เวลา 11.00 น.ของวันที่ 7 ต.ค.2551 เสียงระเบิดตูมใหญ่!! ตกลงกลางถนนศรีอยุธยา ควันสีเทาตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ตั้งแต่หน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล(บชน.) เรื่อยไปยังสวนอัมพร ถึงลานพระบรมรูปทรงม้า เสียงกรีดร้องร่ำระงมผสมกับเสียงห่ากระสุนลูกแล้วลูกเล่าสร้างความตื่นตระหนกและรันทดใจไปพร้อมกัน
ดอกไม้หัวใจแกร่ง
นี่มิใช่ระเบิดลูกแรกที่ฆาตรกรในเครื่องแบบใช้เข่นฆ่าประชาชนด้วยหมายที่จะสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งไปปิดล้อมรัฐสภาเพื่อขัดขวางการแถลงนโยบายของรัฐบาล‘สมชาย วงสวัสดิ์’ ซึ่งแม้จะรู้ดีว่าสถานการณ์อยู่ในขั้นเสี่ยงตายเพราะก่อนหน้านี้มีการยิงระเบิดเข้าใส่ผู้ชุมนุมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง และอานุภาพของระเบิดนั้นรุนแรงถึงขั้นตัดแขนขาขาดกระเด็นและปรากฎเป็นข่าวตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา แต่สองอาจารย์สาวจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็หาได้ยี่หระต่อความเป็นความตายตรงหน้า เธอเดินทางเข้าร่วมสมทบกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่หน้ารัฐสภาด้วยหัวใจอันหาญกล้าที่เพรียกหาความเป็นธรรมจากรัฐบาลมือเปื้อนเลือด
แต่เหมือนโชคไม่เข้าข้าง ระเบิดที่โหมกระหน่ำลงมาอีกครั้งในช่วงสาย ส่งผลให้ ‘อาจารย์เอ๋ย’ ผศ.สพญ.ดร.ศิรกานต์ ฐิตวัฒน์ อาจารย์ประจำหน่วยชีวเคมี ภาควิชาสรีรวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นิ้วเท้าข้างขวาขาดกระเด็นทันที 2 นิ้ว ส่วนอีกนิ้วหนึ่งห้อยร่องแร่งเลือดสาดกระจายไปทั่ว ขณะที่ ‘อาจารย์ป๊อบ’ผศ.สพญ.ดร.นารีรัตน์ วิเศษกุล หัวหน้าหน่วยปรสิตวิทยา ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมาด้วยกันนั้นถูกสะเก็ดระเบิดทั่วทั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ลำตัวหรือแขนขา ล้มฟุบอยู่ตรงหน้าอาจารย์เอ๋ยนั้นเอง
อาจารย์เอ๋ย บุตรสาวของ ‘นพ.วิศิษฏ์ ฐิตวัฒน์’ ผู้อำนวยการศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย ซึ่งตกเป็นเหยื่อของความโหดร้ายในครั้งนี้เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า
“ คือครอบครัวของเอ๋ยกับครอบครัวสามีเป็นพันธมิตรฯกันทั้งบ้าน ครอบครัวของเอ๋ยก็ลุย ครอบครัวของสามีก็ลุย คุณพ่อกับคุณแม่เอ๋ยเป็นหมอทั้งคู่ แม่เขาจะรักความยุติธรรมมาก ไม่ชอบคนโกงกิน ส่วนแฟนเอ๋ยเขาทำธุรกิจส่วนตัว แล้วตั้งแต่พันธมิตรฯเข้ายึดทำเนียบฯเนี่ยเขาหยุดทำธุรกิจเลย ไปชุมนุมอย่างเดียว เขาบอกว่าผมเป็นห่วงคนที่ทำเนียบ มีแต่ผู้หญิงกับเด็ก พอวันที่ 7 ต.ค.เราก็ไปชุมนุมที่หน้ารัฐสภากันทั้งครอบครัว คือแฟนเอ๋ยเขาไปรอที่หน้าสภาตั้งแต่คืนวันที่ 6 ต.ค.แล้ว พอแกนนำประกาศระดมพลล้อมรัฐสภา คนที่บ้านก็ไปกันทันทีเลย เขาไปรอที่หน้าสภาก่อน ส่วนเอ๋ยตามไปตอนเช้า เอ๋ยก็มาเจอกับอาจารย์ป๊อบที่คณะสัตวแพทย์แล้วก็ไปด้วยกัน
