xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 15-21 ก.พ.2553

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ


1. สะพัด ใช้เงินพันล้านซื้อผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ ด้าน “ทักษิณ” ล่อใจ ปชช. หากพากลับ ปท.ได้ จะช่วยล้างหนี้ให้!
นายสำราญ รอดเพชร โฆษกพรรคการเมืองใหม่ เผย มีความพยายามซื้อผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ด้วยเงินหลักพันล้าน (21 ก.พ.)
สถานการณ์บ้านเมืองก่อนถึงวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 7.6 หมื่นล้านบาทในวันที่ 26 ก.พ. หลังจากมือมืดได้นำระเบิดซีโฟร์ใส่กล่องน้ำผลไม้ไปซุกไว้ริมรั้วศาลฎีกาฯ ฝั่งตรงข้ามคลองหลอดเมื่อคืนวันที่ 13 ต่อเนื่องวันที่ 14 ก.พ. โชคดี รปภ.ของศาลพบ จึงแจ้งเจ้าหน้าที่มาเก็บกู้ได้ทัน นอกจากนั้น คืนเดียวกัน(13 ก.พ.) ยังได้เกิดระเบิดขึ้นภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพาณิชย์พระนคร ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับทำเนียบรัฐบาล จากการตรวจสอบพบว่าเป็นระเบิดเอ็ม 79 คาดว่า คนร้ายน่าจะต้องการยิงใส่ทำเนียบรัฐบาลมากกว่า แต่กระสุนมาไม่ถึงนั้น

ปรากฏว่า พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ได้ออกมาปฏิเสธว่า เหตุระเบิดไม่เกี่ยวกับตนแน่นอน เพราะถ้า เสธ.แดงทำ จะต้องโฆษณาสินค้า บอกก่อนล่วงหน้า ขณะที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ออกมาปฏิเสธเช่นกันว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดทั้งสอง พร้อมเชื่อว่าเป็นการสร้างสถานการณ์

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.และ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ก็ออกมาบอกว่า เหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล เชื่อว่าเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อให้กลุ่มเสื้อแดงตกเป็นจำเลย พร้อมอ้างว่า การยิงดังกล่าว เป็นการยิงเพื่อวัดระยะเวทีของกลุ่ม นปช.ที่จะตั้งเวทีบนสะพานชมัยมรุเชฐ โดยคนของรัฐบาลยิงมาจากสนามม้านางเลิ้ง แต่เมื่อพลาดก็ได้ภาพความรุนแรง นายจตุพร ยืนยันด้วยว่า วันที่ 26 ก.พ. กลุ่ม นปช.จะไม่มีการไปชุมนุมที่ศาลฎีกา เพราะจุดยืนของ นปช.ชัดเจนว่ากระบวนการพิจารณาคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช.อีกคน ได้ออกมาส่งสัญญาณให้คนเสื้อแดงไปที่ศาลฎีกาในวันที่ 26 ก.พ. โดยบอก วันที่ 26 ก.พ.กลุ่มเสื้อแดงจะไม่นัดดีเดย์ แต่เป็นอิสระของคนไทยที่จะที่นั่นกันเอง ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.บอกว่า แกนนำคนเสื้อแดงนัดประชุมกันวันที่ 24 ก.พ.เพื่อกำหนดวันชุมนุมใหญ่ คาดว่าจะแถลงข่าวได้ในวันนั้นเลย

ขณะที่นายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เชื่อมั่นว่า เหตุวางระเบิดศาลฎีกาฯ จะไม่ถือเป็นภยันตรายที่จะทำให้เลื่อนอ่านคำพิพากษาในวันที่ 26 ก.พ.ออกไป พร้อมยืนยัน ไม่มีอะไรทำให้ผู้พิพากษาหวั่นไหว “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งแก่ผู้ช่วยผู้พิพากษาที่เข้ารับการโปรดเกล้าฯ เมื่อเดือนก่อนว่า ผู้พิพากษาจะต้องปฏิบัติหน้าที่จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ท่านตรัสซ้ำถึง 7 ครั้ง ซึ่งในหลวงทรงเห็นว่า ผู้พิพากษาเป็นหน่วยหนึ่งที่มีหน้าที่รักษาความมั่นคงปลอดภัยให้บ้านเมือง”

