1.“ทักษิณ”เปิดศึก “ป๋าเปรม-สุรยุทธ์”อ้าง อยู่เบื้องหลังปฏิวัติ ด้าน “พล.อ.วัธนชัย”รู้ไส้ “แม้ว”อยากกุม ปท.!
สัปดาห์ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีซื้อที่รัชดาฯ ที่ศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี ได้เคลื่อนไหวโฟนอินผ่านระบบวิดีโอลิงก์ปลุกระดมคนเสื้อแดงทั้งก่อนที่กลุ่มเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่วันที่ 26 มี.ค.และระหว่างชุมนุม โดยคราวนี้เล่นแรงขนาดเปิดศึกกับองคมนตรีและประธานองคมนตรี คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ โดยใช้ตัวช่วยอย่าง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.) จปร.7 (ที่เคยประกาศเป็นเพื่อนรักของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ แต่ภายหลังกลับแปรพักตร์ไปอยู่ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ) ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มท้าชนองคมนตรีผ่านวิดีโอลิงก์ไปยังผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงที่ จ.เชียงใหม่เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ด้วยการอ้างว่า หลังพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2548 องคมนตรีบางคนเริ่มส่งสัญญาณผ่านสื่อว่า ในวังไม่เอาตนแล้ว และว่า พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ได้เล่าให้ตนฟังระหว่างไปพบตนที่จีนเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ได้ถูกผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อย่อ “ส.”เรียกไปพบที่บ้านหลังหนึ่งใน ซ.สุขุมวิท และได้รับแจ้งว่า มีผู้ใหญ่อีก 2 คนกล่าวหาว่าตนไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน และต่อมาก็มีการลงมือเอาชีวิตตน 2 ครั้ง กระทั่งมาถึงกรณีคาร์บอมบ์ที่ พล.อ.พัลลภยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้อง พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามโยงด้วยว่า จ่ายักษ์ที่ถูกจับได้กรณีคาร์บอมบ์ให้การว่า หากคาร์บอมบ์ไม่สำเร็จ จะมีการปฏิวัติและคนที่จะเป็นนายกฯ เป็นผู้ใหญ่ชื่อ “ส.” พ.ต.ท.ทักษิณ ยังแฉด้วยว่า นอกจาก พล.อ.“ส.”จะเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติแล้ว ยังได้กดดันให้ กกต.(ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ที่ถูกศาลสั่งจำคุกกรณีจัดเลือกตั้งช่วยพรรคไทยรักไทย)ลาออกด้วย ไม่เท่านั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ยังโจมตีองค์กรอิสระอย่าง คตส.ด้วย โดยบอกว่า หลังการปฏิวัติ มีการตั้งฝ่ายตรงข้ามในนาม คตส.เพื่อเอาผิดตน โดยมี 4 คนเข้ามาดำเนินการ คือ นาย ป. นาย อ. นาย จ.และนาย ช. ด้าน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยยืนยันว่า ตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติรัฐประหารที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณเข้าใจผิดและอาจได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อน พล.อ.สุรยุทธ์ ยังปฏิเสธด้วยว่า ไม่เคยเชิญ พล.อ.พัลลภไปหารือแต่อย่างใด ขณะที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรอง ผอ.รมน.ยอมรับว่า เคยเล่าให้ พ.ต.ท.ทักษิณฟังจริงว่า มีผู้อยู่เบื้องหลังการวางแผนปฏิวัติ แต่ไม่มีเรื่องแผนการลอบสังหารแต่อย่างใด “ในเวลานั้นตนได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุม โดยมี พล.อ.“ส.”ร่วมประชุมด้วย ซึ่งที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า ควรจะต้องทำการยึดอำนาจรัฐบาล เพราะเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีความจงรักภักดี แต่ยืนยันว่าไม่มีแผนลอบสังหาร...” ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ออกมาปฏิเสธเช่นกันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณตามที่มีความพยายามกล่าวหา โดยยืนยัน เรื่องนี้ไม่มีมูล ขณะที่แกนนำ นปช.(นายจตุพร พรหมพันธุ์) และ พ.ต.ท.ทักษิณได้ออกมาคุยโวเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งที่ได้แฉออกไปเกี่ยวกับผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ เป็นเพียงแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น จะมีม้วน 2 ม้วน 3 ม้วน 4 ตามมาระหว่างชุมนุมยืดเยื้อตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค.แน่นอน นายจตุพร ประกาศด้วยว่า การชุมนุมยืดเยื้อครั้งนี้เพื่อขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์แบบ “แม่น้ำร้อยสาย” ที่จะมีประชาชนมาร่วมจากทุกสารทิศ ด้าน ส.ส.