เราเดินจากแยกการเรือน ผ่าน บชน.ไปถึงหน้าสวนอัมพรประมาณ 11 โมง จริงๆเรารู้ตั้งแต่ช่วงเช้าแล้วนะว่ามีการสลายการชุมนุม คนถูกระเบิดขาขาด รู้ว่าที่แยกการเรือนมีการยิงระเบิดแก๊สน้ำตากันแล้ว แต่เราประเมินสถานการณ์ต่ำไปว่าไม่น่ามีอะไรอีก พอเอ๋ยกับพี่ป๊อบไปถึงมุมถนนตรงสวนอัมพรปรากฎว่ามีระเบิดลงมาเป็นชุดเลย แต่ตอนนั้นเอ๋ยได้ยินแค่ตูมเดียวนะ เราก็ร่วงลงไปนั่ง ไม่รู้สึกอะไรเลย รู้แต่ว่าโดนที่เท้า แต่ไม่รู้ว่ามากน้อยแค่ไหน แล้วก็มีคนอุ้มออกมา ซึ่งต้องขอบคุณน้องที่เข้ามาช่วยนะ เพราะพอตูม! ปุ๊บเขาก็วิ่งเข้ามาช่วยเลย ทั้งๆที่จริงๆเขาก็เสี่ยงมากนะ เจ็บใจอย่างเดียวน้องเขาเรียกเราว่าป้า (หัวเราะขำ) เขาอุ้มมาวางแล้วก็วิ่งไปช่วยคนอื่นต่อ จากนั้นก็มีอีกคนช่วยลากเอ๋ยออกมา เพราะเขาอุ้มไม่ไหว ตอนที่เขาลากออกมาเนี่ยเราเห็นแล้วว่านิ้วเท้าหายไป 2 นิ้ว ส่วนอีกนิ้วหนึ่งยังติดอยู่แต่ห้อยร่องแร่ง กระดูกโผล่ออกมาเลย ตอนนั้นก็ตกใจ แต่มันชาไปหมด คิดอย่างเดียวว่ารอดมาได้ก็บุญแล้ว จำได้ว่าเขาเอาขึ้นรถกระบะ แล้วก็เปลี่ยนไปขึ้นรถพยาบาลพาไปส่งที่โรงพยาบาลกลาง แล้วย้ายไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลจุฬาฯ” อาจารย์เอ๋ยกล่าว
ขณะที่ ‘อาจารย์ป๊อบ’ อาจารย์คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เพื่อนรุ่นพี่ที่เดินทางไปชุมนุมในวันที่ 7 ต.ค.พร้อมกับอาจารย์เอ๋ย เล่าถึงเหตุการณ์การใช้ระเบิดแก๊สน้ำตาระรอกที่สองเพื่อสลายการชุมนุมของพันธมิตรฯ ซึ่งส่งผลให้เธอได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดไปทั่วทั้งตัวว่า
“ เอ๋ยเขาสติดีมาก พอระเบิดลงมาเขาก็บอกพี่ป๊อบวิ่ง...เราก็เฮ้ย..วิ่งไปไหนล่ะ คือป๊อบอยู่หน้าอาจารย์เอ๋ย เราก็พยายามวิ่งๆไปให้มันพ้น ช่วงที่ตูม!ลงมาป๊อบก็เห็นว่ามีท่อนยาวๆ ตรงปลายมีชนวน หล่นลงมาใกล้มาก มีควันสีส้มๆ เราก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ไง ใจหนึ่งก็อยากจะหยิบขึ้นมาดูว่ามันคืออะไร (หัวเราะขำ) ตอนหลังไปถามผู้เชี่ยวชาญด้านระเบิดเขาก็อธิบายว่าชนวนที่เห็นมันคือหน่วงเวลา คือพอมันยิงออกมาปุ๊บมันยังไม่ระเบิดทันที มันหน่วงเวลาด้วยชนวนสีส้ม พอมันระเบิดปุ๊บเราก็ล้มลง ฟุบไปเลย ตอนนั้นป๊อบไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะ มันเหมือนภาพสโลว์โมชั่น ได้ยินเสียงอื้ออึงไปหมดแล้วอยู่ๆโลกก็ดับมืดลง วูบไปแป๊บหนึ่ง แต่แป๊บเดียวนะ สติก็คืนมา
รู้ว่าเจ็บตรงนั้นตรงนี้ สะเก็ดกระจายเต็มทั้งหน้า ลำตัว และแขนขา แล้วก็มีคนวิ่งเข้ามา ตะโกนว่า..มีคนบาดเจ็บ...มีคนบาดเจ็บ พี่ลุกได้ไหม.. ป๊อบก็เริ่มมองหาและร้องเรียกอาจารย์เอ๋ย เอ๋ย..เอ๋ย..