1. “อังกฤษ” ถอนวีซ่า “ทักษิณ-พจมาน”แล้ว ด้าน “สภาทนายความ”ชี้ “โฟนอินแม้ว”ดูหมิ่นศาล-ก้าวล่วงสถาบัน!
หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยหนีคดีซื้อที่รัชดาฯ ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ได้โทรศัพท์ข้ามประเทศจากฮ่องกงเข้ามายังรายการ “ครอบครัวความจริงวันนี้สัญจร”ครั้งที่ 2 ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อวันที่ 1 พ.ย.เพื่อพูดกับม็อบเสื้อแดงที่สนับสนุนตน โดยไฮไลต์จากการโฟนอินดังกล่าว มี 2 ประเด็นที่ถูกหลายฝ่ายในสังคมตั้งคำถามว่า เป็นการหมิ่นศาลและหมิ่นสถาบันหรือไม่ เช่น พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า “...เขาสั่งจำคุกผม 2 ปี อายุความ 10 ปี แสดงว่าเขาอยากให้ผมอยู่ข้างนอก 10 ปี ถามพี่น้องจะให้เขาเก็บผมไว้นานขนาดนั้นไหมครับ ...ถึงจะโดนยัดเยียดคุกให้ ก็เป็นอดีตนายกฯ นะครับ ที่ห่วงชาติบ้านเมือง ...เขาใช้กระบวนการยุติความเป็นธรรมครับ ...มันต้องการจัดการกับคนคนเดียว โดยเอากระบวนการยุติธรรมให้ยุติความเป็นธรรมทั้งหมด” และ “...ไม่มีใครที่จะเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอกครับ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็ด้วยพลังของพี่น้องประชาชนเท่านั้น จริงไหมครับ” ขณะที่นายวีระ มุสิกพงศ์ ผู้ดำเนินรายการ “ความจริงวันนี้”ซึ่งอยู่ระหว่างต้องคดีหมิ่นสถาบันซ้ำสอง(หลังเคยถูกศาลจำคุกฐานหมิ่นสถาบันมาแล้วครั้งหนึ่ง) รีบรับลูกคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการอ้างว่า การพึ่งพระบารมีและการอาศัยพลังของพี่น้องประชาชนเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณได้กลับประเทศนั้น ถือเป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันสูงสุด บวกกับพลังรากหญ้าคือมวลมหาประชาชน เรียกว่า “ราชประชาสมาศัย” ซึ่งก็ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในการใช้คำดังกล่าว เพราะ “ราชประชาสมาศัย”น่าจะหมายถึงการร่วมมือกันระหว่างสถาบันกษัตริย์กับประชาชนในประเด็นที่เป็นเรื่องส่วนรวมและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยรวม มิใช่ให้สถาบันร่วมมือกับประชาชนเพื่อประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ทั้งนี้ ส.ส.พรรคพลังประชาชนได้ตีความคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ว่า “นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา”ว่า ต้องการขอพระราชทานอภัยโทษ ดังนั้น ส.ส.พรรคพลังประชาชนหลายคน(เช่น นายสุรชัย เบ้าจรรยา ส.ส.สัดส่วน)จึงรีบศึกษาความเป็นไปได้ว่า ส.ส.และประชาชนจะขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณได้หรือไม่ ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องสำนึกผิดและยอมรับโทษก่อน แล้วการให้อภัยจึงจะเกิดขึ้น นายอภิสิทธิ์ ยังตำหนิ พ.ต.ท.ทักษิณและผู้สนับสนุนด้วยที่พยายามลากกระบวนการยุติธรรมและสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาอยู่ในวังวนความขัดแย้ง ขณะที่นายพิภพ ธงไชย 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ มองว่า การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณมีเจตนาที่จะกดดันให้มีการรวมตัวกันเพื่อถวายฎีกาขอให้มีการอภัยโทษ ซึ่งการกระทำเช่นนี้เป็นการนำปัญหาส่วนตัวไปให้สถาบัน ด้านนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ชี้ว่า การขอพระราชทานอภัยโทษนั้น เป็นสิทธิของนักโทษทุกคน ซึ่งต้องรอให้คดีถึงที่สุดก่อน และนักโทษจะต้องรับโทษแล้ว จึงจะขออภัยโทษได้ แต่คดีของ พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่จบ อยู่ระหว่างพิจารณายื่นอุทธรณ์ นายเดชอุดม ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณใช้คำว่า “โดนยัดเยียดคุก”สะท้อนว่า ไม่ยอมรับคำพิพากษา แล้วจะมาขออภัยโทษทำไม เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อแนวโน้มที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะขอพระราชทานอภัยโทษดูจะเป็นไปได้ยาก ทาง ส.ส.พรรคพลังประชาชนจึงเดินเกมใหม่ โดยจะออกกฎหมายให้มีการนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณแทน โดยนายปัญญา ศรีปัญญา ส.ส.ขอนแก่น พรรค พปช.เผย(4 พ.ย.)ว่า ประชาชนในภาคอีสานกำลังเคลื่อนไหวเข้าชื่อ 10,000 ชื่อ เพื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นไปตาม รธน.