คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1. “เจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ” พระราชธิดาใน ร.6 สิ้นพระชนม์แล้ว -“ในหลวง” โปรดเกล้าฯ สำนักพระราชวังจัดการพระศพถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี
เมื่อวันที่ 27 ก.ค. สำนักพระราชวังได้ออกประกาศเรื่อง สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี สิ้นพระชนม์ หลังเสด็จประทับรักษาพระอาการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต ณ ตึก 84 ปี โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ แต่พระอาการประชวรได้ทรุดลงตามลำดับ และสิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 16.37น.วันที่ 27 ก.ค. รวมพระชันษา 85 ปี
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สำนักพระราชวังจัดการพระศพ ถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี พร้อมพระราชทานพระโกศทองใหญ่และฉัตร 5 ชั้นประดับชั้นยศ ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง โดยให้มีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพทั้งกลางวันและกลางคืน พร้อมโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนักไว้ทุกข์ถวายมีกำหนด 100 วัน ตั้งแต่วันสิ้นพระชนม์เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายน้ำสรงพระศพหน้าพระฉายาลักษณ์ ซึ่งประดิษฐาน ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา 13.00น.-16.00น.ของวันที่ 28 ก.ค.ด้วย
สำหรับพระราชพิธีสรงน้ำพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี มีขึ้นในช่วงเย็นวันที่ 28 ก.ค. ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ได้เสด็จฯ จากโรงพยาบาลศิริราช ไปร่วมพิธีสรงน้ำพระศพ
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สำนักพระราชวังประกอบพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทานสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี 4 พระราชพิธี ประกอบด้วย 1.พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสัตตมวาร(7 วัน) ในวันที่ 2 ส.ค. เวลา 17.00น. 2.พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลปัณรสมวาร(15 วัน) ในวันที่ 10 ส.ค.เวลา 17.00น. และวันที่ 11 ส.ค.เวลา 10.30น. 3.พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลปัณณาสมวาร(50 วัน) ในวันที่ 14 ก.ย. เวลา 17.00 น. และ 4.พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร(100 วัน) ในวันที่ 3 พ.ย.เวลา 17.00 น.
ด้านนายรัตนาวุธ วัชโรทัย ที่ปรึกษาฝ่ายกิจกรรมพิเศษ สำนักพระราชวัง เผยว่า งานพระราชพิธีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี จะเหมือนกับงานพระราชพิธีของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทุกประการ แต่พิธีกรรมบางส่วนอาจจะลดทอนลงบ้าง เช่น งดให้ประชาชนเข้าสักการะพระฉายาลักษณ์ที่ศาลาหทัยสมาคม โดยเปลี่ยนเป็นการให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมฟังพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท หลังผ่านพ้น 7 วันแรกของพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพที่พระบรมวงศานุวงศ์ทรงเป็นเจ้าภาพ และว่า สำนักพระราชวังจะขอพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยงานราชการและภาคเอกชนสามารถขออนุญาตเข้ามาเป็นเจ้าภาพในพระราชพิธีได้ทุกวันพุธ จนกว่าจะครบกำหนดพระราชพิธี 100 วัน
