คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1. “ในหลวง” เสด็จฯ ทอดพระเนตรทิวทัศน์สองฝั่งเจ้าพระยา - ทรงมีพระพักตร์ผ่องใส!
เมื่อวันที่ 2 มี.ค.เวลา 15.45น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯ ลงจากชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช โดยรถเข็นพระที่นั่ง ไปยังลานสระว่ายน้ำ สมาคมแพทย์ศิริราช ในการนี้ ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ตามเสด็จด้วย
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีเขียว ลายดอกไม้สีเหลือง ทรงสวมสนับเพลาสีกากี และทรงมีพระพักตร์ผ่องใส ตลอดเส้นทางที่เสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระสรวลทักทายประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จตลอด 2 ข้างทาง ซึ่งประชาชนต่างพร้อมใจกันเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” พร้อมก้มกราบด้วยความปลาบปลื้ม
สำหรับการเสด็จฯ ยังลานสระว่ายน้ำ สมาคมแพทย์ศิริราชครั้งนี้ เป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่จะเสด็จฯ ลงมาจากชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ เพื่อทอดพระเนตรทัศนียภาพริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งพระองค์ทรงฉายพระรูปทิวทัศน์ 2 ฝั่ง รวมทั้งฉายพระรูปเรือที่แล่นผ่านไปมาในแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย กระทั่งเวลา 17.45น. พระองค์จึงเสด็จฯ กลับยังอาคารเฉลิมพระเกียรติ โดยยังคงมีประชาชนจำนวนมากเฝ้ารับเสด็จบริเวณโถงของอาคาร พร้อมเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ขณะที่พระองค์ทรงแย้มพระสรวลให้ประชาชนก่อนเสด็จฯ ขึ้นชั้น 16 ของอาคารเฉลิมพระเกียรติ
2. “พระราชินี” เสด็จฯ พระราชทานเพลิงสรีระสังขาร “หลวงตามหาบัว”ท่ามกลาง ปชช.ร่วมงานหลายแสน!
เมื่อเวลา 17.10น.วันนี้(5 มี.ค.) สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินในการพระราชทานเพลิงสรีระสังขาร พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ณ เมรุชั่วคราววัดเกสรศีลคุณ หรือวัดป่าบ้านตาด โดยทรงทอดผ้าไตร 10 ไตร ที่จิตกาธาน(เมรุลอย)รอบโกฐ ท่ามกลางประชาชนจากทั่วทุกสารทิศมาร่วมงานหลายแสนคน ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีได้ไปร่วมงานด้วย
ด้านพระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก เจ้าอาวาสวัดป่านาคำน้อย จ.อุดรธานี เผยก่อนหน้านี้(4 มี.ค.)ว่า ที่ประชุมสงฆ์ลงมติว่า จะนำอัฐิธาตุของหลวงตามหาบัวแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกจะเก็บใส่ผอบแก้วไว้ที่วัดป่าบ้านตาด ส่วนที่เหลืออีก 2 ส่วน จะใส่ห่อผ้า แล้วเก็บไว้ในตู้เซฟ รอพระสงฆ์ผู้ใหญ่ที่เป็นศิษย์หลวงตามหาบัว ซึ่งจะกลับมาที่วัดป่าบ้านตาดในวันที่ 11 มี.ค. เพื่อประชุมและแบ่งอัฐิธาตุใส่ผอบไปไว้ที่วัดสาขา ซึ่งในอนาคตจะมีการสร้างเจดีย์เพื่อเก็บอัฐิธาตุของหลวงตา โดยมีอยู่ประมาณ 130 วัด ส่วนวัดที่มีเจดีย์อยู่แล้วในขณะนี้มีอยู่ 1 แห่ง คือ เจดีย์มหามงคลบัว จ.ร้อยเอ็ด สำหรับอัฐิธาตุอีกส่วนจะแจกจ่ายให้กับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของหลวงตา แต่จะไม่มีการแจกให้ประชาชน “อัฐิของหลวงตามหาบัวที่จะแจกจ่ายให้กับวัดสาขาต่างๆ จะพิจารณาว่าหากวัดไหนใหญ่ จะให้ชิ้นใหญ่ ส่วนวัดเล็กจะให้ชิ้นเล็ก โดยใส่ผอบที่ศิษยานุศิษย์และประชาชนนำมาถวาย ขณะนี้มีผู้นำมาถวายทั้งผอบแก้ว ทองคำ คละเคล้ากันไปจำนวนนับพันชิ้น”
3. “พท.” ยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ พร้อมถอดถอนนายกฯ - 8 รมต. แล้ว ด้าน “จตุพร” คุย มีหลักฐานน็อค รบ.ได้!
