ส.ว. ส.ส. ทหาร ประชาชนและสื่อ จะร่วมมือกันแก้ปัญหาเสียดินแดนเขาพระวิหาร!
หมายเหตุ : บทความนี้พัฒนาขึ้นมาจากบทความที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2552 หลังจากที่ข้าพเจ้ามีโอกาสได้พบและพูดคุยอย่างจริงจังกับตัวแทนกระทรวงกลาโหม สมาชิกวุฒิสภาบางท่าน และตัวแทนสื่อบางท่าน แล้วต่างมีความเห็นพ้องกันในขณะนี้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือ จะเยียวยาแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้น และที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่อง ต่อๆ ไปได้อย่างไร ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมีความเห็นที่จะแก้ไขการเปลี่ยนแปลงชื่อบทความนี้เสียใหม่จาก “กระทรวงการต่างประเทศเล่นเกมการเสียดินแดน : กต. – ต้นคิด รัฐสภา – อนุมัติ ทหาร – ปฏิบัติ!” เป็น “ขณะนี้ พวกเราทุกฝ่ายจะร่วมมือกันพิทักษ์รักษาแผ่นดินไทย!” เพื่อให้เกิดปฏิบัติการที่สร้างสรรค์และฉับพลันในความร่วมมือกันของทุกฝ่ายที่จะพิทักษ์รักษาแผ่นดินไทย
เมื่อปีที่แล้วหากมีใครไปถาม พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกเรื่องการเสียดินแดนเมื่อกัมพูชานำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ท่านจะตอบว่า “.....ไม่ทราบว่าจะนำไปสู่การเสียดินแดนได้อย่างไร” (สมุดปกขาวกระทรวงการต่างประเทศหน้า ช )
เมื่อปีที่แล้ว (พ.ศ.2551) ข้อมูลต่างๆ ของเรื่อง ที่ประชาชนจะสามารถนำมาเป็นพื้นฐานความรู้ความเข้าใจนั้น ยังมีน้อยมาก เพราะว่าเราถูกปิด ถูกบิดเบือนข้อมูล และที่สำคัญคือ ประชาชนถูกหล่อหลอมให้คิดและเชื่อข้อมูลผิดตลอดมา
หนึ่งปีผ่านไปไวเหมือนโกหก (พ.ศ. 2552) ประชาชนจาก 1-2 คน รวมกันเป็นเครือข่าย และจากเครือข่ายรวมกันเป็นภาคีเครือข่าย ได้ติดตามสถานการณ์ปราสาทเขาพระวิหาร จนชัดเจนแล้วว่า หากจะพูดถึงเรื่องนี้กับกระทรวงการที่เกี่ยวข้อง (เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น จะต้องพูดเป็น 2 เรื่อง เหมือนว่าต่างก็ไม่รับรู้ ไม่มีการทำงานกันอย่างเป็นเอกภาพ โดยอ้างว่า “ไม่ใช่หัวข้อเรื่องของตน”) คือ เรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเรื่องหนึ่ง และเรื่องการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในกรอบของคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชา อีกเรื่องหนึ่ง ทั้งๆ ที่เมื่อพิจารณาตามข้อมูลหลักฐานแล้วจะต้องเป็น "เรื่องเดียวกัน” เพราะหนีไม่พ้นที่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องเขตแดน
และถ้าวันนี้ เราตั้งคำถามเสียใหม่กับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ว่า การพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาในกรอบของคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชา จะนำไปสู่การเสียดินแดนหรือไม่ อยากรู้ว่า ท่านจะตอบว่าอย่างไร ในเมื่อเห็นข้อมูลกันอยู่แจ่มแจ้งแล้ววันนี้ว่า