ส่วนกรณีที่วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ 12 ส.ค.ยังอยู่ในช่วงของการประกอบพิธีพระศพนั้น นายรัตนาวุธ บอกว่า ไม่น่าจะมีปัญหา หากจะจัดพิธีเฉลิมฉลองตามปกติ เพราะตามราชประเพณีแล้ว สามารถที่จะเปลี่ยนให้เป็นวันออกทุกข์ได้ สำหรับการจัดสร้างพระเมรุนั้น ต้องรอรัฐบาลตั้งคณะกรรมการดำเนินการ จากนั้นอยู่ที่ความพร้อมของกรมศิลปากรว่าจะสามารถจัดสร้างได้ทันตามกำหนดหรือไม่ หากไม่ทัน ต้องเลื่อนออกไปเป็นปี 2556 ในช่วงเดือน เม.ย.แทน
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ออกประกาศให้สถานที่ราชการ รวมทั้งหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและสถานศึกษาทุกแห่งไว้อาลัยต่อการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ด้วยการลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 15 วัน รวมทั้งให้ข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานทั้งของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ ไว้ทุกข์เป็นเวลา 15 วันตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค.เป็นต้นไป นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ ยังได้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษในวันที่ 1 ส.ค.เพื่อเตรียมงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพให้สมพระเกียรติด้วย
อนึ่ง สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประสูติเมื่อวันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ.2488 ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ในพระบรมมหาราชวัง โดยหลังจากที่พระองค์ประสูติได้เพียง 2 วัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2488 ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงมีพระจริยวัตรงดงาม ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา และทรงรักษาศีล 5 ได้อย่างบริสุทธิ์ และที่สำคัญ ทรงมีพระกตัญญูต่อสมเด็จพระบรมชนกนาถและพระชนนีเป็นอย่างยิ่ง โดยจะทรงตั้งเครื่องสังเวยพระกระยาหารกลางวันทุกวัน และทรงจัดดอกไม้จุดธูปเทียนบูชาพระบรมทนต์และพระบรมอัฐิสมเด็จพระบรมชนกนาถและพระชนนีทุกคืน
2. กกต. ประกาศรับรอง ส.ส.ครบร้อยละ 95 แล้ว แต่ยังแขวน “จตุพร” ด้านแกนนำเสื้อแดง ขู่ฟ้องอาญา ม.157!
หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ได้ประกาศรับรอง ส.ส.ล็อต 3 ไปอีก 32 คนเมื่อวันที่ 21 ก.ค. โดยมีว่าที่ ส.ส.ที่เป็นแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ด้วยหลายคน เช่น นพ.เหวง โตจิราการ ,นายก่อแก้ว พิกุลทอง ,พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย และนายพิชิฎ ชื่นบาน อดีตทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คดีซื้อที่รัชดาฯ ที่เคยถูกศาลพิพากษาจำคุกคดีติดสินบนศาล กรณีถุงขนม 2 ล้าน แต่ยังแขวนนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ค. ที่ประชุม กกต.ได้มีมติประกาศรับรอง ส.ส.เพิ่มอีก 94 คน ทำให้ยอด ส.ส.ที่ได้รับการประกาศรับรองเพิ่มเป็น 496 คนแล้ว ถือว่าครบร้อยละ 95 หรือ 475 คนที่สามารถเปิดประชุมสภาได้ตามที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตามยังมีแกนนำ นปช.ถูกแขวนอีก 1 คน คือนายจตุพร พรหมพันธุ์ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 8 พรรคเพื่อไทย ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้รับการรับรองเป็น ส.ส.แล้ว
หลัง กกต.ยังไม่ประกาศรับรองนายจตุพรเป็น ส.ส. ก็มีปฏิกิริยาไม่พอใจจากแกนนำ นปช.และกลุ่มเสื้อแดงทันที โดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ออกมาขู่ว่า หากมีการเปิดประชุมสภาแล้ว กกต.ยังไม่ประกาศรับรองนายจตุพรเป็น ส.ส. ตนจะไปฟ้องต่อศาลอาญาว่า กกต.ละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157
