รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ช่วงเวลา 20.30-21.30 น. วันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยมีนายเติมศักดิ์ จารุปราณ เป็นผู้ดำเนินรายการ และมีนายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาร่วมพูดคุยถึงจุดยืนพันธมิตรฯต่อกรณีเขาพระวิหาร
นายวีระ กล่าวถึงกรณีที่ผู้ใหญ่จัดให้ตนเข้าพูดคุยกับนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดต่อกัน ซึ่งตนก็ยืนยันตามข้อเท็จจริงที่เห็นว่า ไม่ได้เข้าใจผิดไทยเสียดินแดนแล้วจริงๆ พร้อมกับบอกนายกษิตว่า ถ้าท่านว่างเมื่อไร ตนขอนัดไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง เพราะหากท่านไปเอง ไม่แน่ใจว่าทหารจะพาท่านไปดูทุกจุดเหมือนที่พาตน และประชาชนไปดูหรือไม่
นายวีระกล่าวว่า ความจริงที่ตนไปพบคือ บริเวณที่เป็นดินแดนไทย ตั้งแต่เชิงบันใด บัดนี้ตกอยู่ในอำนาจกัมพูชาอย่างชัดเจน โดยมีการปักธงชาติ และห้ามทหารไทยเข้าไป ส่วนกรณีที่นายกษิต พูดยืนยันว่าไทยยึดหลักสันปันน้ำ ตรงนี้เมื่อยึดหลักสันปันน้ำ ก็เท่ากับว่าบริเวณทั้งเชิงบันไดและตัวปราสาท ต้องเป็นของเรา แล้วทำไมเราถึงเข้าไปไม่ได้
"ทหารที่ไม่มีผลประโยชน์ด้วย เขาเจ็บปวดกับการกระทำของทหารชั้นผู้ใหญ่ ผมเคยถามทหารไทยที่ตรึงกำลังชายแดนเขาวิหารเล่นๆ ว่าหากให้ผลักดันทหารกัมพูชาออกไปจะต้องใช้เวลาเท่าใด เขาบอกว่าเพียงแค่ครึ่งวัน ก็ขับไล่ออกไปได้หมดแล้ว ขอเพียงมีคำสั่งลงมาเท่านั้น"
**หยุดข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชาเข้าสภา
นายวีระกล่าวถึงคำพูดนายกษิต ที่อ้างว่าเราต้องปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติ ตรงนี้ในกฎบัตรสหประชาชาติข้อ 51 เองก็ไม่มีข้อความตอนใดบังคับไม่ให้ป้องกันตนเอง ดังนั้น การที่มีคนรุกราน แล้วเราขับไล่ออกไป จึงไม่เป็นการต้องห้าม อีกทั้งกัมพูชาเองก็เพิ่งเข้ามาไม่นาน หากขับไล่เสียตั้งแต่ตอนนี้ จึงเป็นไปด้วยเหตุและผล ตามความชอบธรรมที่สามารถทำได้
"การพยายามผลักดันให้ร่างข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชา เข้าสู่สภาโดยไม่มีการทบทวนให้ดีเสียก่อน จะทำให้เสียอธิปไตยอย่างถาวร ยากแก่การแก้ไข คราวนี้ถ้าหากอยากเอาคืน ก็ต้องทำสงครามอย่างเดียวเท่านั้น" นายวีระกล่าว
ส่วนกรณีที่นายกษิต พูดถึงประเด็นมีชาวกัมพูชามาตั้งชุมชนรุกล้ำเขตุแดนไทย หากร่างข้อตกลงผ่านสภาฯ ก็สามารถขับไล่ออกไปได้ ตรงนี้เป็นคำพูดที่มีวัตถุประสงค์ขายชาติ อย่างชัดเจน เพราะหากร่างข้อตกลงผ่านสภาฯ ก็เท่ากับเป็นการรับรองสิทธิ์ให้กัมพูชาทันที
อย่างไรก็ตามหากการตกลงไม่ประสบความสำเร็จ หมายถึงว่าเราต้องปล่อยให้ชาวกัมพูชา รุกล้ำอยู่อย่างนี้ใช่หรือไม่ ตอนนี้อำนาจอยู่ที่รัฐบาล กับกระทรวงกลาโหม ยังไม่มีน้ำยาขับไล่เลย ดังนั้นจะเอาอะไรมาเป็นหลักประกันว่า หากข้อตกลงผ่านแล้วจะขับไล่ชาวกัมพูชา ออกไปได้
