น้ำค้างยังไม่ทันระเหยจากยอดไม้ ความมืดยังไม่จางหายจากขอบฟ้า ขณะที่นกกากำลังขับขานรับเช้าวันใหม่ พลัน!! เสียงระเบิดห่าใหญ่ ตูม! ตูม! ตูม! กลับหวีดดังขึ้นแทนที่ ตามด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนกของประชาชนสองมือเปล่าที่ตบเท้าเข้าร่วมชุมนุมรอบรัฐสภา กลิ่นควันปืนและแก๊สน้ำตาตลบอบอวลไปทั่วกลบกลิ่นคาวเลือดที่พุ่งกระฉูดออกจากร่างของชายหนุ่มผิวคล้ำที่เข้าไปผลักหญิงสาวซึ่งยืนอยู่ใกล้กันให้พ้นอออกไปจากแนววิถีกระสุน ชิ้นเนื้อแหลกละเอียดขาดกระเด็นออกจากขาข้างซ้ายลามเลยไปถึงหัวเข่า หลายคนทราบชื่อเขาภายหลังว่า เขาคือ ‘เจ๊ก’ หรือที่สื่อเข้าใจผิดเรียกว่า ‘แจ็ค’ เหยื่อรายแรกที่สังเวยแขนขาให้กับความป่าเถื่อนในการสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 7 ต.ค. 51
นาทีระทึก
ธัญญา กุลแก้ว หรือ เจ๊ก เจ้าของสวนยางที่เดินทางมาจากชุมพรด้วยหัวใจที่พร้อมจะปกป้องชาติบ้านเมืองด้วยชีวิต บอกเล่าถึงวินาทีที่เขาสูญเสียขาจากการยิงถล่มของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งขานรับคำสั่งอำมหิตของรัฐบาลของ ‘นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์’ ที่ต้องการเข้าไปแถลงนโยบายในรัฐสภาแม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของประชาชน
“ผมร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯมานานแล้ว ปกติผมก็ไปช่วยเป็นการ์ดให้พี่สมศักดิ์ (สมศักดิ์ โกศัยสุข หนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯ ) และคุณสาวิทย์ (สาวิทย์ แก้วหวาน แกนนำพันธมิตรฯ รุ่นที่ 2 และเลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์) ซึ่งตอนที่โดนระเบิดเมื่อวันที่ 7 ต.ค. นั้นผมจะไปเป็นการ์ดให้พี่สมศักดิ์ ไปถึงที่หน้ารัฐสภาตอนประมาณตี 5 กว่าๆ พอลงจากรถมา กินกาแฟเสร็จก็เดินข้ามสะพานมาตรงแยกอู่ทองใน หน้าประตูปราสาทเทวฤทธิ์ พอมาถึงพี่สุนทร (สุนทร รักรงค์ แกนนำพันธมิตรฯ จ.ชุมพร) ก็บอกว่าเดินเข้าไปข้างในเลย พรรคพวกรออยู่แล้ว พอเดินไปก็โดนเลย
ช่วงนั้นประมาณ 6 โมงเช้า ผมเห็นตำรวจที่ยิงด้วย เขายืนเล็งมาจากถนนด้านนอก ห่างกันแค่ 50 เมตรเอง ยืนยิงในระดับหน้าอก พอผมเห็นว่าตำรวจยิงเข้ามาผมก็ผลักผู้หญิงคนหนึ่งออกไปจากวิถีกระสุน ก็มารู้ทีหลังว่าผู้หญิงคนนี้เขาเป็นพันธมิตรฯชลบุรี แต่ตัวผมโดนไปเต็มๆ ตอนที่โดนก็รู้สึกชาไปหมด รู้ว่าโดนที่ขา มองไปก็เห็นแล้วว่าขาขาดแต่ไม่คิดว่าจะเป็นมากขนาดนี้ ช่วงนั้นก็มีคนพาออกมาจากจุดเกิดเหตุ มานั่งพักที่ข้างถนน จากนั้นเจ้าหน้าที่จากเต็นท์พยาบาลก็มาช่วยพาไปส่งโรงพยาบาลวชิระ ตอนที่ผมโดนระเบิดก็สลบไปหลายวัน ที่บ้านไม่มีใครรู้เลย ภรรยาของผม (เอ๋-จริยา กุลแก้ว) เขาก็รู้จากข่าวทีวีนะ”
ฝันร้ายตามหลอกหลอน
