xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 16-22 ม.ค.2554

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. ศาลเขมร พิพากษาจำคุก 5 คนไทย 9 เดือน แต่ให้รอลงอาญา ด้าน “สนธิ” ลั่น ชุมนุมใหญ่ 25 ม.ค.ปกป้องแผ่นดินไทย ไม่สยบใต้ “ฮุน เซน”!
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ หลังเดินทางกลับถึงไทยเมื่อเย็นวันนี้(22 ม.ค.)
ความคืบหน้ากรณีทหารกัมพูชาจับกุม 7 คนไทย ประกอบด้วย นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ,นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น และแกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ฯลฯ ขณะเดินทางไปตรวจสอบหลักเขตชายแดนที่ 46 ท้ายบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้วเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. จากนั้นได้ตั้งข้อหา 5 คนไทย 2 ข้อหา คือ ลักลอบเข้าเมืองโดยทุจริต และลักลอบเข้าพื้นที่ทางทหารของกัมพูชาโดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะที่นายวีระ และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ผู้สื่อข่าวเอฟเอ็มทีวี เครือข่ายสันติอโศก ถูกตั้งข้อหาเพิ่มอีก 1 ข้อหา คือ พยายามรวบรวมข้อมูลข่าวสารที่อาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศกัมพูชา อย่างไรก็ตาม ศาลกัมพูชาได้ยอมให้ประกันตัว 2 คนไทย คือ นายพนิช และนางนฤมล จิตรวะรัตนา เลขานุการส่วนตัวนายวีระ สมความคิด เมื่อวันที่ 13 ม.ค. โดยใช้หลักทรัพย์คนละ 1 หมื่นบาท แต่มีเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศกัมพูชา ทั้งสองจึงได้พักอยู่ที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญนั้น

ปรากฏว่า หลังจากทนายความได้ยื่นอุทธรณ์ขอประกันตัว 5 คนไทยที่เหลือ ศาลอุทธรณ์ของกัมพูชาจึงได้นัดพิจารณาเมื่อวันที่ 18 ม.ค. ก่อนอนุญาตให้ประกันตัวได้แค่ 4 คน ประกอบด้วย ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ สมาชิกสันติอโศก ,นายตายแน่ มุ่งมาจน ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์เอฟเอ็มทีวี เครือข่ายสันติอโศก ,นายกิชพลธรณ์ ชุสนะเสวี ผู้ช่วย ส.ส.นายพนิช ,น.ส.ราตรี ขณะที่นายวีระไม่ได้รับการประกันตัว ทำให้หลายฝ่ายข้องใจเป็นอันมาก เนื่องจากหากนายวีระไม่ได้รับการประกันตัว น.ส.ราตรีที่ถูกตั้งข้อหาเพิ่มเช่นเดียวกับนายวีระ คือจารกรรมข้อมูล ก็น่าจะไม่ได้รับการประกันตัวด้วย แต่กลับได้รับการประกันตัว ส่งผลให้นายวีระออกอาการหงุดหงิดหลังทราบว่าตนไม่ได้รับการประกันตัว โดยนายวีระหันมาตะโกนบอกผู้สื่อข่าวก่อนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์กัมพูชาจะนำตัวจากศาลอุทธรณ์ไปคุมขังยังเรือนจำเปรยซอร์เหมือนเดิมว่า “ผมจะสู้ให้ถึงที่สุด”

ด้านนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ แถลงเหตุผลที่ศาลไม่ให้ประกันตัวนายวีระว่า เนื่องจากถูกตั้งข้อหาพยายามประมวลข่าวสาร ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคงและการป้องกันประเทศ จึงไม่อนุญาตให้ประกันตัว เพื่อเป็นหลักประกันในการรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสาธารณะ เพื่อมิให้เกิดความวุ่นวายและเพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้ต้องสงสัย ส่วน น.ส.ราตรีได้รับการประกันตัว เนื่องจากเป็นสตรี ศาลเห็นว่าการให้ประกันตัวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการสืบสวน ขณะที่ น.ส.ราตรีก็สัญญาว่าจะไม่หลบหนีและจะมาแสดงตัวต่อศาลเมื่อถูกเรียกตัว