ความคืบหน้ากรณีพรรคเพื่อไทย(พท.) ฝ่ายค้านเตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พร้อมยื่นถอดถอนนายกฯ และรัฐมนตรี ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 28 ก.พ. พรรคเพื่อไทย นำโดยนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน ในฐานะประธานคณะกรรมการเตรียมการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ได้เข้ายื่นรายชื่อ ส.ส.ของพรรคจำนวน 171 คน ต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เพื่อขอให้วุฒิสภามีมติถอดถอนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และอีก 8 รัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง ประกอบด้วย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ,นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ,นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) ,นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ,นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ,นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ,นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำหรับเหตุผลที่ยื่นถอดถอนนายกฯ และรัฐมนตรีนั้น มีข้อหนึ่งระบุว่า นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ป้องกันและระงับเหตุวางเพลิงศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ทำให้ทรัพย์สินของศูนย์การค้าถูกเผา นอกจากนี้ยังอ้างว่า มีคนใกล้ชิดนายกฯ แทรกแซงอัยการสูงสุดให้มีคำสั่งไม่ฟ้องบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) จำกัด กรณีเลี่ยงภาษีบุหรี่ ทำให้รัฐสูญเสียรายได้กว่า 6.8 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ การยื่นถอดถอนนายกฯ และรัฐมนตรี เป็นส่วนหนึ่งของการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดย นายมิ่งขวัญ ได้นำทีม ส.ส.พรรคเพื่อไทย เข้ายื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 9 คนเมื่อวันที่ 1 มี.ค. สำหรับรัฐมนตรี 8 คนที่ถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นรัฐมนตรีชุดเดียวกับที่พรรคเพื่อไทยยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่ง มีเพียงนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพียงคนเดียวที่ถูกอภิปรายฯ แต่ไม่ถูกยื่นถอดถอน
สำหรับเหตุผลที่พรรคเพื่อไทยใช้ประกอบการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ได้แก่ บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ รู้เห็นเป็นใจให้รัฐมนตรีและบุคคลแวดล้อมกระทำการทุจริตคอร์รัปชั่น ดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจล้มเหลว ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ฯลฯ
เป็นที่น่าสังเกตว่า พรรคเพื่อไทยขอเวลาอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล 4 วัน และลงมติในวันที่ 5 โดยเบื้องต้นคาดว่าจะได้อภิปรายระหว่างวันที่ 9-12 มี.ค. แต่สุดท้ายต้องเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 15-18 มี.ค.และลงมติวันที่ 19 มี.ค. เนื่องจากนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร บอกว่า มีปัญหาเรื่องเอกสารประกอบการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจหายไป 3 แผ่น รวมทั้งมีปัญหาเกี่ยวกับรายชื่อ ส.ส.ที่ขอเปิดอภิปรายฯ
ด้านนายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาตำหนินายชัย ว่า ประธานสภาฯ กำลังใช้ลูกไม้ตื้นๆ เหมือนที่ผ่านมา เมื่อเห็นญัตติของฝ่ายค้านแล้วก็ดึงเวลา เพื่อให้รัฐมนตรีไปเตรียมข้อมูล ถ้าเป็นภาษามวยเรียกว่า มวยไม่พร้อมชก
ขณะที่นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ ยืนยันว่า ตนไม่ได้ถ่วงเวลา แต่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า มี ส.ส.พรรคเพื่อไทย 5 คนที่เซ็นชื่อไม่ตรงกับที่เคยเซ็นกับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จึงต้องส่งเรื่องกลับไปยังเลขาธิการสภาฯ เพื่อให้เจ้าตัวยืนยันว่าใช่ลายเซ็นของตนหรือไม่
ส่วนที่มีข่าวว่า รัฐบาลถ่วงเวลาวันอภิปรายไม่ไว้วางรัฐบาลออกไป เพราะไม่ต้องการให้ตรงกับการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 12 มี.ค.นั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกัน แต่เป็นเพราะญัตติของฝ่ายค้านยังไม่เรียบร้อยเรื่องเอกสาร
