xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 11-17 มี.ค.2555

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. ครม. เด้งฟ้าผ่าพร้อมตั้ง กก.สอบ “พนิตา” ด้านเจ้าตัวไม่ยอม จี้นายกฯ ทบทวน ขู่ร้อง ก.พ.ค. พร้อมฟ้อง“สันติ”หมิ่น!
นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา แถลงทั้งน้ำตาหลังถูก ครม.เด้งพ้นปลัด พม.(15 มี.ค.)
เมื่อวันที่ 13 มี.ค. ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) เสนอให้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวง พม. พร้อมทั้งให้นางพนิตาไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ และให้นายวิเชียร ชวลิต ที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ มาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง พม.แทนนางพนิตา

หลังรับทราบมติ ครม. นางพนิตา บอกว่า ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้หลายเดือนแล้วว่าจะถูกรังแก จึงได้หาข้อมูลเพื่อตอบโต้นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม.ไว้แล้ว โดยเฉพาะกรณีความขัดแย้งเรื่องการประมูลการก่อสร้างอาคารใหม่ของ พม.ที่มีมูลค่านับพันล้านที่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งในการถูกย้าย รวมทั้งจะยื่นเรื่องขอความเป็นธรรมต่อนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม(ก.พ.ค.) ในเร็วๆ นี้

ด้านนายสันติ ชี้แจงสาเหตุที่ต้องโยกย้ายและตั้งกรรมการสอบวินัยนางพนิตาว่า เนื่องจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ได้ทักท้วงการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ(พส.) เมื่อครั้งที่นางพนิดาดำรงตำแหน่งอธิบดี พส.ว่าได้มีการใช้เงินผิดประเภท จึงจำเป็นต้องย้ายนางพนิตาไปประจำที่สำนักนายกรัฐมนตรีก่อน พร้อมกับตั้งคณะกรรมการสอบวินัย นายสันติ ยังปฏิเสธด้วยว่า ความขัดแย้งเรื่องการก่อสร้างอาคารใหม่ของ พม.ไม่ได้เป็นสาเหตุของการโยกย้ายนางพนิตาแต่อย่างใด

ขณะที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ออกมาเผยว่า เหตุที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายนางพนิตา เพราะนายสันติไม่พอใจการทำงานของนางพนิตา จึงต้องการเปลี่ยนตัว นายสันติจึงปรึกษา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และตน ซึ่งนายกฯ เห็นว่านายวิเชียร ชวลิต เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ จึงเสนอชื่อนายวิเชียร ซึ่งตนเห็นด้วย ขณะที่นายสันติก็ไม่ขัดข้อง

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง ครม.มีมติโยกย้ายได้ 2 วัน นางพนิตาได้แถลงทั้งน้ำตาถึงสาเหตุที่ถูกโยกย้าย ท่ามกลางเครือข่ายสตรีทั่วประเทศที่มาให้กำลังใจที่กระทรวง พม.ว่า จะต่อสู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองไม่ให้ถูกรังแก และว่า บิดาเคยสอนว่า บุญคุณต้องทดแทน แต่แค้นไม่ต้องชำระ ดังนั้นไม่ว่าสู้แล้วผลจะออกมาอย่างไร ก็จะไม่ชำระแค้นใครทั้งสิ้น นางพนิตา ยังปฏิเสธด้วยว่า เรื่องการสร้างตึกกระทรวง พม.ที่มีคนบอกว่าเป็นสาเหตุที่ถูกโยกย้ายนั้น ไม่เคยออกจากปากตน จึงไม่ขอพูดว่าการถูกย้ายมาจากเรื่องนี้หรือไม่ แต่ขอชี้แจงเรื่องที่มีคำสั่งสอบวินัยอย่างเดียว โดยตนได้ทำหนังสือสอบถามไปยัง สตง.และรักษาการผู้ว่าฯ สตง.แล้วเมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่ง สตง.ชี้แจงว่า ได้แจ้งให้ดำเนินการทางวินัยกับอดีตปลัด พม.ในสมัยก่อน ดังนั้นจึงเป็นการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยผิดคน “ฉันไม่โทษนายกรัฐมนตรี และนายสันติ แต่ดิฉันโทษทีมกุนซือของท่านรัฐมนตรีที่ให้ข้อมูลเพียงส่วนเดียวแก่ท่าน หรือเพื่อผลประโยชน์ที่เป็นไอ้โม่งอยู่เบื้องหลัง”