ด้าน พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เผยว่า เพื่อเร่งคลี่คลายคดีระเบิดทั้ง 2 จุด จึงได้ตั้งรางวัลนำจับสำหรับผู้ที่ชี้เบาะแสของคนร้ายได้เป็นเงินจุดละ 1 ล้านบาท

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งตั้งคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ความมั่นคง(คตม.) เพื่อให้มีกลไกเพิ่มขึ้นในการติดตามเฝ้าระวังและเสนอแนะมาตรการในการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงเป็นประธาน

ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.และ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ออกมาอ้างว่ามีเอกสารลับของฝ่ายความมั่นคงที่ประชุมเมื่อวันที่ 12 ก.พ. โดยนายจตุพรเปิดแถลงเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าว(16 ก.พ.)ว่า เป็นแผนจัดการกลุ่มเสื้อแดง “ที่ประชุมหน่วยงานความมั่นคงตั้งสมมติฐานว่า ให้จับแกนนำ 1 คน เพื่อลดผู้ชุมนุม 1 พันคน โดยเตรียมจับกุมแกนนำตามต่างจังหวัดก่อน แล้วค่อยจับกุมแกนนำอย่างพวกผมในตอนท้าย หากพวกผมโดนจับก่อนจะเกิดจลาจลได้...”

ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ยืนยันว่า เอกสารที่นายจตุพรอ้างว่าเป็นเอกสารลับ ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับแต่อย่างใด โดยเป็นเรื่องที่จะดูแลประเทศชาติให้เกิดความสงบสุข พร้อมแสดงความเป็นห่วงว่า จะมีการนำเนื้อหาในเอกสารดังกล่าวไปบิดเบือนจนทำให้ประชาชนเกิดความสับสน เพราะเอกสารที่แกนนำเสื้อแดงนำไปอ้าง บางส่วนจริง แต่บางส่วนถูกนำไปเพิ่มเติมตามเจตนาที่จะสร้างกระแส

ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เผยถึงมาตรการเฝ้าระวังเหตุร้ายก่อนวันตัดสินคดียึดทรัพย์ว่า จะมีการตั้งศูนย์รักษาความปลอดภัย กทม. เพื่อให้ประชาชนแจ้งเบาะแสความผิดปกติต่างๆ ผ่านสายด่วน 1555 จำนวน 120 คู่สาย ตลอด 24 ชั่วโมง โดยจะเปิดศูนย์วันที่ 24 ก.พ. และว่า ได้ประสานกับศาลฎีกาฯ เรียบร้อยแล้วว่า วันที่ 26 ก.พ.จะมีการถ่ายทอดเสียงการพิจารณาคดียึดทรัพย์ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 และวิทยุกรมประชาสัมพันธ์

ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาฟันธงว่า สถานการณ์วันที่ 26 ก.พ.จะจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง ไม่มีอะไรรุนแรง ถ้าทุกฝ่ายเคารพคำตัดสินของศาล “ผมฟันธงได้เลยว่า การเมืองวันนี้ไม่มีอะไร เพราะประชาชนไม่เอาด้วย ใครเล่นนอกเกมพัง ใครเล่นในเกมก็มีโอกาสชนะ โดยเฉพาะกรณียึดทรัพย์ และในวันที่ 26 ก.พ. ไม่ว่าศาลจะตัดสินอย่างไร ทุกฝ่ายต้องเคารพ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างจบแฮปปี้เอ็นดิ้ง เพราะคนเสื้อแดงยืนยันว่า จะชุมนุมโดยสันติ อหิงสา ส่วนฝ่ายรัฐบาล นายสุเทพก็จะดำเนินการควบคุมการชุมนุมภายใต้กฎหมาย ดังนั้น ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะถ้าศาลตัดสินยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณยังมีเวลาอีก 30 วัน ที่จะยื่นหลักฐานใหม่ เพื่อขออุทธรณ์ในชั้นฎีกาได้”

ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีในคดีซื้อที่รัชดาฯ ได้วิดีโอลิงก์มายังกลุ่มคนเสื้อแดงที่ จ.หนองบัวลำภู(19 ก.พ.) โดยปลุกทุกคนให้เข้ามาชุมนุมในกรุงเทพฯ พร้อมหาสิ่งล่อใจประชาชนเพื่อให้ช่วยพาตนกลับประเทศ โดยบอกว่า หากประชาชนนำตนกลับบ้านได้ จะตอบแทนคุณ เช่น 6 เดือนแรก ใช้หนี้ให้กับทุกครัวเรือน ปราบยาเสพติดให้สิ้นแผ่นดิน 6 เดือนที่สอง ขอหาสตางค์มาให้ใช้กันถ้วนหน้า 6 เดือนที่สาม จะวางอนาคตให้ลูกหลานไทย เรียนจบมาจะมีงานทำทุกคน รับรองใน 18 เดือนทุกอย่างจะจบหมด

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาชี้ว่า สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่าจะช่วยล้างหนี้ให้ประชาชนภายใน 6 เดือนนั้น เป็นเรื่องเท็จ “เงินมหึมามาจ่ายหนี้ ไม่มีใครมีหรอก เฉพาะกองทุนฟื้นฟูเกษตรกรแสนล้านบาท ยังไม่รวมหนี้นอกระบบ และหนี้กองทุนฟื้นฟู ผมใช้วิธีเจรจาใหม่ ล่าสุดหากเป็นไปได้ ทำข้อตกลงกันระหว่างธนาคาร ให้กองทุนฟื้นฟูกึ่งๆ รับหนี้ไปฟื้นฟู ฉะนั้นรัฐบาลกำลังทำเรื่องนี้อยู่ ผมจึงบอกว่า ใครบอกว่ามาถึงแล้วล้างหนี้ให้ทุกคนได้ ไม่ได้พูดความจริง”

ด้านนายสำราญ รอดเพชร โฆษกพรรคการเมืองใหม่(ก.ม.ม.) เผยระหว่างแถลงท่าทีของพรรคประจำสัปดาห์ในวันนี้(21 ก.พ.)ว่า ขณะนี้มีความพยายามพลิกคดียึดทรัพย์ด้วยการซื้อผู้พิพากษาแล้ว “ขณะนี้มีกระแสข่าวที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมาก ในทุกวงการทั้งฝ่ายวิชาการ นักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ แม้กระทั่งในแวดวงตุลาการว่า มีความพยายามที่จะใช้เงินถึงหลักพันล้านบาท เพื่อใช้ในการพลิกคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน เนื่องจากองค์คณะผู้พิพากษามี 9 ท่าน กระแสข่าวพยายามเข้ามาแทรกแซงให้ได้เพียง 5 ท่านๆ ละ 1-5 พันล้านบาท เพื่อแลกกับเงิน 7.6 หมื่นล้าน ซึ่งตรงนี้จะเห็นได้จากพฤติกรรมของนักโทษทั้งคดีประวัติศาสตร์ 8 ต่อ 7 กล่องขนม 2 ล้านบาท เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลน่าจะเข้าไปตรวจสอบ”

2. “อภิสิทธิ์” สั่งหยุดซื้อ “จีที 200” เพิ่ม หลังพิสูจน์พบ “ลวงโลก” ด้าน “อนุพงษ์”นำทหารแถลงยัน ใช้ได้ผล!

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจิดา ผบ.ทบ.แถลงยืนยันจะใช้เครื่องมือ จีที 200 ต่อไป(18 ก.พ.)
หลังจากนักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า เครื่องจีที 200 ที่กองทัพใช้ในการตรวจหาระเบิด โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อาจไม่มีความแม่นยำในการทำงาน ส่งผลให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจัดทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องจีที 200 เพื่อให้ทุกฝ่ายหายคลางแคลงใจนั้น

ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 14 ก.พ. กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้จัดทดสอบประสิทธิภาพเครื่องจีที 200 ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย จ.ปทุมธานี โดยซ่อนสารระเบิดซีโฟร์น้ำหนัก 1.25 ปอนด์ ประมาณ 567 กรัม ห่อด้วยพลาสติก ใส่ไว้ในกล่อง 1 กล่อง ส่วนอีก 3 กล่องเป็นกล่องเปล่า นำไปซ่อนไว้ตามจุดต่างๆ จากนั้นใช้เครื่องจีที 200 ทำการค้นหาว่าระเบิดอยู่ในกล่องไหนจำนวน 20 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง โดยใช้เวลาทดสอบกว่า 5 ชั่วโมง ด้านคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ บอกว่า จะรายงานผลการทดสอบให้นายกรัฐมนตรีทราบ ส่วนผลสรุปเป็นอย่างไรต้องรอนายกฯ แถลง