**ยื่นป.ป.ช.เอาผิดคนขายชาติ
นายวีระกล่าวถึงแนวทางการต่อสู้ว่า ขณะนี้ นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรฯ ได้ร่างคำฟ้องเตรียมเอาผิดคนขายชาติ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119 “ผู้ใดทำให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนี่งส่วนใดตกไปอยู่ใต้อธิปไตยของชาติอื่น..ต้องระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต”
และมาตรา 129 “ผู้ใดสนับสนุนการกระทำความผิดต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการ” ซึ่งแต่เดิมตนตั้งใจจะยื่นต่อป.ป.ช. ภายในวันพฤหัสบดี แต่มีพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ขอมีส่วนร่วม ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามประสงค์ จะแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบอีกครั้งว่า จะไปยื่นวันใดแน่ คาดไม่น่าจะเกินวันศุกร์นี้
นายวีระกล่าวว่า มีหญิงชราวัย 78 มอบเงินหนึ่งหมื่นบาท พร้อมกับนำแหวน และตุ้มหูมุกมาให้ โดยเขียนบอกว่า อยากให้คนที่รู้คุณค่ามาประมูล แล้วเอาเงินให้ตนไปกอบกู้อธิปไตยวันที่ 19 ก.ย.นี้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่สะท้อนว่า ประชาชนอีกจำนวนมากไม่ได้งอมืองอเท้า และไม่ได้รอความหวังจากรัฐบาลว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร และไม่ได้หวังพึ่งรัฐบาลหรือทหารแล้ว แต่เขาต้องการพึ่งตัวเอง
**จวก"กษิต" เปลี่ยนไป
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กล่าวว่า การแถลงข้อเท็จจริงกรณีปราสาทพระวิหาร ผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ของนายกษิต เป็นการโอบอุ้มรัฐบาลทั้งคณะโดยเฉพาะ รมว.กลาโหม ซึ่งมีหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตย และที่ย้ำว่ รัฐบาลไม่เสียอธิปไตย อ้างได้ทำการประท้วงแล้ว เพียงเท่านี้ก็เห็นได้ชัดว่า นายกษิต มีอุดมการณ์เปลี่ยนไปอย่างมาก ต่างจากเมื่อครั้งที่พูดบนเวทีพันธมิตรฯ วันที่ 5 ก.ค.51 ซึ่งพูดชัดเจนว่า ต้องมีการทักท้วง โดยให้ยึดแนวเขตุสันปันน้ำเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้ทำให้หลายคนมองว่า ท่านเปลี่ยนไป
"เห็นใจนายกษิต อำนาจสูงสุดที่ทำได้คือ ทักท้วง เพราะท่านไม่ใช่ รมว.กลาโหม หรือนายกฯ อย่างไรก็ตาม หากจับคำพูดดีๆ ท่านพูดว่ารัฐบาลเน้นใช้การเจรา เท่ากับว่านายกฯ ไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลัง ดังนั้นจึงเป็นการละเลยการใช้อำนาจของท่าน" นายปานเทพกล่าว
นายปานเทพ กล่าวว่า ร่างข้อตกลงในแถลงการณ์ร่วม มีอยู่ข้อหนึ่งที่บอกจะให้ทหารทั้งสองฝ่ายออกจากพื้นที่ล่อแหลม ไม่ได้บ่งบอกให้ประชาชนออกไป หรือเอาสิ่งก่อสร้างออกไปด้วย จึงเท่ากับเป็นการตกลงให้ทหารทั้งสองฝั่ง ออกจากพื้นที่ แต่ยังคงประชาชน วัด ไว้เหมือนเดิม อีกทั้งร่างข้อตกลงนี้บอกว่า จะให้สิ้นผลเมื่อข้อตกลงสิ้นสุด ด้วยเหตุนี้ทำให้กัมพูชาพยายามยื้อเวลาเพราะระหว่างที่ข้อตกลงนี้ยังไม่เป็นผล ชาวกัมพูชา ที่บุกรุกเข้ามาจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะเท่ากับเป็นการยึดพื้นที่โดยปริยายและอย่างถาวร