นายตำรวจที่เล็งปืนเข้าใส่เจ๊กอาจไม่ได้สนใจว่าอานุภาพทำลายล้างของระเบิดที่เขาใช้จะทำให้ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นเพียงประชาชนธรรมดา หาใช่ฆาตกรโรคจิตหรืออาชญากรสงครามต้องกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต การเสียเลือดจำนวนมากและบาดแผลฉกรรจ์ที่ขาซ้ายส่งผลให้เจ๊กอาการโคม่า นอนสลบเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ในห้องไอซียูถึง 23 วัน และแม้จะฟื้นขึ้นมาเขาก็มีสภาพไม่แตกต่างจากซากศพที่ยังหายใจ ร่างกายผ่ายผอมเล็กลีบที่เหยียดนอนอยู่บนเตียงนั้นไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียกใดๆ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์พยาบาลหรือเสียงร่ำไห้ของลูกเมียที่เขารัก เสียงโอดโอยโหวกเหวกที่หลุดรอดออกมานั้นล้วนเกิดจากอาการทางประสาทที่ถูกภาพความโหดร้ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไล่ยิงไล่ฆ่าประชาชนตามมาหลอกหลอน กว่าอาการของเจ๊กจะเริ่มดีขึ้น พูดคุยพอรู้เรื่อง และความทรงเริ่มจำกลับคืนมา ก็ต้องทำการรักษานานถึง 3 เดือน
“ภรรยาของผมเล่าให้ฟังว่าตอนแรกผมมีอาการหลอน เพ้อทั้งวันทั้งคืน ร้องโอ้ยอ๊ายเหมือนกำลังเจ็บปวดตลอดเวลา เป็นอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ได้ หลังจากโดนระเบิดผมสลบไป 23 วัน ช่วงที่อยู่ไอซียูแล้วยังไม่ฟื้นเนี่ยผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเสียชีวิตไปแล้วนะ แต่พอได้ยินเสียงน้องโฟลชลูกสาวคนเล็กมาปลุกว่า “พ่อตื่นเถอะน้องมาแล้ว” ผมก็ตื่นขึ้นมา คือผมกับน้องโฟลชเนี่ยจะไหนมาไหนด้วยกันตลอด ซึ่งเหตุการณ์นี้ผมยังรู้สึกตกใจไม่หายเลย
ช่วงแรกฟื้นขึ้นมาก็ยังมีอาการเบลอๆอยู่ ก็เบลออยู่หลายเดือนนะ ฟื้นขึ้นมาก็ระแวงไปหมดเหมือนคนบ้าเลย ได้ยินเสียงดังๆ ไม่ได้ เสียงพลุ เสียงของตก ผวาหมด อย่างช่วงปีใหม่มีเหตุไฟไหม้ที่ซานติก้าผับ ผมนอนอยู่โรงพยาบาลจุฬาฯ ก็มีรถพยาบาลออกไปรับคนเจ็บ เสียงรถหวอดังทั้งคืนเลย ผมก็นอนผวาทั้งคืน เรื่องเสียงเนี่ยตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่นะ แต่ภาพตอนสลายการชุมนุมเมื่อ 7 ต.ค.นี่ผมดูได้ หมอเขาเอาวิดีโอ 7 ต.ค.มาเปิดให้ดู แล้วถามผมว่ากลัวไหม ผมก็บอกว่าไม่กลัว นอกจากนั้นช่วงแรกๆ ผมก็จะระแวงว่าภรรยาจะทิ้งด้วย เวลาใครมาเยี่ยมก็ระแวงว่าเขาจะพาเมียเราไปไหน (หัวเราะ)
ส่วนแผลก็มีอาการอักเสบและหายช้ามากเพราะสะเก็ดระเบิดมันมีสารเคมีที่ทำลายเนื้อเยื่อเคลือบอยู่ สายตาก็พร่าเลือน เห็นภาพเบลอไปหมด อาการของผมเริ่มดีขึ้นหลังจากเข้ารับการรักษาได้ 3 เดือน ซึ่งถ้านับตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2551 ถึงตอนนี้ก็ 6 เดือนแล้วก็ยังต้องทำกายภาพอยู่ นี่ยังรอทำขาเทียมอยู่ หลังจากได้ขาเทียมแล้วก็ต้องไปฝึกเดินอีก” เจ๊กเล่าถึงความทุกข์ทรมานที่เขาได้รับหลังจากโดนระเบิดแก๊สน้ำตา
วีรบุรุษชุมพร
