คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.“ในหลวง” ทรงแนะศาลปกครอง ตัดสินคดีด้วยความเป็นกลาง อย่าทรยศต่อความยุติธรรม!
เมื่อวันที่ 25 ม.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด นำนายสุชาติ เวโรจน์ เลขาธิการศาลปกครอง พร้อมด้วยตุลาการศาลปกครองสูงสุด ตุลาการศาลปกครองกลาง และตุลาการศาลปกครองชั้นต้น จำนวน 33 คน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ ห้องประชุมชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ โอกาสนี้ ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทให้ผู้พิพากษาทำหน้าที่ด้วยความความเป็นกลาง อย่าทรยศต่อความยุติธรรม “...ผู้พิพากษาเป็นหน้าที่ของท่านผู้เป็นสมาชิกของศาล ต้องพิจารณาด้วยความเป็นธรรม เพราะความเป็นธรรมหมายความว่าอะไรที่เรียบร้อยถูกต้อง ...การปฏิบัติหน้าที่ไม่ใช่ง่าย เพราะว่าแต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกัน ท่านผู้พิพากษาต้องตัดสินคดีของคนที่มีความคิดแตกต่างกัน ท่านจะต้องพิจารณาอะไรที่แตกต่างกัน และให้เห็นว่าอะไรที่ควรจะทำ ที่เป็นกลาง ที่เป็นความจริง ที่เป็นความยุติธรรม ความยุติธรรมนี้หมายความว่า ความยุติในธรรม คือตัดสินใจว่าอะไรยุติธรรม อะไรไม่เป็นธรรม ...ถ้าท่านทั้งหลายได้ทำหน้าที่ของท่าน และทำไม่ได้เท่ากับท่านทรยศต่อความยุติธรรม การทรยศไม่มีใครอยากจะทำ เพราะเป็นความไม่ดี เป็นการเอาเปรียบ ...ต้องรักษาความยุติธรรม ต้องสร้างความยุติธรรมให้เป็นใหญ่ แต่ละคดีต้องมีความยุติธรรมของคดีนั้นๆ ซึ่งถ้าท่านพิจารณาและอดทนว่าอะไรเป็นยุติธรรม อะไรที่เป็นกลางที่ถูกต้อง ซึ่งอะไรที่เป็นกลางที่ถูกต้องก็ต้องชนะในความจริง...”
“พวกท่านต้องรักษาความยุติธรรมนี้ และปฏิบัติด้วยความกล้าหาญ เรียบร้อย แต่ถ้าท่านไม่มีความกล้าหาญด้วยประการใดใดก็ตาม จะเป็นเรื่องของความไม่ยุติธรรมในตัวท่าน มีความโง่เขลา ควรพิจารณาให้ดี ต้องทำด้วยความฉลาด ทำด้วยความเป็นกลางแท้ๆ ...ก็ขอให้ท่านได้ปฏิบัติงานต่อไป ด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยความฉลาด และด้วยความสามารถ รักษาความยุติธรรม ก็ขอให้ท่านมีความสำเร็จในงานการที่ท่านทำและทุกเวลาทุกเมื่อ อดทนจนท่านจะเสียชีวิตต้องรักษาความยุติธรรม ...ขอให้ท่านสามารถปฏิบัติหน้าที่ในงานที่จะทำ จะได้เป็นการรักษาประเทศชาติให้มีความสงบสุขได้ ...ก็ขอให้ความยุติธรรมนี้นำท่านสู่ความสำเร็จ”
2. “เสธ.แดง”ขู่ผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ระวังถูกลอบสังหาร ด้าน “อภิสิทธิ์”ขอศาลอย่ากลัว-รบ.จะดูแลเต็มที่!
หลังจากองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดพิพากษาคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร่ำรวยผิดปกติ ที่อัยการขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์สิน 7.6 หมื่นล้านบาทที่ได้จากการขายหุ้นชินคอร์ป โดยใช้ตำแหน่งหน้าที่นายกฯ เอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจของตน ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ ขณะที่แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดงก็เตรียมชุมนุมใหญ่ช่วงก่อนที่ศาลฎีกาฯ จะพิพากษาคดียึดทรัพย์ ส่งผลให้รัฐบาลต้องเตรียมรับสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง โดยที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 26 ม.ค. ได้อนุมัติหลักการให้ทหารเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน(ตำรวจ)ในการดูแลสถานการณ์ช่วงก่อนศาลตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เสนอ
ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.ออกมา ยืนยันว่า กลุ่มเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่แน่นอน ไม่ว่าจะมีการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ก็ตาม “การจะยึดหรือไม่ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ไม่มีผลอะไรกับการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเลย เพราะการจะถูกยึดทรัพย์หรือไม่ ก็ไม่ได้หมายความถึงความเป็นประชาธิปไตยของประเทศนี้ ดังนั้นหลังตรุษจีน(14 ก.พ.) จะมีการแถลงข่าวกำหนดวันชุมนุมใหญ่เหมือนเดิม และจะยังเป็นการชุมนุมใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาลและระบอบอำมาตยาธิปไตยที่สามารถพูดได้เลยว่า ยึดก็ลุย-ไม่ยึดก็ลุย”
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.และ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาปลุกกระแสว่า ทหารจ้องทำการปฏิวัติ โดยบอกว่า เมื่อวันที่ 23 ม.ค.มีการประชุมลับของผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพที่กองทัพอากาศ พร้อมด้วยตำรวจ และนักการเมืองซึ่งเป็นรัฐมนตรีจากพรรคใหญ่เข้าร่วมด้วย 1 คน โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก นั่งหัวโต๊ะ อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ต่างยืนยันว่า ไม่มีการปฏิวัติแต่อย่างใด ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ออกมาปฏิเสธว่า ตนไม่ได้ไปร่วมประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพที่กองทัพอากาศ ตามที่นายจตุพรระบุ โดยวันดังกล่าว ตนอยู่บ้าน ไม่ได้ไปไหน ขณะที่นายจตุพร พร้อมด้วยแกนนำ นปช.ได้นำคนเสื้อแดงไปชุมนุมหน้ากองบัญชาการกองทัพบกเมื่อวันที่ 29 ม.ค. เพื่อถาม พล.อ.ประยุทธ์ว่าจะปฏิวัติหรือไม่ นายจตุพร ยังบอกด้วยว่า เป้าหมายต่อไปที่คนเสื้อแดงจะไปชุมนุมในสัปดาห์หน้า คือกองทัพอากาศ จากนั้นจะไปสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) และกระทรวงกลาโหม
ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี ได้ทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ โดยยืนยันว่า ปฏิวัติครั้งที่แล้ว ตนไม่ได้ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น ถ้าคราวนี้ปฏิวัติอีก จะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นแน่ “คราวที่แล้วผมถูกปฏิวัติ ไม่ได้ตั้ง เพราะอยากให้บ้านเมืองสงบ แต่กลับถูกรังแกอย่างโหดเหี้ยม หน้าด้าน ปฏิวัติคราวนี้ผมเอาแน่ มีบางประเทศให้ใช้ เตรียมตัวกันไว้ทุกประเทศที่มีคนไทย โดยเฉพาะผู้รักประชาธิปไตย หากมีปฏิวัติเราจะได้รวมตัวกันตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ ตอนนี้ยังตั้งไม่ได้ ต้องรอให้มีปฏิวัติจึงจะตั้ง”
ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ เผยว่า ขณะนี้ กลุ่มคนที่ชื่นชอบ พ.ต.ท.ทักษิณได้จัดทำเอกสารชี้แจงกระบวนการต่างๆ หลังการยึดอำนาจ 19 ก.ย.2549 และประวัติของ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องทรัพย์สินก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งทางการเมือง ที่ปรากฏชัดเจนว่าร่ำรวยมาก่อนเล่นการเมือง รวมทั้งชี้แจงกระบวนการทำมาหากินก่อนรับตำแหน่งนายกฯ โดยจะทำหลายแสนฉบับ คาดว่าจะแจกจ่ายทั่วประเทศช่วงต้นเดือน ก.พ.นี้ นายนพดล ยังยืนยันด้วยว่า การทำเอกสารดังกล่าวแจก ไม่ได้เป็นการกดดันศาลหรือส่งผลกระทบต่อคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท แต่เป็นการสื่อสารกับสังคมเท่านั้น
ด้าน พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ซึ่งถูกสั่งพักราชการเมื่อเร็วๆ นี้ และถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดเอ็ม 79 ที่มือมืดยิงเข้าใส่ห้องทำงานของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ล่าสุด ก็ได้ออกมาพูดทำนองเตือนเชิงข่มขู่ผู้พิพากษาศาลฎีกาฯ ที่จะพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องอย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)ว่า อาจถูกลอบสังหารได้ โดยบอกว่า อยากเตือนไปยังองค์คณะผู้พิพากษาศาล - ป.ป.ช.และ คตส.ในการพิจารณาคดียึดทรัพย์ ให้ระวังแผนลอบฆ่าโดยพวกโรนิน หรือกองกำลังไม่ทราบฝ่าย เพราะขบวนการเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับคดียึดทรัพย์ ขอให้ระวัง และทุกครั้งที่ตนเองเตือนก็มักจะเป็นจริง
สำหรับปฏิกิริยาของกรรมการ ป.ป.ช.และอดีต คตส.ต่อคำเตือนของ เสธ.แดงนั้น ปรากฏว่า นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.บอกว่า ป.ป.ช.จะปฏิบัติหน้าที่และใช้ชีวิตต่อไปอย่างเป็นปกติ เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองจะต้องคุ้มครองคนที่ทำงานเพื่อประเทศชาติ ส่วนคนที่คิดร้ายต้องรับกรรม ขณะที่นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช.และอดีต คตส.บอกว่า ที่ผ่านมาได้ทำงานอุทิศตัวให้แผ่นดินและประเทศชาติ หากจะตายก็ต้องตาย เพราะคงไม่มีกำลังไปป้องกันอะไรได้ และไม่จำเป็นต้องประสานตำรวจให้คุ้มกันเป็นพิเศษ ด้านนายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธาน คตส.บอกว่า การที่ออกมาให้ข่าวเช่นนี้ ส่วนใหญ่มีปากเอาไว้พูด พวกพูดมักไม่ทำ คนที่จะทำมักจะไม่พูด แต่ตนก็คงไม่ประมาท ต้องระวังตัวมากขึ้น ขณะที่นายสัก กอแสงเรือง อดีตโฆษก คตส.บอกว่า เรื่องนี้ต้องถามรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ถามผู้รักษากฎหมายว่า มีข่าวอย่างนี้แล้วจะทำอย่างไร ควรให้มีการพูดข่มขู่เช่นนี้หรือไม่ ควรตรวจสอบหาที่มาและป้องกัน
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พูดถึงกรณีที่ เสธ.แดงออกมาเตือนว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาฯ-ป.ป.ช.และอดีต คตส.อาจถูกลอบสังหารว่า การพูดจาในลักษณะที่ตีความได้ว่าเป็นการข่มขู่ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และเจ้าหน้าที่จะต้องพิจารณาว่าเป็นการคุกคามหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ยังให้ความมั่นใจด้วยว่า ขอให้ศาลทำหน้าที่โดยอิสระอย่างเต็มที่ ไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใด รัฐบาลจะให้การดูแลความปลอดภัยอย่างเต็มที่
ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พูดถึง เสธ.แดงว่า ไม่มีอะไรต้องกังวลใจ เสธ.แดงไม่ใช่ผู้วิเศษ พยายามแสดงไปตามบทบาทที่เขาเขียนให้ และว่า “อีกหน่อย เสธ.แดงก็ติดคุก อนาคตของ เสธ.แดงชัดเจนอยู่แล้วว่ามีโอกาสติดคุกสูง เพราะทำผิดกฎหมาย ถ้า เสธ.แดงยิ่งเหิมเกริมจะทำผิดกฎหมายอีก ก็ต้องเจออีก แต่รัฐบาลจะไม่ส่งคนติดตาม เสธ.แดงเป็นพิเศษ ติดตามธรรมดา ใครทำผิดกฎหมายก็ดำเนินคดี”
3. “ชทพ.” ซัด “ปชป.” เขียนด้วยมือ-ลบด้วยเท้า หลังไม่ร่วมแก้ รธน. ด้าน “อภิสิทธิ์” ตอกกลับทันควัน!