พรรคเพื่อไทย(พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา) ได้ออกมาแถลงปฏิเสธกรณีมีข่าวว่าพรรคเตรียมแผน “ตากสิน”เพื่อล้มรัฐบาลและช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมามีอำนาจอีกครั้ง โดยอ้างว่า พรรคมีแค่โครงการอบรมเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน ชื่อโครงการ “ยุทธศาสตร์เพื่อไทย...ร้อยใจเป็นหนึ่งเดียว” ส่วนที่มีการมองว่าเป็นแผนตากสินนั้น พ.ต.ท.สมชาย ยืนยันว่า “มันไม่ใช่ แต่หลังการอบรมจะมีการมอบเหรียญที่ระลึกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชให้กับผู้เข้าร่วมอบรม เพื่อเชิดชูเกียรติ...เหมือนสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่ทรงกอบกู้เอกราชบ้านเมืองได้” ขณะที่นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงแผนตากสินว่า สอดรับกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงและ พ.ต.ท.ทักษิณ “ไม่ว่าแผนนี้จะชื่ออะไร แต่พฤติกรรมของคนเหล่านี้ เป็นการจาบจ้วงองคมนตรี กระบวนการยุติธรรม และตัวบุคคลค่อนข้างชัดเจน วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณชักธงรบค่อนข้างเปิดเผย” ทั้งนี้ มีข่าวว่า ที่ประชุมประจำสัปดาห์ขององคมนตรีเมื่อวันที่ 24 มี.ค. มีการหารือถึงสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ โดยรู้สึกไม่สบายใจต่อประเด็นการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่พาดพิงองคมนตรี ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง เชื่อว่า ไม่เพียงประธานองคมนตรีหรือองคมนตรีเท่านั้นที่ไม่สบายใจต่อการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน เพราะองคมนตรีเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง จึงไม่ควรถูกนำมาพาดพิง นายสุเทพ ยังแขวะ พ.ต.ท.ทักษิณที่เปรียบตัวเองก่อนหน้านี้ว่าเป็นหมาเชื่องว่า “ที่บอกว่าเป็นหมาเชื่อง คงไม่เชื่องแล้ว แต่คงกลายเป็นหมาบ้าไปแล้ว” เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่เพียง พ.ต.ท.ทักษิณจะโฟนอินโจมตีองคมนตรีว่าอยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจตน แต่แกนนำ นปช.ก็ออกมาประสานเสียงโจมตีประธานองคมนตรีแบบไม่ไว้หน้าเช่นกัน โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ได้ประกาศบนเวทีระหว่างกลุ่มเสื้อแดงชุมนุมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 26 มี.ค.ว่า “อยากขอเรียกร้องให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ออกมาเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว อย่าเป็นอีแอบ เพราะจะทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เพราะทุกวันนี้ พล.อ.เปรมวางตัวไม่เป็นกลางทางการเมืองอยู่แล้ว ทำตัวเหมือนแม่ยกและยังออกมาเชียร์รัฐบาลนายอภิสิทธิ์อย่างออกหน้าออกตา...” ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้พูดผ่านวิดีโอลิงก์มายังเวทีการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่ข้างทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 27 มี.ค.โดยนอกจากจะแฉว่า “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ที่ตนเคยพูดว่าหมายถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์แล้ว ยังโจมตีอีกหลายฝ่ายที่ตัวเองมองเป็นศัตรูด้วย ไม่ว่าจะเป็นนายสนธิ ลิ้มทองกุล-เอเอสทีวี-ศาลปกครอง-พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์-พรรคประชาธิปัตย์-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา-ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง-ป.ป.ช. ฯลฯ เช่น “เอเอสทีวีได้รับความคุ้มครองจากศาลปกครอง คุ้มครองจนปฏิวัติแล้วก็ไม่เลิก คุ้มครองให้ออกอากาศล้มล้างรัฐบาล รัฐบาลก็ทำอะไรไม่ได้...” , “พล.อ.เปรม ตอนปฏิวัติ พานายบังเข้าทำไม ทำไมประธานองคมนตรีต้องไปเข้าเฝ้าฯ ด้วย เหมือนเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ ตอน พล.อ.สุรยุทธ์เป็นนายกฯ ก็บอก เหมือนนายกฯ วินสตัน เชอร์ชิล ที่เป็นนายกฯ คนดีของอังกฤษ ...แต่พอนายอภิสิทธิ์ ก็บอกว่าประเทศไทยโชคดีที่ได้คุณอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ท่านเป็นประธานองคมนตรี ท่านไปเผลอไผลอย่างนี้ไม่ได้ ...การที่ป๋าลงมาเล่นการเมืองในฐานะประธานองคมนตรี แล้วสั่งโน่นสั่งนี่ในฐานะเป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ เป็นสิ่งที่ทำให้กระบวนการของประเทศเสียหายหมด” ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ก็ไม่วายถูก พ.ต.ท.