แม้การร่วมชุมนุมเคลื่อนไหวกับพันมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพื่อขับไล่รัฐบาลเผด็จการจะทำให้เจ๊กต้องสูญเสียขาข้างซ้ายและส่งผลให้เขาต้องดำรงชีวิตด้วยความยากลำบาก แต่ผู้ชายเลือดนักสู้คนนี้ก็ไม่เคยหวาดหวั่น เจ๊กยืนยันว่าถ้ามีเหตุการณ์ที่พันธมิตรฯ ต้องนัดชุมนุมกันอีกเมื่อไรเขาก็พร้อมที่จะลากขาเทียมออกมาเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่น้องพันธมิตรฯ เพราะในความคิดของเขานั้นเลือดเนื้อและชีวิตย่อมมีค่าน้อยกว่าผืนแผ่นดินไทยที่เขาเกิดและเติบโตขึ้นมาจนยืนได้ด้วยสองขาของตัวเอง
เมื่อไม่นานมานี้เจ๊กก็ได้เดินทางไปร่วมปราศัยบนเวทีพันธมิตรฯ ที่จังหวัดชุมพร ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา แม้อาการเจ็บป่วยจะทำให้เขาทรมานกับการเดินทางไกลแต่เมื่อได้เห็นน้ำใจของพี่น้องพันมิตรฯ ที่ต่างให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น งานที่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เพื่อต้อนรับ ‘วีรบุรุษชุมพร’ ทำให้เจ๊กทั้งปลาบปลื้มตื้นตันและภาคภูมิใจไปพร้อมกัน
“ผมไปขึ้นเวทีพันธมิตรฯชุมพรมาเมื่อวันที่ 12 ก.พ. 52 แต่ตอนเดินทางผมลำบากมากนะ เพราะก่อนไปชุมพรผมเป็นไส้เลื่อนอยู่ เจ็บอย่างแรงเลย ผมต้องเอาน้ำแข็งโปะไปตลอดทาง กว่าจะถึงชุมพรได้ผมทรมานมาก ... (ทำหน้าแหย) วันนั้นนั่งรถยาริสไป รถมันคันเล็กด้วย ไปกัน 4 คน นั่งไป 7 ชั่วโมงไม่ได้นอนเลย ภรรยาผมบอกว่าถ้าทนไม่ไหวก็อย่าไปเลย ผมก็บอกว่าไม่ได้หรอก รับปากเขาไว้แล้ว แต่พอไปถึงแล้วหายเจ็บหายเหนื่อยเลยเพราะมีคนมาต้อนรับเยอะมาก ... น้องๆ เพื่อนๆ เข้ามาทักเข้ามากอด แล้วเขาก็เอารูปถ่ายของผมที่เขาเอาไปทำเป็นป้ายโปสเตอร์ขึ้นบนเวทีมาให้ดู แล้วก็เห็นรถที่เขาเอาไปแห่เชิญชวนให้คนมาฟังการปราศรัย เขียนข้อความว่า “อย่าลืมมาต้อนรับวีรบุรุษชุมพร” โห...ผมปลื้มมาก….(ยิ้มภูมิใจ)
ตอนไปขึ้นเวทีก็มีพี่น้องพันธมิตรฯ ให้การต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่งมาก คนมาให้กำลังใจเยอะมาก ได้เจอพี่ๆ เพื่อนๆ หลายคน แม้แต่แมนจูซึ่งเป็นคนที่พาให้ผมไปเจ็บก็ได้เจอกัน (หัวเราะร่วน) วันนั้นผมขึ้นไฮปาร์คด้วย แต่ขึ้นพูดแป๊บเดียวเพราะสุขภาพยังไม่ค่อยแข็งแรง วันนั้นผมรู้สึกเหมือนเป็นฮีโร่นะ เพราะเขาขึ้นป้ายคัทเอาท์รูปผมบนเวทีเลย ผมดีใจมากที่เขาให้เกียรติขนาดนั้น ผมยังหันมามองรูปตัวเองบนเวทีเลย เรียกภรรยากับลูกสาว (น้องโฟลช) มาดูด้วย คือตอนที่ไปชุมพรก็พาเมียกับลูกสาวไปด้วย อีกเรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกภูมิใจก็คือทางพันธมิตรฯ เขาเอารูปผมตอนโดนระเบิดที่หน้าสภาฯ ขึ้นปกหนังสือตำรวจฆ่าประชาชนด้วย มันเหมือนกับเราเป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่ผมว่าคนไทยนิสัยขี้ลืมนะ เลือดทาแผ่นดินมาหลายต่อหลายครั้งแล้วคนก็ลืมกัน