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้ออกมาคุยโวว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล มีหลักฐานที่สามารถน็อครัฐบาลได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. หลักฐานการเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ นายจตุพร ยังบอกด้วยว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.ของพรรคร่วมอภิปรายด้วย
อย่างไรก็ตาม ร.ต.อ.เฉลิม ได้ออกมาบอกว่า ยังตอบไม่ได้ว่าจะร่วมอภิปรายหรือไม่ เพราะวิธีคิดและวิธีทำงานของตนกับนายมิ่งขวัญไม่ตรงกัน และตนก็ได้ให้ข้อมูลแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องไปหมดแล้ว พร้อมย้ำว่า ไม่เห็นด้วยที่พรรคเพื่อไทยขอเวลาอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล 4 วัน เพราะเป็นการอภิปรายที่ยาวนานเกิน และไม่มีข้อมูลดีถึงขั้นต้องใช้เวลา 4 วัน ยิ่งพูดยาวคนก็เบื่อและเบลอ ทั้งยังจะทำให้รัฐบาลได้เปรียบ ร.ต.อ.เฉลิม ยังไม่เห็นด้วยที่พรรคเพื่อไทยจะอภิปรายไม่ไว้วางใจนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้วย “การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายสุเทพ ผมได้เคยบอกไปแล้วว่าไม่ควรใส่ชื่อไป เพราะนายสุเทพเก่งเกมสภา พูดจนแก้วกลมกลายเป็นแก้วแบนได้ ควรจับใส่กุญแจมือ ไม่ต้องไปแตะต้องเลย เพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นแชมป์ในสภามาตลอด ก่อนที่จะอภิปรายใคร ควรจะรู้ว่าขุนศึกแม่ทัพนายกองเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าเอาแต่เชื่อโพล”
ส่วนปฏิกิริยาของนายกฯ และรัฐมนตรีทั้ง 9 ที่จะถูกฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ไม่หวั่นที่ถูกพรรคเพื่อไทยยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจและถอดถอนออกจากตำแหน่งฐานมีเจตนาปล่อยปละให้มีการเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โดยบอกว่า จะชี้แจงข้อเท็จจริงในสภา รับรองว่าเมื่อชี้แจงแล้ว ประชาชนเข้าใจชัดเจนทั้งหมด ไม่ว่านายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มเสื้อแดงจะเตรียมการบิดเบือนสร้างฉากขนาดไหน ตัดต่อคลิปอะไรมา มาเลยทำให้เต็มที่เลย
ขณะที่นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็ยืนยันว่า ไม่หนักใจที่จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจและยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่ง “คนเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ หากไม่ถูกอภิปรายก็เป็นเรื่องผิดปกติ โดนทุกยุคทุกสมัย คนเป็นรัฐมนตรีเหมือนคนที่บวชเป็นพระ ถ้ารับกฐินแล้วถือว่าผ่านครบกระบวนการ”
ทั้งนี้ นอกจากการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจและยื่นถอดถอนนายกฯ พร้อมรัฐมนตรีนับสิบคนออกจากตำแหน่งแล้ว พรรคเพื่อไทยยังได้จัดงานเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตของพรรคด้วยจำนวน 310 คนเมื่อวันที่ 1 มี.ค. ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ในจำนวนดังกล่าว มีนายวราทิต ไชยนันทน์ บุตรชายนายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) รวมอยู่ด้วย โดยพรรคเพื่อไทยวางให้เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดตาก
หลังทราบข่าวดังกล่าว นายเทอดพงษ์ ออกอาการงงว่าลูกชายลงมาเล่นการเมืองได้อย่างไร “นายวราทิตเป็นบุตรชายคนโต แต่ไม่ค่อยได้พูดคุยกัน การไปลงสมัครก็เป็นเรื่องของลูก ตามสไตล์ของเขา และนายวราทิตไม่เคยร่วมทำงานการเมืองในพื้นที่พบปะชาวบ้านร่วมกับครอบครัวเลย จึงสงสัยว่าจะไปลงสมัคร ส.ส.ได้อย่างไร” ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีของบุตรชายจะทำให้ครอบครัวถูกมองว่าจะย้ายไปสังกัดพรรคอื่นหรือไม่ นายเทอดพงษ์ ยืนยันหนักแน่นว่า “ต่อให้ผมตาย กระดูกก็จะอยู่กับ ปชป. พ่อของผมเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ปชป. เรื่องย้ายพรรคไม่เคยอยู่ในหัวเลย ผมทำงานการเมืองมา 30 ปี ไม่เคยมีใครมาชวน และไม่มีใครกล้ามาชวนให้ไปอยู่พรรคอื่น”
4. “อภิสิทธิ์” ส่งสัญญาณ ตร.ยึดคืนพื้นที่จากพันธมิตรฯ ทั้งหมด ด้านพันธมิตรฯ เตรียมร้องศาล รธน.ชี้ขาด พ.ร.บ.มั่นคงฯ หลังศาลแพ่งยกคำร้อง!