ทักษิณโจมตีเช่นกัน “เรื่องทหารกับการเมือง ป๊อกเอ๊ย ไอ้ตุ้ยเอ๊ย พาลูกน้องกลับที่ตั้งเถอะ ถ้าอยากเล่นการเมือง ให้ออกมาเถอะ ถ้าเพื่อนเอาสถาบันมาเล่นการเมือง สถาบันจะถูกการเมืองเล่น ไม่คุ้ม” นอกจากใช้เวทีคนเสื้อแดงโจมตีหลายฝ่ายแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณยังถือโอกาสปลุกระดมประชาชน รวมทั้ง ส.ส.ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีจากกรณียุบพรรค ให้โดดลงมาเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยกับกลุ่มเสื้อแดงด้วย “พี่น้อง เพื่อน ส.ส.เพื่อไทย ไทยรักไทย พลังประชาชนที่ถูกห้ามเล่นการเมือง อย่าเหนียม ถ้ารักประชาธิปไตย รักความเป็นธรรม ท่านคือเหยื่อคนหนึ่งที่ถูกความไม่เป็นธรรมรังแก ขอให้ขึ้นเวทีคนเสื้อแดงได้แล้ว เวทีเสื้อแดงเต็มทั้งประเทศ แล้วพี่น้องที่มีกำลัง ถ้าคิดถึงอนาคตประเทศไทย คิดถึงลูกหลานต้องมารวมพลังกันจนกว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงจะกลับคืนสู่ประเทศไทย” พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเผยไต๋ให้มีการล้างไพ่ใหม่ เพื่อให้ตนหลุดพ้นจากคดีความต่างๆ โดยอ้างว่าเป็นทางออกของประเทศในขณะนี้ด้วยว่า “ทางออกก็คือเราต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ เรื่องที่ฟ้องกันไปมาต้องยกเลิก ต้องเริ่มต้นใหม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้เริ่มเหมือนเลือกตั้งใหม่ 2 เม.ย.2548 แล้วไปแข่งขันกัน โดยผมไม่ลงเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์จะได้สบายใจ แต่ขอให้กรรมการพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 ลง เพราะนักการเมืองคุณภาพเริ่มหายไป...” เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้จะถูก พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวหาและโจมตี แต่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษก็ไม่ออกมาตอบโต้ โดย พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ยืนยัน(28 มี.ค.)ว่า “พล.อ.เปรมยังมีความเข้มแข็ง และหนักแน่นกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ...พล.อ.เปรมรักประชาชน ไม่เคยคดโกงทุจริตต่อชาติบ้านเมือง บูชาสถาบันเหนือสิ่งอื่นใด ดังนั้นไม่ต้องห่วง พล.อ.เปรมรับได้ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ผมเชื่อว่า ประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องห่วง” ด้าน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี แถลงยืนยันอีกครั้ง(28 มี.ค.)ว่า ไม่ได้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ ขณะที่ พล.อ.วัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ อดีตรองผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวหาว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ 19 ก.ย.2549 ว่า ถ้า พล.อ.สุรยุทธ์คิดจะปฏิวัติ คงทำตั้งแต่ตอนเป็น ผบ.ทบ.แล้ว จะมาทำตอนที่เป็นองคมนตรีทำไม พล.อ.วัธนชัย ยังแฉตัวตนของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ต้องการยิ่งใหญ่ในประเทศด้วยว่า “พ.ต.ท.ทักษิณคงต้องการตีวัวกระทบคราด หวังจะชิ่งไปถึงอีกคน ซึ่งก็คงรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องการจะชิ่งไปถึงใคร ทุกคนรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าความปรารถนาของเขาคืออะไร ...ดูวันที่เขาประกาศตั้งพรรควันที่เท่าไหร่ ความเป็นใหญ่ของคน เป็นความทะเยอทะยานทำทุกวิถีทาง ความเป็นใหญ่ในระบบประชาธิปไตยมันเล็กไป ต้องให้ใหญ่กว่านั้น ต้องการกุมอำนาจผู้นำตลอดกาล” สำหรับท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลต่อการโฟนอินผ่านวิดีโอลิงก์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่น่าสนใจอยู่ที่พรรคภูมิใจไทยและแกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน โดยนายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกรัฐบาล และแกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน พรรคภูมิใจไทย บอกว่า “แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวินและแกนนำพรรคภูมิใจไทย เห็นว่า การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ กลุ่มเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทยขณะนี้มีความรุนแรงมาก เราไม่สามารถรับได้ เพราะเป็นการทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว โดยไม่สนใจว่าความเสียหายจะเกิดขึ้นกับสังคมไทยและสถาบันองคมนตรีหรือสถาบันเบื้องสูง”
2. “เพื่อไทย”ตามบี้ “ปชป.”เงินบริจาค 258 ล.-แฉ “มนูญกฤต”ให้ข้อมูล ด้าน ศาล รธน.ฟ้อง ส.ส.เพื่อไทยหมิ่น!
