xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 25 ก.ย.-1 ต.ค.2554

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. อัยการสูงสุด สั่งไม่ฎีกาคดี “พจมาน-บรรณพจน์” เลี่ยงภาษีหุ้นชินฯ อ้าง เห็นพ้องศาลอุทธรณ์ ด้าน “ปชป.” เตรียมยื่นถอดถอน!
นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด
ความคืบหน้าคดีคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลบเลี่ยงภาษีโอนหุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่น ให้นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรม จำนวน 546 ล้านบาท โดยมีนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมานร่วมดำเนินการด้วย ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษา(เมื่อ 31 ก.ค.2551) จำคุกคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์คนละ 3 ปี ส่วนนางกาญจนาภา 2 ปี ไม่รอลงอาญา จากนั้นจำเลยได้อุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาแก้ศาลชั้นต้น(เมื่อ 24 ส.ค.2554) โดยยกฟ้องคุณหญิงพจมานและนางกาญจนาภา ส่วนนายบรรณพจน์ แม้ศาลอุทธรณ์จะเห็นว่ากระทำผิดจริง แต่ก็ลงโทษสถานเบา โดยพิพากษาจำคุก 2 ปี แต่รอลงอาญา 1 ปี พร้อมให้เหตุผลว่า เนื่องจากนายบรรณพจน์ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน และเคยทำคุณงามความดีด้วยการบริจาคเงินให้มูลนิธิไทยคม เพื่อส่งเสริมการศึกษาแก่ผู้ด้อยโอกาส (เจ้าของมูลนิธิไทยคม คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ด้านอัยการสูงสุด ซึ่งทำหน้าที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ มีเวลาที่จะฎีกาคดีดังกล่าวภายใน 30 วันหรือภายในวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา

แต่ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 26 ก.ย.นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ และโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้เปิดแถลงว่า นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด มีคำสั่งไม่ฎีกาคดีดังกล่าว ทั้งในส่วนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคุณหญิงพจมานและนางกาญจนาภา และที่ให้รอลงอาญานายบรรณพจน์ พร้อมให้เหตุผลว่า อัยการสูงสุดเห็นพ้องกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ทุกประเด็น นายธนพิชญ์ บอกด้วยว่า การไม่ฎีกาคดีนี้ อัยการได้นำความเห็นแย้งของประธานศาลอุทธรณ์ที่เห็นว่า ไม่สมควรรอลงอาญานายบรรณพจน์มาพิจารณาแล้ว แต่อัยการเห็นว่ามาตรการทางกฎหมายสรรพากรต้องการให้จำเลยเสียภาษี ส่วนมาตรการลงโทษทางคดีอาญาเป็นแค่มาตรการเสริมเท่านั้น ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข่าวเรื่องวิ่งเต้นให้อัยการสูงสุดสั่งไม่ฎีกาคดีนี้ นายธนพิชญ์ ยืนยันว่า ไม่มี และว่า เรื่องใหญ่แบบนี้ คงยากที่จะมีการวิ่งเต้น

ขณะที่นายเมธา ธรรมวิหาร ทนายความนายบรรณพจน์ บอกว่า ที่ผ่านมา ทนายความได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นฎีกา ซึ่งศาลอนุญาตให้จนถึงวันที่ 25 ต.ค. แต่เมื่ออัยการสูงสุดมีความเห็นไม่ฎีกาคดีแล้ว คงต้องแจ้งให้นายบรรณพจน์ คู่ความ และผู้ใหญ่ที่ร่วมดูคดีทราบเพื่อพิจารณาอีกครั้งว่าจะยื่นฎีกาหรือไม่ หรือควรให้คดีจบเพียงแค่นี้

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ข้องใจที่อัยการสูงสุดไม่ฎีกาคดีหลบเลี่ยงภาษีโอนหุ้นชินฯ โดยบอก คดีนี้อัยการสูงสุดเป็นผู้นำเรื่องไปฟ้อง ดังนั้นต้องตอบคำถามให้ได้ว่าทำไมจึงไม่ฎีกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมือง

ขณะที่นายสกลธี ภัททิยกุล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เผยว่า พรรคฯ กังวลว่าอาจมีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเหมือนช่วงก่อนปี 2549 จึงคิดว่าการใช้ดุลพินิจของอัยการสูงสุดน่าจะมีปัญหา พร้อมฝากไปยังอัยการสูงสุดด้วยว่า เตรียมรับการยื่นถอดถอนจากทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ได้เลย

ทั้งนี้ ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรค ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด เพื่อขอสำเนาเอกสารคดีหลีกเลี่ยงภาษีหุ้นชินฯ เมื่อวันที่ 29 ก.ย. โดยขอให้อัยการสูงสุดรับรองสำเนาเอกสารทุกแผ่น และขอให้แจ้งภายในวันที่ 4 ต.ค.ว่าจะอนุญาตหรือไม่ หากให้ตามที่ร้องขอ จะมารับด้วยตัวเองในวันที่ 11 ต.ค. “หลังจากได้เอกสารแล้ว คณะทำงานจะนำข้อมูลทุกคำสั่งมาวิเคราะห์ว่าถูกต้องตามหลักพิจารณาคดีหรือไม่ อย่างไร มีเหตุมีผลอย่างไร เพราะคำสั่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แตกต่างกันมาก”

ด้านนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด พูดถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นขอเอกสารคดีหลีกเลี่ยงภาษีหุ้นชินฯ ว่า ไม่ขัดข้อง โดยจะให้คำตอบภายในสัปดาห์หน้า แต่ต้องยอมรับว่าความเห็นทางกฎหมายแตกต่างกันได้ และว่า วันที่ 5 ต.ค.คณะกรรมาธิการองค์กรอิสระของวุฒิสภา ได้เชิญไปชี้แจงเรื่องดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งตนพร้อมจะไปชี้แจงเพื่อแสดงความบริสุทธิ์และโปร่งใส นายจุลสิงห์ ยังพูดเหมือนประชดผู้ที่เคลือบแคลงสงสัยว่าทำไมอัยการสูงสุดไม่ฎีกาคดีหลีกเลี่ยงภาษีหุ้นชินฯ ด้วยว่า “อัยการมีอิสระเหมือนกับศาล ทำไมจึงไม่สงสัยศาลอุทธรณ์บ้าง กล้าว่าหรือไม่ ทำไมศาลอุทธรณ์ตัดสินไม่ถูกต้อง มีใครกล้าพูดบ้าง ยืนยันว่าการตัดสินไม่ฎีกา ไม่ได้มองชื่อจำเลยว่าเป็นใคร”

ส่วนความเคลื่อนไหวของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) นั้น นาย
กล้านรงค์ จันทิก โฆษก ป.ป.ช. แถลง(27 ก.ย.)ว่า ขณะนี้ คดีคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์หลบเลี่ยงภาษีหุ้นชินฯ ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.แล้ว เพราะอัยการเป็นผู้ยื่นฟ้องต่อศาล เมื่อยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว พยานทั้งหลายเป็นเรื่องที่อัยการเป็นผู้นำสืบต่อศาล เมื่ออัยการไม่ฎีกา ป.ป.ช.จึงไม่มีอำนาจดำเนินการต่อได้ จึงถือว่าคดีสิ้นสุด ส่วนกรณีที่บางฝ่ายอาจยื่นถอดถอนอัยการสูงสุดนั้น นายกล้านรงค์ บอกว่า ขณะที่ยังไม่มีคำร้องยื่นถอดถอนเข้ามา ป.ป.ช.ได้มีมติที่จะขอคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์จากอัยการสูงสุด เพื่อนำมาพิจารณาเปรียบเทียบกับคำพิพากษาของศาลอาญา ขณะเดียวกันจะขอคำวินิจฉัยของอัยการเพื่อนำมาพิจารณา รวมทั้งจะตรวจสอบฎีกาต่างๆ ในคดีที่อัยการยื่นฟ้องต่อศาล และคดีที่ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เพื่อดูว่าอัยการยื่นฎีกาคดีนั้นหรือไม่ ทั้งนี้ ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบไป 5 ฎีกาแล้ว และกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิจารณาต่อไป