มาตรา 142 และ 163 อย่างไรก็ตาม นักวิชาการและนักกฎหมายหลายท่านในสังคม ได้ออกมาชี้ว่า การจะออกกฎหมายเพื่อยกโทษให้คนคนเดียวนั้น ทำไม่ได้ เพราะไม่ใช่หลักกฎหมาย เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อแนวโน้มการจะออกกฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียวดูจะเป็นไปไม่ได้ ส.ส.พรรคพลังประชาชนจึงงัดมุกใหม่โดยจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และ 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีจากกรณียุบพรรค แต่ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนเขียนขึ้น ก็ถูกหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมเป็นร่างกฎหมายที่มีลักษณะ “เลือกที่รักมักที่ชัง” “ฝนตกไม่ทั่วฟ้า” เพราะเขียนให้นิรโทษกรรมเฉพาะหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ไม่รวมถึงพรรคอื่นที่เคยถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคเช่นกัน ทั้งนี้ ไม่เพียง ส.ส.พรรคพลังประชาชนเท่านั้นที่เคลื่อนไหวต้องการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และ 111 กก.บห.พรรคไทยรักไทย แต่ในส่วนของอดีต กก.บห.พรรคไทยรักไทยเอง(เช่น นพ.ทศพร เสรีรักษ์ )ยิ่งเดินเกมไปไกลกว่า โดยต้องการให้มีการออกกฎหมายยกเลิกประกาศ คปค.ฉบับที่ 27 เรื่องการตัดสิทธิการเลือกตั้ง กก.บห.พรรคที่ถูกยุบ โดยมองว่า หากออกกฎหมายยกเลิกประกาศดังกล่าวได้ 111 กก.บก.พรรคไทยรักไทยก็จะได้รับสิทธิทางการเมืองคืนทันที อย่างไรก็ตาม นักวิชาการและนักกฎหมายในสังคมมองว่า การออกกฎหมายเพื่อยกเลิกกฎหมาย เพื่อบังคับใช้หรือเอื้อประโยชน์แก่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่สามารถทำได้ และถึงแม้จะออกกฎหมายดังกล่าวจริง ก็อาจจะไม่สามารถใช้บังคับย้อนหลังกับผู้ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปแล้วได้ นอกจากความพยายามช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณและ 111 กก.บห.พรรคไทยรักไทยแล้ว ทางผู้ดำเนินรายการ “ความจริงวันนี้”(วีระ มุสิกพงศ์ – จตุพร พรหมพันธุ์ –ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) ยังประกาศจะนำเทปรายการที่จัดที่สนามราชมังคลากีฬาสถานที่มี พ.ต.ท.ทักษิณโฟนอิน มาออกอากาศซ้ำในรายการปกติทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีด้วย แม้หลายฝ่ายในบ้านเมือง โดยเฉพาะผู้บัญชาการเหล่าทัพจะเห็นว่า คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่บังควร และมีลักษณะเหมือนกดดันสถาบัน แต่นายจตุพร ก็ยืนยันว่า จะนำเทปที่ พ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินออกอากาศทางเอ็นบีทีแน่นอน รวมทั้งได้เตรียมจัดรายการ “ความจริงวันนี้สัญจร”ครั้งที่ 3 ในช่วงปลายเดือน พ.ย.นี้ โดยอาจจะจัดที่สนามกีฬา จ.ขอนแก่น(ล่าสุด นายจตุพร บอกว่า จะจัดที่วัดสวนแก้ว วันที่ 23 พ.ย.นี้) ทั้งนี้ ไม่เพียงอดีตแกนนำ นปก.ผู้ดำเนินรายการ “ความจริงวันนี้”จะใช้สถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีเป็นเครื่องมือโจมตีฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล แต่ยังมีแผนจะเปิดทีวีดาวเทียมช่องใหม่เพื่อเป็นกระบอกเสียงโจมตีฝ่ายตรงข้ามเพิ่มอีก โดยอาจจะใช้ชื่อว่า “ทีวีสีแดง”เพื่อให้สอดรับกับผู้สนับสนุนที่ใส่เสื้อแดงเป็นสัญลักษณ์ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ของตระกูลชินวัตร ยังเตรียมผุดทีวีเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินเช่นกัน โดยใช้ชื่อว่า “ชิน ทีวี” ส่วนกรณีที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพมองว่า คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่โฟนอินเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ไม่บังควรและมีลักษณะกดดันสถาบันนั้น ปรากฏว่า ทางสภาทนายความได้อาสาถอดเทปที่ พ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินพร้อมศึกษาและพิจารณาว่าเข้าข่ายหมิ่นศาลและหมิ่นสถาบันหรือไม่ แต่ยังไม่ทันที่สภาทนายความจะได้ข้อสรุปเรื่องนี้ ปรากฏว่า ทางตำรวจได้รีบออกมาชี้ว่า คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เข้าข่ายหมิ่นสถาบัน โดย พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล บอก(5 พ.ย.)ว่า จากการพิจารณาและลงความเห็นของคณะกรรมการแล้ว มีมติเอกฉันท์เป็นที่สุดว่า เทปคำปราศรัยของ พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม 2 วันต่อมา(7 พ.