อย่างไรก็ตาม หลังนางพนิตาอ้างว่า สตง.ให้ดำเนินการทางวินัยกับอดีตปลัด พม.การตั้งกรรมการสอบวินัยตนจึงถือว่าสอบผิดคนนั้น ปรากฏว่า นายพิศิษฐ ลีลาวัชโรภาส รักษาการผู้ว่าการ สตง.ได้ออกมายืนยันในภายหลังว่า นอกจากต้องสอบอดีตปลัด พม.คือนายวัลลภ พลอยทับทิมแล้ว ยังต้องสอบอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ในขณะนั้น คือนางพนิตา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วย เมื่อนางพนิตาขึ้นมาเป็นปลัด พม.จึงยังถือเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องและต้องร่วมรับผิดชอบ

ทั้งนี้ หลังแถลง นางพนิตาได้เดินทางเข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่รัฐสภา เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม โดยขอให้เพิกถอนมติ ครม.ที่โยกย้ายและตั้งคณะกรรมการสอบวินัยตน เพราะเป็นการสอบผิดคน พร้อมกันนี้นางพนิตายังขีดเส้นด้วยว่า หากที่ประชุม ครม.วันที่ 20 มี.ค.นี้ ยังไม่มีการถอนมติ ครม.ดังกล่าว ตนจะไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม(ก.พ.ค.) รวมทั้งจะยื่นฟ้องนายสันติในข้อหาหมิ่นประมาท เพราะให้ข้อมูลด้านลบให้ร้ายตนและครอบครัว รวมถึงการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยตนโดยไม่ถูกต้อง

ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนยันว่า ที่ผ่านมาไม่ได้กลั่นแกล้งใคร และพร้อมจะให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ด้านนายสันติ ได้เข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์เช่นกันในเวลาต่อมา โดยได้นำหนังสือที่ สตง.ส่งให้ พม. โดยระบุให้นางพนิตาคืนเงินและให้ตั้งคณะกรรมการสอบนางพนิตาตั้งแต่สมัยเป็นอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ มามอบให้นายกฯ ด้วย

เป็นที่น่าสังเกตว่า นายประวัฒน์ อุตตะโมต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นน้องชายนางพนิตา ก็ได้ออกมาปกป้องพี่สาวเช่นกัน โดยเข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์และนายสันติที่พรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 13 มี.ค. เพื่อขอความเป็นธรรมให้นางพนิตา พร้อมแฉว่า การโยกย้ายนางพนิตามีเบื้องหลัง เป็นฝีมือของแก๊งออฟโฟร์ ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการ พม. โดยเมื่อครั้งนายสันติเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี พม. แก๊งออฟโฟร์ได้เรียกนางพนิตาเข้าไปคุยที่บ้านพักส่วนตัวขอให้เลื่อนการประมูลก่อสร้างอาคาร พม.วงเงิน 1,200 ล้านบาทออกไป แต่นางพนิตายืนยันว่าไม่สามารถเลื่อนได้ “วันนี้พี่สาวผมพร้อมเจอกับรัฐมนตรีทุกเวที ถ้าพี่ผมไม่ผิด รัฐมนตรีจะลาออกหรือไม่ การทำอย่างนี้ไม่ให้เกียรติกัน ผมอยู่พรรคเพื่อไทยตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่ปี 2543 อยู่ก่อนคุณสันติด้วยซ้ำ ไม่เคยออกมาทำให้พรรคเดือดร้อน ที่ออกมาครั้งนี้เพราะต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพี่สาว” นายประวัฒน์ ยังบอกด้วยว่า เรื่องนี้ได้คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้ว โดย พ.ต.ท.ทักษิณไฟเขียวให้ลุยเต็มที่ เพราะต้องปกป้องเกียรติภูมิของครอบครัวและวงศ์ตระกูล