แม้การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และ 5 รัฐมนตรีในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ของพรรคเพื่อไทยฝ่ายค้านจะผ่านไปแล้ว โดยทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และ 5 รัฐมนตรีต่างสอบผ่านฉลุย เพราะได้รับเสียงไว้วางใจเกินกึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังมีควันหลงที่น่าสนใจหลายประเด็น เช่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญส่งเจ้าหน้าที่เข้าแจ้งความต่อ สน.พระราชวัง(25 มี.ค.) ให้ดำเนินคดี น.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ที่อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยพาดพิงกล่าวหาว่าศาลรัฐธรรมนูญกลั่นแกล้งยุบพรรคพลังประชาชน ทำให้ศาลฯ เสื่อมเสียชื่อเสียงและถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ขณะที่เจ้าตัว(น.ส.วิสาระดี)ยอมรับ หลุดปากไปเอง แต่ยังอ้างว่า ไม่ได้มีเจตนาหมิ่นใครหรือองค์กรใด และยินดีรับผิดชอบคำพูดที่ได้อภิปราย อย่างไรก็ตามเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญลุกขึ้นมาฟ้อง น.ส.วิสาระดี ยังเป็นเรื่องเล็กกว่ากรณีที่พรรคเพื่อไทยอภิปรายกล่าวหาว่า พรรคประชาธิปัตย์ฟอกเงินที่ได้รับจากบริษัท ทีพีไอโพลีน ผ่านบริษัท เมสไซอะ ครีเอชั่น แอนด์ บิซิเนส จำนวน 258 ล้านบาท ซึ่งแม้แกนนำพรรคประชาธิปัตย์จะยืนยันว่า ไม่ได้มีพฤติกรรมตามที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทยกล่าวหา แต่พรรคเพื่อไทยก็ยังพยายามตามบี้พรรคประชาธิปัตย์ด้วยการส่งเรื่องให้ กกต.สอบเรื่องนี้ โดยหวังว่าจะนำไปสู่การยุบพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่เรื่องนี้มีการสอบสวนโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)อยู่แล้ว และดีเอสไอก็ได้แยกสำนวนที่เห็นว่าอาจเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ส่งให้ กกต.ดำเนินการต่อแล้วก็ตาม ทั้งนี้ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์(เช่น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม) สงสัยว่า ข้อมูลเรื่องเงิน 258 ล้านที่ฝ่ายค้านนำมาอภิปราย ได้ข้อมูลมาจากดีเอสไอหรือไม่ เพราะเอกสารที่แกนนำพรรคเพื่อไทยนำมาอ่านในสภานั้น มีการใช้คำที่สะท้อนว่าน่าจะเป็นสำนวนจากการสอบสวน ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอ ร้อนตัว รีบสั่งเจ้าหน้าที่ถอดเทปการอภิปรายของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เกี่ยวกับคดีทีพีไอ 258 ล้าน เพื่อวิเคราะห์ว่ามีเนื้อหาตรงกับสำนวนการสอบของดีเอสไอหรือไม่ หากตรงกัน จะตั้งคณะกรรมการอีกชุดขึ้นมาตรวจสอบ ขณะที่ปลัดกระทรวงยุติธรรม(นายกิตติพงษ์ กิติยารักษ์)ได้สั่งตั้งคณะกรรมการสอบเรื่องเงิน 258 ล้านเช่นกัน โดยให้นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน คาดว่าจะมีความคืบหน้าภายใน 1-2 สัปดาห์ นายกิตติพงษ์ ยังชี้ด้วยว่า หากผลสอบเชื่อได้ว่า ข้อมูลมีการรั่วไหลจากดีเอสไอจริง ก็ถือว่าผิดวินัย ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาประณามนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม โดยอ้างว่า นายพีระพันธุ์มีพฤติกรรมข่มขู่คุกคามเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ หาว่าเจ้าหน้าที่ไม่ซื่อสัตย์ ปล่อยข้อมูลเรื่องเงิน 258 ล้านให้พรรคเพื่อไทย ร.ต.อ.เฉลิม ยังเผยด้วยว่า คนที่ให้ข้อมูลตนเรื่องเงิน 258 ล้านก็คือ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีต ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ โดยเหตุที่ พล.ต.มนูญกฤตให้ข้อมูลก็เพราะอยากให้บ้านเมืองดี ไม่อยากให้มีนักการเมืองเลวๆ สวมหน้ากากเหมือนละครเมียน้อยเมียหลวง นอกจาก พล.ต.มนูญกฤตแล้ว ร.ต.อ.เฉลิม ยังเผยด้วยว่า นายประจวบ สังขาว อดีตผู้บริหารบริษัท เมสไซอะฯ ก็ได้ติดต่อขอพบตนเพื่อให้ข้อมูลบางอย่างอีก ด้าน นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เชื่อที่ ร.ต.อ.เฉลิมระบุว่าได้ข้อมูลเรื่องเงิน 258 ล้านจาก พล.ต.มนูญกฤต เพราะที่ผ่านมานายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย เคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า ผู้ใหญ่ในดีเอสไอไปพบอดีตผู้นำรัฐบาลก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยมีการหารือถึงเรื่องเงิน 258 ล้าน แต่วันนี้กลับมีการกลับคำพูดโดยบอกว่าไม่ได้ข้อมูลจากดีเอสไอ จึงอยากถามว่าได้ข้อมูลจากไหนแน่ หรือเป็นการกลบเกลื่อนหลักฐาน ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่เชื่อคำพูดของ ร.ต.อ.เฉลิมที่อ้างว่าได้ข้อมูลเรื่องเงิน 258 ล้านจาก พล.ต.มนูญกฤตเช่นกัน “ถ้าผมเชื่อคำพูด ร.ต.อ.เฉลิม ก็ต้องโทร.ไปหา พล.ต.มนูญกฤตแล้ว แต่นี่ไม่เชื่อ ก็ไม่รู้จะโทร.ไปทำไม เดี๋ยวจะบอกผมบ้าไปแล้วหรือ จะแย่หนักไปอีก ...พล.ต.มนูญกฤตต้องรับผิดชอบเรื่องนี้เอง ผมยืนยันว่าไม่มีหนอนบ่อนไส้ในพรรคประชาธิปัตย์ ผมเชื่อคนในพรรคของผม และมั่นใจในความบริสุทธิ์ของพรรค” ด้านนายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาปฏิเสธกรณีมีข่าวว่า ขุนพลภาคอีสานพรรคประชาธิปัตย์ อักษรย่อ “ส.”นำหมายเลขต้นขั้วเช็คของพรรคฯ สั่งจ่ายบริษัท เมสไซอะฯ ไปบอกให้แกนนำพรรคเพื่อไทยทราบก่อนนำมาอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยบอกว่า ไม่ทราบว่าเป็น “ส.”ไหน แต่ไม่ใช่ตนแน่นอน เพราะตนเป็นกรรมการบริหารชุดที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค แล้วตนจะเอาข้อมูลไปให้พรรคเพื่อไทยทำไม เพราะถ้า กกต.สั่งยุบพรรค ตนก็โดนไปด้วย ส่วนท่าทีของ กกต.ต่อกรณีที่ดีเอสไอส่งสำนวนคดีเงิน 258 ล้านให้ กกต.ดำเนินการเพราะเห็นว่าอาจเข้าข่ายผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองนั้น นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. บอก(26 มี.ค.)ว่า คณะทำงานตรวจสอบเอกสารของ กกต.ชุดนายปกครอง สุนทรสุทธิ์ รองเลขาธิการ กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง จะตรวจสอบเอกสารและพิจารณาว่าอยู่ในอำนาจของ กกต.ที่จะรับไว้พิจารณาหรือไม่ ซึ่งคงต้องใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากเอกสารมีจำนวนกว่า 3,000 หน้า
3. อัยการ ส่อ ป้อง “นปช.”-สั่งไม่ฟ้องคดีนำม็อบบุกก่อจลาจลบ้าน “พล.อ.เปรม”!