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ เผยถึงผลการทดสอบเครื่องจีที 200 ระหว่างแถลงผลประชุม ครม.(16 ก.พ.)ว่า ประสิทธิภาพของเครื่องจีที 200 ในการตรวจหาวัตถุระเบิดไม่ต่างจากการใช้วิธีสุ่มเอา “ผลการทดลองปรากฏว่า สามารถชี้ได้ถูกกล่อง 4 ครั้งจาก 20 ครั้ง จึงหมายความว่าไม่ได้แตกต่างจากกรณีที่สุ่มเอา ดังนั้น สิ่งที่ชัดเจนขณะนี้คือจะไม่มีการจัดซื้ออุปกรณ์นี้เพิ่มเติม...” นายอภิสิทธิ์ บอกด้วยว่า ในพื้นที่ที่ผู้ปฏิบัติงานยังยืนยันว่าเครื่องจีที 200 ใช้งานได้ผล จะขอให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ร่วมทดสอบการทำงานของเครื่องจีที 200 แจ้งผลการทดสอบและอธิบายให้ทราบเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน พร้อมกันนี้ ขอให้ทุกหน่วยงานที่มีอุปกรณ์นี้อยู่ ไปตรวจสอบว่ามีการใช้และจัดซื้อเครื่องจีที 200 ปีละเท่าไร นายอภิสิทธิ์ เผย เหตุที่ยังไม่สั่งให้เลิกใช้เครื่องจีที 200 ด้วยว่า เนื่องจากยังไม่มีอุปกรณ์อะไรมาทดแทน ผู้สื่อข่าวถามว่า จะต้องมีบทลงโทษใครบ้าง นายอภิสิทธิ์ บอกว่า ต้องดูข้อเท็จจริงว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เพราะทั่วโลกก็โดนไป 40 กว่าแห่ง ความเสียหายของประเทศไทยก็ประมาณ 700-800 ล้านบาท เนื่องจากเครื่องจีที 200 ตัวละเกือบๆ ล้านบาท

ขณะที่คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ยืนยันว่า สถาบันจะใช้เครื่องจีที 200 ต่อไป แต่จะไม่สั่งซื้อเพิ่มเติม และว่า ได้ชี้แจงไปแล้วว่า เครื่องจีที 200 ไม่ใช่อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ มีตัวแปรของผู้ใช้งานเป็นส่วนสำคัญ เจ้าหน้าที่สถาบันใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแต่ไม่ได้ใช้เป็นอุปกรณ์หลักในการเก็บกู้ระเบิด

เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะพิสูจน์พบว่า เครื่องจีที 200 ไม่มีความแม่นยำในการตรวจหาระเบิด แต่ทหาร ในฐานะผู้ปฏิบัติในพื้นที่ยังคงยืนยันประสิทธิภาพของเครื่องดังกล่าว โดย พล.ท.พิเชษฐ์ พิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 บอกว่า เครื่องตรวจวัตถุระเบิดจีที 200 ยังเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ใช้ตรวจหาระเบิดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ “จากการปฏิบัติงานที่ผ่านมา มีความมั่นใจมากในอุปกรณ์จีที 200 ซึ่งผลการทดสอบ ผมยินดียอมรับ แต่ในใจอยากให้ทดสอบในพื้นที่จริงด้วย เพราะมีความรู้สึกว่า การทดสอบที่สมบูรณ์ ต้องทดสอบทั้งในห้องปฏิบัติการและในพื้นที่จริงด้วย”

ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ได้นำทีมนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ดูแลกรมกองเกี่ยวกับอาวุธและวัตถุระเบิด รวมทั้งทหารที่ใช้เครื่องจีที 200 ในการทำงานตรวจหาวัตถุระเบิด มาแถลงข่าว(18 ก.พ.) โดยบอกว่า “ผมเคารพผลทดสอบทางวิทยาศาสตร์ เมื่อผลทดสอบออกมาอย่างนี้ เขาถือว่าใช้ไม่ได้ สิ่งที่กองทัพบกเอามาเรียนให้ฟัง คือคนที่ทำงาน เขามีประสบการณ์ ใช้ได้ ถ้าทุจริต ก็ต้องดำเนินคดีตามกระบวนการ พร้อมให้ตรวจสอบได้หมดในการจัดซื้อจัดจ้าง ผิดก็ลงโทษ ไม่ว่าจะเป็นผม หรือผู้แทน ผู้บังคับบัญชาทุกคน” พล.อ.อนุพงษ์ ยังยืนยันด้วยว่า การนำผู้ปฏิบัติงานมาแถลงข่าวเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่าตนยืนอยู่ตรงข้ามนายกฯ หรือรัฐบาล แต่เพื่อเป็นการชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบว่าทำไมจึงซื้อเครื่องจีที 200 มาใช้

ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เผยหลังประชุมผู้เกี่ยวข้องระหว่างเดินทางตรวจราชการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมกับ พล.อ.อนุพงษ์ เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ว่า เมื่อเครื่องจีที 200 มีปัญหา จึงได้เตรียมหามาตรการรองรับ เช่น เพิ่มงบฯ ด้านการข่าว นอกจากนี้คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เสนอให้จัดซื้อเครื่องตรวจระเบิดไฟโด้ และเครื่องเซเบอร์ 4000 ที่เคยใช้งานอยู่แล้ว มาใช้ในพื้นที่แทน ทั้งนี้ นายสุเทพ ย้ำว่า แม้เครื่องไฟโด้จะราคาสูงถึงเกือบ 4 ล้านบาท แต่ก็ต้องเตรียมการรองรับ เพราะรัฐบาลต้องการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จึงให้คุณหญิงพรทิพย์และทหารไปดูว่า ถ้าจะจัดซื้อต้องใช้กี่เครื่องและบริเวณใดบ้าง

ด้าน ผศ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาหนุนให้มีการนำเครื่องตรวจระเบิดไฟโด้และเครื่องเซเบอร์ 4000 มาใช้แทนเครื่องจีที 200 เช่นกัน “เครื่องทั้งสองชนิดได้รับการยอมรับ และนำไปใช้ในกองทัพของนานาประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ อีกทั้งเครื่องไฟโด้ยังได้รับรางวัลนวัตกรรมของกองทัพประจำปี 2548 จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์(MIT) ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องดังกล่าวเหมือนกับเครื่องจีที 200 แต่หากจะตรวจสอบก็ไม่ยาก...”

ขณะที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ และอดีตผู้บัญชาการทหารบก ในยุคที่มีการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องจีที 200 พูดถึงเครื่องดังกล่าวว่า แม้ผลทดสอบจะพบว่าไม่มีความแม่นยำ แต่อย่างน้อยก็ทำให้ผู้ปฏิบัติมีความอุ่นใจ “แม้ผลทดสอบจะออกมาเหมือนที่เป็นข่าว แต่สิ่งหนึ่งที่อยากฝากให้คิดคือ เราตัดสินใจซื้อจีที 200 เพราะผู้ปฏิบัติมีความมั่นใจ พึงพอใจ และเป็นความต้องการของพวกเขา แน่นอนถ้ากว่า 20 ครั้ง ตรวจเจอแค่ 4 ครั้ง แต่ในโลกนี้ไม่มีเครื่องมือไหนหรอก แม้เครื่องที่ดีที่สุดที่จะตรวจเจอทุกครั้ง ดังนั้นเจอเพียง 4 ครั้ง แปลว่าเจอ ที่สำคัญคือมันอุ่นใจ เพราะทุกวันนี้เจ้าหน้าที่เดินเข้าไป เหมือนเดินไปหาความเป็นความตาย”

ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาจี้ให้ทุกฝ่ายยอมรับผลตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ว่าเครื่องจีที 200 ไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน และว่า วันที่ 23 ก.พ.นี้ ตนจะไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกับผู้ที่คาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตจัดซื้อเครื่องจีที 200

ทั้งนี้ นอกจากเครื่องจีที 200 แล้ว สังคมยังสงสัยว่า เครื่องตรวจสารเสพติด อัลฟ่า 6 ที่กระทรวงมหาดไทยกำลังจะจัดซื้อนั้น มีประสิทธิภาพตรวจสารเสพติดได้แม่นยำจริงหรือไม่ ซึ่งนายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ทำหนังสือให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ช่วยทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องดังกล่าวแล้ว ซึ่งระหว่างรอผล นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีมหาดไทย ได้ออกมาการันตีว่า มั่นใจในการทำงานของเครื่องอัลฟ่า 6 ไม่ใช่แค่ 80% แต่มั่นใจ 100% พร้อมท้าให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ตรวจสอบเครื่องอัลฟ่า 6 ได้เลย