ด้านนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เผยหลังหารือกับนายฮอ นัม ฮง รองนายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาเรื่อง 7 คนไทย ระหว่างเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการที่ประเทศอินโดนีเซีย(16 ม.ค.) โดยยืนยันว่า อยากให้เรื่องที่ค้างคาอยู่ยุติโดยเร็วตามกระบวนการศาลกัมพูชา พร้อมย้ำ ตนจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์ของประชาชนสองประเทศตลอดแนวชายแดน นายกษิต ยังบอกด้วยว่า ไม่อยากให้เอาพฤติกรรมของคนบางคนบางกลุ่มในสังคมมาเป็นอารมณ์ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด “ผมได้อธิบายที่มาที่ไปของเรื่อง ใครเป็นใคร มีเป้าประสงค์อะไร อย่าให้เรื่องแบบนี้เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เพราะคนบางกลุ่มบางคนทำอะไรไม่งดงาม อยากให้เราทะเลาะกัน...”

สำหรับความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ นำโดย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม ,นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และนายสมบูรณ์ ทองบุราณ ซึ่งปักหลักชุมนุมบริเวณทำเนียบรัฐบาล เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกษิต ภิรมย์ ลาออก ก็ได้รวบรวมรายชื่อประชาชน 30,000 ชื่อ และเคลื่อนขบวนไปยื่นถวายฎีกาที่พระบรมมหาราชวังเมื่อวันที่ 18 ม.ค. เนื่องจากเห็นว่ารัฐบาลสมคบกับรัฐบาลกัมพูชาเป็นเหตุให้ไทยต้องเสียดินแดน ทั้งนี้ หลังยื่นฎีกาเรียบร้อยแล้ว นายไชยวัฒน์ได้ประกาศว่า จะเดินทางไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) เพื่อให้ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จับกุมในคดีร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปิดสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อทาง สตช.ทราบ จึงได้มีการเตรียมแผนเพื่อนำตัวนายไชยวัฒน์จาก สตช.ไปยังกองบังคับการปราบปราม

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่นายไชยวัฒน์จะเดินทางไปถึง สตช. ก็ถูกตำรวจบุกเข้าจับกุมเสียก่อนระหว่างที่นายไชยวัฒน์จอดแวะที่ห้างเทสโก้โลตัส ถนนพระรามที่ 1 โดยนายสมบูรณ์ ทองบุราณ ก็ถูกจับกุมด้วยในคดีเดียวกัน ด้าน พล.ร.อ.บรรณวิทย์ บอกว่า ตำรวจได้บุกเข้าจับกุมนายไชยวัฒน์ด้วยความรุนแรง โดยได้ถีบคนสนิทของนายไชยวัฒน์จนล้มลงด้วย ก่อนควบคุมตัวนายไชยวัฒน์และนายสมบูรณ์ไปยังกองบังคับการปราบปราม ก่อนนำตัวทั้งสองไปขอศาลฝากขัง ซึ่งทั้งสองยืนยันจะไม่ประกันตัว เนื่องจากรับไม่ได้กับข้อหาดังกล่าว

ด้านนายสุนทร รักษ์รงค์ กรรมการเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ชี้ว่า การจับกุมนายไชยวัฒน์และนายสมบูรณ์ เป็นเสมือนการข่มขู่คุกคามให้เครือข่ายยุติการชุมนุม แถมยังมีการยัดข้อหาและทำร้ายร่างกายผู้ร่วมชุมนุมบางคนจนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเดิมเครือข่ายฯ มีแนวคิดจะยุติชุมนุมหลังยื่นถวายฎีกา แต่เมื่อมีการจับกุมแกนนำ ทางเครือข่ายฯ จึงขอยกระดับเป็นการชุมนุมยืดเยื้อ จนกว่าจะได้รับชัยชนะ พร้อมกันนี้จะเดินทางไปแจ้งให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เอาผิดทางวินัยเจ้าหน้าที่ที่ทำรุนแรงเกินเหตุด้วย

ด้านนายการุณ ใสงาม ตัวแทนเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ได้เดินทางไปกัมพูชาและเข้าเยี่ยมนายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายฯ ที่เรือนจำเปรยซอร์เมื่อวันที่ 19 ม.ค. หลังเข้าเยี่ยม นายการุณเผยว่า นายวีระได้ฝากแถลงการณ์ 4 ข้อ คือ 1.ยืนยันว่าขณะที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุม นายวีระและคนไทยทั้ง 7 ยังอยู่ในเขตแดนไทย 2.ศาลกัมพูชาไม่มีสิทธิเข้ามาตัดสินคดีนี้ เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทย 3.นายวีระยืนหยัดจะต่อสู้จนหยดสุดท้าย ไม่หวั่นว่าต้องถูกจำคุกนานแค่ไหน และ 4.ขอบคุณคนไทยที่คอยเป็นกำลังใจให้ตลอด