เมื่อวันที่ 27 มี.ค. นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา เผยความคืบหน้าคดีที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)บุกรุกบ้านสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเมื่อวันที่ 22 ก.ค.2550 ซึ่งมีผู้ต้องหา 15 คน(นายวีระ มุสิกพงศ์ ,นายจตุพร พรหมพันธุ์ ,นายจักรภพ เพ็ญแข ,นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ,นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ,นพ.เหวง โตจิราการ ,พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ,นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ,นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ,นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล ,นายบรรธง สมคำ ,ม.ล.วีระยุทธ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ,นายศราวุธ หลงเส็ง ,นายวีระศักดิ์ เหมธุริน และนายวันชัย นาพุทธา) โดยก่อนหน้านี้ พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนคดีนี้ให้อัยการใน 2 ข้อหา คือ มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการกระทำดังกล่าวแล้วไม่เลิก โดยมีโทษจำคุก 3 ปี และข้อหาร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน ... โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป มีโทษจำคุก 5 ปี ทั้งนี้ อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาเกือบทั้งหมด(13 ราย) โดยให้เหตุผลว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช.ดังกล่าวเป็นไปอย่างเปิดเผย ไม่มีอาวุธ ซึ่งเป็นสิทธิตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ มีผู้ต้องหาเพียง 2 รายที่อัยการเห็นควรสั่งฟ้อง ฐานทำร้ายร่างกายบุคคลอื่นในการชุมนุม(น่าจะหมายถึงนายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล และ ม.ล.วีระยุทธ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา ที่ทำร้ายตำรวจ) เป็นที่น่าสังเกตว่า อัยการได้สั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในคดีนี้ตั้งแต่เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา โดยไม่ยอมเปิดเผยต่อสื่อมวลชนแต่อย่างใด กระทั่งนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 1 ในแกนนำ นปช.ออกมาให้ข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่าอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ไปกว่า 2 เดือนแล้ว ส่งผลให้อัยการต้องยอมเปิดปากถึงความคืบหน้าคดีนี้ว่ามีความเห็นสั่งไม่ฟ้องไปแล้วจริง อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา เผยด้วยว่า หลังมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องแล้ว ได้ส่งความเห็นพร้อมสำนวนกลับไปให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)พิจารณา ว่าจะมีความเห็นแย้งกับทางอัยการหรือไม่ หาก ผบ.ตร.เห็นแย้ง ก็ต้องให้นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด เป็นผู้ชี้ขาดว่าจะสั่งฟ้องผู้ต้องหาหรือไม่ นายกายสิทธิ์ พูดถึงการพิจารณาสำนวนคดีที่เกี่ยวกับการชุมนุมด้วยว่า โดยหลักใหญ่ที่อัยการใช้พิจารณาคือ เป็นการใช้สิทธิตามที่ รธน.บัญญัติไว้หรือไม่ แต่ไม่ได้หมายความว่า อัยการจะมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องการชุมนุมทุกคดี ต้องขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ไม่ได้ทำร้ายบุคคล หรือทำลายทรัพย์สินของผู้อื่นหรือไม่ เหมือนกับการพิจารณาสำนวนคดี 9 แกนนำพันธมิตรฯ ก่อความวุ่นวาย ที่จะต้องพิจารณาว่า นอกจากเรื่องการใช้สิทธิการชุมนุมตาม รธน.แล้ว ยังมีการทำลายทรัพย์สินและทำร้ายร่างกายบุคคลหรือไม่ อย่างไร ด้าน พล.ต.ท.วัชรพล ประสานราชกิจ ผู้ช่วย ผบ.ตร.และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บอกว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดเรื่องนี้ และขอเวลาตรวจสอบอีกครั้งว่าเรื่องมาถึงขั้นตอนไหนแล้ว พร้อมยืนยัน การพิจารณาสำนวนทุกสำนวน จะใช้มาตรฐานเดียวกันหมด ไม่มีแบ่งแยก อนึ่ง คดีนี้ ในชั้นพนักงานสอบสวน มี พล.ต.ต.เจตน์ มงคลหัตถี รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในขณะนั้นเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน โดย พล.ต.ต.เจตน์ ยืนยันว่า พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยาน ประจักษ์พยาน รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บาดเจ็บรวมแล้วกว่า 300 ปาก รวมทั้งพิจารณาหลักฐานภาพถ่าย ภาพวิดีโอทุกอย่างครบถ้วน อย่างไรก็ตาม เมื่อตำรวจส่งสำนวนคดีให้อัยการ ทางแกนนำ นปช.ในฐานะผู้ต้องหาได้ร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการให้มีการสอบพยานฝ่ายผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 52 ปาก อัยการจึงสั่งให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำพยานเพิ่มตามที่ผู้ต้องหาร้องขอ กระทั่งในที่สุด อัยการก็มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในคดีนี้ 13 ราย และสั่งฟ้องแค่ 2 ราย ทั้งที่หากพิจารณาภาพหลักฐานที่สื่อมวลชนต่างๆ มี จะพบว่า กลุ่ม นปช.ที่ก่อจลาจลหน้าบ้าน พล.อ.เปรมเมื่อวันที่ 22 ก.ค.ไม่ใช่การชุมนุมที่สงบและปราศจากอาวุธตามที่อัยการระบุแต่อย่างใด แต่เป็นการชุมนุมที่นอกจากมีการทำลายทรัพย์สินของทางราชการและประชาชนแล้ว ยังมีการทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกด้วย
4. รบ.จ่าย “เช็คช่วยชาติ”2 พัน บ.แล้ว พบ รายชื่อยังตกหล่น 4 แสนคน !