2. โปรดเกล้าฯ นายทหาร 584 ตำแหน่งแล้ว “เสถียร”นั่งปลัดกลาโหม “ดาว์พงษ์” ได้เก้าอี้รอง ผบ.ทบ. ด้าน “จตุพร” ปัดข่าวนัดชุมนุมต้านโผทหาร!
พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่
เมื่อวันที่ 30 ก.ย. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายทหารรับราชการสนองพระเดชพระคุณจำนวน 584 ตำแหน่ง ในทุกเหล่าทัพ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

สำหรับบัญชีรายชื่อนายทหารในตำแหน่งสำคัญๆ ได้แก่ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย เตรียมทหารรุ่น 11 (ตท.11) ได้เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ,พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ที่ปรึกษาสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ เป็นผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน กระทรวงกลาโหม , พล.อ.ภุชงค์ รัตนวรรณ ตท.10 ผู้บัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ เป็นจเรทหารทั่วไป ขณะที่ พล.ท.พฤณท์ สุวรรณทัต ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ตท.10 ซึ่งเคยมีบทบาทในการต่อต้านการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ได้เป็นหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่วน พล.ต.จักรา กรานเลิศ ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชาย พล.อ.พรชัย กรานเลิศ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ตท.10 ได้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ (อัตราพลโท) ขณะที่ พ.อ.พันลึก สุวรรณทัต หัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม น้องชาย พล.ท.พฤณท์ ได้มาเป็นนายทหารคนสนิทนายกรัฐมนตรี

ในส่วนของกองบัญชาการกองทัพไทย ตำแหน่งที่น่าสนใจ ได้แก่ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เสนาธิการทหาร ตท.12 ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.) ทั้งนี้ ได้มีการเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัย(ผบ.ศรภ.) โดยโยก พล.ท.เชาวฤทธิ์ ประภาจิตร์ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล(ผบ.ศตก.) กลับมาเป็นผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัย

สำหรับกองทัพบก พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก(เสธ.ทบ.) ตท.12 ได้เป็นรองผู้บัญชาการทหารบก(รอง ผบ.ทบ.) ,พล.อ.ยุทธศิลป์ โดยชื่นงาม ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ตท.11 โยกไปเป็นประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก ,พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก ตท.11 เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก , พล.อ.โปฎก บุญนาค ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ(ผบ.นสศ.) ตท.12 เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก , พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รองเสนาธิการทหารบก เป็นเสนาธิการทหารบก ,พล.ต.ศุภรัตน์ พัฒนาวิสุทธิ์ รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ขึ้นเป็นผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ,พล.ต.อุทิศ สุนทร รองแม่ทัพภาคที่ 1 ตท.14 เป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 ขณะที่ พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งมีเคยบทบาทในการสลายการชุมนุมทางการเมือง โยกไปเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 ด้าน พ.อ.การุญ รัตนสุวรรณ น้องชาย พล.อ.ดาว์พงษ์ ขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองบัญชาการช่วยรบที่ 3

ส่วนกองทัพเรือ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือ ตท.13 ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ(ผบ.ทร.) , พล.ร.อ.ดำรงศักดิ์ ห้าวเจริญ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพเรือ ขึ้นเป็นเสนาธิการทหารเรือ ขณะที่ พล.ร.ท.เกียรติศักดิ์ ดามาพงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพเรือ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร เป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพเรือ(อัตราพลเอก)

ทางด้านกองทัพอากาศ พล.อ.อ.ศรีเชาวน์ จันทร์เรือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ ตท.12 ขึ้นเป็นรอง ผบ.ทอ. ,พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง เสนาธิการทหารอากาศ ตท.13 เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ ,พล.อ.ท.วินัย เปล่งวิทยา ตท.12 ผู้บัญชาการควบคุมการปฏิบัติทางอากาศ เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ ขณะที่ พล.อ.ท.เพิ่มเกียรติ ลวณะมาลย์ ตท.13 รองเสนาธิการทหารอากาศ เป็นเสนาธิการทหารอากาศ