ทั้งนี้ สื่อกัมพูชารายงานว่า ศาลชั้นต้นแห่งกรุงพนมเปญกำหนดวันที่จะพิพากษาคดี 7 คนไทยในวันที่ 1 ก.พ. เวลา 07.30น. แต่ทันทีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ทราบกำหนดดังกล่าว ต่างออกมาส่งสัญญาณแสดงความผิดหวัง พร้อมเผยว่า กำลังประสานให้รัฐบาลกัมพูชาเห็นถึงความเร่งด่วนในการพิจารณาคดี เพราะการปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อ ไม่น่าจะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย

เป็นที่น่าสังเกตว่า การที่รัฐบาลพยายามเร่งคดี 7 คนไทยให้ศาลกัมพูชาพิจารณาโดยเร็ว กระทั่งศาลกัมพูชาได้เลื่อนพิพากษาคดีให้เร็วขึ้นจากวันที่ 1 ก.พ.เป็น 21 ม.ค. ทำให้หลายฝ่ายมองว่า รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาพยายามจะลดกระแสการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 25 ม.ค.นี้ ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ เพื่อคัดค้านการที่สภาจะรับรองบันทึกคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทย-กัมพูชา(เจบีซี)

ด้านศาลกัมพูชาได้พิจารณาและพิพากษาคดี 5 คนไทยก่อน ส่วนนายวีระและ น.ส.ราตรีนั้น นัดพิพากษาในวันที่ 1 ก.พ.เหมือนเดิม โดยศาลได้ชี้แจงเหตุผลที่เลื่อนการพิพากษาคดี 5 คนไทยเร็วขึ้นว่า เนื่องจากจำเลยทั้ง 5 ร้องเรียนผ่านทนายความให้ศาลพิจารณาคดีให้เร็วขึ้น เพราะครอบครัวและญาติเป็นห่วง ซึ่งศาลเห็นว่าการเลื่อนจะไม่กระทบต่อรูปคดี ทั้งนี้ ศาลได้พิเคราะห์หลักฐานจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง และเอกสารของกลางที่เจ้าหน้าที่ยึดได้จากจำเลยแล้ว เห็นว่า คนไทยทั้ง 5 ได้กระทำความผิดใน 2 ข้อหา คือ ลักลอบเข้าเมืองโดยทุจริต และลักลอบเข้าพื้นที่ทางทหารของกัมพูชาโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงพิพากษาให้จำคุกจำเลยทั้ง 5 คนละ 9 เดือน และปรับคนละ 1 ล้านเรียล(7,500 บาท) แต่เนื่องจากผู้กระทำผิดได้ถูกลงโทษจำคุกไปแล้ว 1 เดือน จึงเหลือโทษจำคุก 8 เดือน แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา

หลังศาลกัมพูชาเร่งพิจารณาคดีและพิพากษาลงโทษจำคุก 5 คนไทย โดยรอลงอาญา ปรากฏว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี รีบออกมาบอกว่า เป็นผลมาจากการประสานงานระหว่างรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ พร้อมยืนยันว่า การเจรจาครั้งนี้ไม่ได้มีการต่อรองหรือแลกเปลี่ยนใดใด “ผมต้องขอกราบขอบคุณสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา รัฐบาล และประชาชนกัมพูชาที่เข้าใจ ช่วยกันคลี่คลายปัญหาไม่ให้ลุกลามบานปลายต่อไป”

ขณะที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เดินทางไปรับนายพนิช และอีก 4 คนไทยที่ประเทศกัมพูชา โดยกลับถึงประเทศไทยแล้วเมื่อเวลา 17.00น.วันนี้(22 ม.ค.)

ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชี้ว่า คำตัดสินของศาลกัมพูชาที่ระบุว่า 5 คนไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชา สะท้อนว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ,นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ,นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม เข้าข่ายกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงของราชอาณาจักร มาตรา 119-120 ที่ยอมให้ศาลเขมรใช้อำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ที่ยังตกลงกันไม่ได้ ซึ่งผู้กระทำผิดมาตราดังกล่าวมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต-จำคุกตลอดชีวิต

นายสนธิ ยังพูดถึงการชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวานฯ ในวันที่ 25 ม.ค.นี้ด้วยว่า เป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะเป็นการต่อสู้เรื่องดินแดนของประเทศไทย จึงต้องต่อสู้เพื่อไม่ให้เสียชาติเกิด “ไม่มีครั้งไหนยิ่งใหญ่เท่าครั้งนี้ สู้กับทักษิณ ยังไม่ยิ่งใหญ่เท่าสู้เรื่องดินแดนประเทศไทย...สู้วันที่ 25 เป็นการสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตการต่อสู้ เพราะว่าเราสู้เพื่อประเทศจริงๆ เราสู้เพื่อไม่ให้เสียชาติเกิด เราสู้เพราะเราไม่ยอมที่จะสยบใต้สถุนอย่างฮุน เซน และเราสู้เพื่อไม่ให้คนในรัฐบาลของเราไปสมรู้ร่วมคิดกับกุ๊ยอย่างฮุน เซน ไปแอบขายชาติให้ฮุน เซน เราสู้เพื่อชาติจริงๆ เลยอยากให้พ่อแม่พี่น้องออกมากันเยอะๆ สู้กันนานๆ งานนี้ถึงไหนถึงกัน”

2. สภา ดีเดย์ถกแก้ รธน.วาระสอง 25 ม.ค.นี้ พร้อมเล็งขยายเวลาศึกษา “เจบีซี” อีก 3 เดือน!

 เจ้าหน้าที่รัฐสภาฉีดพ่นน้ำยากันยุงภายในห้องประชุมสภา เตรียมพร้อมประชุมร่วมรัฐสภาครั้งที่ 1 สมัยสามัญทั่วไป ในวันที่ 25-26 ม.ค.นี้
ความคืบหน้ากรณีคณะกรรมาธิการ(กมธ.) พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีนายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธาน ได้ประชุมและมีมติเรื่องระบบเลือกตั้ง โดยเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ หนุนสูตร ส.ส.เขต 375 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 125 คน ซึ่งเป็นสูตรที่คณะรัฐมนตรีเสนอ ขณะที่ กมธ.จากพรรคร่วมรัฐบาลหนุนสูตร ส.ส.เขต 400 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คนตาม รธน.2540 ส่งผลให้พรรคร่วมรัฐบาลถูกมองว่ากำลังร้าวหนัก ซึ่งหากไม่สามารถรอมชอมกันได้ อาจส่งผลให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจยุบสภา

ปรากฎว่า นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ได้ออกมาเสนอสัดส่วน ส.ส.สูตรใหม่ คือ ส.ส.เขต 400 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 125 คน จากนั้น นายมานิต นพอมรบดี ส.ส.ราชบุรี พรรคภูมิใจไทย ได้สงวนคำแปรญัตติพร้อมเสนอสูตร ส.ส.400+125 ต่อที่ประชุมกรรมาธิการชุดนายเทอดพงษ์ โดยให้เหตุผลว่า สูตรดังกล่าวจะทำให้เกิดการปรองดองระหว่างฝ่ายที่หนุน 375+125 กับฝ่ายที่หนุน 400+100 โดย ส.ส.เขต 400 คน ทำให้ดูแลประชาชนได้ทั่วถึง ส่วน ส.ส.สัดส่วน 125 ก็จะทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็งตามที่นักวิชาการต้องการ เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ที่สงวนคำแปรญัตติเสนอสูตรดังกล่าว นอกจากพรรคภูมิใจไทยแล้ว ยังมี ส.ส.พรรคเพื่อไทย และพรรคเพื่อแผ่นดินด้วย ขณะที่นายเทอดพงษ์ บอกว่า เป็นโอกาสดีที่มีผู้แปรญัตติสูตรนี้เอาไว้ จะได้ลองปรึกษากันทั้งในพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาล ถ้าทุกคนโอเคก็ไปว่ากันในสภา

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยังคงยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์หนุนสูตรส.ส.375+125 ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนา นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรค ก็ยืนยันว่า พรรคยังยืนหยัดในสูตร 400+100 เท่านั้น ด้านนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรครวมชาติพัฒนา เชื่อว่า การแก้ไข รธน.จะไม่สร้างความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลและสังคม พร้อมฝากว่า จะแก้ไขใช้สูตรใดก็ขอให้คำนึงถึงประเทศชาติ

ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย วิเคราะห์ว่า การเสนอแก้ไข รธน.ครั้งนี้น่าจะเข้าข่ายมวยล้มต้มคนดู เพราะแท้จริงแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ต้องการระบบเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเรียงเบอร์ และ ส.ส.สัดส่วน 8 กลุ่ม 80 คน ตามที่นายอภิสิทธิ์ไปร้องขอต่อ กมธ.ยกร่างชุดที่มี น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นประธาน แต่เนื่องจากไปรับปากพรรคร่วมรัฐบาลไว้ว่าจะแก้ไข รธน. จึงเสนอแนวคิดสูตร 375+125 ขึ้นมา เพื่อให้พรรคร่วมฯ รับไม่ได้ และนำไปสู่การล้มกระดานแก้ไข รธน. แล้วกลับไปใช้สูตร 400+80 ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ประโยชน์มากที่สุด

ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์จะโหวตแก้ รธน.สูตร 375+125 แน่นอน แม้นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย จะเสนอสูตรใหม่ 400+125 ขึ้นมาก็ตาม นายสาทิตย์ ยังบอกด้วยว่า การแก้ รธน.จะต้องรีบทำ เพราะอาจมีการยุบสภาในเดือน พ.ค.นี้ก็ได้

เป็นที่น่าสังเกตว่า การพูดถึงเรื่องยุบสภา ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลรู้สึกว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังนำเรื่องยุบสภามาขู่เรื่องแก้ รธน. ร้อนถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ต้องรีบออกมาปฏิเสธว่า พรรคไม่เคยมีปฏิทินเรื่องยุบสภา “ท่านนายกรัฐมนตรี และผมในฐานะที่มีหน้าที่ดูแลรัฐบาล ยืนยันว่าไม่เคยข่มขู่ใคร และจะไม่ทำเด็ดขาด เพราะเราเข้าใจดีว่าในสถานการณ์อย่างนี้ ความสามัคคีและความเข้าใจระหว่างกันมีความสำคัญที่สุด โดยเฉพาะภายในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ถ้ามีอะไรก็ต้องพูดจากัน แล้วเสียงข้างมากในสภาออกมาว่าอย่างไรก็ดำเนินการไปตามนั้น”

ด้านนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ได้มีคำสั่งนัดประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 25 ม.ค. เวลา 09.30น. โดยมีวาระพิจารณาเรื่องสำคัญ 2 เรื่อง คือ 1.ร่างแก้ไข รธน.มาตรา 190 และ 2.ร่างแก้ไข รธน.มาตรา 93-98 ซึ่งเป็นการพิจารณาวาระ 2 โดยมี ส.ส.-ส.ว.ขอแปรญัตติร่างแก้ไข รธน.ทั้ง 2 ฉบับจำนวน 63 คน นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ประธานรัฐสภาจะแจ้งให้ที่ประชุมทราบ คือ อนุญาตให้คณะกรรมาธิการศึกษาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(เจบีซี) รวม 3 ฉบับ ขยายเวลาการศึกษาเรื่องดังกล่าวออกไปอีก 90 วัน รวมทั้งเรื่องด่วนอื่นๆ ที่ค้างอยู่ในวาระการประชุมอีก 7 เรื่อง

3. ดีเอสไอ เผยผลสอบ 89 ศพ พบเป็นฝีมือ “นปช.” 12 ศพ-จนท.รัฐ 13 ศพ ที่เหลือยังไม่รู้ รวมถึงคดียิง “เสธ.แดง”ด้วย!
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ
เมื่อวันที่ 20 ม.ค.นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เปิดแถลงผลสอบกรณีมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ความไม่สงบอันเนื่องมาจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 จำนวน 89 ศพ ซึ่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) มอบหมายให้ดีเอสไอสอบสวนร่วมกับอัยการ และเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ โดยได้รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจากพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์ ,เจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว ตลอดจนภาพนิ่ง-ภาพเคลื่อนไหวที่ได้จากสื่อมวลชนและประชาชน ซึ่งเบื้องต้น ผลการสืบสวนสอบสวนแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.การเสียชีวิตที่น่าเชื่อว่าเป็นการกระทำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) มี 12 ราย ได้แก่ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ,เจ้าหน้าที่ทหาร ,ตำรวจ และผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เพลิงไหม้ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