1. ร่างข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชาว่าด้วยปัญหาชายแดนในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร ที่นายกรัฐมนตรีจะเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาตามมาตรา 190 ลงวันที่ตั้งแต่ 2 กรกฎาคม 2552 และส่งเป็นเอกสารประกอบมานั้น ในข้อ 1 ของร่างระบุไว้อย่างชัดถ้อยชัดคำว่า
“...คู่ภาคีจะไม่คงกำลังทหารของแต่ละฝ่ายในวัด “แก้วสิขาคีรีสะวารา” (ต่อไปนี้จะเรียกว่า “วัด”) พื้นที่รอบวัดและพื้นที่ [ไทย-ปราสาท] [กัมพูชา-ปราสาทเปรียะวีเฮียร์(พระวิหารในภาษาไทย)] แม่ทัพภาคที่สองของกองทัพบกไทย และผู้บัญชาการกองทัพภาคที่ 4 ของกองทัพกัมพูชา จะกำหนดมาตรการที่เหมาะสมร่วมกัน เพื่อปฏิบัติให้ข้อบทนี้มีผล โดยผ่านชุดติดตามสถานการณ์ชั่วคราวของแต่ละฝ่าย”
ท่านจะต้องรู้เพราะเป็นผู้บังคับบัญชาของแม่ทัพภาคที่สองของกองทัพบกไทย อีกทั้ง “ชุดติดตามสถานการณ์ชั่วคราว” ของฝ่ายไทยนั้น มีความหมายว่าเป็นกลไกหนึ่งของการเจรจาเพื่อรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยบริเวณพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญของทหาร ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น “รั้วบ้าน” แต่ฐานะและความหมายของ “ชุดติดตามสถานการณ์ชั่วคราว” นั้น มิใช่ ชายชาญทหารชาติ จึงเป็นเพียงแต่การให้คำและความหมาย สนองคณะกรรมการมรดกโลก และกัมพูชา เพื่อขึ้นทะเบียนมรดกโลกเท่านั้น
2.มีเอกสารของคณะกรรมการมรดกโลกที่ชื่อว่า C1224 rev เรื่องที่ 65 ชื่อในบัญชีขึ้นทะเบียนว่าปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นเอกสารประกอบกับร่างมติคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 33 มีหลายตอนที่สำคัญ แต่จะขอยกตอนที่สำคัญตอนหนึ่งมาเป็นหลักฐานเพื่อให้เห็นชัดเจนและเข้าใจอย่างถ่องแท้ ดังนี้
“...ในวันที่ 3 ตุลาคม 2551 ทหารกัมพูชาปะทะกับทหารไทยใกล้ปราสาทพระวิหาร มีรายงานการบาดเจ็บของทหารทั้งสองฝ่ายในวันที่ 6 ตุลาคม ทหารไทย 2 นายได้รับบาดเจ็บสาหัส เหยียบกับระเบิดขาขาดในบริเวณใกล้ปราสาท ในบ่ายวันที่ 15 ตุลาคม เกิดการยิงปะทะกันระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทย 3 จุด ในพื้นที่ใกล้ตัวปราสาท รวมทั้งมีการยิงด้วยปืนยิงสังหาร มีการยืนยันว่าทหารกัมพูชาเสียชีวิต 3 นาย ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 4-7 นาย มีทหารไทยสูญหายไป 10 นาย ซึ่งกัมพูชาได้ประกาศว่าตนได้จับกุมทหาร 10 นายนี้ มีการเจรจาตกลงระหว่างทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นอีก แม้ว่าทั้งสองฝ่ายยังคงกล่าวหากันเองถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น รวมทั้งที่ได้เกิดความเสียหายขึ้นแก่ทรัพย์สินมรดกโลก .......จากจดหมาย ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2551 โดยผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกได้แจ้งต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบของกัมพูชาในการตัดสินใจที่จะให้มีกลไกชุดติดตามเสริม และจะส่งชุดทำงานนี้ไปยังพื้นที่ทรัพย์สินมรดกโลกในทันที..... นอกจากการติดตามตรวจสอบดังกล่าว ยังเปิดโอกาสให้มีการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุตามข้อร้องขอ ในย่อหน้าที่ 15 ตามมติ ที่ 32 COM 8 B.102 ชุดติดตามเสริมได้เข้าพื้นที่ในช่วง 28 มีนาคม ถึง 6 เมษายน 2552 นำทีมโดยแผนงานพิเศษด้านวัฒนธรรมขององค์กรยูเนสโก สำนักงานพนมเปญ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากสภาการโบราณสถานระหว่างประเทศ (ICOMOS)”