อยู่ไหน แต่จริงๆเอ๋ยถูกหามออกไปแล้ว แล้วก็รู้สึกว่ามีคนเข้ามาอุ้มป๊อบแต่เขาอุ้มไม่ไหว (หัวเราะ) เขาดึงขึ้นมาได้ ป๊อบก็เห็นเขาอุ้มอาจารย์เอ๋ยไปอีกด้านหนึ่งเลยร้องบอกว่าจะไปทางโน้น คือไปหาเอ๋ย เขาก็บอกไม่ต้องไป เอาน้ำล้างหน้าก่อน เสร็จแล้วเขาก็พยุงป๊อบออกมา แล้วก็บอกให้ป๊อบวิ่งออกมาเพื่อให้พ้นวิถีของระเบิด วิ่งไปสักพักเขาก็ให้ซ้อนมอเตอร์ไซต์ออกมา ตอนนั่งเขาก็บอกว่าหุบขาสิ เราก็หุบไม่ลงแล้วเพราะโดนสะเก็ดระเบิดเต็มขาไปหมด ก็ต้องขอบคุณคนที่ขี่มอเตอร์ไซต์มากๆเลย เป็นสองสามี-ภรรยาซึ่งเขาเพิ่งเข้ามาถึงที่ชุมนุม เขาก็พาไปที่เต๊นท์พยาบาลที่สะพานมัฆวานฯ ระหว่างนั้น อาจารย์เอ๋ยก็โทร.เข้ามาถามว่าพี่ป๊อบเป็นยังไงบ้าง เลยรู้ว่าเอ๋ยอยู่ที่โรงพยาบาลกลางแล้ว เราก็สบายใจ”
ผลพวงของความโหดร้าย
ความเจ็บปวดที่ได้รับนั้นไม่ได้หยุดอยู่แค่ช่วงขณะที่ถูกแรงระเบิดเท่านั้น แต่ในทุกขั้นตอนของการรักษาล้วนนำมาซึ่งความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เนื่องเพราะระเบิดแก๊สน้ำตาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำมาใช้ปราบปรามประชาชนซึ่งชุมนุมโดยสงบอหิงสานั้นเป็นอาวุธสงครามที่มีส่วนผสมของดินระเบิดซึ่งมีอานุภาพทำลายล้างและสารเคมีซึ่งมีคุณสมบัติทำลายเนื้อเยื่อ ดังนั้นผลของสะเก็ดระเบิดนอกจากจะทำให้แขนขาและอวัยวะต่างๆขาดสะบั้น และเกิดบาดแผลฉกรรจ์แล้ว บาดแผลจากสะเก็ดระเบิดยังค่อยๆเน่าเฟะเพราะพิษของสารเคมีที่เข้าไปทำลายเนื้อเยื่ออีกด้วย
“ เห็นนิ้วเท้าหายไปเลย 2 นิ้วเราก็หดหู่นะ รักษาอยู่นานมาก ผ่าตัดไปแล้ว 3-4 หน อีกไม่กี่วันก็มีนัดผ่าตัดอีก ระหว่างรักษาหมอเขาก็จะใช้เครื่องมือดูดน้ำเลือดน้ำหนองออก โอย...เจ็บมาก แต่เอ๋ยโชคดีตรงที่คุณแม่ให้กำลังใจ พอแม่รู้ว่าโดนระเบิดก็มาหาที่โรงพยาบาล แม่เดินมาที่เตียง ยิ้ม... แล้วก็บอกว่า แค่นิ้วเท้าเองเหรอ...แม่นึกว่าเป็นมือ ไม่เป็นไรโดนแค่เท้า พอเห็นแม่ยิ้มเดินเข้ามาเอ๋ยก็รู้สึกว่าเราปลอดภัยแล้ว ไม่เป็นไร เรื่องร้ายๆมันจบไปแล้ว สามีก็ดูแลดีมาก
บางทีมองเท้าตัวเองแล้วก็รู้สึกว่า อดใส่รองเท้าส้นสูงแล้วเรา (หัวเราะ) ตอนหลังคุณหมอก็แนะนำว่าควรใส่รองเท้าที่สั่งตัดพิเศษเพื่อให้เดินได้เป็นปกติ มันก็ดีขึ้น จากเดิมที่เดินไม่ได้เลย แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ปกตินะ ยังเดินลากๆอยู่ เพราะมันเสียการทรงตัว เนื่องจากเท้า 2 ข้างมันไม่เหมือนกัน เท้าข้างหนึ่งนิ้วมันหายไป 2 นิ้ว เท้ามันผิดรูปไป มีส่วนที่บิดนูนขึ้นมา วิธีแก้คุณหมอก็ตัดรองเท้าให้มันสมดุล เพราะฉะนั้นตอนนี้จะเดินได้ก็ต่อเมื่อใส่รองเท้าเท่านั้น เวลาเดินก็ยังเจ็บอยู่นะ ตอนนี้ก็ทำกายภาพบำบัดอยู่ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าถ้าหายดีแล้วจะสามารถกลับไปเดินได้เหมือนปกติไหม เพราะเท้ามันไม่เหมือนเดิมแล้ว ก็ตั้งใจไว้นะว่าต้องกลับไปใส่ส้นสูงให้ได้ (หัวเราะ) จริงๆแล้วรู้สึกว่าเราโชคดีที่สูญเสียแค่นิ้วเท้า เพราะพันธมิตรฯอีกหลายคนเขาสูญเสียมากกว่าเรา บางคนถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งสิ่งเล่านี้มันเรียกกลับคืนมาไม่ได้ มันเป็นความโหดร้ายที่เกิดจากความคลั่งอำนาจของนักการเมืองเพียงไม่กี่คน” อาจารย์เอ๋ยพูดถึงสิ่งที่เธอสูญเสียด้วยมุมมองที่เป็นบวก