2.การเสียชีวิตซึ่งการสืบสวนสอบสวนพบพยานหลักฐานเบื้องต้นว่า อาจเกิดขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยรวม 8 คดี มีผู้เสียชีวิต 13 ราย
โดยกรณีนี้พนักงานสอบสวนเห็นว่า ควรดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 150 เกี่ยวกับการชันสูตรพลิกศพ จึงได้ส่งสำนวนให้ตำรวจท้องที่เพื่อดำเนินการ ซึ่งคดีนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่น การเสียชีวิต 3 ศพในวัดปทุมวนาราม การเสียชีวิตในสวนสัตว์ดุสิต และการเสียชีวิตของพลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ ที่แยกอนุสรณ์สถานแห่งชาติ รวมทั้งการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต้ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์

และ 3.การเสียชีวิตซึ่งสอบสวนแล้วยังไม่พบตัวผู้กระทำผิด จำนวน 18 คดี มีผู้เสียชีวิต 64 ราย เช่น การเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ,น.ส.กมลเกด อัคฮาด และนายฟาบริโอ โปเรงกิ ผู้สื่อข่าวชาวอิตาลี ซึ่งดีเอสไอจะพยายามสืบสวนสอบสวนต่อไป โดยจะแถลงให้ประชาชนทราบเป็นระยะๆ

นายธาริต ยังแถลงขอความเป็นธรรมให้กับเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะทหารที่เข้าปฏิบัติการกระชับพื้นที่และขอคืนพื้นที่จากกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค.ด้วย โดยบอกว่า การเข้าปฏิบัติการของฝ่ายทหารเป็นหน้าที่ความจำเป็นตามสถานการณ์วิกฤตในขณะนั้น เพื่อแก้ไขสถานการณ์และนำความสงบกลับคืนสู่ประเทศโดยเร็ว ดังนั้นการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินย่อมเกิดขึ้นได้ ซึ่งฝ่ายทหารและตำรวจเองก็เสียชีวิตจำนวนมาก ส่วนการเสียชีวิตของกลุ่ม นปช.นั้น ต้องมีการตรวจสอบเป็นรายคดีไป หากฝ่ายทหารได้กระทำไปด้วยความจำเป็นเพื่อระงับเหตุร้าย ก็จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ไม่เป็นความผิดหรือไม่ต้องรับผิด ซึ่งศาลจะเป็นผู้ชี้ขาด ขณะนี้จึงไม่ควรด่วนตัดสินความถูกผิด เพราะจะเป็นการตัดตอนกระบวนการยุติธรรม

ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี พูดถึงกรณีที่นางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธาน นปช.จะมอบอำนาจให้สำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัม ฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศกรณีคนเสื้อแดงเสียชีวิตช่วงสลายการชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค.ว่า คงไม่น่ากังวลอะไร เพราะข้อเท็จจริงชัดเจนอยู่แล้ว และว่า การจะไปศาลโลกนั้น ควรจะเป็นเรื่องที่มีการเข่นฆ่ากันเป็นจำนวนมาก อย่างคดีฆ่าตัดตอนช่วงปราบปรามยาเสพติดสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีผู้เสียชีวิต 2,000 กว่าศพ

4. 40 โจรใต้ยิงถล่มฐานทหารที่นราธิวาส ส่งผล จนท.ดับ 4 เจ็บอีก 6 ด้าน ตร.เตรียมออกหมายจับ 5 อาร์เคเค!

 ครอบครัว ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ เดินทางมารับศพที่ท่าอากาศยานกองบิน 6 ท่ามกลางทหารกองเกียรติยศ(21 ม.ค.)
เหตุไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น หลังรัฐบาลได้นำร่องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานีไปเมื่อไม่นานมานี้ โดยล่าสุด คนร้ายกว่า 40 คน พร้อมอาวุธได้บุกเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการกองร้อยทหารราบที่ 15121 หน่วยเฉพาะกิจ(ฉก.)นราธิวาสที่ 38 อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 4 นาย ประกอบด้วย ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ ผู้บังคับกองร้อยทหารราบที่ 15121 ฉก.นราธิวาสที่ 38 ,ส.อ.เทวารัตน์ เทวา ,ส.อ.ดุลเลาะ ดะหยี หัวหน้าชุดยิงหมู่ปืนเล็ก และ พลทหารประวิทย์ ชูกลิ่น พลวิทยุ นอกจากนี้ยังมีทหารบาดเจ็บอีก 6 นาย ซึ่งคนร้ายไม่เพียงยิงถล่มฐานปฏิบัติการและทำร้ายเจ้าหน้าที่ แต่ยังปล้นอาวุธในคลังแสงไปด้วย

