพราะจากการตรวจสอบพบว่า ขณะเกิดเหตุระหว่างปี 2545-2547 พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ยังไม่มีบทบัญญัติว่าเลขาธิการ ก.ล.ต.เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา การกระทำดังกล่าวของบุคคลทั้ง 4 จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิด

นายธาริต ยังบอกอีกว่า หน้าที่การรายงานข้อมูลในรายงานการเสนอขายหลักทรัพย์และหนังสือชี้ชวนของบริษัท ชินคอร์ป เป็นหน้าที่ของบริษัทฯ เป็นผู้จัดทำ ไม่พบว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์-นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนนายบรรณพจน์ได้ร่วมรับรองรายงานในฐานะกรรมการ โดยบริษัทชินคอร์ปฯ ได้ข้อมูลจากบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ฯ ในขณะนั้น ประกอบกับในรายงานฯ และหนังสือชี้ชวน ก็ระบุว่า กลุ่มครอบครัวชินวัตรและผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จึงไม่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในการที่ประชาชนหรือนักลงทุนจะตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นชินคอร์ป จึงไม่เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา 278 แต่อย่างใด จึงมีคำสั่งให้ยุติเรื่องนี้ เพราะไม่พบการกระทำความผิด

นายธาริต ยังยืนยันด้วยว่า การสั่งคดีนี้ไม่มีการเมืองแทรกแซง แต่ที่ต้องเร่งสรุปคดี เพราะคดีจะหมดอายุความในวันที่ 31 มี.ค. ถ้าดีเอสไอไม่เร่งสรุปหรือปล่อยให้ขาดอายุความ ก็จะมีคำครหาว่าดีเอสไอประวิงคดีให้ขาดอายุความได้

ด้านนายกรณ์ จาติกวนิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หลังรู้ว่าดีเอสไอสรุปยุติคดีดังกล่าว ได้ออกมาแสดงความเสียใจผ่านเฟซบุ้ค โดยชี้ว่า การแถลงของนายธาริตเหมือนออกมาแก้ต่างให้ผู้ต้องหา ถือเป็นความอัปยศอย่างยิ่ง ทั้งนี้ นายกรณ์ ยืนยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ,นายพานทองแท้ และนายบรรณพจน์ รายงานเท็จและปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นชินคอร์ปจริง เพราะทั้งหมดเคยแจ้งต่อประชาชนผ่าน ก.ล.ต.มาหลายครั้งว่าเป็นผู้ถือหุ้น รวมทั้งเคยให้การต่อศาลฎีกาว่าเป็นผู้ถือหุ้นจริง แต่ในที่สุดศาลฎีกายืนยันว่าเป็นเรื่องโกหก เพราะผู้ถือหุ้นตัวจริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ

นายกรณ์ ยังชี้ถึงความอัปยศของดีเอสไอด้วยว่า “น่าเกลียดที่สุดก็คือ ที่ดีเอสไออ้างว่า การกระทำผิดนี้ไม่มีผลต่อการตัดสินใจของประชาชนผู้ใช้ข้อมูล เพราะกว่าจะรู้ว่าข้อมูลเป็นเท็จ ก็ได้ซื้อ-ขายหุ้นหมดแล้ว พระเจ้าช่วย! ก็เขาซื้อ-ขายไปด้วยข้อมูลเท็จไงครับ ความได้เปรียบเสียเปรียบมันเกิดขึ้นแล้ว ผมขอบอกดีเอสไอว่า ถ้าไม่มีการซุกหุ้น ก็จะปรากฏว่าผู้ที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงคือคุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งหมายความว่าโครงสร้างผู้ถือหุ้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะคุณทักษิณไม่มีสิทธิถือหุ้นที่มีสัมปทานกับรัฐได้ แล้วถ้าความจริงปรากฏแต่แรก ยังจะซื้อ-ขายหุ้นกันได้ไหมครับ”

นายกรณ์ ยังแสดงความข้องใจต่อนายธาริตด้วยว่า เคยทำงานร่วมกันมา แต่ไม่ทราบว่าวันนี้นายธาริตมีความจำเป็นส่วนตัวอย่างไรถึงทำให้ต้องเสียหลักการขนาดนี้ พร้อมยืนยันว่า เรื่องนี้จะไม่จบแค่นี้แน่นอน
กำลังโหลดความคิดเห็น