ด้านอาจารย์ป๊อบย้อนความให้ฟังถึงความเจ็บปวดที่ได้รับตลอดการรักษาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ว่า
“พอหมอที่เต๊นพยาบาลเข้ามาดูอาการของป๊อบ คุณหมอก็ลงมือตัดกางเกงออก เขาก็เห็นเป็นรูๆกระจายเต็มไปหมด แต่หมอเขาไม่กล้าบอก กลัวเราตกใจ ป๊อบก็บอกว่าหมอ..ไอ้รูๆเนี่ยแคะออกให้หมดเลยนะ แต่นึกไปนึกมาป๊อบก็ขอไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯดีกว่า เพราะเราทำงานอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาก็พาขึ้นรถพยาบาลของศูนย์นเรนทรออกไปส่ง ตอนอยู่ในรถป๊อบจับมือพยาบาลมาตลอดทาง แล้วก็บ่นกับพยาบาลว่าเรามีรัฐบาลไม่ดีเนอะ ถ้ารัฐบาลดีเราไม่เป็นอย่างนี้หรอก พยาบาลก็บอกใจเย็นๆ ป๊อบเนี่ยด่ารัฐบาลมาตลอดทางเลย (หัวเราะ)
พอมาถึงโรงพยาบาลจุฬาฯก็มาเจออาจารย์เอ๋ยที่โรงพยาบาล เพราะเขาย้ายจากโรงพยาบาลกลางมาจุฬาฯ วันนั้นก็เจอกับยอด สามีของเอ๋ย เขาก็บอกว่าเอ๋ยบาดเจ็บที่นิ้วเท้าแล้วเขาก็ร้องไห้ ป๊อบก็จับมือยอดบอกว่าพี่ไม่เป็นอะไรหรอก ไปดูเอ๋ยเถอะ แล้วป๊อบก็ร้องไห้ไปด้วย คือตอนนั้นมันอัดอั้นมาก รู้สึกว่ามาทำร้ายพวกเราทำไม เราเป็นคนไทยที่ห่วงประเทศชาติ เราไม่ใช่คนบ้านะ (เสียงเครียด) จากนั้นเอ๋ยก็เข้าห้องผ่าตัดไป ส่วนป๊อบก็บอกเจ้าหน้าที่พยาบาลให้เขาช่วยแคะสะเก็ดระเบ็ดออกให้หมด ทั้งสะเก็ดเล็กสะเก็ดน้อย แต่เขาไม่ใช้ยาชาเพราะถ้าใช้ยาชาแล้วแผลจะบวม เอาสะเก็ดออกมาไม่ได้ โอย..เจ็บมาก ปี๊ดแตกเลย ส่วนเตียงที่อยู่ข้างๆก็ฮึกเหิมมาก บอกพยาบาลว่าคุณแคะสะเก็ดออกหมดหรือยังผมจะไปชุมนุมต่อ...พอทำแผลเสร็จเขาก็รีบไปเลย วันนั้นมีคนที่โดนระเบิดมารักษากันเยอะมาก เสียงร้องระงมไปหมด
แคะสะเก็ดออกหมด ก็เย็บไป 2 เข็ม นอกนั้นก็รักษาแผลเปิด คือแผลที่แคะสะเก็ดออกหมดจะไม่มีปัญหา แต่แผลที่เราไม่รู้ว่ามีสะเก็ดนี่สิ อักเสบมาก แม้แต่เข้าห้องเอ็กซเรย์เพื่อหาสะเก็ดที่ฝังอยู่ก็ยังมองไม่เห็นเพราะสะเก็ดมันเป็นพลาสติก รังสีเอ็กซเรย์มันจับไม่ได้ กลับมาก็รักษาตัวอยู่ที่บ้าน 2 เดือน พอดีมีเพื่อนเป็นพยาบาลเขาก็มาทำแผลให้ ช่วงนั้นก็ไปล้างแผลที่โรงพยาบาลสมิติเวชด้วย ก็ไปเจอคุณหมอท่านหนึ่งบอกว่า ผมรู้จักกับคุณหมอวิศิษฏ์ (นายแพทย์วิศิษฏ์ ฐิตวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย- คุณพ่อของ ผศ.สพญ.ดร.ศิรกานต์ ฐิตวัฒน์) ผมรู้เรื่องหมดแล้ว ผมจะดูแผลให้ แล้วก็กว้านเลยค่ะ คือสะเก็ดระเบิดมันมีสารเคมีที่ทำลายเนื้อเยื่อทำให้แผลเน่าเลยต้องกว้านแผลเอาเนื้อที่เน่าออก โอ้โห...เจ็บจนขี้เกียจจะร้อง เพราะจุดที่โดนคือหน้าแข้งซึ่งเป็นจุดที่มีประสาทรับความรู้สึก หลังจากรักษาแผลแล้วผื่นก็ขึ้นตรงจุดที่เป็นแผล อาจารย์เอ๋ยก็มีผื่นขึ้นพร้อมกับป๊อบเลย เราก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสารเคมีที่มันอยู่ในระเบิดหรือเปล่า จากนั้นสัก 7 วันมันก็หายไปเอง แต่ว่ามันทรมานมาก มันคันและปวดแสบปวดร้อนไปหมด ต้องเอาน้ำเย็นประคบตลอด แล้วตั้งแต่โดนระเบิดเมื่อ 7 ต.ค. หูก็อื้อมาตลอด มีเสียงหวึ่งๆในหูตลอดเวลา ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่” อาจารย์ป๊อบกล่าว