ทั้งนี้ มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่พบชิ้นส่วนวัตถุระเบิดที่คนร้ายบุกโจมตี โดยพบหลุมเครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 กว่า 20 จุด ปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 เอ็ม 60 อาก้า ลูกซอง อาวุธปืนพกสั้นขนาด 9 มม. ขนาด 11 มม.ตกอยู่เกลื่อนกว่า 700 นัด ส่วนบริเวณรั้วสนามด้านหลังฐานปฏิบัติการ พบไม้กระดานยาวประมาณ 3 เมตร กว่า 10 แผ่น วางพาดอยู่ คาดว่าคนร้ายใช้เป็นสะพานวิ่งกรูเข้าโจมตีทหารแบบประชิดตัว

ด้าน พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 พูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวหลังเข้าเยี่ยมนายทหารที่ได้รับบาดเจ็บอีก 6 นายที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์(20 ม.ค.)ว่า การบุกเข้าโจมตีฐานทหารครั้งนี้ เป็นฝีมือคนร้ายกลุ่มเดียวกับที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี เข้ามาปลุกระดมให้กลุ่มคนร้ายในพื้นที่ จ.นราธิวาสก่อเหตุ โดยอาศัยจังหวะที่ทหารกำลังรับประทานอาหารมื้อค่ำกันอยู่ จึงขาดการระมัดระวังตัว และว่า หลังเกิดเหตุทหารได้กระจายกำลังกันออกติดตามไล่ล่าคนร้ายอย่างต่อเนื่องแล้ว ส่วนอาวุธปืนในคลังแสงของกองร้อย ร.15121 ถูกคนร้ายปล้นไปกี่กระบอกนั้น ยังไม่ทราบแน่ชัด ต้องรอตรวจสอบก่อน

ทั้งนี้ มีรายงานว่า คนร้ายสามารถยึดปืนเอ็ม 16 ไปจากคลังแสงฐานปฏิบัติการดังกล่าว 50-60 กระบอก ,กระสุนปืนเอ็ม 16 กว่า 5,000 นัด และปืนกลหนักซึ่งติดตั้งอยู่บนหลังคารถฮัมวี่อีก 2 กระบอก

ด้าน พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.)ภาค 4 ส่วนหน้า แถลงว่า “หลังเกิดเหตุ พล.ท.อุดมชัยสั่งให้เจ้าหน้าที่ปิดล้อมพื้นที่ทันที เพื่อไล่ล่ากลุ่มคนร้าย ส่วนที่มีข่าวว่า อาจมีเจ้าหน้าที่บางรายแจ้งเบาะแสให้กับกลุ่มคนร้ายนั้น ยังไม่มีรายงานยืนยันแน่ชัด อยู่ระหว่างการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่”

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เรียก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เข้าพบ(20 ม.ค.) เพื่อรายงานเหตุการณ์ดังกล่าว จากนั้นนายอภิสิทธิ์ ได้แสดงความเสียใจต่อผู้สูญเสีย พร้อมคาดว่า การที่คนร้ายก่อเหตุดังกล่าว น่าจะเพื่อหวังผลใช้เป็นเงื่อนไขในโอกาสที่องค์การการประชุมอิสลาม(โอไอซี)ใกล้จะเปิดประชุม

ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ชี้ว่า สาเหตุที่คนร้ายก่อเหตุครั้งนี้ เพราะสูญเสียมวลชนที่หันมาสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่มากขึ้น จึงพยายามสร้างเหตุร้ายเพื่อให้เห็นว่าพวกตนยังมีอิทธิพลอยู่ ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าสถานการณ์ในพื้นที่จะรุนแรง แต่เป็นธรรมดาที่ฝ่ายหนึ่งเฝ้าระวัง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งจ้องปฏิบัติการ จึงมีจังหวะที่อาจหย่อนไปบ้าง จนทำให้เกิดปัญหาขึ้น ถือว่าตรงนี้เป็นบทเรียน ผมกำชับไปแล้วว่าจะต้องพยายามไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นโดยเด็ดขาด ดังนั้น ต้องไม่เผลออีก”