3. ผู้พิพากษา เข้าชื่อค้าน ป.ป.ช.ตรวจสอบ อ้าง รธน.ให้อิสระ ด้าน “ป.ป.ช.”ยัน ทำตามหน้าที่เมื่อได้รับร้องเรียน!

น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช.และอดีตผู้พิพากษาอาวุโสศาลจังหวัดนนทบุรี
ความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ตั้งอนุกรรมการไต่สวน พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ วาพันสุ รอง ผกก.สส.สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ,พ.ต.อ.ธาตรี ตั้งโสภณ รอง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา และนายอิทธิพล โสขุมา ผู้พิพากษาศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่ากระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมหรือไม่ กรณีร่วมกันขอและอนุญาตให้ออกหมายจับกุมนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ผู้ต้องหาคดีที่ถูก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ฟ้องหมิ่นประมาท ซึ่งนายอิทธิพลได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม(ก.ต.) เพื่อขอแนวทางปฏิบัติกรณีที่ได้รับหมายเรียกไปให้ถ้อยคำที่ ป.ป.ช. กระทั่ง ก.ต.ตอบกลับว่า มีสิทธิชี้แจงเป็นหนังสือต่อ ป.ป.ช.และขอไปให้การในชั้นศาลได้ นอกจากนี้ สำนักงานศาลยุติธรรมยังทำหนังสือแจ้ง ป.ป.ช.ด้วยว่า ก.ต.เห็นว่าผู้พิพากษามีดุลพินิจอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดีตาม รธน.และกฎหมาย บุคคลหรือหน่วยงานใดไม่สามารถแทรกแซงหรือก้าวล่วงได้ ส่วนการออกหมายจับ หากคู่ความไม่เห็นด้วย ก็สามารถอุทธรณ์ ฎีกาได้นั้น

ปรากฏว่า ผู้พิพากษาจำนวนมากได้ออกมาปกป้องนายอิทธิพล ผู้พิพากษาศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่ถูก ป.ป.ช.ไต่สวน โดยนายศรีอัมพร ศาลิคุปต์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรี ยืนยันว่า นายอิทธิพลทำหน้าที่ตามมาตรา 197 ของ รธน.แล้วในการออกหมายจับนายสุนัย แม้นายสุนัยจะเคยเป็นผู้พิพากษาระดับสูงมาก่อน แต่เมื่อผู้พิพากษาถูกกล่าวหาในคดีอาญา มีหมายเรียกต้องไปพบพนักงานสอบสวน ถ้าไม่มา ต้องออกหมายจับ นายศรีอัมพร ย้ำด้วยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องลำดับศักดิ์ของกฎหมาย เมื่อผู้พิพากษาใช้อำนาจตาม รธน.มาตรา 197 ย่อมมีศักดิ์สูงกว่ากฎหมายประกอบ รธน.ของ ป.ป.ช. ดังนั้น ป.ป.ช.จึงไม่มีอำนาจสอบผู้พิพากษา นายศรีอัมพร ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ป.ป.ช.ใช้อำนาจละเมิด รธน.เสียเอง สุ่มเสี่ยงต่อการเป็นผู้ต้องหากรณีปฏิบัติหน้าที่มิ
ชอบ

ด้านนายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา ได้เป็นประธานประชุม ก.ต.ที่ศาลฎีกาเมื่อวันที่ 15 ก.พ. โดยระหว่างประชุม นายมานิตย์ สุขอนันต์ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ก.ต.ที่มาจากศาลชั้นต้น ได้เสนอให้ ก.ต.ตั้งกรรมการสอบสวนนายสุนัย ที่เข้าร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบเรื่องถูกออกหมายจับ ไม่เท่านั้น นายมานิตย์ยังเสนอให้ ก.ต.ลงมติว่า ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจตั้งคณะกรรมการไต่สวนผู้พิพากษา รวมทั้งเสนอให้ดำเนินคดี ป.ป.ช.ทั้งคณะ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อย่างไรก็ตามที่ประชุม ก.ต.ยังไม่ได้ลงมติ เพียงแต่รับความเห็นไว้พิจารณา