2. กกต. แจกใบแดง “ดิสทัต”ส.ส.เพื่อไทย เหตุอยู่พื้นที่ไม่ถึง 5 ปี ด้าน “ปชป.” สงสัย สวมสิทธิคนตาย-เล็งยื่นยุบ พท.!
นายดิสทัต คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ เขต 2 พรรคเพื่อไทย
เมื่อวันที่ 13 มี.ค. ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้มีมติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่(ใบแดง) นายดิสทัต คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ เขต 2 พรรคเพื่อไทย(พท.) ทั้งนี้ นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ เผยเหตุที่นายนายดิสทัตโดนใบแดงว่า เนื่องจากตรวจสอบเรื่องร้องเรียนแล้วพบว่า นายดิสทัตขาดคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้งเพราะไม่ได้อยู่ในภูมิลำเนาเกิน 5 ปีตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้ กกต.จะส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งชี้ขาดต่อไป โดย กกต.มีมติที่จะดำเนินคดีอาญาและให้นายดิสทัตชดใช้ค่าเสียหายในการเลือกตั้งใหม่ด้วย

นางสดศรี ยังเผยด้วยว่า จากการตรวจสอบพบว่า นายดิสทัตมีบัตรประจำตัวประชาชน 2 ใบ ซึ่งเลขที่ในบัตรก็ไม่เหมือนกัน นอกจากนี้นายดิสทัตยังมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน 2 ใบ ใบหนึ่งระบุว่าอยู่ที่ จ.นครสวรรค์มา 37 ปี ส่วนอีกใบระบุว่าอยู่เพียง 3 ปี โดยนายดิสทัตต้องไปชี้แจงในศาลต่อไป อย่างไรก็ตาม นางสดศรี บอกว่า ทางสำนักทะเบียนราษฎรต้องชี้แจงและตรวจสอบว่า คนๆ หนึ่งสามารถมีบัตรประชาชน 2 ใบได้หรือไม่

ด้านนายดิสทัต ปฏิเสธที่จะพูดถึงมติของ กกต.โดยอ้างว่า “ยังเร็วเกินไปที่จะพูดอะไร เพราะยังไม่ทราบเรื่องอย่างเป็นทางการ แต่ผมเสียชื่อเสียงไปหมดแล้ว กกต.จะรับผิดชอบอย่างไร ขอให้ กกต.ออกมาชี้แจงด้วย” ขณะที่นายวีระกร คำประกอบ อดีต ส.ส.นครสวรรค์ พรรคไทยรักไทย พี่ชายนายดิสทัต ได้ออกมาปกป้องน้องชาย โดยบอกว่า เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดว่านายดิสทัตมีทะเบียนบ้าน 2 ใบ ที่ไม่ได้ย้ายออกเท่านั้น นายวีระกร ยังเหน็บ กกต.เสียงข้างมากที่มีมติให้ใบแดงนายดิสทัตด้วยว่า กลัวจะไม่มีงานทำ จึงได้นำเรื่องนายดิสทัตมาวินิจฉัย