ขณะที่นางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธาน นปช. ภรรยา นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. ก็ได้ออกมาขู่เช่นกันว่า หาก กกต.ไม่ประกาศรับรองนายจตุพร ตนจะใช้วิธีทางกฎหมายเอาผิด กกต.ทั้งคณะ พร้อมยืนยัน กลุ่มเสื้อแดงจะไม่ไปชุมนุมหน้า กกต.หรือไปปิดล้อมที่ไหนแน่นอน หากมีก็ไม่ใช่คนเสื้อแดง
ด้านนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ไม่หวั่น นปช.ขู่ฟ้อง โดยยืนยันว่า ไม่กังวล เพราะตนทำตามกฎหมายและอำนาจหน้าที่ หากใครเห็นว่าไม่ถูกต้องก็ฟ้องร้องได้ ซึ่งทุกวันนี้ก็มีการขู่ฟ้องกันมากอยู่แล้ว พร้อมย้ำว่า การกดดันต่างๆ จะไม่มีผลต่อการพิจารณารับรองหรือไม่รับรอง ส.ส.ของตน
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรักษาการเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาพูดถึงพฤติกรรมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่กดดัน กกต.ให้ประกาศรับรองนายจตุพรเป็น ส.ส.ว่า คนเสื้อแดงจะเป็นปัญหากับประเทศไทยและทุกหน่วย เพราะมีเป้าหมายดำเนินกิจกรรมทางการเมืองโดยใช้อำนาจ ใช้กำลัง และขยายฐานอำนาจกำลังออกไปเรื่อยๆ จนสามารถเกาะกุมอำนาจทั้งหมดในประเทศเอาไว้ได้ และเปลี่ยนแปลงประเทศไปตามที่เขาต้องการ เขาจึงจะพอใจ จึงไม่น่าแปลกใจที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะไปข่มขู่ฝ่ายนั้นฝ่ายนี้และจะทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 ก.ค. กกต.ได้ประชุมพิจารณากรณีนายจตุพร โดยได้เชิญนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยเข้าให้ข้อมูลเพื่อยืนยันสถานภาพการเป็นสมาชิกพรรคของนายจตุพร แต่พรรคเพื่อไทยมอบหมายให้นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการพรรค เข้าให้ข้อมูลแทน อย่างไรก็ตาม หลังประชุม กกต.ยังไม่มีมติรับรองนายจตุพรเป็น ส.ส. โดยให้เหตุผลว่า ยังมีประเด็นที่ กกต.จะต้องศึกษาเพิ่มเติม เนื่องจากมีรายละเอียดค่อนข้างมาก จึงเลื่อนการพิจารณาไปเป็นวันที่ 1 ส.ค.เวลา 13.00น. พร้อมยืนยันว่า การพิจารณากรณีนายจตุพรไม่ถือว่าช้าเกินไป เพราะยังอยู่ในกรอบเวลา 30 วันตามที่กฎหมายกำหนด
สำหรับความคืบหน้าเกี่ยวกับการเปิดประชุมสภานั้น เมื่อวันที่ 29 ก.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกา(พ.ร.ฎ.) เรียกประชุมรัฐสภาในวันที่ 1 ส.ค.นี้ ด้านนายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ส่งหนังสือเชิญสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประชุมในวันที่ 2 ส.ค.เวลา 09.30น.โดยวาระสำคัญก็คือ การเลือกประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ อีก 2 คน
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยในวันที่ 1 ส.ค. เพื่อชี้ขาดว่าจะเสนอชื่อใครเป็นประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ โดยแคนดิเดตมีอยู่ 3 คน คือ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ,พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย และนายวิทยา บูรณศิริ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มเสื้อแดงได้ยื่นหนังสือเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หนุน พ.อ.อภิวันท์เป็นประธานสภาฯ โดยให้เหตุผลว่า พ.อ.อภิวันท์เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์และวิสัยทัศน์ ที่สำคัญ พ.อ.อภิวันท์ได้ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับคนเสื้อแดงมาโดยตลอด
3. รัฐบาลเยอรมนี จี้ไทยจ่ายชดเชย “วอลเตอร์ บาว” กว่า 1,500 ล้าน ขณะที่ไทย สวนกลับอย่าจุ้น ยัน คดียังไม่จบ!