นายปานเทพ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายเตช บุนนาค อดีต รมว.ต่างประเทศ ทำหนังสือส่งให้ นายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่า ไม่ให้ถือเอาแถลงการณ์ร่วมมาใช้บังคับเป็นหนังสือสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ไม่ใช่การยกเลิกแถลงการณ์ เพราะไม่ได้บอกเหตุผลว่า ศาลไทยบอกให้ยกเลิก ดังนั้นจึงเป็นเพียงกลเม็ดที่ต้องการให้ ก.ต่างประเทศ และครม.ชุดนั้น พ้นจากความผิด ส่วนสาเหตุที่ไม่ได้อ้างถึงคำวินิจฉัยของศาล ก็เพราะว่าถ้าอ้างก็เท่ากับยอมรับว่ากระทำความผิดจริง ซึ่งต้องถูกลงโทษ
นายวีระกล่าวเสริมว่า ที่จริง นายเตช บุนนาค ต้องแจ้งต่อนายฮอร์ นัม ฮง ว่า บัดนี้ศาลไทยทั้งสองศาล คือรัฐธรรมนูญและศาลปกครอง บอกว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เป็นการลงนามที่ผิดกฎหมาย ส่งผลให้นิติกรรมทั้งหมดที่ทำสิ้นผล ซึ่งผูกพันมายังกระทรวงต่างประเทศ ที่จะต้องแจ้งกับท่านว่ามันสิ้นผลและยกเลิกแล้ว
นายปานเทพกล่าวต่อว่า หนังสือที่นายเตช บุนนาค ส่งไปถึงกัมพูชา ไม่ให้แถลงการณ์ร่วมมีผลใช้บังคับ ซึ่งทางกัมพูชาก็ตกลงแล้วนั้น เป็นการอ่านภาษาอังกฤษ โดยที่ไม่ต่อให้จบ นายฮอร์ นัม ฮง พูดว่า ใช่ผมยอมรับหนังสือแถลงการณ์ร่วม ไม่ถูกใช้เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ “ดังนั้น มูลค่าของมันก็มีคุณค่าอย่างที่มันเป็น” แปลได้ว่า เขาไม่ได้ ให้การปฏิเสธอย่างแท้จริง
นายปานเทพ กล่าวว่า ที่กังวลว่าเมื่อมีปัญหาแล้วไทยต้องขึ้นต่อศาลโลก อาจทำให้เสียเปรียบนั้น ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อน ว่า 1. มติของศาลโลกวินิจฉัยเฉพาะตัวปราสาท ไม่ได้ยอมรับเรื่องแผนที่ของกัมพูชา 2. ส่วนกรณีที่มีคนพูดว่า เคยมีคนไทยทำการสำรวจกับประเทศฝรั่งเศส ตรงนี้จากตรวจสอบไม่ใช่ตัวแทนของรัฐบาล 3.หากมีการปะทะกัน ศาลโลกก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมติของศาลโลกไม่สามารถบังคับประเทศใดได้ หากประเทศนั้นไม่มีบทบังคับให้ใช้
**สั่ง"กษิต"ลงพื้นที่ดูข้อเท็จจริง
วานนี้( 9 ก.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน และภายหลังการหารือร่วมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ถึงปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าได้เชิญ พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 มาให้ความมั่นใจกับประชาชน ที่ว่าปัจจุบันประชาชนไม่สามารถอยู่ในพื้นที่อะไรต่างๆ ซึ่งเป็นของไทย ก็ได้รับการยืนยันว่ามีการวางกำลังอะไรต่างๆ เป็นอย่างไร ขอยืนยันว่าโดยนิตินัยที่มีการพูดถึงเรื่องปัญหาการออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา และเรื่องมรดกโลก ที่ไทยกำลังทักท้วงอยู่ ไปจนถึงแง่พฤตินัย ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ ขอยืนยันว่า เราสามารถรักษาพื้นที่ของเราได้ทุกประการ จะได้สบายใจ เพราะตนพบพี่น้องประชาชนที่มีความเป็นห่วงเป็นใยเรื่องนี้จำนวนมาก และจะได้พูดคุยอธิบายว่า แนวทางการทำงานเป็นอย่างไร และให้ทางนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ลงพื้นที่ เพื่อมีความชัดเจนว่า อะไรเป็นอะไร