ย.) ทางสภาทนายความ ได้ออกแถลงการณ์ผลสรุปจากการพิจารณาคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่โฟนอินแล้ว พบว่า คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าข่ายลบหลู่หรือดูหมิ่นดุลพินิจศาล และเจตนาก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัยในเรื่องการอภัยโทษ เพราะคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ว่า “ไม่มีใครเอาผมกลับประเทศได้ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็ด้วยพลังของพี่น้องประชาชน”นั้น ไม่เพียงเป็นการยกพลังของประชาชนให้เท่ากับพระราชอำนาจในการอภัยโทษขององค์พระประมุข แต่ยังเจตนาก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัยในเรื่องการอภัยโทษอย่างชัดเจน หมายความว่า หากองค์พระประมุขไม่วินิจฉัยอย่างเช่นที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการ พ.ต.ท.ทักษิณก็จะใช้พลังของประชาชน สภาทนายความ ยังเตือนด้วยว่า หากผู้ใดส่งเสริมสนับสนุนการกระทำดังกล่าว โดยการกระทำซ้ำหรือนำเทปดังกล่าวมาเผยแพร่โฆษณาอีก ถือว่าเข้าข่ายสนับสนุน สมรู้ร่วมคิดให้เกิดการกระทำผิด ผู้จัดรายการ เจ้าของรายการ ผู้อำนวยการสถานีต้องร่วมกันรับผิดชอบ รวมถึงนายกฯ ,รัฐมนตรี ,ส.ส. และ ส.ว.ที่ให้การสนับสนุนผู้กระทำผิด ย่อมเป็นการฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่ง ส.ว.มีอำนาจถอดถอนได้ตามมาตรา 270 และ 164 นอกจากนี้ประชาชนสามารถเข้าชื่อ 20,000 คนร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนบุคคลดังกล่าวออกจากตำแหน่งได้ สำหรับความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ หลังจากเดินทางออกจากอังกฤษไปฮ่องกงและโฟนอินเข้ารายการ “ความจริงวันนี้สัญจร”เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ก่อนเดินทางไปต่อไปจีน และมีแผนจะเดินทางไปประเทศฟิลิปปินส์ต่อนั้น ปรากฏว่า ล่าสุด ทางอังกฤษได้ยกเลิกวีซ่าของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมานแล้ว โดยเมื่อวันที่ 7 พ.ย.นายแอนดี้ เกรย์ ผู้จัดการฝ่ายติดต่อกิจการตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานพรมแดนสหราชอาณาจักร สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ได้ส่งอีเมล์ถึงสายการบินที่เป็นสมาชิกเอโอซี(คณะกรรมการดำเนินงานด้านธุรกิจการบิน) เพื่อแจ้งให้ทราบว่า สำนักงานพรมแดนฯ ได้ยกเลิกวีซ่าเข้าสหราชอาณาจักรของบุคคลสัญชาติไทยทั้งสองแล้ว ดังนั้นวีซ่าที่ประทับในหนังสือเดินทางของบุคคลทั้งสองใช้ไม่ได้อีกต่อไป จึงขอแนะนำสายการบินทั้งหลายว่า อย่าได้นำผู้โดยสารทั้งสองคนเข้าสหราชอาณาจักร ทั้งนี้ หลายฝ่ายเชื่อว่า การที่อังกฤษยกเลิกวีซ่าของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน เป็นผลจากการที่ศาลฎีกาฯ ของไทยตัดสินจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ และศาลชั้นต้นตัดสินจำคุกคุณหญิงพจมาน 3 ปีคดีหลีกเลี่ยงภาษีซื้อขายหุ้นชินวัตร คอมพิวเตอร์ฯ และสาเหตุอีกส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการที่อังกฤษไม่อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณใช้ประเทศของตนเป็นฐานโจมตีกระบวนการยุติธรรมหรือก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยก็เป็นได้
อังกฤษงดวีซ่า “แม้ว-เมีย”-แจ้งสายการบินห้ามนำเข้าประเทศ
ซาก ทรท.คืนชีพ! สุมหัวล่าชื่อหวังคว่ำร่าง กม.คปค.
“มาร์ค” เตือน “ชาย” อย่าปัดความรับผิดชอบ ลูกพรรคยื่นนิรโทษ “แม้ว”
“ชาย” แทงกั๊กนิรโทษ “แม้ว”ปัดมติพรรคชี้เป็นเรื่องส่วนบุคคล
“โมเช่” เอาแน่! บรรจุแก้รธน.อ้างเอกสิทธิ์ล่าชื่อนิรโทษ “แม้ว”
วิปรัฐเคาะกะลา! ส่งสมุนล่าชื่อออก กม.นิรโทษกรรม “แม้ว”
“พิภพ” ผ่าซาก “นช.แม้ว”ผวาคุก! ชักใยเสื้อแดง-ทำสังคมแตกสลาย
“มาร์ค” ถลกหนัง “ชาย” ค้านจุดพลุนิรโทษกรรม “แม้ว”
กองทัพห่วงสถานการณ์แนะต้องยอมกันบ้าง! ลั่นอย่าก้าวล่วงสถาบัน
“แม้ว” โฟนอินอัดศาลซ้ำ-อ้างพระบารมีจะช่วยให้กลับประเทศ
ตร.มองต่างมุมของ กม.กับสภาทนาย โฟนอิน “พ่อแม้ว” ไม่ผิด!
สภาทนาย ชี้ชัด “นช.แม้ว”โฟนอินก้าวล่วงเบื้องสูง-หมิ่นศาล
หงอพ่อแม้ว! ตร.มีมติ “ทักษิณ” โฟนอินไม่มีหมิ่นฯ
2. “อนุพงษ์”สั่งสอบ “เสธ.แดง”สงสัยเอี่ยวระเบิด ด้าน “รบ.”เดินหน้าแก้ รธน.-ไม่กลัวรุนแรง มี “เสื้อแดง”คุ้มกัน!