ถามหาความเป็นธรรม
นอกจากภาพการเข่นฆ่าประชาชนเพื่อหวังสลายการชุมนุมในวันที่ 7 ต.ค.จะสร้างความปวดร้าวใจให้แก่คนไทยทั้งประเทศแล้ว หลายคนยังไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าตำรวจจะกล้าระดมยิงระเบิดเข้าใส่แพทย์พยาบาลซึ่งเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเพราะแม้แต่ในภาวะสงคราม ทหารก็จะละเว้นไม่ทำร้ายแพทย์ที่เข้าไปทำงานตามหลักสิทธิมนุษยชน ว่ากันว่าการสลายการชุมนุมครั้งนี้มีแพทย์พยาบาลได้รับบาดเจ็บจำนวนไม่น้อย และบางรายถึงขั้นสูญเสียอวัยวะ ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้สร้างความไม่พอให้แก่กลุ่มแพทย์พยาบาลและประชาชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง
เช้าวันที่ 8 ต.ค.2551 จึงมีประชาชนและแพทย์พยาบาลนับพันพร้อมใจกันสวมชุดดำและเดินทางมารวมตัวกันที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อประนามการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในวันนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งกล้าหาญบุกเดี่ยวเข้าไปวางหรีดดำที่มีข้อความว่า “แด่..ผู้ที่ควรพิทักษ์สันติราษฎร์ แต่ทำร้ายประชาชน ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง” ถึงหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนเป็นข่าวฮือฮาไปทั่ว โดยเธอบอกว่าเธอไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมจนทำให้หมอซึ่งเป็นเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกับเธอได้รับบาดเจ็บถึงขั้นพิการสูญเสียนิ้ว และเธอผู้นั้นคือ ‘อาจารย์เจี๊ยบ’ผศ.ดร.รท.หญิง สพญ. เนาวรัตน์ สุธัมนาถพงษ์ ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์สถาบันเดียวกับอาจารย์เอ๋ยนั่นเอง
“คือวันที่ 7 ต.ค.เจี๊ยบไม่ได้ไปร่วมชุมนุมที่รัฐสภา แต่ที่ผ่านมาเจี๊ยบก็เข้าร่วมกับพันธมิตรฯมาตลอด เพราะรู้สึกทนไม่ได้ที่เห็นคนอกตัญญูต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ทรงมีคุณูปการกับคนไทยอย่างหาที่สุดมิได้ แล้วเราก็รู้สึกว่าทั้งแกนนำและพันธมิตรฯที่เขาออกมาเคลื่อนไหวเนี่ยเขาไม่ได้อะไร แต่เขาลงมาทำเพื่อส่วนรวม แล้วพอเห็นข่าวว่ามีสัตวแพทย์ จุฬาฯ นิ้วเท้าขาดเพราะถูกระเบิดจากการสลายการชุมนุมในวันที่ 7 ต.ค. เราก็ร้อนใจ เย็นวันนั้นเจี๊ยบก็โทร.ไปหาพี่ที่อยู่คณะสัตวแพทย์ฯ จุฬาฯ เขาก็บอกว่าไอ้เอ๋ยไง ศิรกานต์ไง เราก็โอ้ย...นี่มันคนใกล้ตัวนี่นา คือที่ผ่านมาเจี๊ยบก็ไม่รู้ว่าเอ๋ยไปชุมนุมเหมือนกัน