นายวีระ กล่าวถึงกรณีที่ผู้ใหญ่จัดให้ตนเข้าพูดคุยกับนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดต่อกัน ซึ่งตนก็ยืนยันตามข้อเท็จจริงที่เห็นว่า ไม่ได้เข้าใจผิดไทยเสียดินแดนแล้วจริงๆ พร้อมกับบอกนายกษิตว่า ถ้าท่านว่างเมื่อไร ตนขอนัดไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง เพราะหากท่านไปเอง ไม่แน่ใจว่าทหารจะพาท่านไปดูทุกจุดเหมือนที่พาตน และประชาชนไปดูหรือไม่
นายวีระกล่าวว่า ความจริงที่ตนไปพบคือ บริเวณที่เป็นดินแดนไทย ตั้งแต่เชิงบันใด บัดนี้ตกอยู่ในอำนาจกัมพูชาอย่างชัดเจน โดยมีการปักธงชาติ และห้ามทหารไทยเข้าไป ส่วนกรณีที่นายกษิต พูดยืนยันว่าไทยยึดหลักสันปันน้ำ ตรงนี้เมื่อยึดหลักสันปันน้ำ ก็เท่ากับว่าบริเวณทั้งเชิงบันไดและตัวปราสาท ต้องเป็นของเรา แล้วทำไมเราถึงเข้าไปไม่ได้
"ทหารที่ไม่มีผลประโยชน์ด้วย เขาเจ็บปวดกับการกระทำของทหารชั้นผู้ใหญ่ ผมเคยถามทหารไทยที่ตรึงกำลังชายแดนเขาวิหารเล่นๆ ว่าหากให้ผลักดันทหารกัมพูชาออกไปจะต้องใช้เวลาเท่าใด เขาบอกว่าเพียงแค่ครึ่งวัน ก็ขับไล่ออกไปได้หมดแล้ว ขอเพียงมีคำสั่งลงมาเท่านั้น"
**หยุดข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชาเข้าสภา
นายวีระกล่าวถึงคำพูดนายกษิต ที่อ้างว่าเราต้องปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติ ตรงนี้ในกฎบัตรสหประชาชาติข้อ 51 เองก็ไม่มีข้อความตอนใดบังคับไม่ให้ป้องกันตนเอง ดังนั้น การที่มีคนรุกราน แล้วเราขับไล่ออกไป จึงไม่เป็นการต้องห้าม อีกทั้งกัมพูชาเองก็เพิ่งเข้ามาไม่นาน หากขับไล่เสียตั้งแต่ตอนนี้ จึงเป็นไปด้วยเหตุและผล ตามความชอบธรรมที่สามารถทำได้
"การพยายามผลักดันให้ร่างข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชา เข้าสู่สภาโดยไม่มีการทบทวนให้ดีเสียก่อน จะทำให้เสียอธิปไตยอย่างถาวร ยากแก่การแก้ไข คราวนี้ถ้าหากอยากเอาคืน ก็ต้องทำสงครามอย่างเดียวเท่านั้น" นายวีระกล่าว
ส่วนกรณีที่นายกษิต พูดถึงประเด็นมีชาวกัมพูชามาตั้งชุมชนรุกล้ำเขตุแดนไทย หากร่างข้อตกลงผ่านสภาฯ ก็สามารถขับไล่ออกไปได้ ตรงนี้เป็นคำพูดที่มีวัตถุประสงค์ขายชาติ อย่างชัดเจน เพราะหากร่างข้อตกลงผ่านสภาฯ ก็เท่ากับเป็นการรับรองสิทธิ์ให้กัมพูชาทันที
อย่างไรก็ตามหากการตกลงไม่ประสบความสำเร็จ หมายถึงว่าเราต้องปล่อยให้ชาวกัมพูชา รุกล้ำอยู่อย่างนี้ใช่หรือไม่ ตอนนี้อำนาจอยู่ที่รัฐบาล กับกระทรวงกลาโหม ยังไม่มีน้ำยาขับไล่เลย ดังนั้นจะเอาอะไรมาเป็นหลักประกันว่า หากข้อตกลงผ่านแล้วจะขับไล่ชาวกัมพูชา ออกไปได้
**ยื่นป.ป.ช.เอาผิดคนขายชาติ
นายวีระกล่าวถึงแนวทางการต่อสู้ว่า ขณะนี้ นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรฯ ได้ร่างคำฟ้องเตรียมเอาผิดคนขายชาติ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119 “ผู้ใดทำให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนี่งส่วนใดตกไปอยู่ใต้อธิปไตยของชาติอื่น..ต้องระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต”