ทั้งนี้ ตอนแรกมีข่าวว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้นัดชุมนุมคนเสื้อแดงเพื่อคัดค้านโผทหารในวันที่ 1 ต.ค.ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่ภายหลัง นายจตุพร ได้ออกมาแถลงปฏิเสธว่า ไม่เคยนัดชุมนุมแต่อย่างใด ถ้าจะชุมนุมจริงคงเถิดเทิงไปแล้ว และว่า คนที่จะชุมนุมคือญาติวีรชนที่เสียชีวิตที่วัดปทุมวนาราม ซึ่งเคยไปเคลื่อนไหวหลายจุดเพื่อทวงถามความเป็นธรรมให้กับบุตรสาวที่เสียชีวิต นายจตุพร ยังเชื่อด้วยว่า ข่าวลือที่ว่าตนนัดชุมนุมนั้น เป็นกระบวนการยุยงให้ตนและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เกิดความเข้าใจผิดกัน “ผมได้เรียนรัฐมนตรีกลาโหมไปด้วยว่า ขบวนการที่เกิดขึ้นต้องการล้มรัฐบาล โดยการเสี้ยมให้เกิดการปะทะกันโดยเร็ว เพราะผมกับ พล.อ.ประยุทธ์ มีความอดทนต่ำด้วยกันทั้งคู่”

3. วิกฤตน้ำท่วม ทำ “เชียงใหม่-นครสวรรค์-ลพบุรี” อ่วม ด้าน “ยิ่งลักษณ์” ส่ง รมต.นอนค้างคืนพื้นที่น้ำท่วม พร้อมเผย “ในหลวง” ให้กำลังใจ รบ.ทำงาน!

วิกฤตน้ำท่วมที่ยังพบในหลายจังหวัด
สถานการณ์น้ำท่วมสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายจังหวัดประสบภาวะวิกฤต เช่น ที่ จ.เชียงใหม่ แม่น้ำปิงได้ล้นทะลักเข้าหมู่บ้านต่างๆ ในเขตตอนกลางของเมืองเมื่อวันที่ 28 ก.ย. ส่งผลให้บางจุดระดับน้ำสูงถึงเอว ขณะที่บางจุดน้ำสูงเกือบถึงหน้าอก ทั้งนี้ คืนวันเดียวกัน ยังได้เกิดน้ำป่าและดินถล่มบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่หมู่ 1 บ้านก๋ายน้อย ต.เมืองก๋าย อ.แม่แตง โดยน้ำได้ซัดบ้านเรือนที่อยู่ติดริมน้ำก๋ายน้อยหายไป 4 หลัง มีผู้สูญหาย 5 คน ขณะที่ชาวบ้านกว่า 60-70 ครอบครัวต้องอพยพหนีตายกันอลหม่าน ท่ามกลางไฟฟ้าที่ดับหมดทั้งตำบล ส่งผลให้ชาวบ้านเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ส่วนที่ อ.สันทราย ก็วิกฤตไม่แพ้กัน หลังจากน้ำล้นสปีลเวย์เขื่อนแม่กวง เนื่องจากน้ำแม่กวงอุดมธารามีปริมาณมากเกินกว่าที่จะจุได้ ส่งผลให้น้ำไหลทะลักเข้าท่วมหลายพื้นที่ ทำให้บ้านเรือนประชาชนและหมู่บ้านจัดสรรนับ 10 แห่ง ถูกน้ำท่วมสูงกว่า 2 เมตร ถือว่าท่วมหนักสุดในรอบ 10 ปี ด้านนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ประเมินว่า จังหวัดได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 7-8 พันล้านบาท ขณะที่น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2548 ความเสียหายยังน้อยกว่า โดยอยู่ที่ประมาณ 5 พันล้านบาท