ด้าน พล.ต.ต.ชัยทัต อินทนูจิตร ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.นราธิวาส บอกว่า คนร้ายเป็นกลุ่มอาร์เคเค มีนายอับดุลเลาะ อาบู หัวหน้าชุดคอมมานโดของกลุ่มอาร์เคเค เป็นหัวหน้าชุด ขณะนี้พนักงานสอบสวนกำลังเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติออกหมายจับนายอับดุลเลาะกับพวก 5 คนอย่างเร่งด่วนแล้ว

ด้าน จ.ส.อ.จินตนะ นุชตะมะ 1 ใน 6 ทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว เล่าว่า คืนนั้น ขณะที่ตนและ ร.อ.กฤช กำลังนั่งเคลียร์เอกสารต่างๆ ในอาคารหลังหนึ่งที่ดัดแปลงเป็นห้องทำงาน ไฟหลอดนีออนได้ดับพรึบลง จากนั้นกระสุนปืนได้พุ่งเข้าใส่อาคารจากทุกทิศทุกทาง โดยเฉพาะที่ประตูทางออกอาคาร ทำให้ไม่สามารถวิ่งฝ่าออกไปได้ ร.อ.กฤช จึงตัดสินใจกระโดดหนีออกทางหน้าต่าง “ขณะที่ ร.อ.กฤชกำลังกระโดดพุ่งลอยตัวออกทางหน้าต่างนั้น คนร้ายซึ่งดักซุ่มอยู่ใต้ต้นลองกองได้กราดยิงเข้าใส่นับร้อยนัด จน ร.อ.กฤชร่วงลงกับพื้นเสียชีวิตทันที ส่วนผมได้กระโดดตามออกมา จึงถูกกระสุนปืนที่ข้อเท้าข้างขวาได้รับบาดเจ็บ”

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ร.อ.กฤช หรือ “ผู้กองบอย” เป็นหลานชายของ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรีกลาโหม และเป็น นตท.รุ่น 38 รุ่นเดียวกับ ร.ต.อ.ธรณิศ ศรีสุข หรือ “ผู้กองแคน” ที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตขณะออกลาดตระเวนในพื้นที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อเดือน ก.ย.2550 ปัจจุบัน ร.อ.กฤชกำลังศึกษาปริญญาเอกคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต โดยใกล้จะจบแล้ว และวางแผนเตรียมแต่งงานกับคู่หมั้นสาว แต่มาเสียชีวิตลงเสียก่อน หลัง ร.อ.กฤช เสียชีวิต ปรากฏว่า ผู้ที่ทราบข่าวต่างเข้าไปแสดงความอาลัยผ่านเฟซบุ๊คของ ร.อ.กฤชเป็นจำนวนมาก โดยบางรายเขียนว่า “ขณะที่ทหารไทยที่ปลายด้ามขวานกำลังปกป้องผืนแผ่นดินไทย เพื่อให้ “เราหลับฝันดี” ในวาระสุดท้ายเราต่างกล่าวว่า “หลับให้สบาย” แก่พวกเขา”

สำหรับพิธีศพของ ร.อ.กฤช จัดขึ้นที่วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร บางเขนเมื่อวันที่ 21 ม.ค. ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก อัญเชิญพวงมาลาหลวง และพวงมาลาในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พล.อ.สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พล.อ.หญิงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระบรมวงศานุวงศ์ วางหน้าหีบศพ

ด้านกองทัพบก แจ้งว่า บุคลากรผู้เสียสละทุกนายจะได้รับการปูนบำเหน็จ 9 ชั้น และได้รับพระราชทานยศสูงขึ้น โดย ร.อ.กฤชจะได้เลื่อนยศเป็น “พันเอก” และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก ส่วน ส.อ.เทวรัตน์ เทวา และ ส.ท.อับดุลเลาะ ดะหยี จะได้เลื่อนยศเป็น “ร้อยเอก” และได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย สำหรับพลทหารประวิทย์ ชูกลิ่น จะได้เลื่อนยศเป็น “ร้อยตรี” และได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย นอกจากนี้ทั้ง 4 ยังจะได้รับเงินช่วยเหลือตามสิทธิของทางราชการ เช่น เงินประกันชีวิตพิทักษ์พลกระทรวงกลาโหม 500,000 บาท
กำลังโหลดความคิดเห็น