ก็รู้สึกว่าตำรวจทำอย่างนี้ได้อย่างไร พันธมิตรฯไม่เคยใช้ความรุนแรง อยู่ดีๆตำรวจมาทำร้ายประชาชนมันไม่ถูก ดูจากข่าวก็เห็นคนตะโกนว่าอย่ายิง..นี่รถพยาบาล หยุดยิงได้แล้ว แต่ตำรวจก็ยังกระหน่ำยิง ดูแล้วมันน่าสมเพสนะ คนเราควรมีต่อมใต้สำนึก คือไม่ใช่เดรัจฉานถึงไม่มีความคิด
คืนนั้นเจี้ยบก็โทร.ไปปรึกษาคณะบดีคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ ว่าเอ...วิชาชีพเราจะมีแถลงการณ์อะไรออกไปไหม เพราะอาจารย์คณะเราเองได้รับบาดเจ็บรุนแรง ถึงขั้นสูญเสียนิ้ว ท่านก็บอกว่าถ้าทำในนามคณะมันต้องทำเรื่องผ่านคณะกรรมการของคณะก่อน ก็โทร.ไปถามสภาคณาจารย์ฯเขาก็บอกว่ามันต้องผ่านมติที่ประชุมถึงจะใช้ชื่อขององค์กรได้ ก็เลยเออ..ถ้างั้นเอาชื่อเรานี่แหล่ะ วันรุ่งขึ้นก็ไปสมทบกับคณะแพทย์และพันธมิตรฯที่เขาไปประนามการกระทำของตำรวจที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เอาหรีดดำไปวางเลย คืออยากให้ตำรวจรู้ว่าไม่ใช่คุณมีอานาจในมือแล้วจะฆ่าจะแกงใครก็ได้ ส่วนเขาเห็นคนนับพันมาประนามแล้วจะสำนึกไหมมันก็อยู่ที่จิตสำนึกของเขาแล้ว” อาจารย์เจี๊ยบ พูดถึงเจตนารมณ์ของเธอต่อการคัดค้านประนามการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ถูกข่มขู่คุกคาม
ต้องบอกว่าเป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย เพราะไม่เพียงแต่ประชาชนผู้บริสุทธิ์จะถูกทำร้ายโดยอำนาจเถื่อนของรัฐตำรวจเท่านั้น เมื่อมีผู้ออกมาคัดค้านแสดงความไม่เห็นด้วยกับการกระทำอันโหดร้ายเช่นนั้นแทนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะออกมาแถลงข่าวขอโทษว่าสำนึกต่อบาปที่ตนได้ก่อ เจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้กลับโยนบาปให้ผู้ชุมนุมโดยกล่าวหาว่าพกระเบิดมาเองแล้วเกิดระเบิดขึ้นจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต อีกทั้งมีความพยายามจะเข้าไปทำลายหลักฐานและคุกคามผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุม
อาจารย์ป๊อบ เล่าถึงเหตุการณ์อันไม่ชอบมาพากลซึ่งเกิดขึ้นกับเธอหลังเข้ารับการรักษาที่โรงพยบาลจุฬาฯ ว่า
“ก็เจออะไรแปลกๆเหมือนกันนะ ช่วงที่กำลังจะกลับบ้าน ป๊อบก็ถามหมอว่าเอาสะเก็ดระเบิดที่แคะออกมาจากแผลเนี่ยกลับบ้านได้ไหม จะเก็บไว้เป็นที่ระลึก (หัวเราะ) แต่หมอบอกไม่ได้เพราะเป็นหลักฐานทางคดี ช่วงนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งแต่งตัวดีนะ เข้ามาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ บอกว่าผมเป็นพันธมิตรฯ มาจากนิติเวช มาดูความเรียบร้อย แล้วก็ถามว่าสะเก็ดระเบ็ดที่แคะออกมาจากคนไข้ที่โดนระเบิดเก็บไว้ที่ไหน เราก็เอ๊ะ! แปลกๆ แล้วตอนนั้นมันไม่รู้ใครเป็นใคร แต่งตัวก็ดี สะอาดสะอ้าน แต่เอ..ความจริงพันธมิตรฯที่ไปร่วมชุมนุมเนี่ยมอมแมมกันทุกคนเลยนะ เราก็บอกไม่รู้