ขณะที่นายสมควร โอบอ้อม อดีตผู้สมัคร ส.ส.นครสวรรค์ เขต 2 พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นผู้ที่ร้องต่อ กกต.ให้ตรวจสอบคุณสมบัติการลงสมัครรับเลือกตั้งของนายดิสทัต ได้ออกมายืนยันว่า นายดิสทัตมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน จ.นครสวรรค์ไม่ถึง 5 ปีตามเกณฑ์การรับสมัคร โดยนายดิสทัตเพิ่งย้ายตัวเองจากทะเบียนบ้านในเขตจตุจักร กทม.มายังจังหวัดนครสวรรค์เมื่อวันที่ 27 ส.ค.2550 ก่อนลงสมัครเพียง 3 ปีเท่านั้น นายสมควร เผยด้วยว่า ปลัดอำเภอนครสวรรค์ที่เป็นผู้ลงนามรับรองการการสมัครรับเลือกตั้งให้นายดิสทัตได้มอบเอกสารให้ตนโดยยอมรับว่านายดิสทัตอยู่ในทะเบียนบ้านนครสวรรค์ไม่ถึง 5 ปี ซึ่งตนจะมอบเอกสารดังกล่าวให้ กกต.ต่อไป นายสมควร ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า กรณีนายดิสทัต ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าคนหนึ่งมีบัตรประชาชน 2 ใบ แต่อยู่ที่น่าจะมีคน 2 คนมากกว่า “ประเด็นที่ กกต.ชี้ว่า 1 คนมีบัตร 2 ใบนั้นไม่ใช่ แต่เรื่องนี้คือมี 2 คน 2 ใบ เพราะเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก ต่างกันทั้ง 2 ใบ คนหนึ่งมีภูมิลำเนาไม่ครบเกณฑ์สมัคร ส่วนอีกคนอยู่ 5 ปีครบเกณฑ์พอดี เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก...”

ด้านนายสันติภาพ แสงทอง ปลัดอำเภอเมืองนครสวรรค์ ฝ่ายทะเบียนและบัตร ยอมรับว่า ตนเป็นผู้รับรองเอกสารให้นายดิสทัตเพื่อใช้ในการลงสมัครรับเลือกตั้งจริง แต่ในชั้นนี้ไม่ขอพูดอะไรอีก เพราะได้ให้การต่อ กกต.พร้อมทั้งมอบเอกสารให้ กกต.ไปหมดแล้ว

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า หลักฐานคำร้องที่มีการยื่นต่อ กกต.มีจุดที่น่าสนใจหลายจุด เช่น ในสำเนาทะเบียนบ้าน จ.นครสวรรค์ นอกจากมีชื่อนายสวัสดิ์ ,นายวีระกร ,นายพีระพงษ์ และนายดิสทัต คำประกอบ แล้ว ยังมีชื่อนายดิสทัย คำประกอบ ด้วย โดยบันทึกว่า นายดิสทัต เกิดวันที่ 9 พ.ย.2501 ส่วนนายดิสทัย เกิดวันที่ 9 พ.ย.2510 แต่มีการขีดฆ่าชื่อนายดิสทัยออก โดยเหลือนามสกุลไว้ แล้วใส่ชื่อนายดิสทัตแทน ขณะที่ด้านหลังยังเป็นวันเดือนปีเกิดของนายดิสทัย ซึ่งการขีดฆ่าแก้ไขดังกล่าวลงนามรับรองโดยนายสันติภาพ แสงทอง ปลัดอำเภอ รักษาราชการแทนนายอำเภอเมืองนครสวรรค์ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่สำคัญอีกชิ้น คือ บันทึกคำให้การของนายสันติภาพ หลังออกหนังสือรับรองการสมัครรับเลือกตั้งให้นายดิสทัต โดยมีเนื้อหาระบุว่า ถูกให้ข้อมูลที่ไม่จริงให้ออกหนังสือรับรอง

ด้านนายวีระกร คำประกอบ พี่ชายนายดิสทัต ยืนยันว่า นายดิสทัตและนายดิสทัยคือคนเดียวกัน เพียงแต่สมัยก่อนที่มีการแจ้งเกิด ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้เขียนทะเบียนราษฎร ไม่มีคอมพิวเตอร์ จึงเขียนชื่อผิดเป็นดิสทัย ส่วนปีเกิด ก็เขียนผิดเป็น 2510 และ 2501 ส่วนกรณีที่นายสมควร โอบอ้อม อดีตผู้สมัคร ส.ส.นครสวรรค์ พรรคประชาธิปัตย์ บอกว่ามีน้องชายคนหนึ่งในตระกูลคำประกอบเสียชีวิตจากเหตุรถก๊าซระเบิดที่ถนนเพชรบุรีเมื่อปี 2534 ซึ่งอาจเป็นนายดิสทัยนั้น นายวีระกร รีบปฏิเสธ โดยบอกว่า ไร้สาระ พร้อมเผยว่า น้องชายตนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว คือนายธีระพงษ์ ไม่ใช่ดิสทัย