เอกสารประกอบนี้ เป็นหลักฐานให้เห็นความเป็นเรื่องเดียวกันระหว่างการขึ้นทะเบียน ปราสาทพระวิหารของกัมพูชา กับเรื่อง พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในกรอบของคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างชัดเจน (กรอบนี้จะถูกนำเข้าพิจารณาในสภาสมัยนิติบัญญัติในวาระที่ 5.13 เรื่อง ร่างกรอบการเจรจาเพื่อรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย บริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในกรอบของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา ) และยิ่งถูกสำทับด้วยเอกสารที่มีชื่อว่า “บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ณ กรุงพนมเปญ วันที่ 6-7 เมษายน 2552” ที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะนำเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาในวันที่ 28 สิงหาคม 2552 (แต่มีเหตุให้ต้องเลื่อนออกไปก่อน :อ้างเอกสารที่ สผ 0014/ร 27 25 สิงหาคม 2552)
สิ่งอื่นๆ ที่ได้ในการรับรู้จากเอกสารนี้คือ ข้อมูลเรื่องกัมพูชาจับทหารไทย 10 นาย ที่วัดแก้วฯ นั้นเป็นความจริง วัดแก้วฯ อยู่ในบริเวณพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ของไทย สิ่งที่เกิดขึ้นและความปลอดภัยของทหารไทยทั้ง 10 นาย ในปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร แม้จะมีเสียงพูดถึงในที่สาธารณะ แต่หน่วยงานหรือผู้เกี่ยวข้องยังมิได้ตอบความจริงแก่ประชาชน นอกจากการปฏิเสธตลอดเวลามา
3. เอกสารของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ กต 0803/674 ลงวันที่ 17 สิงหาคม 2552 ได้แนบเอกสารสรุปย่อรายงานผลการพิจารณาความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง ในข้อ 4 ระบุว่า
“...4.ขณะนี้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) กำลังเจรจาจัดทำข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชา ว่าด้วยปัญหาชายแดนในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร โดยรัฐสภาได้เห็นชอบกรอบการเจรจาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2551 ด้วยคะแนนเสียง 409 ต่อ 7 จาก 418 เสียงของผู้เข้าร่วมประชุมการเจรจาจัดทำข้อตกลงชั่วคราวฯดังกล่าวมีความคืบหน้ามากในการประชุม JBC สมัยวิสามัญ ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 6-7 เมษายน 2552 ทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้เกือบทุกประเด็นโดยเฉพาะการจัดตั้ง “ชุดทหารติดตามสถานการณ์ชั่วคราว” (Temporary Military Monitoring Task Force) เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการปรับกำลังทหารและจัดตั้ง “ชุดประสานงานชั่วคราว” (Temporary Coordinating Task Force (TCTF)) เพื่อพิจารณาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่พิพาทบริเวณเขาพระวิหาร เหลือประเด็นคงค้างเพียง 1 ประเด็น คือ การเรียกชื่อปราสาทพระวิหารตามหลักการสากล