ส่วนที่ จ.นครสวรรค์ ก็ได้เกิดปัญหาแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านเอ่อล้นจากฝนที่ตกหนักติดต่อกันหลายวัน ส่งผลให้คันดินที่ล้อมรอบวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครสวรรค์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.บ้านมะเกลือ อ.เมือง ซึ่งสูงประมาณ 10 เมตร ทานแรงน้ำไม่ไหว เกิดพังทลายลง ส่งผลให้น้ำที่ล้อมรอบอยู่นอกคันดินทะลักเข้าท่วมพื้นที่ของวิทยาลัยประมาณ 700 ไร่อย่างรวดเร็ว ทำให้นักศึกษาประจำที่พักอยู่กว่าร้อยคน ต้องวิ่งหนีขึ้นไปอยู่บนชั้น 2 ของเรือนนอน ขณะที่ประชาชนใกล้เคียงและอาจารย์ต้องช่วยกันขนของหนีน้ำกันจ้าละหวั่น แต่ก็ไม่สามารถขนอะไรออกมาได้ ด้านนายวรวัฒน์ มัคเจริญ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครสวรรค์ บอกว่า ความเสียหายเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 80-100 ล้านบาท โดยมีทั้งอาคารสำนักงาน บ้านพักอาจารย์ เรือนนอนนักศึกษา โรงเพาะชำ โรงเลี้ยงไก่ ฯลฯ

ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พยายามแก้ปัญหาปัญหาน้ำท่วมด้วยการสั่งให้รัฐมนตรีลงพื้นที่น้ำท่วมเพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยให้รัฐมนตรีค้างแรมในพื้นที่ด้วย 1 คืน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังบอกให้รัฐมนตรีทุกคนทราบในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 27 ก.ย.ด้วยว่า ได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อถวายรายงานเรื่องทั่วไปให้ทรงทราบ ซึ่งพระองค์ได้พระราชทานแนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วม พร้อมทั้งให้กำลังใจรัฐบาลในการทำงาน รวมทั้งให้กำลังใจพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมด้วย

ด้านนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้รายงานสถานการณ์น้ำท่วมใน จ.ลพบุรีให้นายกรัฐมนตรีทราบว่า จังหวัดอื่นๆ ที่ประสบอุทกภัยอาจจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ที่ลพบุรี ปัญหาเพิ่งเริ่มต้น โดยมีพื้นที่น้ำท่วม 2.6 แสนไร่แล้ว นอกจากนี้ยังต้องขนย้ายชาวบ้านไปอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย และว่า หากยังไม่สามารถซ่อมแซมประตูระบายน้ำบางโฉมศรีได้ ระดับน้ำที่สูงขึ้นอาจส่งผลให้ต้องอพยพชาวบ้านใน อ.เมือง อ.ท่าวุ้ง และ อ.บ้านหมี่ ไปอยู่ในค่ายทหารประมาณ 4-5 หมื่นคน

ส่วนการป้องกันน้ำท่วม กทม.นั้น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) บอกว่า ขณะนี้ประชาชนที่อยู่ในแนวป้องกันน้ำ ยังไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะปริมาณน้ำปีนี้น้อยกว่าปี 2553 โดยวันนี้(1 ต.ค.) วัดปริมาณน้ำได้ 1.98 เมตร ขณะที่แนวป้องกันน้ำรับได้ที่ 2.5 เมตร ส่วนประชาชนที่อยู่นอกแนวเขตกั้นน้ำ ซึ่งมีอยู่ 27 ชุมชน หรือประมาณ 1,200 หลังคาเรือน จะได้รับผลกระทบเมื่อระดับน้ำสูง 1.7 เมตร ส่วนกรณีที่อาจมีพายุเข้าไทยในวันที่ 4-6 ต.ค.นี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บอกว่า กทม.ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับยอดผู้เสียชีวิตจากภาวะน้ำท่วมนั้น ล่าสุด(30 ก.ย.) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตจำนวน 188 ศพ สูญหาย 3 คน โดยยังคงมีจังหวัดที่ประสบภัยน้ำท่วม 23 จังหวัด ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 1,894,792 คน

4. ศาลฎีกา พิพากษายึดทรัพย์ “ชูวิทย์” 3.4 ล้าน ฐานฟอกเงิน -โยงธุรกิจค้าประเวณีเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ด้าน “กกต.” ชี้ ไม่กระทบสถานภาพ ส.ส.!