ความคืบหน้ากรณีนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทยที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีจากกรณียุบพรรค ปัจจุบันเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา(ชทพ.) ได้เดินสายล็อบบี้พรรคร่วมรัฐบาลให้ร่วมลงชื่อเพื่อยื่นญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ต่อสภาใน 2 มาตรา คือมาตรา 190 เกี่ยวกับการทำสนธิสัญญากับต่างประเทศที่ต้องให้รัฐสภาเห็นชอบก่อน และมาตรา 94 เรื่องเขตเลือกตั้ง ที่ต้องการแก้ไขจากเขตใหญ่เรียงเบอร์เป็นเขตเดียวเบอร์เดียว โดยได้บรรลุข้อตกลงกับแกนนำพรรคภูมิใจไทยที่มีนายเนวิน ชิดชอบ หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวินเป็นแกนหลัก และแกนนำพรรคเพื่อแผ่นดินแล้ว พร้อมเตรียมหารือกับพรรคร่วมฯ ที่เหลือ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ขอเวลาหารือระหว่างสัมมนาพรรคที่ จ.กระบี่ในวันที่ 23-24 ม.ค.ก่อนนั้น
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 25 ม.ค. นายบรรหารและนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ได้เดินสายหาแนวร่วมในการเสนอแก้ รธน.ต่อจากสัปดาห์ก่อน โดยคราวนี้ได้นัดหารือกับแกนนำพรรครวมใจไทยชาติพัฒนาและพรรคกิจสังคม ก่อนออกแถลงการณ์ร่วมกันว่าเห็นชอบให้เสนอแก้ รธน.มาตรา 190 และ 94 อย่างเร่งด่วน โดยอ้างว่า ขณะนี้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ส่วนหนึ่งเกิดจาก รธน. จึงเห็นสมควรที่จะแก้ไข รธน.2 มาตราดังกล่าว
ส่วนทางด้านพรรคประชาธิปัตย์ หลังเสร็จสิ้นการสัมมนาที่ จ.กระบี่ในวันที่ 23-24 ม.ค.แล้วก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะร่วมลงชื่อกับพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อแก้ รธน.2 มาตราหรือไม่ โดย ส.ส.ในที่ประชุมสัมมนามีมติให้กรรมการบริหารพรรคในวันที่ 26 ม.ค.เป็นผู้ชี้ขาด ซึ่งเมื่อถึงกำหนด ปรากฏว่า ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคเห็นว่า การแก้ รธน.เป็นเรื่องของแต่ละพรรคสามารถเสนอญัตติได้ตามกลไกรัฐสภา ประกอบกับขณะนี้มี ส.ส.เข้าร่วมยื่นญัตติแก้ รธน.ครบ 1 ใน 5 ของสมาชิกสภา คือ 95 คนแล้ว พรรคจึงจะไม่เข้าร่วมยื่นญัตติแก้ไข รธน.