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะหัวหน้าฝ่ายกฎหมายของพรรค แถลงว่า จากการตรวจสอบพบว่านายดิสทัตใช้บัตรประชาชนของนายดิสทัยเป็นเอกสารลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยขอให้ปลัดอำเภอนครสวรรค์ออกเอกสารรับรองว่าพักอยู่ที่นครสวรรค์เกิน 5 ปี ถือว่าใช้เอกสารราชการปลอม และแจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงานเพื่อลงสมัคร ส.ส.หรือไม่ ซึ่งพรรคจะรวบรวมหลักฐานเพื่อพิจารณายื่นยุบพรรคเพื่อไทยต่อไป ในฐานะที่ส่งผู้ขาดคุณสมบัติลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.

3. รบ.ไร้มาตรการแก้ปัญหาพลังงาน ให้ ปชช.ใช้อย่างประหยัด ด้านรถโดยสาร ขู่หยุดวิ่ง-ปิด ก.คมนาคม หากไม่ไฟเขียวขึ้นราคา!

บรรยากาศการประชุมด่วน ครม.เศรษฐกิจแก้ปัญหาของแพง(16 มี.ค.)
ปัญหาสินค้าราคาแพงเนื่องจากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น เป็นหนึ่งในปัญหาที่ถูกพูดถึงมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะภาคขนส่งเริ่มขยับจ้องปรับค่าโดยสารกันถ้วนหน้า ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี บอกว่า ปัญหาราคาน้ำมัน นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกำลังหาวิธีแก้ปัญหา หากได้ข้อสรุปแล้วจะนำมาเปิดเผย ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ

ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้ว่า ปัญหาราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ เป็นผลจากราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้น ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้

แต่ที่ประชุมวุฒิสภา โดย น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. ตั้งข้อสังเกตว่า ราคาน้ำมันในประเทศที่กำลังปรับขึ้นนี้ ไม่เพียงสวนทางกับนโยบายของรัฐบาล แต่ยังสวนทางกับราคาน้ำมันของประเทศเพื่อนบ้านด้วยที่ราคาถูกกว่าของไทยมาก เช่น น้ำมันเบนซินของไทยราคาอยู่ที่ 44.86 บาท แต่มาเลเซียราคาอยู่ที่ 19 บาท ขณะที่อินโดนีเซียอยู่ที่ 31.70 บาท ไม่เท่านั้นราคาน้ำมันของไทยยังสูงกว่าราคาในตลาดโลกด้วย ส่วนที่รัฐบาลประกาศว่าจะขึ้นราคาก๊าซหุงต้มอีกนั้น น.ส.รสนา ชี้ว่า ทั้งที่ไทยมีก๊าซจากอ่าวไทย แต่ราคาก๊าซกลับสูงเกินจริง ทำให้ค่าครองชีพของประชาชนสูงตาม รัฐบาลจึงควรพิจารณาว่าค่าครองชีพที่สูงขึ้นตามราคาพลังงานนั้น เป็นธรรมต่อประเทศและประชาชนหรือไม่ ทั้งที่ประเทศไทยมีทรัพยากรน้ำมัน ขุดน้ำมันขายก๊าซเป็นอันดับที่ 23 ของโลก และมีน้ำมันในอันดับ 35 ของโลก