ตอนนี้ผมก็ยังไปร่วมกิจกรรมของพันธมิตรฯอยู่บ่อยๆ นะ คือหลังจากอาการดีขึ้นผมก็ไปร่วมงานของพันธมิตรฯในหลายๆ จังหวัด ทั้งชลบุรี สระบุรี โคราช แล้วก็ไปงานโรงเรียนผู้นำของ พล.ต.จำลอง (พล.ต.จำลอง ศรีเมือง) ที่กาญจนบุรี แบบว่าถึงร่างกายจะเจ็บแต่ใจมันยังสู้นะ อย่างตอนนี้หมอเขาก็เป็นห่วงว่าแผลจะหายช้า เขาก็ไม่อยากให้เดินทางไปโน่นไปนี่บ่อยๆ ผมก็คุยกับภรรยาว่าไม่เป็นไร เพราะเราอยู่โรงพยาบาลอีกไม่นานก็ได้กลับบ้านแล้ว ผมคิดว่าถ้าได้ขาเทียมแล้วเราก็ไปฝึกเดินเองที่บ้าน”
ทั้งนี้ หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 เจ๊กถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลวชิระ จากนั้นก็ย้ายไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กระทั่งอาการดีขึ้นและสามารถเริ่มทำกายภาพบำบัดได้แพทย์จึงส่งตัวไปเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูที่ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูสวางคนิวาส จ.สมุทรปราการ ก่อนที่จะย้ายไปฟื้นฟูสุขภาพต่อที่โรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ จ.ชุมพร ซึ่งเป็นบ้านเกิด พร้อมทั้งรอใส่ขาเทียมซึ่งจะได้รับจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เพื่อฝึกเดินด้วยขาเทียมต่อไป
น้ำใจไม่เคยเหือดหายจากใจพันธมิตรฯ
นอกจากกำลังใจจากครอบครัวอันเป็นที่รักแล้วความห่วงใยของพี่น้องพันธมิตรฯก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เจ๊กมีกำลังใจที่จะต่อสู้และหยัดยืนขึ้นอีกครั้ง เจ๊กบอกว่าตั้งแต่เข้ารับการรักษาก็มีบรรดาพันธมิตรฯ มาเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจอยู่ไม่ขาด ขณะที่ในส่วนของค่าใช้จ่ายต่างๆนั้นเขาได้รับพระเมตตาจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงรับเขาเข้าเป็นคนไข้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ทำให้เขาได้รับการดูแลอย่างดีโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา
ขณะที่กองทุนช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต ของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ก็ได้มอบเงินช่วยเหลือให้เขาเป็นจำนวนถึง 1 ล้านบาท นอกจากนั้นยังได้รับน้ำใจจากพี่น้องพันธมิตรฯหลายๆท่านทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และล่าสุดที่เขาขึ้นเวทีพันธมิตรฯที่ชุมพร ก็มีเพื่อนๆ พันธมิตรฯรวบรวมเงินบริจาคมามอบให้เขาถึง 30,000 บาท อย่างไรก็ตาม เจ๊กบอกว่าสิ่งที่ทำให้เขาปลาบปลื้มใจจนน้ำตาคลอเบ้านั้นหาใช่จำนวนเงินนับหมื่นนับแสนหากแต่เป็นน้ำจิตน้ำใจที่ได้รับจากพี่น้องร่วมอุดมการณ์ซึ่งเอื้ออาทรกันในยามทุกข์ยาก
“ก็มีพี่น้องพันธมิตรฯ มาเยี่ยมกันเยอะ ตั้งแต่อยู่โรงพยาบาลวชิระ จนกระทั่งย้ายไปโรงพยาบาลจุฬาฯ และย้ายไปที่ศูนย์ฟื้นฟูสวางคนิวาส ก็ยังมีพันธมิตรฯ มาเยี่ยมกันอยู่ไม่ได้ขาด ส่วนค่ารักษาพยาบาลนั้นผมได้รับพระเมตตาจากสมเด็จพระราชินี โดยทรงรับผมเข้าเป็นคนไข้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเราจะได้รับน้ำใจจากผู้คนมากมายขนาดนี้ ตอนนี้ผมวางแผนไว้ว่าถ้าหายแล้วก็จะกลับไปขายอาหารตามสั่งเหมือนเดิม เพราะว่าถึงเสียขาไปแต่มือไม้เรายังดีอยู่ แต่สวนยางที่เคยทำอยู่คงทำไม่ไหวแล้ว