ทั้งนี้ แม้ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์จะได้ข้อสรุปว่าไม่ร่วมลงชื่อยื่นญัตติแก้ รธน.แต่กรรมการบริหารก็เห็นควรให้ ส.ส.ของพรรคได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วย จึงได้มีการประชุม ส.ส.และลงมติอีกครั้งว่าจะเห็นด้วยกับการแก้ รธน.2 มาตราหรือไม่ ซึ่งผลปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติ 82 ต่อ 48 เสียง ไม่สนับสนุนให้แก้ รธน.โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเขตเลือกตั้งที่พรรคร่วมฯ เสนอให้แก้จากเขตใหญ่เรียงเบอร์เป็นเขตเดียวเบอร์เดียว ซึ่งก่อนหน้านี้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า การเลือกตั้งแบบเขตใหญ่เรียงเบอร์ทำให้การซื้อเสียงเลือกตั้งทำได้ยากกว่าเขตเดียวเบอร์เดียว
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า ไม่กังวลว่ามติของพรรคที่ออกมาว่าไม่สนับสนุนการแก้ รธน.2 มาตราดังกล่าวจะกระทบต่อความสัมพันธ์กับพรรคร่วมรัฐบาล เพราะได้คุยกันแล้วว่า การแก้ รธน.เป็นเรื่องของสภาและพรรคการเมือง ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล และว่า เมื่อพรรคมีมติเช่นนี้ ทุกคนก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ไม่ว่าผลจะออกมาดีหรือร้ายก็ตาม
ด้านนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีมหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แม้จะยังไม่พูดว่ามติของพรรคประชาธิปัตย์จะส่งผลกระทบต่อสัมพันธภาพในการร่วมรัฐบาลหรือไม่ แต่ก็ส่งสัญญาณว่า พร้อมจะให้ ส.ส.ฟรีโหวตหากพรรคประชาธิปัตย์ถูกฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยบอกว่า “ต้องให้อิสระลูกพรรคแต่ละคน”
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทยที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีจากกรณียุบพรรค ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยแสดงความไม่พอใจนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์อย่างรุนแรงที่มีมติไม่สนับสนุนการแก้ไข รธน.2 มาตราของพรรคร่วมรัฐบาล โดย จม.ของนายสมศักดิ์ ระบุว่า นายอภิสิทธิ์เคยตกลงกับพรรคร่วมรัฐบาลก่อนจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันว่าพร้อมจะแก้ไข รธน. “นายกรัฐมนตรีคงจำได้ถึงการเข้าร่วมรัฐบาล ก่อนจัดตั้งรัฐบาลได้พูดถึงข้อจำกัดของการทำงานเพื่อบ้านเมือง โดยหนึ่งในนั้นที่เห็นตรงกันคือ ข้อจำกัดในเรื่อง รธน. ซี่งอาจจะทำให้การทำงานบางอย่างไม่ราบรื่น จากนั้นนายกรัฐมนตรีเดินสายไปยังที่ต่างๆ เพื่อขอความเห็นชอบและตกลงร่วมกันในการทำงานเพื่อประชาชน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีการแก้ไข รธน.รวมอยู่ด้วย”
นายสมศักดิ์ ยังโจมตีนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ผ่าน จม.เปิดผนึกอีกว่า “นายกรัฐมนตรีเคยพูดไว้หลายครั้งว่าพร้อมที่จะเลือกตั้ง พร้อมที่จะยุบสภา หากปัญหาเศรษฐกิจสามารถแก้ไขได้ลุล่วง กติกาหรือ รธน.เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ...แต่นายกฯ ทำเหมือนกับไม่พยายามเดินไปถึงจุดนั้น พรรคประชาธิปัตย์ทำตัวไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองพูด แทนที่จะช่วยกันผลักดัน กลับกลายเป็นอุปสรรคที่สร้างปัญหาให้เสียเอง ...ผมเคารพในการตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์ เพียงแต่อย่าเห็นในสิ่งที่คนอื่นทำเลวทั้งหมด ใช้ไม่ได้ทั้งหมด แต่ถ้าเป็นตัวเองทำ แม้จะเป็นเรื่องเดียวกัน กลับใช้ได้ทั้งหมด ทำดีทั้งหมด เราเป็นนักการเมือง เป็นคนอาสาประชาชนเพื่อมาทำงานการเมือง หวังจะเปลี่ยนแปลงการเมืองให้ดีขึ้น แต่ทั้งหมดนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากเรา เขียนด้วยมือแล้วลบด้วยเท้า เช่นวันนี้
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาปฏิเสธข้อหาเขียนด้วยมือลบด้วยเท้าที่นายสมศักดิ์ กล่าวหาผ่าน จม.เปิดผนึก “แปลกใจอยู่ที่บอกว่าเขียนด้วยมือลบด้วยเท้า ก็ผมเป็นคนเขียนเรื่องการเลือกตั้งเขตใหญ่ไว้ จะไปลบด้วยเท้าได้อย่างไร ไม่เคยไปกล่าวหาว่าใครเป็นประโยชน์ของใคร ให้ไปดูคำอภิปรายของเรื่องเขตใหญ่ที่แสดงต่อคณะกรรมาธิการจัดทำร่าง รธน.ได้ ไม่มีเรื่องประโยชน์พรรค พูดตรงๆ สำหรับผมวันนี้ ไม่ว่าจะเขตเล็กหรือเขตใหญ่ ผมไม่ได้คิดว่ามีผลต่อการเลือกตั้งเท่าไร”
ด้านนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เผยว่า ขณะนี้ญัตติร่างแก้ไขเพิ่มเติม รธน.เสร็จแล้ว และได้แจกให้พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคที่จะร่วมเสนอญัตติเพื่อพิจารณาแล้ว หากไม่มีการแก้ไขจะนัดหมายยื่นญัตติต่อนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาในสัปดาห์หน้า โดยคาดว่า 5 พรรคร่วมรัฐบาลจะยื่นญัตติในวันที่ 3 ก.พ. ก่อนเปิดแถลงร่วมกัน
ขณะที่พรรคเพื่อไทยสบช่องที่พรรคประชาธิปัตย์มีปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาลเรื่องแก้ รธน.จึงได้ออกมายุให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดแถลง(30 ม.ค.)ว่า พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลประกาศถอนตัวจากการร่วมลงเรือลำเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ได้แล้ว เพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา พรรคได้รับความคิดจากประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ของพรรคว่า พร้อมเลือกตั้ง ขอจงโปรดช่วยเปิดทางด้วยการโดดเดี่ยวพรรคประชาธิปัตย์...
ด้านนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทย และที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา พูดถึงโอกาสที่พรรคร่วมรัฐบาลจะพลิกขั้วไปจับมือกับพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาลว่า “เป็นไปไม่ได้ที่จะพลิกขั้วมาจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย เพราะการแก้ไข รธน.กับการร่วมรัฐบาลเป็นคนละประเด็นกัน ซึ่งการร่วมงานกันของพรรคชาติไทยพัฒนากับรัฐบาลยังดีอยู่ ทำงานร่วมกันได้ ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้น พรรคชาติไทยพัฒนาก็คงต้องฟังเนื้อหาของฝ่ายค้านที่จะกล่าวหารัฐมนตรีก่อนว่า มีเหตุผลที่จะทำให้ ส.ส.ต้องโหวตสนับสนุนหรือไม่”
4. ทหารทุกภาค โชว์พลังป้อง “ผบ.ทบ.” ด้าน “เสธ.แดง” ลั่น ได้เป็นแม่ทัพภาค 1 เมื่อไหร่ จะเนรเทศไปอยู่ชายแดนใต้ให้หมด!
หลังเกิดกรณีมือมืดยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าไปในกองบัญชาการกองทัพบกใกล้ห้องทำงานของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.)เมื่อวันที่ 15 ม.ค.แต่ข่าวถูกเปิดเผยในวันที่ 20 ม.ค. กระทั่งทหารและตำรวจได้ไปตรวจค้นบ้านพักของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่อยู่ระหว่างถูกพักราชการ เนื่องจากเหตุระเบิดดังกล่าวเกิดขึ้นหลัง เสธ.แดงถูกสั่งพักราชการเพียง 1 วัน กระทั่งพบอาวุธสงคราม ทั้งปืนและระเบิดภายในบ้านพักและรถตู้ของ เสธ.แดง รวมทั้งพบระเบิดเอ็ม 79 อีกจำนวนมากในบ้านพักของอดีตพลขับของ เสธ.แดง จึงนำตัวไปดำเนินคดี ส่วน เสธ.แดงนั้น ตำรวจได้ขอศาลออกหมายจับ แต่ศาลให้ออกหมายเรียกแทน ซึ่ง เสธ.แดงได้ออกมาเตือนเชิงข่มขู่ พล.อ.อนุพงษ์ อีก โดยบอกให้นำภรรยาและลูกย้ายออกจากบ้านพักย่านพุทธมณฑล เพราะอาจถูกยิงถล่ม ขณะเดียวกันก็จี้ให้ พล.อ.อนุพงษ์ลาออก หรือไม่ก็นำตาข่ายมาห่อตึกกองทัพบกไว้ เพื่อป้องกันระเบิดเอ็ม 79 นั้น
ปรากฏว่า ล่าสุด เสธ.แดงยังไม่เข้ารายงานตัวต่อพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด โดยตอนแรกบอกว่าจะเข้าพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 25 ม.ค. สุดท้ายก็เลื่อน โดยอ้างว่าต้องไปชุมนุมกับคนเสื้อแดงที่ จ.พิษณุโลก จากนั้นก็บอกว่า อีก 7 วันจะไปพบตำรวจตามหมายเรียก และว่า ถ้าไม่พบว่าตนเกี่ยวโยงกับการยิงกองทัพบก ตนจะฟ้องร้องคนที่สั่งให้ไปค้นบ้านพักตน
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเกิดปัญหา เสธ.แดงพูดจาดูหมิ่นให้ร้าย พล.อ.อนุพงษ์ ในฐานะผู้บังคับบัญชา แถมยังพูดทำนองข่มขู่ ส่งผลให้ทหารกรมกองต่างๆ ทั่วประเทศพร้อมใจกันออกมาแสดงพลังปกป้องสถาบันกองทัพและให้กำลังใจ พล.อ.อนุพงษ์ เช่น ทหารกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ จ.ปราจีนบุรี ,ทหารค่ายพร หมโยธี กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ จ.ปราจีนบุรี ,ทหารสังกัดมณฑลทหารบกที่ 11 ,ทหารมณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ จ.เชียงใหม่ ,ทหารกองพลปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน(ปตอ.) ,ทหารกองทัพภาคที่ 4 ค่ายวชิราวุธ จ.นครศรีธรรมราช ,ทหารกองพลทหารราบที่ 9 จ.ประจวบคีรีขันธ์ ฯลฯ
ด้าน พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ บอกว่า “..ถ้าทหารไร้วินัยไม่แตกต่างอะไรกับหมู่โจร ยิ่งกว่านั้นเรายอมไม่ได้ที่มีนายทหารบางนายมาให้ร้ายป้ายสีผู้บังคับบัญชา”
ด้าน พ.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์(บุตรชาย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์) ในฐานะแกนนำ จปร.31 ได้ออกมาเรียกร้องให้ เสธ.แดงหยุดนำเครื่องแบบทหารมาหากิน ควรลาออกจากทหารแล้วไปเล่นการเมืองเสีย “การเป็นทหารอาชีพควรจะมีสำนึก ไม่สมควรออกมาด่าผู้บังคับบัญชา ความเป็นประชาธิปไตยในหมู่ทหาร สามารถกระทำได้ แต่ไม่สมควรดูหมิ่นดูแคลนผู้บังคับบัญชา ผมอยากขอเรียกร้องให้พี่แดง(เสธ.แดง) ลาออกจากราชการทหารไปเล่นการเมือง ไปใส่สูทผูกไทเต็มตัว อย่ามาหากินกับเครื่องแบบทหารอย่างนี้เลย”
ทั้งนี้ พ.อ.อภิรัชต์ ได้ออกมาเตือน เสธ.แดงอีกครั้งระหว่างเปิดแถลงข่าวร่วมกับนายทหารระดับผู้บังคับหน่วยของกองทัพบกเมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ “อยากขอความกรุณาให้พี่แดงยุติบทบาทที่แสดงออกมาทั้งหมด หากพี่แดงยุติบทบาท หรือหยุดกระทำก้าวร้าว ก็ยังสามารถเป็นรุ่นพี่ที่ดีเป็นฮีโร่ หรือเป็นนักรบอย่งที่ท่านชอบพูดไว้ได้ต่อไป ขณะนี้คนจองกฐิน พล.ต.ขัตติยะมาก หากยังดื้อดึงทำเช่นนี้อยู่ คนที่ไม่พอใจคงไม่ใช่แค่พวกเรา คงมีกำลังพลหลายคนไม่พอใจ หากเกิดอะไรขึ้นตรงไหน แล้วโทษเป็นฝีมือคนในกองทัพ คงไม่ใช่”
ด้าน พ.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์(ผบ.ร.31) ได้แนะให้บอยคอต เสธ.แดงในทุกเรื่อง และว่า การติดชั้นยศบนบ่าไม่ได้แสดงถึงอำนาจ หากเขายังทำตัวไม่สมกับชั้นยศที่ได้รับ ก็ไม่ต้องไปแสดงความเคารพ ไม่ต้องสนใจ เชื่อว่าวันหนึ่งประชาชนจะเอือมระอาและเบื่อหน่ายไปเอง
ขณะที่ พ.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์(ผบ.ร.2 รอ.) บอกว่า การที่ไม่รู้จักบุญคุณกองทัพบก คิดว่าคงยอมไม่ได้ และอยากยกสุภาษิตของไทยว่า อย่ากินบนเรือนแล้วขี้รดบนหลังคา
ด้าน เสธ.แดง ไม่พอใจที่ผู้บังคับการจากกรมกองต่างๆ นำทหารออกมาแสดงพลังปกป้องสถาบันทหารและให้กำลังใจ พล.อ.อนุพงษ์ จึงได้ออกมาตอกกลับทหารเหล่านั้น โดยบอกว่า พวกผู้บังคับการกรมที่ออกมาพูด ล้วนเป็นลูกศิษย์ตนทั้งหมด เพราะตนเป็นอาจารย์สอนนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 18-30 และว่า ที่ผ่านมา คนเป็นผู้บังคับกรมส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นนักรบ แต่เป็นผู้ประจบสอพลอเก่ง พอมีเรื่อง พวกนี้ก็ออกมาแอ๊คชั่น เพื่อแสดงออกว่าตัวเองซื่อสัตย์ ปกป้อง ผบ.ทบ. การออกมาอย่างนี้ยิ่งทำให้กองทัพแตกแยกไปใหญ่ ทั้งที่ตนไม่ได้ทำให้กองทัพแตกแยก เสธ.แดง ยังส่งสัญญาณจะเอาคืนผู้บังคับกรมกองที่ออกมาตำหนิตนด้วย “พวกนี้อยู่ในระบบอำมาตย์อย่าทำเป็นเก่ง ระวังจะมีคนมาจี้กบาล พวกมึงไม่ได้ทำเพื่อชาติ แต่ทำเพื่อตัวเอง ทำให้กองทัพแตกแยก ไอ้แดง(พ.อ.อภิรัชต์) มึงฉีกกฎพ่อมึง(พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์) เพราะพ่อมึงประกาศว่า ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน แต่ตอนนี้มึงกลับด่าอาจารย์ตัวเอง ใครเป็นคนสอนให้ทำแบบนี้ ตอนนี้มาวิงวอนให้กูลาออก ยังไม่รู้สึกตัวอีก ไม่รู้หรือว่าตอนนี้รัฐบาลกำลังจะล่มแล้ว และพรรคเพื่อไทยจะขึ้นมาเป็นใหญ่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี แกนนำพรรคเพื่อไทยจะขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม และ เสธ.แดงจะขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 กูจะย้ายเอาพวกมึงไปอยู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้หมด ให้ไปเป็นพลล่อเป้า”
ด้าน พล.ต.ศุภวุฒิ อุตตมะ ผู้บัญชาการศูนย์สงครามพิเศษ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ค่ายสมเด็จพระนารายณ์ จ.ลพบุรี บอกว่า ในฐานะทหารหน่วยรบพิเศษ นิ่งเฉยไม่ได้ต้องออกมาแสดงพลังต่อต้าน พล.ต.ขัตติยะบ้าง โดยในวันที่ 1 ก.พ. ตนจะนำกำลังทหารและลูกจ้างกว่า 1 พันนายของหน่วยรบพิเศษฯ แสดงพลังปกป้องศักดิ์ศรีทหารและกองทัพบกไทย และเพื่อไม่ให้ พล.ต.ขัตติมาเคลื่อนไหวใน จ.ลพบุรีอีกอย่างเด็ดขาด เพราะ พล.ต.ขัตติยะเป็นทหารที่ไม่มีวินัย ทำลายระบบการปกครองโดยภาพรวม “ทหารนั้นจะต้องเคารพผู้บังคับบัญชาทั้งต่อหน้าและลับหลัง ถ้าหากข้าราชการทหารไม่มีวินัย จะไปรบที่ไหนได้”