หลังจากนั้นก็มีอีก พอป๊อบกลับไปรักษาตัวที่บ้านก็มีคนมาหาที่บ้านบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่อนามัย ซึ่งไม่รู้ว่าเขาตามหาเราเจอได้ยังไง ป๊อบก็ไม่ได้ไปแจ้งความนะ หรือเขาอาจจะตามจากบัตรประชาชนที่ป็อบยื่นให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลตอนที่ไปรักษาตัวก็ได้ แต่ป๊อบไม่ได้เจอหน้าเจ้าหน้าที่อนามัยคนนี้นะ คือนอนๆอยู่เด็กที่บ้านเดินเข้ามาบอกว่ามีเจ้าหน้าที่อนามัยมาถามหา บอกว่าจะมาดูอาการ เขานั่งรถกระบะมา ที่ข้างๆรถเขียนว่าอนามัย มันก็แปลกๆ สถานีอนามัยไม่น่าใช้รถกระบะ แล้วในกรุงเทพฯมันก็ไม่มีสถานีอนามัย แต่หนังสือที่เขาถือมาเพื่อแสดงตัวระบุว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่เยียวยาซึ่งนายกฯสมชาย (สมชาย วงศ์สวัสดิ์) ตั้งขึ้น เราก็ไม่ไว้ใจ ทำกับเราขนาดนี้อยู่ดีๆจะส่งคนมา ป๊อบก็ไม่ให้เข้าบ้าน แล้วก็ฝากบอกไปว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นหมอ ดูแลตัวเองได้ ”
ขณะที่อาจารย์เอ๋ยก็เจอเหตุการณ์แปลกๆเช่นเดียวกัน
“หลังจากเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแล้วก็มีตำรวจมากวนเหมือนกันนะ คือหลังวันที่ 7 ต.ค. เนี่ย 2-3 วันแรกตำรวจกวนมาก คือเขาจะมาสอบปากคำที่โรงพยาบาล พยาบาลก็จะคอยมาบอกว่าตำรวจมานะ อย่างกรณีของเอ๋ย เอ๋ยแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง แต่ตำรวจที่มาสอบปากคำกลายเป็นตำรวจจากอีก สน.หนึ่ง เอ๋ยก็ว่ามันแปลกๆ ไม่รู้หน่วยไหนส่งมา ซึ่งความจริงเขาอาจจะบริสุทธิ์ใจก็ได้แต่ในสถานการณ์อย่างนั้นเราก็ไม่ไว้ใจ เลยไม่กล้าให้ปากคำอะไร เพราะไม่รู้ว่าเขาจะทำสำนวนออกมาแบบไหน ทำสำนวนให้อ่อนหรือเปล่า เพราะขนาดน้องโบว์ (น.ส.อังคณา ประดับปัญญาวุฒิ) หลักฐานชัดเจนว่าตายเพราะระเบิดที่ใช้สลายการชุมนุม ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ยังออกมาบอกว่าพกระเบิดมาเองเลย” อาจารย์เอ๋ย พูดถึงความคลางแคลงใจใรพฤติกรรมของตำรวจ
ด้านอาจารย์เจี๊ยบซึ่งไปวางพวงหรีดประนามการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้รับจดหมายข่มขู่ถึงขั้นที่จะทำร้ายลูกชายของเธอซึ่งเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย
“หลังจากที่ไปวางหรีดหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ไม่กี่วัน เจี๊ยบก็ได้รับจดหมายขู่ ซึ่งส่งมาที่คณะสัตวแพทย์ฯ จุฬาฯ ฉบับหนึ่ง และส่งไปที่บ้านอีกฉบับหนึ่ง เขาขู่ว่าอย่ามาอย่ามายุ่งกับการเมือง ถ้าไม่อยากให้ลูกชายได้รับอันตรายก็อย่ามาเข้ามายุ่ง จดหมายประทับตราไปรษณีย์บ้านโป่ง จ.ราชบุรี แต่ไม่ได้ระบุชื่อผู้ส่ง แล้วเนื้อจดหมายเป็นตัวพิมพ์นะคะ ไม่ใช่ลายมือเขียน ซึ่งไม่รู้ว่าเขารู้ที่อยู่เราได้ยังไง แล้วรู้ด้วยว่าเจี๊ยบมีลูกชายด้วย เขาใช้ถ้อยคำหยาบคายมาก ขู่ว่าจะมาทำมิดีมิร้าย แต่เจี๊ยบกับที่บ้านก็ไม่กลัวนะคะ เพราะถือว่าเราทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราก็ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของตำรวจหรือเปล่า เพราะตอนที่เจี๊ยบไปวางหรีดก็มีตำรวจมาถ่ายวิดีโอด้วย”
ไม่ท้อถอย คอยสร้างสิ่งที่ควร