ส่วนกรณีที่นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า ก.ต.ควรรับผิดชอบและตรวจสอบนายอิทธิพล ไม่ควรจะปกป้องผู้พิพากษาด้วยกันเองนั้น ที่ประชุม ก.ต.ยังคงเห็นเหมือนเดิมว่า ผู้พิพากษามีดุลพินิจอิสระในการพิจารณาคดี

ด้าน น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช.ยืนยันว่า กรรมการ ป.ป.ช.ทุกคนเคารพตุลาการ ไม่มีใครคิดก้าวล่วงแต่อย่างใด และเคารพดุลพินิจในการออกหมายจับของศาล แต่นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช.บอกว่า เรื่องนี้เกี่ยวพันกันระหว่างการทำหน้าที่ของศาลและตำรวจโดยตรง จึงไม่สามารถตั้งอนุกรรมการไต่สวนเฉพาะตำรวจได้ เพราะถึงตำรวจจะขอออกหมายจับ แต่ถ้าศาลไม่อนุญาตก็ทำอะไรไม่ได้ น.ส.สมลักษณ์ ยังย้ำด้วยว่า “ตามกฎหมาย ป.ป.ช.ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการของหน่วยงานใด สามารถสอบได้หมด หากมีคนร้องเรียนมาว่ามีการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ชี้ได้ทั้งความผิดทางวินัยและอาญา เพียงแต่ รธน.เขียนไว้เป็นเกราะคุ้มกันว่า หากศาลหรืออัยการถูกชี้มูลความผิดทางวินัย ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครอง หรืออัยการสูงสุด สามารถตั้งคณะทำงานขึ้นมาสอบสวนได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องยึดตามสำนวนและมติของ ป.ป.ช. แต่ความผิดทางอาญาจะต้องยึดตาม ป.ป.ช.เท่านั้น”

น.ส.สมลักษณ์ เผยหลังประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่เมื่อวันที่ 16 ก.พ.ด้วยว่า ที่ประชุมเห็นว่า การตั้งอนุกรรมการไต่สวนนายอิทธิพลกรณีออกหมายจับนายสุนัย ไม่ได้เป็นการก้าวล่วงอำนาจศาลหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่เป็นการทำหน้าที่ตามกฎหมาย ในทางกลับกัน หาก ป.ป.ช.ไม่ตั้งอนุกรรมการไต่สวน ก็อาจถูกร้องได้ว่า ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งที่ผ่านมา มีการร้องเรียนการทำหน้าที่ของตุลาการมายัง ป.ป.ช.หลายครั้ง แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า การทำหน้าที่ดังกล่าวเป็นการใช้ดุลพินิจอย่างอิสระ จึงให้คำร้องดังกล่าวตกไป “ที่ประชุม ป.ป.ช.จึงมีมติให้นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช.และทีมงานไปรวบรวมข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หากพบว่าการออกหมายจับของนายอิทธิพลเป็นไปโดยใช้ดุลพินิจอิสระ ก็อาจจะให้คำร้องดังกล่าวตกไป” น.ส.สมลักษณ์ ยืนยันด้วยว่า กรรมการ ป.ป.ช.ทุกคนเคารพและไม่เคยคิดเป็นปฏิปักษ์กับผู้พิพากษา เพราะกรรมการ ป.ป.ช.ก็มี 3 คนที่มาจากศาล

เป็นที่น่าสังเกตว่า คณะข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรมในภาค 5 นำโดยนายเรืองชัย จันทร์แก้วแร่ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดเชียงราย ได้ทำหนังสือให้ผู้พิพากษาภาค 5 กว่า 100 คนจาก 22 ศาลเข้าชื่อ เพื่อให้กำลังใจนายอิทธิพลและเพื่อสนับสนุนให้สำนักงานศาลยุติธรรมทำหนังสือแจ้ง ป.ป.ช.ว่า ผู้พิพากษามีดุลพินิจอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดี

ด้านที่ประชุมกรรมการ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ได้มีมติเปลี่ยนแปลงตัวคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีออกหมายจับนายสุนัย โดยยกระดับให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทั้ง 9 คนเป็นองค์คณะในการไต่สวนเรื่องนี้ เนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงต้องให้กรรมการทั้ง 9 มาร่วมกันตรวจสอบเพื่อความรอบคอบและไม่กระทบกระทั่งกับศาล น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช. ย้ำจุดยืนของกรรมการ ป.ป.ช.ด้วยว่า “ป.ป.ช.ให้ความเคารพผู้พิพากษาทั่วประเทศ แต่การตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ก็เพื่อดูว่าข้อกล่าวหามีมูลความจริงหรือไม่ หากไม่มีความผิด ก็ยกคำร้อง”

ด้านนายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ได้เขียนบทความเรื่อง “ความอิสระในการพิจารณาคดีของผู้พิพากษาและตุลาการ” สรุปความว่า รธน.กฎหมายและนโยบายของแต่ละประเทศจะต้องรับรองให้ตุลาการเป็นอิสระจากฝ่ายอื่นๆ ของรัฐอย่างแท้จริง ต้องได้รับความคุ้มครองจากการทำร้าย การคุกคามหรือประหัตประหารใดใดจากการทำหน้าที่วิชาชีพ ขณะเดียวกันองค์กรหรือสถาบันทั้งภาครัฐและเอกชนต้องละเว้นการกดดันหรือโน้มน้าวผู้พิพากษาให้ตัดสินไปในทางใดทางหนึ่ง และผู้พิพากษามีหน้าที่ที่จะปฏิบัติตนให้ทรงความเที่ยงธรรม...การถูกปลดจากตำแหน่งผู้พิพากษา ต้องกระทำโดยกระบวนการที่เป็นธรรมเท่านั้น ผู้พิพากษาไม่สามารถถูกให้ออกหรือถูกลงโทษจากการกระทำผิดโดยสุจริตจากการไม่เห็นด้วยกับการตีความกฎหมายใดกฎหมายหนึ่ง ยิ่งกว่านั้น ผู้พิพากษาไม่ต้องรับผิดจากการถูกฟ้องร้องทางแพ่ง ในความเสียหายที่คิดเป็นตัวเงินอันเกิดจากคำตัดสินของตนเองด้วย

4. ศาล ยกฟ้องคดี “โอ๋ สืบ 6” ฟ้อง “ป.ป.ช.”ชี้มูลความผิดกรณีปล่อยคนรุมทำร้ายพันธมิตรฯ!

พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา หรือโอ๋ สืบ 6 (ขวามือ)
เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ศาลอาญาได้นัดพิพากษาคดีที่ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา หรือ พ.ต.อ.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ หรือโอ๋ สืบ 6 รองผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนที่ชี้มูลความผิดอาญาและวินัยร้ายแรง พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ กรณีละเว้นไม่จับกุมผู้รุมทำร้ายประชาชนที่ตะโกนขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พลาซา เมื่อวันที่ 21 ส.ค.2549 นอกจากนี้ยังยื่นฟ้องอนุกรรมการไต่สวน ประกอบด้วย นายต่อตระกูล ยมนาค ,พล.ต.ต.ณพรรษ เย็นสุดใจ ,นายโกศล ขำศิริ และนายณัฐวุฒิ ขมประเสริฐ เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์กรณีที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งห้าไม่เปิดโอกาสให้ชี้แจงด้วยวาจาในการแก้ข้อกล่าวหาอย่างเต็มที่ ซึ่งในทางนำสืบ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า หลังจากนายวิชา จำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งให้ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ หรือโจทก์ชี้แจงข้อกล่าวหาแล้ว โจทก์ได้ทำคำชี้แจงเป็นหนังสือส่งให้เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2549 และลงวันที่ 8 ม.ค.2550 นอกจากนี้ โจทก์ยังนำส่งดีวีดีบันทึกภาพเหตุการณ์ ซึ่งจำเลยทั้งห้าได้รับไว้และนำไปตรวจเปรียบเทียบกับวีซีดีของกลาง จึงถือว่า จำเลยทั้งห้าปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายและระเบียบ ป.ป.ช.กำหนดไว้ โดยให้โอกาสโจทก์ชี้แจงเต็มที่แล้ว คดีของโจทก์จึงไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง.
กำลังโหลดความคิดเห็น