บางคนก็สงสัยว่าโดนระเบิดขนาดนี้แล้วคนที่บ้านต่อว่าไหมว่ามาชุมนุมทำไม ต้องบอกว่าไม่เลย ทั้งภรรยาและลูกๆ เข้าใจ ซึ่งหลังจากที่ผมโดนระเบิดแล้วพวกเขาก็มาร่วมชุมนุมด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมา แชมป์ลูกชายคนโตของผมเขาก็มาเป็นการ์ดอาสาทั้งๆ ที่รู้ว่าพ่อโดนระเบิดขาขาด ส่วนแม่ผมเองและแม่ยายเขาก็โอเคหมด อย่างแม่ผมคือคุณแม่หนูก็มาชุมนุมด้วย แล้วเขาก็เคยมาขึ้นเวทีพันธมิตรฯ แม่ผมเครียดเรื่องเดียวคือมีคนมากล่าวหาว่าลูกเขาไม่ได้ขาขาดจากระเบิดที่ใช้สลายการชุมนุม แต่ว่าเป็นคนพิการที่มาหลอกว่าขาขาดเพราะระเบิด (หัวเราะขำ)”
ช้ำใจ คดีไม่คืบ
แต่สิ่งที่ทำให้หนุ่มสวนยางคนนี้ผิดหวังอย่างมากก็คือท่าทีจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ซึ่งดูจะไม่ใส่ใจ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับการเข่นฆ่าประชาชนของคนที่ได้ชื่อว่า‘ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์’ เนื่องเพราะไม่มีการติดถามไถ่ถึงผลกระทบที่ผู้ชุมนุมได้รับจากการสลายการชุมนุมเมื่อ 7 ต.ค.51 ขณะที่คดีความต่างๆที่เกี่ยวกับการทำร้ายและเข่นฆ่าพี่น้องพันธมิตรฯผู้รักชาติก็ไม่ความคืบหน้า และดูจะสิ้นหวังกับการนำตัวคนผิดมาลงโทษ
“ไม่มีเลย ประชาธิปัตย์ไม่เคยมาเยี่ยมเยียนไถ่ถามอาการของผู้บาดเจ็บเลย ไม่เคยมาติดตามเรื่องคดี 7 ต.ค.ด้วย ตอนนี้คดีก็ไม่คืบไปไหนเลย ใจจริงผมก็อยากให้รัฐบาลประชาธิปัตย์ออกไปเหมือนกันเพราะเป็นรัฐบาลแล้วไม่ทำอะไรเลย ไม่ดำเนินคดีนักการเมืองและตำรวจที่สั่งฆ่าประชาชนในวันที่ 7 ต.ค. ไม่ดำเนินคดีกับคนที่หมิ่นสถาบัน ตอนแรกผมคิดว่าที่ประชาธิปัตย์ปล่อยให้กลุ่มอำนาจเก่าก่อความวุ่นวายเพราะหวังผลทางการเมืองแล้วค่อยจัดการทีหลัง แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ กลายเป็นว่าประชาธิปัตย์ไปจับมือกับกลุ่มอำนาจเก่า เพราะฉะนั้นในเรื่องการติดตามคดีเนี่ยผมว่ามันไม่มีประโยชน์หรอก รัฐบาลก็ไร้น้ำยา คงต้องปล่อยไปตามน้ำ อย่างคดีของผม ผมก็แจ้งความเอาไว้ โดยมีทนายสุวัตร (สุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรฯ) คอยดูแล แต่คิดว่าคดีคงไม่ไปถึงไหนหรอก” เจ๊ก กล่าวอย่างหมดอาลัยตายอยาก
หนุนตั้งพรรค สร้างการเมืองใหม่
เจ๊กบอกว่า เขาไม่อยากให้ศพแล้วศพเล่าของประชาชนบนถนนรอบรัฐสภาและคนที่สิ้นใจภายในรั้วทำเนียบรัฐบาลกลายเป็นแค่เรื่องเล่าขานที่บอกต่อกันไปแต่ไม่สามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรในบ้านนี้เมืองนี้ได้ เขาไม่อยากให้ประวัติศาสตร์หลังเหตุการณ์ 14 ต.ค.2516, 6 ต.