หลังคนร้ายได้ปาระเบิดสังหารแบบเอ็ม 87 ใส่กลุ่มพันธมิตรฯ บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์เมื่อคืนวันที่ 30 ต.ค.ส่งผลให้พันธมิตรฯ บาดเจ็บนับสิบราย รวมทั้งมีการปาระเบิดใส่บ้านพักนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในคืนเดียวกัน ขณะที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ออกมายอมรับว่า เหตุระเบิดหลายจุดที่เกิดขึ้นนั้นอาจเป็นฝีมือของ “นักรบพระเจ้าตาก”ที่ตนฝึกให้แนวร่วม นปช.ที่สนามหลวง เพราะตนไม่เพียงฝึกอาวุธพื้นฐานให้บุคคลเหล่านั้น แต่ได้ฝึกการขว้างระเบิดให้ด้วย พล.ต.ขัตติยะยังยอมรับด้วยว่า คนที่มาฝึกนักรบฯ กับตน เป็นคนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า เมื่อมาฝึกที่สนามหลวงแล้ว ก็อยากแย่งกันไปปฏิบัติจริง นอกจากนี้ พล.ต.ขัตติยะ ยังพูดขู่พันธมิตรฯ หลายครั้งว่า ถ้ายังไม่หยุดชุมนุม อนาคตอาจถูกซุ่มโจมตีด้วยระเบิดอาร์พีจี เอ็ม 79 และ ค.60 นั้น ปรากฏว่า ได้มีการปาระเบิดใส่กลุ่มพันธมิตรฯ อย่างต่อเนื่อง เริ่มด้วยเหตุระเบิดบริเวณสะพานอรทัย ใกล้ทำเนียบฯ เมื่อคืนวันที่ 3 ล่วงเข้าวันที่ 4 พ.ย. โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ หลังจากนั้น 2 วัน(คืนวันที่ 6 ล่วงเข้าวันที่ 7 พ.ย.) ก็ได้เกิดระเบิด 2 จุด บริเวณสะพานมัฆวานฯ หน้ากระทรวงศึกษาธิการ และบริเวณถนนเลียบคลองผดุงกรุงเกษม ด้านข้างรั้วกระทรวงศึกษาธิการ โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเช่นกัน และล่าสุด เมื่อเช้ามืดวันนี้(8 พ.ย.เวลาประมาณ 04.40น.) ก็ได้เกิดระเบิดกับกลุ่มพันธมิตรฯ อีกครั้ง คราวนี้รุนแรงกว่า 2-3 ครั้งที่ผ่านมา เพราะเป็นการระเบิดครั้งแรกที่เกิดภายในทำเนียบฯ บริเวณเต็นท์ของนักรบศรีวิชัย หน้าตึกสันติไมตรี เยื้องเวทีปราศรัยประมาณ 250 เมตร แรงระเบิดทำให้มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย ทราบชื่อคือ นายเมธี อู่ทอง อายุ 24 ปี โดยมีบาดแผลบริเวณหน้าผากและหน้าอก ด้านนายสมศักดิ์ โกศัยสุข 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ บอกว่า ลักษณะระเบิดดังกล่าวเป็นการนำมาซุกไว้ โดยอาจจะใช้การตั้งเวลาระเบิด พร้อมคาดว่าน่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลที่เข้ามาสร้างสถานการณ์ก่อกวนและข่มขู่ให้ผู้ชุมนุมเกรงกลัว จะได้ไม่กล้ามาร่วมชุมนุม ทั้งนี้ พันธมิตรฯ จะเพิ่มมาตรการเข้มงวดในการตรวจตราผู้เข้าร่วมชุมนุมให้มากกว่าเดิม ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ได้กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ฝึกนักรบพระเจ้าตากว่า ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนว่า พล.ต.ขัตติยะไปทำอะไรอย่างไรบ้าง ขณะที่ เสธ.แดง เผยว่า พล.อ.อนุพงษ์ได้มีคำสั่งให้สลายกลุ่มนักรบพระเจ้าตากประมาณ 100 คนที่ตนฝึกให้ที่สนามหลวง จึงได้ยกเลิกการฝึกอย่างเด็ดขาดแล้ว อย่างไรก็ตาม เสธ.แดง บอกว่า กลุ่มนักรบฯ เหล่านี้จะแปรสภาพไปเป็นแก๊ง 47 โรนิน(ซามูไรไร้สังกัด) ซึ่งในญี่ปุ่นแก๊งซามูไรเหล่านี้จะทำหน้าที่ไปตามล่านักการเมืองที่เลวและทุจริต แต่วันนี้ไม่รู้ว่าแก๊งเหล่านี้จะไปตามฆ่าพันธมิตรฯ หรือพวกแกนนำหรือไม่ ทั้งนี้ ไม่เพียงมือมืดจะพยายามข่มขู่และหมายสังหารกลุ่มพันธมิตรฯ แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังทำงานเหมือนเอาใจรัฐบาล โดยได้รีบเดินหน้าส่งฟ้อง 9 แกนนำพันธมิตรฯ ต่ออัยการในความผิด 3 ข้อหาเมื่อวันที่ 4 พ.ย. ประกอบด้วย มาตรา 116 กระทำการให้ปรากฏแก่ประชาชน ...เพื่อให้เกิดการแปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ,มาตรา 215 มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และมาตรา 216 เจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแต่ไม่เลิก ทั้งนี้ มีข้อน่าสังเกตว่า พนักงานสอบสวนยังเดินหน้าตั้งข้อหาแกนนำพันธมิตรฯ ในมาตรา 216 ด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ มาตราดังกล่าวได้ถูกศาลอุทธรณ์เพิกถอนหมายจับไปแล้วพร้อมกับมาตรา 113(ฐานกบฏ) และ 114(เตรียมกบฏ) ด้านทนายความของพันธมิตรฯ ได้ร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการว่า การสอบสวนของพนักงานสอบสวนไม่ชอบ เป็นการกลั่นแกล้ง ดังนั้นผู้ต้องหาทั้ง 9 ขอนำเสนอพยานบุคคลและเอกสารเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาสั่งคดีของอัยการภายใน 30 วัน ด้านอัยการรับหนังสือร้องขอความเป็นธรรมไว้พิจารณาและนัดสั่งคดีในวันที่ 18 พ.ย.