เมื่อวันที่ 23 มี.ค. นายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน เผยว่า สำนักงานประกันสังคม(สปส.)ได้เตรียมการแจกจ่ายเช็คช่วยชาติ 2,000 บาทแก่ผู้มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 1.5 หมื่นบาทระหว่างวันที่ 26 มี.ค.-8 เม.ย.โดยจะนำไปจ่ายยังสถานประกอบการ 7,500 แห่ง มีผู้ประกันตน 2,361,300 คน จ่ายที่ว่าการอำเภอ 800 แห่ง มีผู้ประกันตน 1,071,600 คน และจ่ายที่ สปส.พื้นที่ และ สปส.จังหวัด ศูนย์การค้า 2,700,000 คน นอกจากนี้ได้จัดชุดเคลื่อนที่เร็ว 60 ชุด เพื่อจัดส่งเช็คให้ถึงมือผู้ประกันตนตามที่ร้องขอ โดยเบื้องต้นต้องเป็นสถานประกอบการที่มีผู้มีสิทธิรับเช็ค 200 คนขึ้นไป(สามารถแจ้งความจำนงได้ที่ 0-2526-1959) ขณะที่ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการออกเช็คช่วยชาติ 10.5 ล้านฉบับ ได้เผยวิธีสังเกตเช็คช่วยชาติ เช่น ตัวอักษร “เช็คช่วยชาติ ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลก” จะต้องพิมพ์เป็นลายนูนสีน้ำเงิน ดำ แดง และเหลืองเหลือบกัน ฯลฯ และว่า เช็คดังกล่าวสามารถนำไปเบิกเงินสดที่ธนาคารกรุงเทพได้ทุกสาขา โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือจะนำเช็คไปใช้จ่ายแทนเงินสดได้ที่ร้านค้ารับเช็คช่วยชาติ แต่ต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรประจำตัวข้าราชการ ทั้งนี้เช็คช่วยชาติจะมีอายุการใช้งานนาน 6 เดือนนับจากวันที่ระบุบนเช็ค และที่สำคัญ เช็คดังกล่าวสามารถเปลี่ยนมือได้และมีค่าเหมือนเงินสด จึงไม่สามารถอายัดได้ ดังนั้นผู้รับเช็คต้องดูแลเก็บรักษาเป็นอย่างดี ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง คาด โครงการเช็คช่วยชาติจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ 0.2% หรือมีผลต่อการจ้างงาน 8 หมื่น -1 แสนคน สำหรับผู้ที่ได้รับเช็คช่วยชาติใบแรก คือ นางกงใจ หารไชย อายุ 31 ปี ผู้ช่วยครูโรงเรียนอนุบาลสาริน เขตสามเสน กทม. โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ เป็นประธานมอบเมื่อวันที่ 26 มี.ค. ขณะที่บรรยากาศการรับเช็คช่วยชาติวันแรก(26 มี.ค.)เต็มไปด้วยความคึกคัก มีทั้งผู้ประกันตนมาตรา 33(ผู้ประกันตนในระบบ) และผู้ประกันตนมาตรา 39(ผู้ประกันตนโดยสมัครใจ) ไปลงทะเบียนรับเช็ค ซึ่งหลายแห่งมีคนรอเข้าคิวรับเช็คยาวเหยียด เช่น บริเวณลานคนเมือง ศาลาว่าการ กทม. ขณะที่หลายแห่งพบปัญหารายชื่อผู้มีสิทธิรับเช็คตกหล่น รวมทั้งความสับสนเรื่องสถานที่รับเช็ค นอกจากนี้ยังมีกลุ่มมิจฉาชีพแฝงตัวเข้าไปกรีดกระเป๋าประชาชนที่มารับเช็คช่วยชาติหลายราย เจ้าหน้าที่จึงเตือนให้ผู้รับเช็คระมัดระวัง ด้านนายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เผยว่า ผู้ที่ไม่สามารถมารับเช็คได้ภายในวันที่ 28 มี.ค.ให้ไปรับเช็คได้ที่ สปส.เขตพื้นที่ โดยผู้ประกันตนมาตรา 39 รับเช็คได้ระหว่างวันที่ 4-6 เม.ย.(เวลา 8.30น.-15.00น.) ส่วนผู้ประกันตนมาตรา 33 รับเช็ควันที่ 1-8 เม.ย. ไม่เว้นวันหยุดราชการ ที่สโมสรศิษย์เก่าสวนกุหลาบ ถ.สามเสน และตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย.เป็นต้นไป(เว้นวันหยุดราชการ) รับเช็คได้ที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 1 ภายใน 90 วัน ตั้งแต่เวลา 8.00น.-20.00น.เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เผย(27 มี.ค.)ด้วยว่า ขณะนี้มีผู้ประกันตนในทุกมาตรา มีรายชื่อตกหล่นกว่า 4 แสนคน ซึ่ง สปส.จะต้องตรวจสอบ สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 38(ผู้ที่ออกจากงานแต่ไม่เกิน 6 เดือน) สปส.