ค. 2519 และ พฤษภาทมิฬ 2535 กลับมาซ้ำรอยอีกครั้ง คนไทยเรือนหมื่นเรือนแสนที่ต่างมีเลือดรักชาติออกมารวมตัวกันเพื่อขับไล่รัฐบาลเผด็จการเหลิงอำนาจ พวกเขายอมแม้กระทั่งหลั่งเลือดชโลมแผ่นดินด้วยหวังว่าเลือดเนื้อและชีวิตที่เขายอมสละจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ดีขึ้น แต่วิญญาณของวีรชนเหล่านั้นก็ทำได้เพียงร่ำไห้เมื่อเห็นนักการเมืองไทยคนแล้วคนเล่าที่เข้ามาบริหารประเทศต่างก็ยังคงกอบโกยผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้อง โดยทิ้งคำสัญญาที่มีต่อประชาชนราวกับทิ้งก้นบุหรี่ที่เขี่ยทิ้งแล้วใช้เท้าขยี้ซ้ำ
ดังนั้นวันนี้หากเราปล่อยให้นักการเมืองสายพันธุ์เดิมๆ เล่นปาหี่กันต่อไป เลือดเนื้อและชีวิตของพี่น้องพันธมิตรฯ ที่สูญเสียไปก็คงไร้ซึ่งประโยชน์ ณ วันนี้คงไม่มีทางเลือกใดที่ดีไปกว่าการตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ ขึ้นมาเพื่อเข้าไปทำงานและแก้ปัญหาบ้านเมืองด้วยมือของตัวเอง เพราะการเมืองใหม่คงเกิดขึ้นไม่ได้หากนักการเมืองในสภายังเป็นคนหน้าเดิมๆ
“สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวในตอนนี้ก็คือพันธมิตรฯต้องเดินหน้าจัดเวทีภาคประชาชนเพื่อให้ความรู้แก่ชาวบ้าน และถ้าหากพันธมิตรฯจะตั้งพรรคผมก็เห็นด้วยนะ แล้วก็จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะต้องมีการเมืองใหม่บ้านเมืองเราจึงจะดีขึ้น การที่เราตั้งพรรคขึ้นมาเอง ทำให้สามารถเข้าไปบริหารงานและผลักดันให้เกิดการเมืองใหม่ได้ง่ายกว่า จะหวังให้พรรคการเมืองอื่นดำเนินการเรื่องนี้คงยาก ถ้าเรามี ส.ส.พรรคพันธมิตรฯเป็นตัวแทนในสภา เขาก็สามารถเป็นปากเป็นเสียงให้เราได้
ผมว่าถ้าเราไม่ตั้งพรรคเองก็คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอกครับ เพราะประชาธิปัตย์กับเนวิน (เนวิน ชิดชอบ อดีตมือขวาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร)เขาก็ซูเอี๋ยกัน แสวงประโยชน์ร่วมกัน เขาคงไม่ผลักดันให้เกิดการเมืองใหม่หรอก คนที่บาดเจ็บล้มตายจากการชุมนุมก็เป็นแค่ประชาชนที่เจ็บฟรีตายฟรี ซึ่งทั้งคนที่พิการ คนที่ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งญาติๆ ของคนเจ็บและคนที่เสียชีวิตก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ตอนนี้เราตกอยู่ในภาวะที่ไม่รู้จะเดินไปทางไหน เพราะรัฐบาลก็ไม่ช่วยแก้ปัญหา สิ่งที่เราเรียกร้องมาตลอด 193 วันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการตั้งพรรคก็ถือเป็นทางออกหนึ่ง
และการที่เราจะตั้งพรรคก็ไม่ได้แปลว่าที่เราชุมนุมเคลื่อนไหวในช่วงที่ผ่านมานั้นเพราะเราอยากมีอำนาจเหมือนที่บางคนกล่าวหา ซึ่งผมเชื่อว่าตอนนี้การตรวจสอบจากภาคประชาชนเข้มแข็งมาก พันธมิตรฯทำอะไรประชาชนก็เห็นหมด ไม่ต้องกลัวว่าตั้งพรรคแล้วพันธมิตรฯจะเข้าไปแสวงประโยชน์เพราะมีกระบวนการตรวจสอบของภาคประชาชนอยู่แล้ว คนที่เป็นพันธมิตรฯด้วยกันเองก็ช่วยกันตรวจสอบด้วย” เจ๊ก กล่าวด้วยประกายตาแห่งความหวัง
* * * * * * * * * * * *
เรื่อง – จินดาวรรณ สิ่งคงสิน
ภาพ - จิรโชค พันทวี