แม้การเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองของพวกเธอจะนำมาซึ่งความสูญเสียทั้งเลือดเนื้อและอวัยวะ ต้องทนฟังเสียงก่นด่าจากกลุ่มคนที่ไม่เข้าใจ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการข่มขู่คุกคามจากอำนาจมืด แต่พวกเธอก็หาได้ยี่หระต่ออันตรายที่เกิดขึ้น ด้วยหวังเพียงว่าผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างพวกเธอจะเป็นอีกเรี่ยวแรงหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้พ้นจากเงื้อมือของนักการเมืองชั่วที่มุ่งแสวงอำนาจกอบโกยผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้อง อันเป็นเหมือนมะเร็งร้ายที่กัดกินประเทศไทยมาเนิ่นนาน
“ มีบางคนที่รู้สึกว่า เอ...คุณพ่อของเอ๋ยเป็นผู้อำนวยการศูนย์รับบริจาคอวัยวะ ทำไมลูกสาวกลับต้องมาสูญเสียอวัยวะเสียเอง ทั้งที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องบ้านเมือง แต่หลายคนที่มาเยี่ยมเอ๋ยเขาบอกว่าว่าน่าจะเป็นเพราะบุญที่พ่อทำไว้ เอ๋ยถึงโดนแค่นี้ หมอที่ผ่าตัดให้เอ๋ยก็เป็นลูกศิษย์ของคุณพ่อ ถ้าพ่อเราไม่ทำความดีไว้ เราคงลำบากกว่านี้ ตรงนี้ทำให้เอ๋ยรู้สึกว่าเราต้องทำความดีไว้เยอะๆ ลูกเราจะได้สบาย เราต้องปกป้องบ้านเมืองของเรา ต้องสกัดการทุจริตคอร์รัปชั่น เพราะถ้าปล่อยให้นักการเมืองโกงกินผลกระทบที่เกิดขึ้นมันไม่ได้ตกอยู่ที่ตัวเราเท่านั้นแต่ยังส่งผลถึงรุ่นลูกรุ่นหลานเราด้วย” อาจารย์เอ๋ย กล่าว
ขณะที่อาจารย์ป๊อบมีความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า
“ จริงๆก็อยากถามรัฐบาลว่าทำไมต้องทำร้ายและเข่นฆ่าประชาชนขนาดนี้ ทำไมไม่มีการเจรจา ไม่มีการใช้โล่ ใช้กระบอง เหมือนที่ประเทศอื่นๆเขาทำกัน แต่กลับยิงระเบิดซึ่งเป็นอาวุธสงครามเข้าใส่ประชาชน ป๊อบอยู่อเมริกามา 8 ปี ที่นั่นชีวิต 1 ชีวิต แม้จะเป็นหมูหมากาไก่ก็มีค่าเท่ากันหมด แมวติดอยู่บนต้นไม้เขายังไปเอารถกู้ภัยมาช่วย ปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อช่วยแมวลงมา แต่ชีวิต 1 ชีวิตของคนไทยกลับถูกฆ่าแกงด้วน้ำมือของคนที่ได้ชื่อว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
ถ้าถามว่าโดนหนักขนาดนี้ หากพันธมิตรฯต้องออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านทางการเมืองอีก จะออกมาร่วมหรือไม่ บอกได้เลยว่าป๊อบร่วมแน่ แต่เราควรเปลี่ยนรูปแบบ เราต้องใช้สมองในการต่อสู้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้พี่น้องพันธมิตรฯเราเสียหายน้อยลง ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนกลยุทธ์แล้ว ต้องตั้งพรรคการเมืองของเราเองขึ้นมาเพื่อเข้าไปทำงาน เข้าไปแก้ปัญหา ไม่อย่างนั้นก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ การเมืองใหม่ก็ไม่มีทางเกิดขึ้น” อาจารย์ป๊อบ กล่าวตบท้ายไว้อย่างน่าสนใจ
* * * * * * * * * * * *
เรื่อง – จินดาวรรณ สิ่งคงสิน
ภาพ – วารี น้อยใหญ่