ความคืบหน้ากรณีศาลเยอรมนีสั่งอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ของไทยซึ่งจอดอยู่ที่สนามบินมิวนิค ตามคำร้องของบริษัทวอลเตอร์ บาว โดยอ้างว่ารัฐบาลไทยผิดสัญญากับทางบริษัท ในโครงการก่อสร้างดอนเมืองโทลล์เวย์ จึงขอให้ศาลสั่งอายัดเครื่องบินดังกล่าวเพื่อแลกกับความเสียหายของบริษัทมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท จากนั้นรัฐบาลไทยและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ยื่นศาลขอให้ถอนอายัดเครื่องบินดังกล่าว โดยยืนยันว่า เครื่องบินที่ถูกอายัดไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐบาล แต่เป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ที่กองทัพอากาศทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ตั้งแต่เมื่อปี 2550 จากนั้นศาลเยอรมนีได้ตัดสินเบื้องต้นเมื่อวันที่ 21 ก.ค. ว่า จะถอนอายัดเครื่องบินดังกล่าว แต่ฝ่ายไทยจะต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกัน 20 ล้านยูโร หรือประมาณ 840 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงห่วงความรู้สึกของคนไทยและทรงมีพระราชวินิจฉัยว่าไม่ต้องวางเงินประกันนั้น
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 26 ก.ค. สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ทำนองกดดันให้รัฐบาลไทยยอมจ่ายค่าเสียหายให้กับบริษัทวอลเตอร์ บาว จำนวน 36 ล้านยูโร หรือประมาณ 1,558 ล้านบาท ตามที่อนุโญตุลาการระหว่างประเทศได้ตัดสินเมื่อกลางปี 2552 ซึ่งรัฐบาลเยอรมนีอ้างว่า คำตัดสินถือเป็นสิ้นสุด ทั้งนี้ รัฐบาลเยอรมนี คาดหวังว่ารัฐบาลไทยจะปฏิบัติตามคำตัดสินของอนุโญตุลาการโดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนเยอรมนีและประเทศอื่นๆ อีกครั้ง ทั้งยังจะส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทย-เยอรมนีอีกด้วย
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พูดถึงแถลงการณ์ของสถานทูตเยอรมนี โดยบอกว่า กระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ชี้แจงและแสดงท่าทีต่อเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า ขณะนี้คดีของบริษัทวอลเตอร์ บาว กับรัฐบาลไทยอยู่ในกระบวนการต่อสู้ ยังไม่ถือว่าสิ้นสุด พร้อมย้ำว่า สถานทูตและรัฐบาลเยอรมนีไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้อง นายอภิสิทธิ์ ยังแฉเล่ห์เหลี่ยมของบริษัทวอลเตอร์ บาว ที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เงินจากไทย “ทางการเยอรมนีคงฟังภาคเอกชน เพราะภาคเอกชนรายนี้ก็พยายามทุกวิถีทางในการให้ทางการไทยเอาเงินไปวาง เอาเงินไปใช้ บางทีก็ยังเสนอว่าให้ชำระเงินแต่ลดดอกเบี้ยให้ หรือให้จ่ายเลยโดยไม่ต้องรอคำตัดสิน ดิ้นรนทุกทางที่จะให้ไทยชำระเงิน ควรเคารพกระบวนการ เมื่อกระบวนการจบ ทุกฝ่ายก็จะเคารพ ซึ่งคดีที่มีคำตัดสินชั้นต้นที่ศาลนิวยอร์ก เวลานี้อยู่ระหว่างยื่นอุทธรณ์”
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ออกแถลงการณ์โต้แถลงการณ์ของสถานทูตเยอรมนี โดยย้ำว่า กรณีพิพาทระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัทวอลเตอร์ บาว เป็นกรณีพิพาทระหว่างรัฐกับผู้ลงทุนเอกชน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และทรัพย์สินส่วนพระองค์แต่ประการใด พระองค์ไม่ใช่คู่พิพาท และรัฐบาลเยอรมนีก็ไม่ใช่คู่กรณีเช่นเดียวกัน แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ ยังระบุด้วยว่า รัฐบาลไทยรู้สึกผิดหวังต่อท่าทีของรัฐบาลเยอรมนีที่ให้สถานทูตเยอรมนีออกแถลงการณ์กดดันให้ไทยจ่ายค่าเสียหายให้แก่บริษัทวอลเตอร์ บาว รวมทั้งพาดพิงถึงการอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์โดยใช่เหตุและมิบังควร ทั้งที่ฝ่ายไทยได้แจ้งข้อเท็จจริงทั้งหมดให้รัฐบาลเยอรมนีทราบตั้งแต่ต้นแล้ว