และมาตรา 129 “ผู้ใดสนับสนุนการกระทำความผิดต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการ” ซึ่งแต่เดิมตนตั้งใจจะยื่นต่อป.ป.ช. ภายในวันพฤหัสบดี แต่มีพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ขอมีส่วนร่วม ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามประสงค์ จะแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบอีกครั้งว่า จะไปยื่นวันใดแน่ คาดไม่น่าจะเกินวันศุกร์นี้
นายวีระกล่าวว่า มีหญิงชราวัย 78 มอบเงินหนึ่งหมื่นบาท พร้อมกับนำแหวน และตุ้มหูมุกมาให้ โดยเขียนบอกว่า อยากให้คนที่รู้คุณค่ามาประมูล แล้วเอาเงินให้ตนไปกอบกู้อธิปไตยวันที่ 19 ก.ย.นี้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่สะท้อนว่า ประชาชนอีกจำนวนมากไม่ได้งอมืองอเท้า และไม่ได้รอความหวังจากรัฐบาลว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร และไม่ได้หวังพึ่งรัฐบาลหรือทหารแล้ว แต่เขาต้องการพึ่งตัวเอง
**จวก"กษิต" เปลี่ยนไป
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กล่าวว่า การแถลงข้อเท็จจริงกรณีปราสาทพระวิหาร ผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ของนายกษิต เป็นการโอบอุ้มรัฐบาลทั้งคณะโดยเฉพาะ รมว.กลาโหม ซึ่งมีหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตย และที่ย้ำว่ รัฐบาลไม่เสียอธิปไตย อ้างได้ทำการประท้วงแล้ว เพียงเท่านี้ก็เห็นได้ชัดว่า นายกษิต มีอุดมการณ์เปลี่ยนไปอย่างมาก ต่างจากเมื่อครั้งที่พูดบนเวทีพันธมิตรฯ วันที่ 5 ก.ค.51 ซึ่งพูดชัดเจนว่า ต้องมีการทักท้วง โดยให้ยึดแนวเขตุสันปันน้ำเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้ทำให้หลายคนมองว่า ท่านเปลี่ยนไป
"เห็นใจนายกษิต อำนาจสูงสุดที่ทำได้คือ ทักท้วง เพราะท่านไม่ใช่ รมว.กลาโหม หรือนายกฯ อย่างไรก็ตาม หากจับคำพูดดีๆ ท่านพูดว่ารัฐบาลเน้นใช้การเจรา เท่ากับว่านายกฯ ไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลัง ดังนั้นจึงเป็นการละเลยการใช้อำนาจของท่าน" นายปานเทพกล่าว
นายปานเทพ กล่าวว่า ร่างข้อตกลงในแถลงการณ์ร่วม มีอยู่ข้อหนึ่งที่บอกจะให้ทหารทั้งสองฝ่ายออกจากพื้นที่ล่อแหลม ไม่ได้บ่งบอกให้ประชาชนออกไป หรือเอาสิ่งก่อสร้างออกไปด้วย จึงเท่ากับเป็นการตกลงให้ทหารทั้งสองฝั่ง ออกจากพื้นที่ แต่ยังคงประชาชน วัด ไว้เหมือนเดิม อีกทั้งร่างข้อตกลงนี้บอกว่า จะให้สิ้นผลเมื่อข้อตกลงสิ้นสุด ด้วยเหตุนี้ทำให้กัมพูชาพยายามยื้อเวลาเพราะระหว่างที่ข้อตกลงนี้ยังไม่เป็นผล ชาวกัมพูชา ที่บุกรุกเข้ามาจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะเท่ากับเป็นการยึดพื้นที่โดยปริยายและอย่างถาวร