ดังนั้นเมื่อข้อตกลงชั่วคราวฯ ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ กลไกทั้งสองข้างต้นจะเป็นกลไกสำคัญใหม่ ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ในบริเวณดังกล่าวรวมทั้งประเด็นเกี่ยวกับชุมชนกัมพูชา
เอกสารเรื่องนี้ผูกมัดโยงใยเรื่องในข้อ 1 และ 2 ข้างต้นอย่างแน่นหนา มาตรการที่เหมาะสมเพื่อการปฏิบัติให้ไม่มีการคงกำลังทหารของแต่ละฝ่ายในวัด พื้นที่รอบวัด และพื้นที่ปราสาท ในความรับผิดชอบของ แม่ทัพภาคที่ 2 ผู้ใต้บังคับบัญชาของ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก และตลอดจนกระทั่งในความบังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตามลำดับ
นอกจากนี้ในเอกสารฉบับดังกล่าวยังพูดถึง “พื้นที่พิพาทบริเวณเขาพระวิหาร” และได้อ้างถึงกรอบเจรจาจากรัฐสภาเมื่อปีก่อน คือ วันที่ 28 ตุลาคม 2551 ด้วยคะแนนเสียง 409 ต่อ 7 และกล่าวถึงประเด็นที่ยังคงค้างอยู่เพียง 1 ประเด็น คือการเรียกชื่อปราสาทพระวิหารตามหลักสากล
ประเด็นนี้ยังไม่ผ่านความเห็นชอบและมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นความคิดของการหาทางออกของปัญหาว่า
“2.4.1 การเรียกชื่อปราสาทพระวิหาร คือ ฝ่ายกัมพูชายืนยันให้ใช้ชื่อว่า “The Temple of Preah Vihear” หรือ “The Temple of Preah Vihear(Phra Viharn in the Thai language)” แต่ไทยยืนยันให้ใช้ชื่อว่า “The Temple of Phra Viharn” หรือ “The Temple of Phra Viharn / Phreah Vihear” ซึ่งต่อมาฝ่ายกัมพูชาได้เสนอท่าทีประนีประนอมว่า “the Area between Phnom Trap / Phu Makhua and Ta Thav/Chong Ta Tao” (ประเด็นนี้ทำให้ร่างบันทึกการประชุม JBC ยังตกลงกันไม่ได้ไปด้วย)(อ้างเอกสารด่วนที่สุด ที่ กต 0803/940 17 พฤศจิกายน 2551)”
ที่สำคัญ จากหลักฐานเอกสารดังกล่าว รวมหลักฐานภาพต่างๆ ของกองกำลังกัมพูชาที่แนบมานี้ ซึ่งแสดงให้เห็นการพัฒนาพื้นที่ไม่เพียงแต่บริเวณระหว่างภูมะเขือถึงช่องตาเฒ่า แต่น่าจะเป็นตั้งแต่พลาญหินแปดก้อนถึงซำแตก็ว่าได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บังคับบัญชาของเจ้ากรมแผนที่ ซึ่งมีบทบาทหน้าที่โดยตรงในเรื่องนี้ด้วย ต้องรู้อยู่เต็มอก และไม่สามารถปฏิเสธข้อมูลเรื่องการยึดครองพื้นที่ของกำลังทหารกัมพูชา
เมื่อข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชา ว่าด้วยปัญหาชายแดนในพื้นที่บังคับใช้ อย่างน้อยก็พื้นที่เขาพระวิหารของไทย บริเวณวัดแก้วฯ จะปราศจากกองกำลังทหารไทย แต่จะมีคณะทำงานชุดประสานงานชั่วคราว และชุดทหารติดตามสถานการณ์ชั่วคราวขึ้นไปทำงานร่วมกับฝ่ายกัมพูชา ตรงตามเงื่อนไขของการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเรื่องที่จะไม่มีกองกำลังทหารในทรัพย์สินมรดกโลกอย่างเด็ดขาด
ท่านแม่ทัพภาคสอง ท่านผบ.ทบ. และท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ท่านจะยอมเขาถึงขนาดนี้หรือ!