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรครักประเทศไทย
เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ศาลแพ่ง ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรครักประเทศไทย และบริษัท โฮ แปซิฟิค ฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 โดยคำฟ้อง ระบุว่า นายชูวิทย์เป็นผู้ต้องหาในความผิดฐานเป็นธุระ จัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งบุคคลใด เพื่อให้บุคคลนั้นทำการค้าประเวณี โดยเป็นการกระทำแก่บุคคลอายุกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี และเป็นเจ้าของกิจการค้าประเวณี ซึ่งมีบุคคลอายุกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปีค้าประเวณีอยู่ด้วย

ด้านคณะกรรมการธุรกรรมตรวจสอบรายงานและการทำธุรกรรมของนายชูวิทย์แล้ว มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า นายชูวิทย์เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายและย้าย หรือซ่อนเร้นทรัพย์ที่ได้จากการกระทำผิดดังกล่าว จึงมีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์ของนายชูวิทย์ไว้เป็นการชั่วคราว

ต่อมา นายชูวิทย์และบริษัท โฮ แปซิฟิค รวมทั้ง น.ส.สุรัชฎา แววศรี ได้ยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการธุรกรรมฯ เพิกถอนคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์ดังกล่าว แต่คณะกรรมการธุรกรรมฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า นายชูวิทย์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ หจก. เทอร์เม่ และยังเป็นกรรมการผู้จัดการ บจก.โฮ แปซิฟิค ที่ดำเนินกิจการอาบอบนวด โดยรายได้จากกิจการจะนำเข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนพระราม 9 และธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนรัชดาภิเษก ห้วยขวาง ซึ่งมีเงินเหลืออยู่จำนวน 127,000 บาทเศษ และ 17,000 บาทเศษ รวมทั้งยังมีหุ้นบริษัท เดวิส ไดมอนด์สตาร์ ,หุ้นบริษัท เดวิส โคปาคาบาน่า ,หุ้นบริษัท เดวิส โกลเด้นสตาร์ และหุ้นบริษัท เดวิส ซิลเวอร์สตาร์ รวม 33,446 หุ้น มูลค่า 3.3 ล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นหุ้นที่ได้มาจากการกระทำผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ฟอกเงินฯ จึงขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวของนายชูวิทย์กับพวกรวม 6 รายการ มูลค่ากว่า 3.4 ล้านบาท พร้อมดอกผลตกเป็นของแผ่นดิน

ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นได้ยกคำร้องของอัยการ หลังจากนายชูวิทย์ให้การว่า ไม่ได้ดำเนินธุรกิจจัดหาเพื่อค้าประเวณี และไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการค้าประเวณี โดยศาลอาญาได้เคยพิพากษายกฟ้องคดีนี้แล้ว ดังนั้นทรัพย์สินดังกล่าวจึงไม่ใช่ของนายชูวิทย์ แต่เป็นของบริษัท โฮ แปซิฟิค ซึ่งได้มาโดยสุจริตจากการค้า ขณะที่ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นเช่นกัน โดยให้คืนทรัพย์สินตามคำร้องของนายชูวิทย์กับพวก แต่อัยการได้ยื่นฎีกา