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังสถานทูตเยอรมนีออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ไทยจ่ายค่าชดเชยให้บริษัทวอลเตอร์ บาว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าหารือ ประกอบด้วย นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด และนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม หลังการหารือ นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า ฝ่ายไทยมีความพร้อมเต็มที่และกำลังเดินหน้าในการต่อสู้คดี โดยหลายเรื่องจะมีความชัดเจนในเดือน ส.ค.นี้ แต่ยังไม่ขอลงรายละเอียด เพราะจะกระทบต่อรูปคดีที่ไปดำเนินการ “เราได้ทำความเข้าใจกับหน่วยงานต่างๆ ถึงสถานะคดี เพื่อให้ทุกคนสามารถวางแผนและปฏิบัติได้ตรงกัน ผมเห็นว่ามีข้อมูลที่น่าจะมีความสำคัญต่อเรื่องทั้งหมด อัยการสูงสุดกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ โดยจะมีหลายเวทีทั้งนิวยอร์กและเยอรมนี” นายอภิสิทธิ์ ยังยืนยันด้วยว่า การเปลี่ยนผ่านรัฐบาล จะไม่ส่งผลต่อคดี เพราะการต่อสู้เรื่องนี้ได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมชี้ว่า คดีนี้รัฐบาลไทยไม่ได้รับความเป็นธรรม หากรัฐบาลเยอรมนีได้ทราบข้อมูลและดูด้วยความเป็นธรรม จะต้องปรับท่าทีตัวเองพอสมควร
ด้านนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด เผยในเวลาต่อมา โดยยืนยันว่า อัยการจะฟ้องกลับบริษัทวอลเตอร์ บาว แน่นอนในเดือน ส.ค.นี้ ส่วนจะฟ้องใคร ที่ไหน ข้อหาอะไร ขออุบไว้ก่อน เพราะเป็นเทคนิคทางคดี ต้องมีมาตรการคุ้มครองประเทศไทย จะแจ้งให้ทราบก็ต่อเมื่อได้ดำเนินการแล้ว ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าเยอรมนียึดเครื่องบินลำที่ 2 ของไทยนั้น นายจุลสิงห์ ยืนยันว่า เป็นเพียงข่าวลือ พร้อมชี้แจงว่า เครื่องบินลำที่ 2 ไม่เคยเป็นของกองทัพอากาศ ทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อ ดังนั้น ถ้ายังมาวุ่นวาย คงต้องมีอะไรแรงๆ กลับไปบ้าง
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังศาลเยอรมนีสั่งอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์ได้เพียง 3 วัน กระทรวงการต่างประเทศของเยอรมนีก็ได้ยกเลิกคำสั่งห้าม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางเข้าประเทศเมื่อวันที่ 15 ก.ค. ซึ่งคำสั่งดังกล่าวบังคับใช้มาตั้งแต่เมื่อปี 2552 หลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 2 ปีคดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ นอกจากนี้หลายฝ่ายยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ขณะที่รัฐบาลเยอรมนีเรียกร้องให้ไทยเคารพกระบวนการยุติธรรมด้วยการจ่ายค่าชดเชยแก่บริษัทวอลเตอร์ บาว ตามคำสั่งของอนุญาโตตุลาการ แต่รัฐบาลเยอรมนีกลับไม่เคารพกระบวนการยุติธรรมของไทยด้วยการอนุญาต พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะนักโทษหนีคำพิพากษาศาลไทยเดินทางเข้าประเทศได้ หลังพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
4. สลดอีก! เฮลิคอปเตอร์ทัพบกตกซ้ำเป็นลำที่ 3 ทหารดับ 3 รอด 1 สะพัด ฝีมือชนกลุ่มน้อยพม่ากลางป่าสอยร่วง!
หลังเกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์รุ่นฮิวอี้ ตกเป็นลำแรกกลางป่าแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ส่งผลให้มีทหารเสียชีวิต 5 นายเมื่อวันที่ 16 ก.ค. จากนั้นให้หลัง 3 วัน 19 ก.ค. ได้เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์รุ่นแบล๊กฮอร์กตกอีกเป็นลำที่ 2 โดยจุดที่ตกอยู่ในฝั่งพม่า อยู่ห่างจากจุดที่เฮลิคอปเตอร์ฮิวอี้ตกประมาณ 500 เมตร ทำให้นายทหารเสียชีวิต 8 นาย และช่างภาพสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 อีก 1 คน โดยในบรรดาผู้เสียชีวิตมี พล.ต.ตะวัน เรืองศรี ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 รวมอยู่ด้วยนั้น ปรากฏว่า ให้หลังแค่ 5 วัน(24 ก.ค.) ได้เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์รุ่นเบลล์ 212 ตกอีกเป็นลำที่ 3 โดยตกกลางไร่สุขแสงจันทร์ บ้านหนองเกตุ ต.แก่งกระจาน ส่งผลให้มีทหารเสียชีวิต 3 นาย และบาดเจ็บ 1 นาย สำหรับผู้เสียชีวิต ประกอบด้วย พ.ต.ฐิระรัตน์ แก้วกระมล นักบินที่ 1 ,ร.ท.ปูรณะ หวานใจ นักบินที่ 2 และ จ.ส.อ.วิเชียร จันทร์พัฒน์ ช่างเครื่อง โดยสภาพศพถูกไฟเผา ส่วนผู้รอดชีวิต คือ ส.อ.พัฒนพร ต้นจันทน์ ช่างเครื่อง ซึ่งชาวบ้านที่พบเห็นได้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาล
ทั้งนี้ ส.อ.พัฒนพร เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้มารดาฟังระหว่างอยู่โรงพยาบาลว่า ก่อนที่เฮลิคอปเตอร์จะตก เครื่องได้ดับกลางอากาศกะทันหัน โดยใบพัดด้านหลังไม่ทำงาน เป็นเหตุให้เครื่องสูญเสียการทรงตัว หมุนคว้างกลางอากาศ แล้วตกลงมา ตนนั่งอยู่ด้านริมประตู ตั้งสติได้ จึงรีบกระโดดลงจากประตูขณะเครื่องกำลังใกล้ตกถึงพื้น เมื่อร่างกระทบพื้น ตนจึงหมดสติไป
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เผยว่า กำลังรอผลสอบว่าเฮลิคอปเตอร์เบลล์ 212 ตกจากสาเหตุใด แต่เบื้องต้นทราบว่าเครื่องยนต์ขัดข้อง คงไม่เกี่ยวกับสภาพอากาศ ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขอให้ทุกคนเห็นใจและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ อย่ามองว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากความบกพร่องหรือประมาท พร้อมฝากไปถึงคนที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกเกิดจากการทุจริตคอร์รัปชั่นเรื่องการจัดซื้อว่า อย่าวิจารณ์ในทางที่ไม่สร้างสรรค์ และทำให้ภาพพจน์ของกองทัพเสื่อมเสีย