ยังไม่สายเกินไปที่ท่านจะทบทวนพิจารณาเรื่องราว คิดและทำใหม่ อย่าให้เขามาอ้างได้ว่า
“…โดยที่เขตกันชนนี้ไม่รวมพื้นที่ทางด้านทิศเหนือ และด้านทิศตะวันตกของปราสาทพระวิหาร เนื่องจากเป็นเขตพื้นที่พิพาทกับประเทศไทย จากประเด็นดังกล่าวทางรัฐภาคีจะนำเสนอร่างข้อตกลงในการจัดพื้นที่แบบสมบูรณ์ ซึ่งร่างดังกล่าวจะแก้ไขตามผลการตกลงร่วมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา” (อ้างเอกสารC1224 rev ของคณะกรรมการมรดกโลก)
ที่ว่ายังไม่สายเกินไปก็เพราะ ข้อตกลงฯ ดังกล่าวในขณะนี้ ได้ถูกรัฐสภาเลื่อนวาระออกไปอีก 3 วัน หรือประมาณนั้น ตามสถานการณ์ของวาระพิจารณา
แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปตามนี้ คือ “ข้อตกลงชั่วคราวฯ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่มีการแลกเปลี่ยนหนังสือแจ้งภาคีแต่ละฝ่าย ว่าได้ดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายภายในของตนเสร็จสิ้นแล้ว...” (ข้อ 8 ของร่างตกลงชั่วคราวฯ)
และฝ่ายทหาร ท่านจะต้องรับผิดชอบเรื่องกรอบการเจรจาเพื่อรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย บริเวณไทย-กัมพูชา ในกรอบของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา ตามวาระที่ 5.3 ในคราวนี้ ใช่หรือไม่!
ท่านและกระทรวงการต่างประเทศเคยมีธงร่วมกัน เรื่องทางออกของการแก้ปัญหาเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ว่ายึดกรอบการเจรจาตาม MOU 2000 (พ.ศ.2543) ให้มีการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา และจะใช้วิธีดองระยะยาว (เพราะถือว่าได้อ้างว่า ข้อตกลงชั่วคราวฯ นี้จะไม่กระทบต่อสิทธิของทั้งสองฝ่าย เกี่ยวกับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ในกรอบของ JBC และท่าทีทางกฎหมายแต่ละฝ่าย : โปรดดูตามร่างข้อตกลงชั่วคราวฯ ข้อ 5) ด้วยความคิดว่าจะช่วยแก้สถานการณ์ได้
แต่ร่างข้อตกลงชั่วคราวฯ ฉบับนี้ ซึ่งมีผู้น่าเชื่อถือได้ยืนยันว่า กัมพูชาเป็นผู้ร่างหรือถ้าจะมีใครออกมาปฏิเสธว่าคนไทยร่าง คนไทยคนนั้นก็คงเป็นคนไทยหัวใจเขมร เพราะอะไร ? ...เพราะความสำคัญของร่างข้อตกลงชั่วคราวฯ ฉบับนี้อยู่ที่การใช้คำเรียกชื่อ
เขาตั้งชื่อให้ว่า ร่างข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชา (แต่ชื่อเต็มๆ คือ ร่างข้อตกลงชั่วคราว ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชากับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักไทย ว่าด้วยปัญหาชายแดนในพื้นที่ [ไทย-ปราสาท] [กัมพูชา-ปราสาทเปรียะวีเฮียร์(พระวิหารในภาษาไทย)]
ความเป็นชั่วคราวนี้ จะทำให้ไทยเสียประโยชน์ ตกเป็นเบี้ยล่างกัมพูชา คณะกรรมการมรดกโลก และยูเนสโก ไปนานชั่วนาตาปีอย่างไม่มีระยะเวลากำหนด (เพราะคำว่า ชั่วคราว) เนื่องจาก ทางทหารเคยมีธงว่า จะแก้ปัญหาโดยวิธีการดองยาว เรื่องการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา ในกรอบ JBC ดังที่กล่าวมาแล้ว
แต่ในข้อ 8 ของร่างข้อตกลงชั่วคราวฯ ฉบับนี้ เผยธาตุแท้ของกัมพูชา และคนไทยหัวใจเขมร ไว้ว่า “ข้อตกลงชั่วคราวฯ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่... และคงมีผลบังคับใช้ จนกว่าการจัดทำหลักเขตแดนจะเสร็จสิ้นลงในพื้นที่ประชิดกับ [ไทย....] [กัมพูชา....] ”