ซึ่งศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า นายชูวิทย์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ หจก. เทอร์เม่ ที่ถือใบอนุญาตสถานบริการ และเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท โฮ แปซิฟิค ที่เปิดสถานบริการอาบอบนวดฮอนโนลูลู ที่ใช้ใบอนุญาตสถานบริการของ หจก. เทอร์เม่ นอกจากนี้นายชูวิทย์ยังเป็นกรรมการบริษัทในเครือเดวิส กรุ๊ป ด้วย ทั้งนี้ ศาลฎีกา ระบุว่า บริษัท โฮ แปซิฟิค ได้สั่งซื้อถุงยางอนามัยจากบริษัทต่างๆ โดยในปี 2545 ได้สั่งซื้อถุงยางเป็นเงินกว่า 1 แสนบาท ซึ่งจากการตรวจสอบสถานบริการอาบอบนวดในเครือเดวิส กรุ๊ป ก็พบถุงยางอนามัยใช้แล้วจากกองขยะของสถานบริการโคปาคาบาน่า และบาบาล่า 153 ถุง สถานบริการเอ็มมานูเอล 30 ถุง สถานบริการฮอนโนลูลู 9 ถุง และยังมีพยานให้การยืนยันว่า มีผู้พาไปทำงานเป็นพนักงานนวดที่สถานอาบอบนวดฮอนโนลูลู ที่จัดให้พนักงานนวดทุกคนร่วมประเวณีกับลูกค้าที่มาใช้บริการ โดยจะได้ค่าตอบแทนรอบละ 1,900 บาท วันหนึ่งจะทำงานได้ 3-5 รอบ ด้วยเหตุนี้ จึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า นายชูวิทย์และบริษัท โฮ แปซิฟิค เป็นผู้กระทำผิดเกี่ยวกับเพศจริง ศาลฎีกาจึงพิพากษากลับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ โดยให้เงินในบัญชีธนาคารทั้ง 2 ธนาคาร รวมทั้งหุ้นในบริษัทต่างๆ ตามที่อัยการฟ้อง รวมมูลค่ากว่า 3.4 ล้านบาท พร้อมด้วยดอกผลของทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน

ทั้งนี้ หลังศาลฎีกาพิพากษายึดทรัพย์นายชูวิทย์ ได้เกิดข้อสงสัยตามมาว่า นายชูวิทย์จะสิ้นสภาพการเป็น ส.ส.หรือไม่ ซึ่งนายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร บอกว่า กรณีดังกล่าวเป็นคดีแพ่ง เบื้องต้นนายชูวิทย์น่าจะไม่สิ้นสภาพการเป็น ส.ส. เพราะการพ้นจากสมาชิกภาพ ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 102(7) ระบุว่า เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ แต่หากจะให้ชัดเจนในเรื่องนี้ ต้องมีผู้ร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัย

ด้านนายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ด้านบริหารงานเลือกตั้ง บอกว่า การที่สมาชิกภาพของ ส.ส.จะสิ้นสุดลงต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106 ส่วนกรณีของนายชูวิทย์ หากศาลพิพากษาว่ามีโทษทางอาญา ก็อาจมีปัญหาเรื่องสมาชิกภาพการเป็น ส.ส.ได้ แต่ถ้าเป็นมาตรการทางแพ่งอาจไม่เข้าเหตุให้ความเป็น ส.ส.สิ้นสุดลง

ขณะที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรครักประเทศไทย พูดถึงคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ให้ยึดทรัพย์ตนว่า ตนยอมรับคำตัดสินของศาล แต่ปฏิเสธว่ามูลค่าในการยึดทรัพย์ไม่ใช่ 3.4 ล้านบาท แค่ 3.4 แสนบาทเท่านั้น ซึ่งไม่มีปัญหาอะไร เพราะทุกคนก็รู้ว่าที่ผ่านมาตนทำอะไร ตนทำตนก็ยอมรับผิด นายชูวิทย์ ยังเชื่อด้วยว่า คำพิพากษาของศาลจะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ ส.ส.ของตน เพราะไม่เกี่ยวกัน เนื่องจากการยึดทรัพย์เป็นคดีแพ่ง นายชูวิทย์ ยังได้เรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการกับสถานบริการที่กำลังเปิดในลักษณะนี้ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกับคดีของตน รวมทั้งคดีที่ศาลชั้นต้นฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง อัยการก็ควรฎีกาแบบคดีของตนบ้าง
กำลังโหลดความคิดเห็น