นี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากตำรวจจะพยายามใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือจัดการแกนนำพันธมิตรฯ แล้ว ตำรวจยังพยายามจี้ให้พันธมิตรฯ เปิดถนนราชดำเนินนอกก่อนที่จะถึงงานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ 1 สัปดาห์ โดยอ้างว่า ต้องจัดเตรียมตกแต่งถนนเพื่อรับเสด็จฯ ขณะที่แกนนำพันธมิตรฯ ยืนยันว่า พร้อมจะเปิดถนนในช่วงงานพระราชพิธีฯ 14-19 พ.ย. แต่หากตำรวจจะให้เปิดถนนตั้งแต่ตอนนี้ ตำรวจพร้อมจะดูแลความปลอดภัยให้ผู้ชุมนุมหรือไม่ เพราะขณะนี้ได้เกิดเหตุระเบิดกับกลุ่มพันธมิตรฯ อยู่บ่อยครั้ง ด้านโฆษกรัฐบาล นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารบก และพี่ชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ต่างพร้อมใจกันออกมากดดันให้ตำรวจและทหารจัดการพันธมิตรฯ ฐานไม่เปิดเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน ซึ่งน่าสงสัยว่า เหตุใดตำรวจ จึงไม่ออกมาบอกความจริงว่า สำนักพระราชวังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประชุมและตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเสด็จฯ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 พ.ย.แล้ว โดยผู้ที่ร่วมประชุมกับสำนักพระราชวังในวันดังกล่าว ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ,กองบัญชาการตำรวจนครบาล ,กองบังคับการตำรวจจราจร และศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ซึ่ง พล.ต.ต.วีรพัฒน์ ตันศรีสกุล ผู้บังคับการตำรวจจราจร เผยหลังประชุมเมื่อวันที่ 6 พ.ย.ว่า สำนักพระราชวังได้ระบุแล้วว่า จะใช้เส้นทางถนนหลานหลวง เป็นเส้นทางหลักในการเสด็จฯ งานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ รู้สึกแปลกใจการกระทำของตำรวจเช่นกัน โดยบอก(7 พ.ย.)ว่า มีข่าวว่าจะมีการใช้เส้นทางเสด็จฯ ทางด้านถนนหลานหลวงแล้ว และตำรวจก็น่าจะรู้แล้ว แล้วทำไมยังมาให้ข่าวว่าพันธมิตรฯ ไม่ยอมเปิดเส้นทางอีก สำหรับความเคลื่อนไหวเรื่องแก้ รธน.มาตรา 291 เพื่อตั้ง ส.ส.ร.3 นั้น แม้หลายฝ่ายในสังคมจะไม่เห็นด้วย เพราะเกรงจะเป็นชนวนให้เกิดความรุนแรงครั้งใหม่นั้น ปรากฏว่า ที่ประชุมพรรคพลังประชาชนเมื่อวันที่ 4 พ.ย.ยังคงยืนยันจะเดินหน้าแก้ รธน.มาตรา 291 โดยตอนแรกที่ประชุมต้องการให้ยื่นญัตติขอแก้ไข รธน.เข้าสภาในวันที่ 12 พ.ย.นี้ แต่ภายหลังได้ข้อสรุปว่าให้เลื่อนออกไปหลังพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ โดยอาจจะเป็นวันที่ 20 พ.ย. ขณะที่นายสมศักดิ์ โกศัยสุข 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ ยืนยันว่า หากรัฐบาลยื่นญัตติแก้ รธน.เข้าสภาเมื่อใด พันธมิตรฯ ก็จะไปชุมนุมที่หน้ารัฐสภาอีกครั้ง ด้านนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ไม่เชื่อว่า การแก้ รธน.ตั้ง ส.ส.ร.จะเป็นเหตุให้บ้านเมืองวุ่นวายหรือเกิดความรุนแรง โดยบอกว่า “ที่พันธมิตรฯ จะมาปิดล้อมรัฐสภาอีกนั้น ผมคิดว่าไม่เป็นไร ตอนนี้มันมีเสื้อแดงมาแล้วนี่ มันก็ตอบไม่ได้ ไม่ใช่หน้าที่ของผม ก็ไปเจรจากันเองก็แล้วกัน” ทั้งนี้ ได้มีหลายภาคส่วนในสังคมออกมาเคลื่อนไหวให้รัฐบาลหยุดแก้ รธน.หยุดตั้ง ส.ส.ร.3 เนื่องจากเป็นชนวนความรุนแรงรอบใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนไม่เอาความรุนแรง ซึ่งประกอบด้วย ตัวแทนนักวิชาการ ,เครือข่ายผู้บริโภค ,กลุ่มคนพิการ ,เครือข่ายครอบครัว ,เครือข่ายสลัม ฯลฯ ได้ประชุมเสวนา(5 พ.ย.)และได้สรุปร่วมกันว่า จะจัดทำหนังสือปกดำเพื่อแสดงถึงผลกระทบและความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นหากมีการแก้ รธน.ภายในรัฐบาลชุดนี้ พร้อมทำหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องหยุดพฤติกรรมที่จะนำไปสู่ความรุนแรงและนองเลือด รวมทั้งยื่นหนังสือต่อนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เพื่อให้ชะลอการนำญัตติการขอแก้ไข รธน.ของรัฐบาลเข้าสู่การพิจารณาของสภาด้วย
กองทัพเพิ่งตื่น! เร่งตั้ง กก.สอบ “เสธ.แดง” ฝึกนักรบพระเจ้าตาก
“ลุงจำลอง”ซัดตำรวจบิดเบือนใส่ร้ายพันธมิตรฯ - ยันพร้อมเปิดเส้นทางเสด็จ
“เสธ.แดง” ผวากองทัพโร่สลาย นักรบ” โว “แก๊งโรนิน” จ่อล่าพันธมิตรฯ
“พลังแม้ว” พลิ้วอ้างรอดูเวลาเหมาะสม ชะลอยื่นแก้ไข รธน.ม.291เข้าสภา
“เติ้ง” หนุนแก้ รธน.เมินซ้ำรอย 7 ตุลาทมิฬ อ้างเสื้อแดงตัวช่วย
พปช.หน้ามืดยื่นแก้ ม.291สัปดาห์หน้าเปิดทางปาหี่ ส.ส.ร.3
หมาลอบกัดอีก!ปาระเบิดใส่พธม.ห่างเวทีปราศรัย 250 ม. เจ็บ 1
ตร.สนองรัฐส่งฟ้อง 9 แกนนำพันธมิตรฯ
3. “ส.ส.รัฐบาล”จริยธรรมเสื่อมหนัก เข้าชื่อถอดถอน“รสนา”ฐานติง รบ.แถลงนโยบายบนกองเลือด!
ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ปิดล้อมรัฐสภาจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเกือบ 500 คนเมื่อวันที่ 7 ต.ค.เนื่องจากรัฐบาลนายสมชายยืนยันจะใช้รัฐสภาเป็นที่แถลงนโยบาย โดยหลังจากตำรวจเปิดทางได้ นายสมชายและ ครม.ก็ฝ่ากองเลือดของผู้บาดเจ็บเข้าไปแถลงนโยบายโดยไม่ตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด ส่งผลให้ ส.ว.บางรายได้ทักท้วงและถามนายกฯ ถึงความเหมาะสมที่รัฐบาลจะเดินหน้าแถลงนโยบายโดยไม่สนใจต่อเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดอยู่นอกสภา ซึ่ง 1 ใน ส.ว.ที่ท้วงนายกฯ กลางที่ประชุมสภาวันนั้น ก็คือ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม.โดย น.ส.รสนา ลุกขึ้นพูดกับนายกฯ ว่า เหตุการณ์ข้างนอกมีการปะทะกันมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก แต่นายกฯ กลับจะใช้รัฐสภามารับรองความชอบธรรมของรัฐบาลและตนเองหรือ ซึ่งคำพูดของ น.ส.รสนา ส่งผลให้ ส.ส.พรรคพลังประชาชนหลายคนทนฟังไม่ได้ จึงพากันโห่ไล่และลุกขึ้นไปรุมล้อมพร้อมชี้หน้าด่า น.ส.รสนาด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและหยาบคาย ส่งผลให้สามี น.ส.รสนาซึ่งอยู่ภายนอกห้องประชุมสภา เห็นภาพจากกล้องวงจรปิดว่า ส.ส.ชายหลายคนกำลังรุมชี้หน้า น.ส.รสนาในระยะประชิด สามี น.ส.รสนาเกรงว่าภรรยาจะไม่ปลอดภัย จึงได้เดินเข้ามาในห้องประชุมเพื่อปกป้อง น.ส.รสนานั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล นำโดย น.ส.อรุณี ชำนาญยา ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชาชน ได้นำรายชื่อ ส.ส.จำนวน 145 คนยื่นต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เพื่อขอให้ถอดถอน น.ส.รสนาออกจากการเป็น ส.ว. โดยอ้างว่า น.ส.รสนาจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อ รธน.เนื่องจากพยายามก่อกวนการแถลงนโยบายรัฐบาลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ทั้งยังพาบุคคลภายนอก(สามี น.ส.รสนา)เข้าห้องประชุมด้วย ซึ่งถือว่าผิดจริยธรรม จึงขอถอดถอนตาม รธน.มาตรา 270 ,271 และ 274 ทั้งนี้ ส.ส.ที่เข้าชื่อยื่นถอดถอน น.ส.รสนา 145 คน ประกอบด้วย ส.ส.พรรคพลังประชาชน 134 คน ,พรรคมัชฌิมาธิปไตย 3 คน ,พรรคชาติไทย 2 คน ,พรรคประชาราช 2 คน ,พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 2 คน และพรรคเพื่อแผ่นดิน 2 คน ด้านที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 7 พ.ย.นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิฯ คนที่ 1 ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบกรณี 145 ส.ส.ยื่นถอดถอน น.ส.รสนา ซึ่ง ส.ว.ในที่ประชุมมีการอภิปรายกันอย่างหนัก โดยตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมนายนิคมจึงทำเหมือนรับลูกฝ่ายการเมืองด้วยการนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมเป็นวาระด่วน ทั้งที่ยังไม่มีการสอบสวนให้ชัดเจน ขณะที่ ส.ว.หลายคนยืนยันว่า น.ส.รสนาไม่ได้กระทำการขัด รธน.ตามที่ 145 ส.ส.กล่าวหา ทั้งนี้ หลังถูกยื่นถอดถอน ได้มีภาคประชาชนนำดอกไม้เข้าให้กำลังใจ น.ส.รสนา เช่น เครือข่ายแรงงานนอกระบบและมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ เป็นต้น ขณะที่ "กลุ่มรักรสนา" นอกจากให้กำลังใจ น.ส.รสนาแล้ว ยังได้เข้ายื่นหนังสือเปิดผนึกถึงนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ (5 พ.ย.) เพื่อให้ตรวจสอบกรณี ส.ส.ชายชี้หน้า น.ส.รสนากลางสภาเมื่อวันที่ 7 ต.ค.รวมทั้งเหตุการณ์ที่นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม.พรรคพลังประชาชน ตะโกนขู่เตะ ส.ว.รสนาเมื่อวันที่ 28 ต.ค.ด้วย เพราะถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ด้าน พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ซึ่งออกมารับหนังสือแทนนายชัย บอกว่า จะมอบหมายให้คณะกรรมาธิการกิจการสภาและกรรมาธิการวุฒิสภาเป็นผู้สอบสวนเรื่องดังกล่าว
รองวุฒิฯ บ้าจี้ ยัดไส้บรรจุวาระด่วน 145 ส.ส.ถอดถอน “รสนา”
พปช.ตะแบงยื่นถอด “รสนา”แก้เกี้ยว ฐานฝ่าฝืนจริยธรรม
4. “ศาล รธน.”มีมติเอกฉันท์ “กม.7 ชั่วโคตร-หวยบนดิน”ขัด รธน. ด้าน “พปช.”ดีใจ ไม่ต้องมี กม.7 ชั่วโคตรแล้ว!