ด้านที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพลังงาน(กบง.) เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่มีนายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพลังงานเป็นประธาน ได้มีมติให้เก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 อีก 1 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค. ส่งผลให้เบนซิน 91 ราคาอยู่ที่ 42.58 บาทต่อลิตร ขณะที่เบนซิน 95 ราคาอยู่ที่ 46.53 บาทต่อลิตร ส่วนกรณีที่ผู้ประกอบการจะขอปรับขึ้นค่าขนส่งนั้น นายอารักษ์ บอกว่า ยังไม่สามารถปรับได้ เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลยังไม่เกินเพดานที่ตกลงกันไว้ที่ 33 บาทต่อลิตร หากราคาทะลุเพดานดังกล่าวเมื่อใด ต้องหามาตรการรองรับอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม นางสุจินดา เชิดชัย หรือเจ๊เกียว นายกสมาคมผู้ประกอบการรถร่วมโดยสารขนส่ง ได้ออกมาขู่ว่า หากกระทรวงคมนาคมไม่ยอมให้ปรับขึ้นค่าโดยสาร ก็จำเป็นต้องหยุดวิ่งให้บริการชั่วคราว เพราะได้รับผลกระทบจากน้ำมันดีเซลที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 32.33 บาทต่อลิตร

ทั้งนี้ นางสุจินดาได้ไปดักรอพบนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่หน้าห้องทำงาน เพื่อขอให้พิจารณาปรับขึ้นค่าโดยสาร แต่ปรากฏว่า เมื่อนายจารุพงศ์ออกจากห้องทำงาน ได้ตรงไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ทันที ไม่สนใจนางสุจินดาที่พยายามตะโกนเรียก โดยนายจารุพงศ์ อ้างว่า การพิจารณาปรับค่าโดยสารไม่ใช่อำนาจของตน แต่เป็นอำนาจของคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง ซึ่งทุกอย่างต้องมีเหตุมีผล ด้านนางสุจินดา ยืนยันว่า วันที่ 1 เม.ย.นี้จะยังไม่ปรับขึ้นค่าโดยสาร โดยจะรอประชุมร่วมกับคณะกรรมการของสมาคมผู้ประกอบการรถร่วมโดยสารขนส่งให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่งก่อน

ขณะที่ชมรมผู้ประกอบการรถสองแถวในซอยในกรุงเทพมหานคร ก็ขู่ว่า หากวันที่ 21 มี.ค.นี้ ที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางไม่อนุมัติให้ปรับราคา ทางชมรมฯ จะนำรถสองแถว 1,000 คันไปปิดกระทรวงคมนาคมในวันที่ 22 มี.ค. เพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการเดือดร้อนจริง เนื่องจากไม่ได้ปรับราคามาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งขณะนั้นน้ำมันดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 20 บาท แต่ขณะนี้ราคาอยู่ที่ 32.33 บาทแล้ว

เช่นเดียวกับนายเชาวลิต เมธยะประภาส เจ้าของและกรรมการผู้จัดการบริษัท ครอบครัวขนส่ง(2002) จำกัด ผู้ให้บริการเรือโดยสารคลองแสนแสบ ที่ออกมาประกาศว่า หากราคาดีเซลขึ้นไปแตะ 33 บาทต่อลิตรเมื่อใด ผู้ประกอบการจะยื่นหนังสือต่อนายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ อธิบดีกรมเจ้าท่า ให้พิจารณาปรับขึ้นค่าโดยสารเช่นกัน

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากรัฐบาลถูกรุมเร้าด้วยปัญหาราคาน้ำมันและสินค้าราคาแพง ส่งผลให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องเรียกประชุมด่วน ครม.เศรษฐกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวเมื่อเช้าวันที่ 16 มี.ค. แต่เมื่อประชุมแล้วเสร็จ กลับมิได้มีมาตรการในการแก้ปัญหาสินค้าและน้ำมันแพงแต่อย่างใด

โดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยว่า เหตุที่สินค้าราคาแพง เพราะเกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงเมื่อเดือน ม.ค.-ก.พ. ซึ่งเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปลายปี 2554 ส่วนปัญหาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นนั้น นายกิตติรัตน์ บอกว่า “นายกฯ ได้กำชับให้กระทรวงพลังงานติดตามสถานการณ์ด้านพลังงานอย่างใกล้ชิด และสั่งการให้ทุกหน่วยราชการปรับลดการใช้พลังงานลงไม่น้อยกว่า 10% รวมทั้งรณรงค์ให้เอกชนประหยัดพลังงานเพื่อลดต้นทุนบริษัทด้วย นอกจากนี้ได้สั่งให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามราคาสินค้ารายตัว ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำด้วย”

4. ป.ป.ช. เปิดกรุทรัพย์สิน “ครม.ยิ่งลักษณ์ 2”รมต.หน้าใหม่ “นิวัฒน์ธำรง” ครองแชมป์ 137 ล้าน ด้าน “ณัฐวุฒิ” รวย 16 ล้าน!

นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ 15 มี.ค. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้เปิดเผยรายการทรัพย์สินและหนี้สินของรัฐมนตรีใน “ครม.ยิ่งลักษณ์ 2” ที่เพิ่งปรับ ครม.และเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 23 ม.ค.2555 โดยมีรัฐมนตรีที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ 16 คน 17 ตำแหน่ง ที่น่าสนใจได้แก่ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถือว่าเป็นรัฐมนตรีหน้าใหม่ที่มีทรัพย์สินมากที่สุด โดยมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 137.5 ล้านบาท ขณะที่นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นรัฐมนตรีหน้าใหม่ที่มีทรัพย์สินน้อยที่สุด โดยมีเงินฝากอย่างเดียว 3.8 แสนบาทเศษ ไม่มีหนี้สิน

ด้านนางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 18.9 ล้านบาท ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) มีทรัพย์สิน 16.2 ล้านบาท มีหนี้สิน 7.6 ล้านบาท

นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีทรัพย์สินประมาณ 82 ล้านบาท
,นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มีทรัพย์สิน 50.5 ล้านบาท ขณะที่นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีทรัพย์สิน 30.3 ล้านบาท

ส่วนรัฐมนตรีหน้าเก่าที่ปรับย้ายมารับตำแหน่งใหม่ ปรากฏว่า ผู้ที่มีทรัพย์สินมากสุดคือ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 380.7 ล้านบาท ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีทรัพย์สิน 60.4 ล้านบาท ขณะที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีทรัพย์สิน 49.4 ล้านบาท

5. ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจำคุก 8 เสื้อแดงคดีเผาแบงก์กรุงเทพขอนแก่น พร้อมให้ชดใช้ค่าเสียหาย 29 ล้าน!
กลุ่มคนเสื้อแดงขอนแก่นก่อเหตุเผาทำลายสถานที่สำคัญๆ ในจังหวัด เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553
เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ศาลจังหวัดขอนแก่นได้อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีที่ธนาคารกรุงเทพสาขาประชาสโมสร เขตเทศบาลนครขอนแก่น เป็นโจทก์ยื่นฟ้องแกนนำคนเสื้อแดง 8 คน ฐานก่อเหตุบุกรุกเข้าไปในธนาคารกรุงเทพ แล้วเผาทำลายทรัพย์สินของธนาคารเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 จนได้รับความเสียหายจำนวนมาก

ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่พิพากษาว่า จำเลยทั้ง 8 คนกระทำผิดจริงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358 ,365(1) (2) ประกอบมาตรา 83 ,362 ,364 จึงให้ลงโทษฐานบุกรุก แต่เนื่องจากการกระทำของจำเลยทั้ง 8 คนเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน จึงเกิดอารมณ์ร่วมคล้อยตามสถานการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว และหลงผิดกระทำความผิด จึงเห็นควรให้จำคุกกระทงละ 1 ปี โดยจำเลยที่ 1 ให้จำคุก 3 กระทง 3 ปี จำเลยที่ 2 ,5 ,6 และ 8 จำคุกคนละ 1 กระทง 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 ,4 และ 7 จำคุกคนละ 2 กระทง 2 ปี

อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่า จำเลยรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี จึงมีเหตุบรรเทาโทษ ให้ลดโทษลงกึ่งหนึ่ง แต่เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่นที่อาจก่อเหตุในลักษณะเดียวกัน จึงไม่สมควรรอการลงโทษจำคุก นอกจากนี้ให้จำเลยทั้ง 8 คนร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย คือ ธนาคารกรุงเทพ จำนวน 29.5 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น