ส่งรายชื่อให้ธนาคารกรุงเทพพิมพ์เช็คแล้ว 2 แสนคน และจะแจ้งรายชื่อผู้มีสิทธิรับเช็คทางไปรษณีย์ภายในวันที่ 31 มี.ค.เป็นต้นไป เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับเช็คตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย. เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ยังเตือนด้วยว่า ขณะนี้เริ่มมีมิจฉาชีพฉวยโอกาสหลอกลวงด้วยการโทรศัพท์ไปยังผู้ประกันตน โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จาก สปส. โดยบอกว่า ส่งเช็คช่วยชาติไปให้แล้วทางไปรษณีย์ แต่ไม่มีคนรับและเช็คถูกตีกลับ หากต้องการรับเช็คให้บอกเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก และเลขบัญชีธนาคารพร้อมเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้สะดวก จึงขอเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ เพราะ สปส.และกระทรวงแรงงานไม่มีนโยบายส่งเช็คช่วยชาติให้ผู้ประกันตนทางไปรษณีย์โดยเด็ดขาด และไม่ต้องการรู้เลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลักด้วย เพราะตัวเลข 13 หลักระบุอยู่ในเช็คชัดเจนอยู่แล้ว หากผู้ประกันตนคนใดพบเหตุการณ์ดังกล่าวหรือสงสัย ติดต่อสอบถามได้ทางสายด่วน 1506 หรือสำนักงานประกันสังคมในเขตพื้นที่
5. จับลูก “อดีต ส.ส.ทรท.”จัดฉากตายสึนามิก่อนทำศัลยกรรม หนีหนี้สิน 8 พันล.!
เมื่อวันที่ 26 มี.ค. พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บังคับการกองปราบปราม ได้นำทีมแถลงข่าวผลการจับกุมนางกันต์กนิษฐ์ หรือนางปานจิต อังกินันทน์ หรือชิ้นศิริ อายุ 48 ปี ชาว อ.เมือง จ.เพชรบุรี บุตรสาวนายปิยะ อังกินันทน์ อดีต ส.ส.เพชรบุรี พรรคไทยรักไทย หลังสืบสวนทราบว่า นางกันต์กนิษฐ์ได้ปลอมแปลงใบหน้าและชื่อสกุลเป็นคนใหม่ หลังมีการแจ้งว่าได้เสียชีวิตไปแล้วในเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิที่ จ.ระนอง เพื่อหลบเลี่ยงหนี้สินกว่า 8,200 ล้านบาท ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนางกันต์กนิษฐ์ได้ขณะขับรถอยู่ที่บริเวณจุดกลับรถบนถนนนราธิวาสราชนครินทร์ พร้อมกันนี้ตำรวจชุดเดียวกันยังได้จับกุมนายชาญชัย ชิ้นศิริ อายุ 47 ปี สามีของนางกันต์กนิษฐ์ ที่บ้านในซอยศรีนคร ถนนนางลิ้นจี่ เขตยานนาวาด้วย ก่อนควบคุมตัวทั้งสองไปสอบสวนที่กองปราบปราม ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรสาคร ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ก่อนส่งตัวให้ สภ.เมืองสมุทรสาครเจ้าของคดีดำเนินคดีต่อไป พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ เผยว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1 ส.ค.2548 นายเพิ่มเกียรติ โพธิเพียรทอง ผู้แทนบริษัท โชคชัยมหาชัย เจ้าหนี้รายหนึ่งของนางกันต์กนิษฐ์ได้เข้าร้องต่อพนักงานสอบสวนกองปราบฯ ให้ช่วยตรวจสอบการเสียชีวิตของนางกันต์กนิษฐ์ที่แจ้งเสียชีวิตจากเหตุคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2547 เพราะสงสัยและมีข้อมูลว่านางกันต์กนิษฐ์อาจยังไม่เสียชีวิต แต่มีการแจ้งตายเพื่อจัดฉากต้องการหลบหนีคดีความต่างๆ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ พบว่า นางกันต์กนิษฐ์และนายชาญชัย สามี ได้ทำธุรกิจเปิดบริษัทค้าน้ำมันชื่อ บริษัท ปานทรัพย์เอเวอร์กรีน โดยติดต่อซื้อน้ำมันกับหลายบริษัท แต่การค้าไม่ประสบผลสำเร็จ ทำให้มีหนี้สินจำนวนมาก ในที่สุดทั้งสองถูกศาลสั่งล้มละลายเมื่อปี 2547 ทำให้มีคดีติดตัว เฉพาะปี 2547 กว่า 60 คดี รวมมูลค่าความเสียหายทั้งหมดกว่า 8.2 พันล้านบาท โดยมีเจ้าหนี้รายใหญ่ ได้แก่ บริษัท ปตท.