เมื่อวันที่ 6 พ.ย. คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้นัดประชุมลงมติว่า ร่าง พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่ให้อำนาจสำนักงานสลากฯ ออกเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว(หวยบนดิน)ได้ เป็นกฎหมายที่ขัดหรือแย้งต่อ รธน.หรือไม่ ซึ่งผู้ส่งคำร้องเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็คือ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)และคณะรวม 30 คน รวมทั้งพิจารณาคำร้องของนายวรัชย์ ชวพงษ์ สมาชิก สนช.และคณะรวม 51 คน ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม หรือ “กฎหมายเจ็ดชั่วโคตร”(เหตุที่เรียกแบบนี้ เพราะนอกจากห้ามสามี ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของรัฐมนตรีมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือผลประโยชน์ขัดกันแล้ว ยังห้ามไปถึงภรรยาที่จดหรือไม่จดทะเบียนและญาติๆ ด้วย) ขัดหรือแย้งต่อ รธน.หรือไม่ เพราะร่างกฎหมายดังกล่าวได้ผ่านการเห็นชอบของ สนช.ในวาระ 3 ซึ่งไม่ครบองค์ประชุม ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์วินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติของ รธน.เพราะองค์ประชุม สนช.ไม่ครบ จึงเป็นผลให้ร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับเป็นอันตกไปตาม รธน.มาตรา 154 วรรคสาม เป็นที่น่าสังเกตว่า นี่ไม่ใช่ ร่าง พ.ร.บ.2 ฉบับแรกที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ตกไป เนื่องจากองค์ประชุมของ สนช.ไม่ครบ โดยก่อนหน้านี้ มีร่าง พ.ร.บ.หลายฉบับที่ถูกวินิจฉัยให้ตกไปเช่นเดียวกัน เช่น ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต(ฉบับแก้ไข) ,ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจเงินแผ่นดิน และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นต้น ด้านนายไพศาล พืชมงคล สมาชิก สนช.พูดถึงการตกไปของร่างกฎหมายเจ็ดชั่วโคตรและร่างกฎหมายหวยบนดินว่า ครั้งนั้น สนช.ประชุมทุกวันตั้งแต่บ่ายจนดึก เพราะอยู่ในช่วงใกล้หมดวาระ ทำให้สมาชิกเหนื่อยอ่อนไม่มาร่วมประชุม ซึ่งสมาชิกหลายคนได้ขอร้องนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน สนช.ว่า เมื่อผู้ประชุมน้อยก็อย่าประชุมเลย เพราะเกรงว่าจะเป็นการพิจารณากฎหมายแบบลวกๆ ซึ่งจะทำให้เสียระบบของรัฐสภา แต่นายมีชัยก็ยังเดินหน้าประชุมต่อ ด้านพรรคพลังประชาชนดีใจไม่ต้องมีกฎหมายเจ็ดชั่วโคตรมาบังคับใช้แล้ว โดย ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง รักษาการโฆษกพรรคฯ บอกว่า การที่กฎหมายเจ็ดชั่วโคตรตกไป น่าจะเป็นผลดีในด้านเศรษฐกิจ จะทำให้บุคลากรด้านการเงินการคลังที่มีความรู้ความสามารถกล้าเข้ามาช่วยแก้ปัญหาวิกฤตของบ้านเมืองมากขึ้น เพราะไม่มีข้อห้ามจุกจิกมากมาย ส่วนร่างกฎหมายหวยบนดินนั้น ร.ท.กุเทพ บอกว่า เบื้องต้นทราบว่าจะส่งผลกระทบต่อนโยบายหวยบนดิน(ที่รัฐบาลจะเดินหน้าให้มีหวยบนดินอีกครั้ง) ดังนั้นต้องดูว่า จะมีการเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสภาชุดนี้ใหม่หรือไม่ ทั้งนี้ ไม่เพียงร่างกฎหมายเจ็ดชั่วโคตรและร่างกฎหมายหวยบนดินเท่านั้นที่ตกไป แต่อาจรวมถึงร่าง พ.ร.บ.ป่าชุมชนที่นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตรองนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์สมัยรัฐบาลสุรยุทธ์พยายามผลักดันด้วย โดยนายไพบูลย์ บอกว่า พ.ร.บ.ป่าชุมชนเป็นกฎหมายที่ดีและมีประโยชน์ ไม่น่าจะต้องหายไป แม้จะมีในบางประเด็นที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันบ้าง แต่มีน่าจะดีกว่าไม่มี
ศาล รธน.ตีตก กม.7 ชั่วโคตรหวยบนดิน ชี้ สนช.ไม่ครบองค์ฯ
5. “รบ.”ของบกลางปีเพิ่ม 1 แสนล.ให้ “รมต.”รุมทึ้ง อ้าง กระตุ้น ศก. แต่แจก ขรก.-กำนัน-ผญบ.ด้วย!
เมื่อวันที่ 2 พ.ย.นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีคลัง ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “รัฐบาลของประชาชน”ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีว่า รัฐบาลจะทำเรื่องขออนุมัติงบกลางปีจำนวน 1 แสนล้านบาท โดยจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ของชาติให้มีรายได้มากขึ้น คนชนชั้นกลางจะมีเงินเดือนมีฐานะดีขึ้น ผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็กที่มีปัญหาเรื่องเงินกู้ จะได้รับการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้จะนำเงินจำนวนหนึ่งไปเพิ่มทุนให้กับธนาคารของรัฐบางแห่งด้วย นายสุชาติ บอกด้วยว่า รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาความยากจน ด้วยการให้ทุนต่างๆ ในการประกอบกิจการ และจัดการชำระหนี้ให้เกษตรกร รวมถึงส่งเสริมการประกอบอาชีพ ทั้งในส่วนกองทุนหมู่บ้าน เอสเอ็มแอล และสินค้าโอท็อป โดยกองทุนหมู่บ้านจะใช้วงเงิน 1.3 แสนล้านบาท ทั้งนี้ หลังนายสุชาติเผยเรื่องดังกล่าวได้ 2 วัน(4 พ.ย.) ที่ประชุม ครม.