การกระทำนี้ กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ที่ต้นคิด ต้นทำ จะไม่ตกเป็นจำเลยที่ 1 หรือจะไม่มีความผิด เพราะข้อความในข้อ 8 ของร่างข้อตกลงชั่วคราวฯ บอกต่อไปอีกว่า “...คู่ภาคีจะพยายามเร่งรัดการดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายภายในโดยสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญของตน” นั่นหมายถึง การขอยืมมือจากสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด หากเขาอ้างว่า กระทำตามที่รัฐสภาเห็นชอบ
ส.ว. ส.ส. และทหารทุกท่าน โปรดรับรู้ว่า การยอมเสียดินแดนตามกระบวนการและขั้นตอนของการพัฒนาพื้นที่ และกรอบการเจรจาเรื่องปัญหาชายแดน ที่เป็นไปตามนี้ มิใช่ทางออกของประเทศไทยแต่อย่างใด แต่นี่คือกระบวนการและขั้นตอนของการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาให้มีผลสำเร็จ โดยใช้กลไกกรอบการเจรจาเรื่องชายแดนเป็นอาวุธ
ผลสำเร็จเป็นของกัมพูชา แต่ผลเสียของเราคือ จะทำให้ประเทศไทยที่ได้เสียดินแดนไปแล้วโดยพฤตินัย จะได้รับการรับรองตามกฎหมายจาก ส.ว.และ ส.ส.ว่า เสียดินแดนให้กัมพูชาแล้วโดยนิตินัย
เจ้ากรมกิจการชายแดนทหารก็รู้แล้ว เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและป่านนี้ก็อนุโลมไปได้ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็รู้แล้ว ส.ว. ส.ส. และสื่อ บางท่าน ก็รู้แล้ว รวมทั้งท่านนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับหนังสือที่ยื่นไปจากประชาชน ก็รู้แล้ว
จึงถึงเวลาแล้ว ที่คนไทยทุกฝ่ายจะร่วมกันคิด-ทำ เพื่อรักษาแผ่นดินไทย และเยียวยาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดที่เกิดขึ้นไปแล้ว!
30 สิงหาคม 2552
ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์
นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญระดับ 9 สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หมายเหตุ : 1.บทความนี้มีเนื้อหาสัมพันธ์กับการลงพื้นที่ของนายวีระ สมความคิด เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม2552 เพื่อนำหลักฐานและข้อเท็จจริงมาพิสูจน์ว่าไทยเสียดินแดนแล้วในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร
หมายเหตุ : 2.ข้อความเต็มของข้อตกลงชั่วคราวฯ ข้อ 8 มีว่า “ข้อ 8 : ข้อตกลงชั่วคราวฯ จะมีผลใช้บังคับในวันที่มีการแลกเปลี่ยนหนังสือแจ้งภาคีแต่ละฝ่ายว่าได้ดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายภายในของตนเสร็จสิ้นแล้ว และคงมีผลบังคับใช้จนกว่าการจัดทำหลักเขตแดนจะเสร็จสิ้นลงในพื้นที่ประชิดกับ[ไทย-ปราสาท] [กัมพูชา- ปราสาทเปรียะวีเฮียร์(พระวิหารในภาษาไทย)] คู่ภาคีจะพยายามเร่งรัดการดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายภายในโดยสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญของตน”
(อ้างจากร่างข้อตกลงชั่วคราวฯ ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชากับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยปัญหาชายแดนในพื้นที่ [ไทย-ปราสาท] [กัมพูชา-ปราสาทเปรียะวีเฮียร์(พระวิหารในภาษาไทย)] ร่าง ณ วันที่ 6 เมษายน 2552 ที่กรุงพนมเปญ)