กว่า 5,000 ล้านบาท ,ธนาคารทหารไทย กว่า 800 ล้านบาท ,บริษัท บริหารสินทรัพย์ไทย กว่า 500 ล้านบาท ,บริษัท บริหารสินทรัพย์พญาไท กว่า 200 ล้านบาท สำหรับหลักฐานสำคัญที่ทำให้ตำรวจทราบว่านางกันต์กนิษฐ์ไม่ได้เสียชีวิตจริง ก็คือ ข้อมูลลายนิ้วมือที่นางกันต์กนิษฐ์ทำไว้ โดยพบว่า เดิมนางกันต์กนิษฐ์ใช้ชื่อว่า นางปานจิต และได้ไปขอทำบัตรประชาชนใหม่พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็นนางกันต์กนิษฐ์เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2547 ที่สำนักงานเขตบางพลัด ซึ่งปกติแล้วการทำบัตรประชาชนใหม่ ต้องพิมพ์ลายนิ้วมือเอาไว้ แต่จากการสืบสวนพบว่า เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2548 มีผู้ใช้ชื่อว่า น.ส.พะเยาว์ ปานหว่าง ไปขอทำบัตรประชาชนใหม่ที่เทศบาลบางกรวย จ.นนทบุรี แต่เมื่อพิมพ์ลายนิ้วมือของ น.ส.พะเยาว์ กลับพบว่าลายนิ้วมือตรงกันกับนางกันต์กนิษฐ์ ซึ่งข้อมูลระบุว่าได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อปลายปี 2547 ....เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากนางกันต์กนิษฐ์จะพยายามทำบัตรประชาชนในชื่อของคนอื่นแล้ว ยังได้ทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าใหม่ แต่สิ่งที่นางกันต์กนิษฐ์ไม่สามารถปลอมแปลงได้ก็คือ ลายพิมพ์นิ้วมือที่ยังยืนยันว่าเป็นบุคคลคนเดียวกัน อย่างไรก็ตาม หลังถูกจับกุม นางกันต์กนิษฐ์ ยังให้การปฏิเสธในเรื่องการฉ้อโกง ขณะที่นายชาญชัย สามี อ้างว่า ขณะเกิดเหตุสึนามิ ภรรยาไปเที่ยว จ.ระนอง และมีผู้แจ้งว่าพบผู้เสียชีวิตซึ่งมีบัตรประชาชนของภรรยาตน จึงไปรับศพประกอบพิธี และว่า ขณะนั้นยังมีคดีติดตัวจำนวนมาก เลยไม่กล้าที่จะตรวจสอบหลักฐานอะไร ต่อมาเมื่อภรรยากลับมาเลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงปล่อยเลยตามเลย เพราะไม่กล้าไปพบตำรวจ ทั้งนี้ หลังสอบปากคำเพิ่มเติม ตำรวจ สภ.เมืองสมุทรสาครได้นำตัวทั้งสองไปขอศาลฝากขัง 6 วัน และไม่อนุญาตให้ประกันตัว เพราะที่ผ่านมาผู้ต้องหามีพฤติกรรมหลบหนีตลอด ด้าน พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ ผู้บังคับการกองปราบปราม บอกว่า ได้ให้เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผลเกี่ยวกับการขอมีบัตรประชาชนของนางกันต์กนิษฐ์ว่า เข้าข่ายให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานหรือไม่ รวมทั้งขยายผลไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วยว่า มีส่วนร่วมกระทำผิดหรือให้การช่วยเหลือผู้ต้องหาหรือไม่ ซึ่งเบื้องต้น มีผู้ให้เบาะแสว่า มีคนมีสีทั้งสองสีเกี่ยวข้องด้วย ขณะที่นายปิยะ หรือแป๋ง อังกินันทน์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)เพชรบุรี และอดีต ส.ส.เพชรบุรี พรรคไทยรักไทย เปิดแถลงด้วยน้ำเสียงสะอื้นและหลั่งน้ำตาว่า นอนไม่หลับกับเรื่องที่เกิดขึ้น และว่า สงสารลูกแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร นายปิยะ ยังปฏิเสธกรณีมีข่าวว่าตนมีหนี้สินจำนวนมากด้วยว่า “ผมไม่เคยเป็นหนี้ใครและไม่เคยไปสร้างหนี้ที่ไหน ปั๊มน้ำมันก็ยกให้ลูกสาวและนายชาญชัยไปทำมาหากิน ...วันหนึ่งนางปานจิต(นางกันต์กนิษฐ์)และนายชาญชัย ขอให้ช่วยค้ำประกันธุรกิจน้ำมันที่ทำกับ ปตท. จึงเซ็นค้ำประกันให้โดยไม่ดูด้วยซ้ำว่าหนี้ที่ก่อขึ้นเป็นเงินเท่าใด ดังนั้นหนี้ดังกล่าว ไม่ได้เป็นผู้ก่อหนี้เอง ถ้าใครมีหลักฐาน ก็ให้เอามายืนยัน พร้อมจะชดใช้ให้ เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยโกงใคร”