xs
xsm
sm
md
lg

“วีระ” เปิดโปงแผนขายชาติ หลอกผ่านสภาฯ หมกเม็ดยอมรับเขมรจดทะเบียนฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“วีระ” แฉ!! “กษิต” อ้างหากสนธิสัญญาร่วมไทย-เขมรผ่านสภาฯ จะขับไล่เขมรได้ ถือเป็นการขายชาติอย่างชัดเจน เพราะเท่ากับยอมรับเขมรจดทะเบียนโดยปริยาย ผยทหารพร้อมแสดงพลังรักชาติ ขอเพียงนายกฯ สั่งแค่ครึ่งวันสามารถปราบเขมรราบคาบ ขณะที่ “ปานเทพ” ยัน “กษิต” เปลี่ยนไปจริง มีพฤติกรรมอุ้ม รบ.-รมว.กลาโหม เผยเลห์กลเขมร ทำข้อตกลงให้ทหารทั้งสองฝ่ายถอนกำลังจากเขาวิหาร เพื่อคนเขมรจะได้ขยายมวลชนอย่างปลอดภัย ซึ่งทางพฤตินัยถือว่าครอบครองเบ็ดเสร็จแล้ว


คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “คนในข่าว”

รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-21.30 น. วันที่ 8 กันยายน 2552 โดยมีนายเติมศักดิ์ จารุปราณ เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน และ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาร่วมพูดคุยถึงจุดยืนพันธมิตรฯ กรณีเขาวิหาร

นายวิระกล่าวถึงกรณีที่ผู้ใหญ่จัดให้ตนเข้าพูดคุยกับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดต่อกัน ซึ่งตนก็ยืนยันตามข้อเท็จจริงที่เห็นว่าไม่ได้เข้าใจผิดไทยเสียดินแดนแล้วจริงๆ พร้อมกับบอกนายกษิตว่า ถ้าท่านว่างเมื่อไร ตนขอนัดไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง เพราะหากท่านไปเองไม่แน่ใจว่าทหารจะพาท่านไปดูทุกจุดเหมือนที่พาตนและประชาชนไปดูหรือไม่

นายวีระกล่าวต่อว่า ความจริงที่พบหลังจากนำประชาชนเข้าสำรวจข้อเท็จจริง พบว่า บริเวณที่เป็นดินแดนไทย ตั้งแต่เชิงบันใด บัดนี้ตกอยู่ในอำนาจกัมพูชาอย่างชัดเจน โดยมีการปักธงชาติ และห้ามทหารไทยเข้าไป ส่วนกรณีที่นายกษิตพูดยืนยันว่าไทยยึดหลักสันปันน้ำ ตรงนี้เมื่อยึดหลักสันปันน้ำ ก็เท่ากับว่าบริเวณทั้งเชิงบันไดและตัวปราสาทต้องเป็นของเรา แล้วทำไมเราถึงเข้าไปไม่ได้

“ทหารที่ไม่มีผลประโยชน์ด้วย เข้าเจ็บปวดกับการกระทำของทหารชั้นผู้ใหญ่ ผมเคยถามทหารไทยที่ตรึงกำลังชายแดนเขาวิหาร เล่นๆ ว่าหากให้ผลักดันทหารกัมพูชาออกไปจะต้องใช้เวลาเท่าใด เขาบอกว่าเพียงแค่ครึ่งวันก็ขับไล่ออกไปได้หมดแล้ว ขอเพียงมีคำสั่งลงมาเท่านั้น” นายวีระกล่าว

นายวีระกล่าวถึงคำพูดนายกษิตที่อ้างว่าเราต้องปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติ ตรงนี้ในกฎบัตรสหประชาชาติข้อ 51 เองก็ไม่มีข้อความตอนใดบังคับไม่ให้ป้องกันตนเอง ดังนั้น การที่มีคนรุกราน แล้วเราขับไล่ออกไป จึงไม่เป็นการต้องห้าม อีกทั้งกัมพูชาเองก็เพิ่งเข้ามาไม่นาน หากขับไล่เสียตั้งแต่ตอนนี้ จึงเป็นไปด้วยเหตุและผลตามความชอบธรรมที่สามารถทำได้

“การพยายามผลักดันให้ร่างข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชา เข้าสู่สภา โดยไม่มีการทบทวนให้ดีเสียก่อน จะทำให้เสียอธิปไตยอย่างถาวร ยากแก่การแก้ไข คราวนี้ถ้าหากอยากเอาคืนก็ต้องทำสงครามอย่างเดียวเท่านั้น” นายวีระกล่าว

ส่วนกรณีที่นายกษิตพูดถึงประเด็นมีชาวกัมพูชามาตั้งชุมชนรุกล้ำเขตุแดนไทย หากร่างข้อตกลงผ่านสภาฯก็สามารถขับไล่ออกไปได้ ตรงนี้เป็นคำพูดที่มีวัตถุประสงค์ขายชาติอย่างชัดเจน เพราะหากร่างข้อตกลงผ่านสภาฯ ก็เท่ากับเป็นการรับรองสิทธิ์ให้กัมพูชาทันที อย่างไรก็ตามหากการตกลงไม่ประสบความสำเร็จ หมายถึงว่าเราต้องปล่อยให้ชาวกัมพูชา รุกล้ำอยู่อย่างนี้ใช่หรือไม่ ตอนนี้อำนาจอยู่ที่รัฐบาล กับ ก.กลาโหม ยังไม่มีน้ำยาขับไล่เลย ดังนั้นจะเอาอะไรมาเป็นหลักประกันว่าหากข้อตกลงผ่านแล้วจะขับไล่ชาวกัมพูชา ออกไปได้

นายวีระกล่าวถึงแนวทางการต่อสู้ว่า ขณะนี้นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรฯ ได้ร่างคำฟ้องเตรียมเอาผิดคนขายชาติ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119 “ผู้ใดทำให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนี่งส่วนใดตกไปอยู่ใต้อธิปไตยของชาติอื่น..ต้องระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต” และมาตรา129 “ผู้ใดสนับสนุนการกระทำความผิดต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการ” ซึ่งแต่เดิมตนตั้งใจจะยื่นต่อ ป.ป.ช. ภายในวันพฤหัสบดี แต่มีพี่น้องประชาชนจำนวนมากขอมีส่วนร่วม ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามประสงค์ จะแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบอีกครั้งว่าจะไปยื่นวันใดแน่ คาดไม่น่าจะเกินวันศุกร์นี้

นายวีระกล่าวว่า มีหญิงชราวัย 78 มอบเงินหนึ่งหมื่นบาท พร้อมกับนำแหวนและตุ้มหูมุกมาให้ โดยเขียนบอกว่า อยากให้คนที่รู้คุณค่ามาประมูล แล้วเอาเงินให้ตนไปกอบกู้อธิปไตยวันที่ 19 นี้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่สะท้อนว่าประชาชนอีกจำนวนมากไม่ได้งอมืองอเท้า และไม่ได้รอความหวังจากรัฐบาลว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร และไม่ได้หวังพึ่งรัฐบาลหรือทหารแล้ว แต่เขาต้องการพึ่งตัวเอง

นายปานเทพกล่าวว่า การแถลงข้อเท็จจริงกรณีปราสาทพระวิหาร ผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ของนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นการโอบอุ้มรัฐบาลทั้งคณะ โดยเฉพาะ รมว.กลาโหม ซึ่งมีหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตย และที่ย้ำว่า รัฐบาลไม่เสียอธิปไตย อ้างได้ทำการประท้วงแล้ว เพียงเท่านี้ก็เห็นได้ชัด ว่า นายกษิตมีอุดมการณ์เปลี่ยนไปอย่างมาก ต่างจากเมื่อครั้งที่พูดบนเวทีพันธมิตรฯ วันที่ 5 ก.ค. 2551 พูดชัดเจนว่า ต้องมีการทักท้วง โดยให้ยึดแนวเขตุสันปันน้ำเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้ทำให้หลายคนมองว่า ท่านเปลี่ยนไป

“เห็นใจนายกษิต อำนาจสูงสุดที่ทำได้คือ ทักท้วง เพราะท่านไม่ใช่ รมว.กลาโหม หรือนายกฯ อย่างไรก็ตาม หากจับคำพูดดีๆ ท่านพูดว่า รัฐบาลเน้นใช้การเจรา เท่ากับว่า นายกฯ ไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลัง ดังนั้นจึงเป็นการเลยการใช้อำนาจของท่าน” นายปานเทพกล่าว

นายปานเทพกล่าวว่า ร่างข้อตกลงในแถลงการณ์ร่วมมีอยู่ข้อหนึ่งที่บอกจะให้ทหารทั้งสองฝ่ายออกจากพื้นที่ล่อแหลม ไม่ได้บ่งบอกให้ประชาชนออกไปหรือเอาสิ่งก่อสร้างออกไปด้วย จึงเท่ากับเป็นการตกลงให้ทหารทั้งสองฝั่งออกจากพื้นที่ แต่ยังคง ประชาชน วัด ไว้เหมือนเดิม อีกทั้งร่างข้อตกลงนี้บอกว่าจะให้สิ้นผลเมื่อข้อตกลงสิ้นสุด ด้วยเหตุนี้ทำให้กัมพูชาพยายามยื้อเวลาเพราะระหว่างที่ข้อตกลงนี้ยังไม่เป็นผล ชาวกัมพูชา ที่บุกรุกเข้ามาจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะเท่ากับเป็นการยึดพื้นที่โดยปริยายและอย่างถาวร

นายปานเทพกล่าวถึงกรณีที่ นายเตช บุนนาค อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ทำหนังสือส่งให้ นายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชาว่า ไม่ให้ถือเอาแถลงการณ์ร่วมมาใช้บังคับเป็นหนังสือสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ไม่ใช่การยกเลิกแถลงการณ์ เพราะไม่ได้บอกเหตุผลว่าศาลไทยบอกให้ยกเลิก ดังนั้นจึงเป็นเพียงกลเม็ดที่ต้องการให้ ก.ต่างประเทศ และครม.ชุดนั้นพ้นจากความผิด ส่วนสาเหตุที่ไม่ได้อ้างถึงคำวินิจฉัยของศาล ก็เพราะว่าถ้าอ้างก็เท่ากับยอมรับว่ากระทำความผิดจริง ซึ่งต้องถูกลงโทษ

นายวีระกล่าวเสริมว่า ที่จริงนายเตช บุนนาค ต้องแจ้งต่อนายฮอร์ นัม ฮง ว่า บัดนี้ศาลไทยทั้งสองศาล คือ รัฐธรรมนูญและศาลปกครอง บอกว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เป็นการลงนามที่ผิดกฎหมาย ส่งผลให้นิติกรรมทั้งหมดที่ทำสิ้นผล ซึ่งผูกพันมายังกระทรวงต่างประเทศ ที่จะต้องแจ้งกับท่านว่ามันสิ้นผลและยกเลิกแล้ว

นายปานเทพกล่าวต่อว่า หนังสือที่นายเตช บุนนาค ส่งไปถึงกัมพูชา ไม่ให้แถลงการณ์ร่วมมีผลใช้บังคับ ซึ่งทางกัมพูชาก็ตกลงแล้วนั้น เป็นการอ่านภาษาอังกฤษโดยที่ไม่ต่อให้จบ นายฮอร์ นัม ฮง พูดว่า ใช่ผมยอมรับหนังสือแถลงการณ์ร่วม ไม่ถูกใช้เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ “ดังนั้น มูลค่าของมันก็มีคุณค่าอย่างที่มันเป็น” แปลได้ว่าเขาไม่ได้ ให้การปฏิเสธอย่างแท้จริง

“หากมีการรบกันจริงมั่นในว่าทหารไทยจะไม่แพ้ ถ้าไม่มีพวกที่ มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามหากย้อนกลับไปปี 2548 ที่กัมพูชาสร้างถนนหวังขึ้นปราสาท แล้วกองทัพบกไทย นำโดย ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตำแหน่ง ผบ.ทบ ในตอนนั้น เตรียมกำลังเต็มที่พร้อมรบกับกัมพูชา ปรากฏว่า หลังจากนั้นไม่กี่วัน กัมพูชาสามารถอพยพคนทั้งหมดเกือบ 200 ครัวเรือนออกจากพื้นที่ได้ทันที ตรงนี้แสดงให้เห็นว่า เพียงแค่ทหารไทย คำราม เพื่อแสดงแสนยานุภาพ ก็วิ่งหนีกันหมดแล้ว” นายปานเทพกล่าว

นายปานเทพกล่าวว่า ที่กังวลว่าเมื่อมีปัญหาแล้วไทยต้องขึ้นต่อศาลโลก อาจทำให้เสียเปรียบนั้น ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อน ว่า 1.มติของศาลโลกวินิจฉัยเฉพาะตัวปราสาท ไม่ได้ยอมรับเรื่องแผนที่ของกัมพูชา 2.ส่วนกรณีที่มีคนพูดว่า เคยมีคนไทยทำการสำรวจกับประเทศฝรั่งเศส ตรงนี้จากตรวจสอบไม่ใช่ตัวแทนของรัฐบาล 3.หากมีการปะทะกัน ศาลโลกก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมติของศาลโลกไม่สามารถบังคับประเทศใดได้ หากประเทศนั้นไม่มีบทบังคับให้ใช้
นายวีระ สมความคิด
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
กำลังโหลดความคิดเห็น