ขณะที่ พล.ต.พิทยา กระจ่างวงษ์ ผู้บัญชาการศูนย์การบินทหารบก แถลงสาเหตุการตกของเฮลิคอปเตอร์ทั้ง 3 ลำว่า “ในส่วนของเฮลิคอปเตอร์ฮิวอี้ และแบล๊กฮอร์กเกิดจากสภาพอากาศไม่เอื้อต่อการบิน กรณีเบลล์ 212 คาดว่าขณะที่บิน เครื่องมีลักษณะอาการไม่ตอบรับในการที่จะบังคับหาง โดยเครื่องยนต์ไม่ได้ดับ ประเด็นสำคัญคือ ระบบใบพัดหางทำงานบกพร่องจึงเกิดอุบัติเหตุ อย่างไรก็ตามต้องรอคณะกรรมการสอบสวนตรวจหาสาเหตุทั้ง 3 กรณีอีกครั้ง” พล.ต.พิทยา เผยด้วยว่า เฮลิคอปเตอร์รุ่นเบลล์ 212 เข้าประจำการตั้งแต่ปี 2535 ส่วนเฮลิคอปเตอร์รุ่นฮิวอี้ ที่ประสบอุบัติเหตุตก เป็นเครื่องบินมือสอง ซึ่งซื้อมาจากกองทัพสหรัฐฯ ที่เริ่มทยอยปลดประจำการ โดยผ่านการซ่อมจากโรงงานมาแล้วเปรียบเสมือนใหม่ เข้าประจำการเมื่อปี 2547 ส่วนแบล๊กฮอว์กเป็นเครื่องใหม่ที่มาประจำการเมื่อปี 2545
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเกิดอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก 3 ลำซ้อน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ออกมาส่งสัญญาณว่า เตรียมเสนอรัฐบาลชุดใหม่อนุมัติจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์อีกกว่า 30 ลำ หลังจากเคยเสนอมานานแล้ว แต่รัฐบาลไม่มีงบ ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี ต่างพูดในทำนองเดียวกันว่า ต้องพิจารณาความจำเป็นและจัดลำดับความสำคัญอีกครั้ง
ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ของไทยตก 3 ลำซ้อน มีบางฝ่ายวิเคราะห์ว่า อาจเป็นฝีมือของชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในพื้นที่ป่าดังกล่าว ซึ่งเจ็บแค้นเจ้าหน้าที่กรมอุทยาน ตำรวจ และทหาร ที่เวลาไปพบชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ จะทำการขับไล่ด้วยการเผาทำลายบ้านพักและพืชสวนไร่นา ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้จึงอาจโกรธจนก่อเหตุขึ้น ซึ่งคนเหล่านี้มีอาวุธที่มีอานุภาพเพียงพอที่จะยิงเฮลิคอปเตอร์ได้ เนื่องจากต้องสู้รบกับพม่า
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศผ่านดาวเทียมซึ่งมีความละเอียดสูง พบว่า พื้นที่ป่าบริเวณอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี จุดที่เฮลิคอปเตอร์ฮิวอี้และแบล๊กฮอร์กตกนั้น มีสิ่งผิดปกติ 3 จุด จุดแรกเป็นพื้นที่ป่าไม้ถูกถางเป็นที่ว่าง อยู่ห่างจากจุดที่เฮลิคอปเตอร์ฮิวอี้ตกประมาณ 500 เมตร ซึ่งในที่ว่างดังกล่าวมีสิ่งปลูกสร้างประมาณ 8-9 หลังคาเรือน แต่มีลักษณะแตกต่างจากบ้านพักของชนกลุ่มน้อยทั่วไป เพราะหลังคาไม่ได้มุงด้วยใบจากหรือหญ้าคา แต่มุงกระเบื้องสีส้ม ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติมาก จุดที่ 2 เป็นพื้นที่ว่างป่าไม้ถูกถางเช่นกัน ขนาดเล็กกว่าจุดแรก ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง แต่มีการสร้างถนนเชื่อมต่อมาจากจุดแรก ส่วนจุดที่ 3 อยู่ใกล้กับจุดที่เฮลิคอปเตอร์แบล๊กฮอว์กตก ซึ่งมีถนนเชื่อมต่อมาจากจุดที่ 2 รวมทั้งมีการตัดถนนเพื่อลงจากภูเขาด้วย