นายปานเทพ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายเตช บุนนาค อดีต รมว.ต่างประเทศ ทำหนังสือส่งให้ นายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่า ไม่ให้ถือเอาแถลงการณ์ร่วมมาใช้บังคับเป็นหนังสือสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ไม่ใช่การยกเลิกแถลงการณ์ เพราะไม่ได้บอกเหตุผลว่า ศาลไทยบอกให้ยกเลิก ดังนั้นจึงเป็นเพียงกลเม็ดที่ต้องการให้ ก.ต่างประเทศ และครม.ชุดนั้น พ้นจากความผิด ส่วนสาเหตุที่ไม่ได้อ้างถึงคำวินิจฉัยของศาล ก็เพราะว่าถ้าอ้างก็เท่ากับยอมรับว่ากระทำความผิดจริง ซึ่งต้องถูกลงโทษ
นายวีระกล่าวเสริมว่า ที่จริง นายเตช บุนนาค ต้องแจ้งต่อนายฮอร์ นัม ฮง ว่า บัดนี้ศาลไทยทั้งสองศาล คือรัฐธรรมนูญและศาลปกครอง บอกว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เป็นการลงนามที่ผิดกฎหมาย ส่งผลให้นิติกรรมทั้งหมดที่ทำสิ้นผล ซึ่งผูกพันมายังกระทรวงต่างประเทศ ที่จะต้องแจ้งกับท่านว่ามันสิ้นผลและยกเลิกแล้ว
นายปานเทพกล่าวต่อว่า หนังสือที่นายเตช บุนนาค ส่งไปถึงกัมพูชา ไม่ให้แถลงการณ์ร่วมมีผลใช้บังคับ ซึ่งทางกัมพูชาก็ตกลงแล้วนั้น เป็นการอ่านภาษาอังกฤษ โดยที่ไม่ต่อให้จบ นายฮอร์ นัม ฮง พูดว่า ใช่ผมยอมรับหนังสือแถลงการณ์ร่วม ไม่ถูกใช้เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ “ดังนั้น มูลค่าของมันก็มีคุณค่าอย่างที่มันเป็น” แปลได้ว่า เขาไม่ได้ ให้การปฏิเสธอย่างแท้จริง
นายปานเทพ กล่าวว่า ที่กังวลว่าเมื่อมีปัญหาแล้วไทยต้องขึ้นต่อศาลโลก อาจทำให้เสียเปรียบนั้น ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อน ว่า 1. มติของศาลโลกวินิจฉัยเฉพาะตัวปราสาท ไม่ได้ยอมรับเรื่องแผนที่ของกัมพูชา 2. ส่วนกรณีที่มีคนพูดว่า เคยมีคนไทยทำการสำรวจกับประเทศฝรั่งเศส ตรงนี้จากตรวจสอบไม่ใช่ตัวแทนของรัฐบาล 3.หากมีการปะทะกัน ศาลโลกก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมติของศาลโลกไม่สามารถบังคับประเทศใดได้ หากประเทศนั้นไม่มีบทบังคับให้ใช้
**สั่ง"กษิต"ลงพื้นที่ดูข้อเท็จจริง
วานนี้( 9 ก.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน และภายหลังการหารือร่วมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ถึงปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าได้เชิญ พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 มาให้ความมั่นใจกับประชาชน ที่ว่าปัจจุบันประชาชนไม่สามารถอยู่ในพื้นที่อะไรต่างๆ ซึ่งเป็นของไทย ก็ได้รับการยืนยันว่ามีการวางกำลังอะไรต่างๆ เป็นอย่างไร ขอยืนยันว่าโดยนิตินัยที่มีการพูดถึงเรื่องปัญหาการออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา และเรื่องมรดกโลก ที่ไทยกำลังทักท้วงอยู่ ไปจนถึงแง่พฤตินัย ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ ขอยืนยันว่า เราสามารถรักษาพื้นที่ของเราได้ทุกประการ จะได้สบายใจ เพราะตนพบพี่น้องประชาชนที่มีความเป็นห่วงเป็นใยเรื่องนี้จำนวนมาก และจะได้พูดคุยอธิบายว่า แนวทางการทำงานเป็นอย่างไร และให้ทางนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ลงพื้นที่ เพื่อมีความชัดเจนว่า อะไรเป็นอะไร