ก็ได้มีมติอนุมัติเพิ่มกรอบวงเงินงบประมาณกลางปี 2552 อีก 1 แสนล้านบาท โดยอ้างว่าเพื่อนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกลุ่มเป้าหมายคือเกษตรกรและคนยากจน และว่า เม็ดเงินจะนำไปใช้เพื่อการจ้างงาน เพราะจะกระจายงบได้รวดเร็ว พร้อมกันนี้ ที่ประชุม ครม.ได้ตั้งคณะกรรมการติดตามดูแลโครงสร้างและศึกษาว่าการจัดสรรงบประมาณกลางปี 1 แสนล้าน เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลหรือไม่ โดยมีนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกฯ เป็นประธาน ทั้งนี้ นายโอฬาร กล่าวระหว่างประชุม ครม.ว่า ต้องการให้รัฐบาลเร่งพิจารณาและผลักดันการใช้งบกลางปี 1 แสนล้านให้ถึงมือประชาชนภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภา(คาดว่าจะเห็นชอบประมาณเดือน มี.ค.2552) และต้องนำงบไปใช้ในโครงการที่เป็นประโยชน์ เช่น การจ้างงาน การผลักดันการท่องเที่ยว และการดูแลพืชผลการเกษตร จะต้องไม่นำไปใช้ในการก่อสร้างอะไรที่ไม่จำเป็น ขณะที่รัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาล ต่างแย่งกันยกมือเสนอโครงการเพื่อขอแบ่งงบจาก 1 แสนล้านทันที กระทั่งนายโอฬารต้องตัดบทว่า การของบต้องมีหลักที่ชัดเจน ไม่ใช่นำเงินไปกองตามกระทรวง และต้องเป็นโครงการที่กระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านนายอำพน กิตติอำพล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) พูดเสริมว่า โครงการที่จะเสนอมาควรเป็นโครงการที่มีโครงสร้างอยู่แล้ว หน่วยงานต่างๆ ไม่ควรกลับไปคิดโครงการใหม่มา 2 วันต่อมา(6 พ.ย.) นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีคลัง บอกว่า ในแผนการใช้งบกลางปี 1 แสนล้านนั้น จะเสนอให้ปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 6% ด้วย เพราะมีประโยชน์ ช่วยให้ข้าราชการมีฐานะดีขึ้น และว่า ในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 4 พ.ย.ก็ไม่มีใครคัดค้านแนวคิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ หรือนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกฯ อย่างไรก็ตาม นายอำพน กิตติอำพล เลขาธิการสภาพัฒน์ ชี้ว่า โครงการที่จะขอใช้งบกลางปี 1 แสนล้านได้ ต้องเป็นโครงการที่ไม่ใช้งบผูกพันข้ามปี ซึ่งการขึ้นเงินเดือนข้าราชการเป็นงบผูกพันข้ามปี อย่างไรก็ตาม เมื่อสภาพัฒน์ชี้ว่า การขึ้นเงินเดือนไม่เข้าข่ายที่จะใช้งบกลางปี 1 แสนล้าน เพราะเป็นงบผูกพันข้ามปี ทางนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการงบกลางฯ จึงออกมาอุ้มแนวคิดนายสุชาติ รัฐมนตรีคลังที่ยืนยันจะขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 6% ให้ได้ โดยนายโอฬาร บอกว่า การขึ้นเงินเดือนข้าราชการนั้น คงไม่ใช่รูปแบบโครงการที่จะเอาไปขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการทุกคนตลอดไป แต่เป็นรูปแบบการให้ “ค่าตอบแทนพิเศษ”และจะสิ้นสุดภายในระยะเวลา 9 เดือน ไม่ได้ดำเนินการตลอดไป ทั้งนี้ ไม่เพียงแนวคิดขึ้นเงินเดือนข้าราชการ จะถูกหลายฝ่ายมองว่า รัฐบาลทำเพื่อซื้อใจข้าราชการเพื่อวางฐานเสียงสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ทาง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รัฐมนตรีมหาดไทย ยังได้ออกมาชงเรื่องถึงนายกฯ เพื่อขอปรับขึ้นค่าตอบแทนของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ รวมแล้วเกือบ 3 แสนคนด้วย โดยอ้างว่า ค่าตอบแทนที่บุคคลเหล่านี้ได้รับต่ำเกินไป ดังนั้นต้องเพิ่มค่าตอบแทนให้อีกเท่าตัว เช่น กำนัน ปัจจุบันได้ค่าตอบแทนเดือนละ 5,000 บาท ก็ขอเพิ่มอีก 5,000 บาท เป็น 10,000 บาท เป็นต้น คิดเป็นเม็ดเงินที่ต้องเพิ่มค่าตอบแทนให้บุคคลดังกล่าวทั้งหมดกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งตอนแรก พล.ต.อ.โกวิท ส่งสัญญาณว่า จะของบจากงบกลางปี 1 แสนล้านมาขึ้นเงินเดือนกำนันผู้ใหญ่บ้าน แต่ภายหลังเกรงว่าจะมีปัญหา จึงอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการเสนอของกรมการปกครอง และเสนอต่อนายกฯ หากนายกฯ เห็นด้วยจึงจะไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง ,สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าสามารถทำได้มากน้อยเพียงใด พล.ต.อ.โกวิท ยังให้ พล.ต.ท.ชัยยันต์ มะกล่ำทอง เลขานุการรัฐมนตรีมหาดไทย ออกมายืนยันด้วยว่า การขึ้นค่าตอบแทนให้กำนันผู้ใหญ่บ้านครั้งนี้ ไม่ใช่การหาเสียงล่วงหน้าเพื่อรองรับการเลือกตั้งครั้งหน้าแต่อย่างใด ด้านนายชำนาญ ภูวิลัย กำนัน ต.โนนสูง จ.อุดรธานี ในฐานะนายกสมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านแห่งประเทศไทย บอกว่า ทราบเรื่องขึ้นค่าตอบแทนแล้วดีใจมาก เพราะสมาคมเองก็ผลักดันมาตลอด และว่า ได้เสนอเรื่องขึ้นค่าตอบแทนไปตั้งแต่สมัย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิมก็รับปาก และให้สัญญากับกำนันผู้ใหญ่บ้านทั่วประเทศ ดังนั้นหากครั้งนี้ไม่เป็นไปตามที่รับปาก จะถือว่าเป็นการหลอกลวงครั้งยิ่งใหญ่ เพราะเกี่ยวพันกับกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านกว่า 2.9 แสนคน
ธปท.เชียร์คลังออกบอนด์แสน ล.ยันไม่บิดเบือนกลไกตลาด