ความเคลื่อนไหวการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและความคืบหน้าสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา หลังที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเมื่อวันที่ 22 ก.พ. มีมติจะให้ทหารจากประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียนในปีนี้ เข้าสังเกตการณ์บริเวณพื้นที่ชายแดนของทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา ฝ่ายละ 15 คน แต่ยังไม่ได้กำหนดว่าจะเข้าสังเกตการณ์เมื่อใดนั้น
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 27 ก.พ. เจ้าหน้าที่จากกองทัพอินโดนีเซียจำนวน 5 นาย ได้ลงพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เคยเกิดเหตุปะทะก่อนหน้านี้ เพื่อวางแผนสำหรับการส่งเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ของอินโดนีเซียเข้ามาในพื้นที่ ด้าน พล.อ.เนียง พัท รัฐมนตรีช่วยกลาโหมของกัมพูชา บอกว่า ยังไม่ชัดเจนว่าคณะผู้สังเกตการณ์ของอินโดนีเซียจะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่เมื่อใด แต่คาดว่าคงเร็วๆ นี้
ขณะที่นายโคอิชิโร มัตสึอุระ ผู้แทนพิเศษขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก) ได้เข้าพบหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มี.ค.หลังเดินทางกลับจากการไปพบกับทางกัมพูชาเมื่อวันที่ 1 มี.ค. ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เผยว่า นายโคอิชิโร มัตสึอุระ มารายงานให้ทราบว่าไปพบกับทางกัมพูชาเป็นอย่างไรบ้าง และมารับฟังแนวคิดของไทยเพิ่มเติม ก่อนจะไปรายงานให้ผู้อำนวยการยูเนสโกทราบ จากนั้นผู้อำนวยการยูเนสโกจะทำข้อเสนอมาให้ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาพิจารณาอีกครั้ง โดยเป้าหมายชัดเจนคือ เพื่อลดความตึงเครียดในกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับยูเนสโกและกระทบกับพื้นที่ปราสาทพระวิหาร ส่วนที่มีข่าวว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาระบุว่า ผู้แทนจากยูเนสโกแจ้งกับกัมพูชาว่าไทยขอให้ยูเนสโกถอนเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้น นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า “ไม่จริง เพียงแต่เราบอกกับยูเนสโกว่า การเดินหน้าเรื่องแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร จะทำให้เกิดปัญหามากขึ้น และจะเป็นปัญหาระยะยาว อีกทั้งหลักของมรดกโลกก็ระบุว่า ตราบที่ยังมีปัญหากันอยู่ แล้วเข้ามาจัดการพื้นที่ที่เราถือว่าเป็นของเรานั้น ทำไม่ได้ พูดในกรอบนี้ โดยไม่ได้พูดถึงเรื่องการถอดจากมรดกโลก”
สำหรับความเคลื่อนไหวการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ปักหลักชุมนุมบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ลาออก เพื่อรับผิดชอบกรณีที่ล้มเหลวในการแก้ปัญหา ปล่อยให้กัมพูชารุกล้ำและยึดครองดินแดนไทย ทำให้สถานการณ์ตึงเครียด จนทหารทั้งสองฝ่ายปะทะกัน กระทั่งมีทหารและประชาชนเสียชีวิตนั้น ปรากฏว่า หลังจากที่ประชุม ครม.มีมติขยายเวลาประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ต่อไปอีก 30 วัน(24 ก.พ.-25 มี.ค.) พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ได้นำกำลังตำรวจประมาณ 700 นาย เข้ารื้อเต็นท์ของกลุ่มพันธมิตรฯ ประมาณ 5-6 เต็นท์ เมื่อเช้ามืดวันที่ 28 ก.พ. จากนั้นได้เปิดการจราจรบนถนนราชดำเนินนอก คู่ขนานฝั่งด้านหน้ากระทรวงศึกษาธิการ 2 ช่องจราจร
หลังปฏิบัติการรื้อเต็นท์บางส่วนของกลุ่มพันธมิตรฯ พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ออกมาบอกว่า ขอบคุณประชาชนทุกฝ่าย โดยเฉพาะ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ที่ให้ความร่วมมืออย่างดี และบอกให้ประชาชนอยู่ในความสงบ ไม่ให้ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ทำให้สามารถเปิดการจราจรได้จนถึงลานพระบรมรูปทรงม้าตั้งแต่เวลา 06.00น. และว่า เจ้าหน้าที่ยังตรึงพื้นที่และคุมเส้นทางนี้ตลอดเวลา
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็บอกเช่นกันว่า ต้องขอบคุณที่กลุ่มพันธมิตรฯ เปิดพื้นที่จราจรให้ประชาชนได้สัญจรไปมา นายอภิสิทธิ์ ยังส่งสัญญาณถึงตำรวจและพันธมิตรฯ ด้วยว่า ในอนาคตตนหวังว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะยอมเปิดถนนราชดำเนินนอกทั้งหมดอย่างถาวร และทางตำรวจก็พยายามเช่นนั้นอยู่ ส่วนถนนพิษณุโลกที่เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติปิดอยู่นั้น ก็เป็นอีกเป้าหมายที่รัฐบาลพยายามเปิดเส้นทางให้ได้ทั้งหมด
ขณะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ พูดถึงกรณีที่ตำรวจนำกำลังเข้ารื้อเต็นท์ของกลุ่มพันธมิตรฯ 5-6 เต๊นท์ว่า เป็นความตั้งใจของรัฐบาล ไม่ใช่ความตั้งใจของตำรวจ เพราะรัฐบาลเห็นว่าหากพันธมิตรฯ ชุมนุมอยู่อย่างนี้ รัฐบาลแย่แน่ๆ พล.ต.จำลอง ยังชี้ด้วยว่า รัฐบาลใช้อำนาจบังคับให้ตำรวจต้องทำอย่างนี้ และนี่ถือเป็นระยะแรกของการสลายการชุมนุม ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เกินความคาดหมาย เพราะรัฐบาลยอมให้พันธมิตรฯ อยู่ที่นี่แล้วเปิดโปงความจริงต่อไปไม่ได้
ส่วนกรณีที่พันธมิตรฯ ฟ้องต่อศาลแพ่งว่า นายกรัฐมนตรี-คณะรัฐมนตรี และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ในพื้นที่ 7 เขตโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากยังไม่มีเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคง จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศดังกล่าวหรือสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาด้วยการประกาศระงับการบังคับใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ไว้ก่อนนั้น ปรากฏว่า หลังจากศาลไต่สวนพยานแล้ว ได้มีคำสั่งยกคำร้องที่ขอให้ศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าว เนื่องจากศาลมองว่า ยังไม่มีเหตุเร่งด่วนฉุกเฉินหรือผลกระทบที่เกิดจากการประกาศใช้ พ.ร.บ.ดังกล่าว ประกอบกับยังไม่มีความชัดเจนว่า การประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ดังนั้นจึงยังไม่มีเหตุอันควรที่ศาลจะห้ามจำเลยทั้งสาม(นายกฯ - ครม.- ผบ.ตร.)บังคับใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ จึงมีคำสั่งยกคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินกรณีดังกล่าว ส่วนที่ขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนการประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ นั้น ศาลนัดชี้สองสถานในวันที่ 9 พ.ค.นี้ เวลา 09.00น.
ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรฯ เผยถึงแนวทางการต่อสู้ของพันธมิตรฯ หลังจากนี้ว่า ตนได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลแพ่งส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ประกาศและข้อกำหนดตาม พ.ร.บ.มั่นคงฯ ทั้ง 6 ฉบับของรัฐบาลขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยพันธมิตรฯ ยืนยันจะเดินหน้าชุมนุมต่อไป และว่า หลังจากนี้ หากตำรวจจะสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ อีก ตนก็จะยื่นขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินอีก เหมือนที่เคยทำมาแล้วเมื่อครั้งชุมนุมในทำเนียบรัฐบาล 193 วัน ซึ่งพันธมิตรฯ เป็นฝ่ายชนะ โดยสามารถชุมนุมในทำเนียบฯ ต่อไปได้
ส่วนกรณีที่จะมีการจัดงานกาชาดประจำปี 2554 ณ สวนอัมพร ช่วงปลายเดือน มี.ค.นี้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ยืนยันว่า การชุมนุมของพันธมิตรฯ จะไม่กระทบกับการจัดงานกาชาด เพราะบริเวณที่ชุมนุมไม่ใช่พื้นที่การจัดงาน และผู้ใช้รถใช้ถนนสามารถเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นได้ ซึ่งการชุมนุมของพันธมิตรฯ เมื่อปี 2551 ก็เคยเกิดกรณีเช่นนี้แต่ก็ไม่กระทบกับการจัดงานกาชาดแต่อย่างใด