1.“มือมืด”ปาระเบิดใส่ “พธม.”คาด ฝีมือ “นักรบพระเจ้าตาก”ด้าน “สมชาย”ป้อง “แม้ว”มีสิทธิ “โฟนอิน”นปช.!
หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในคดีซื้อที่รัชดาฯ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เปิดศึกไม่ยอมรับคำสั่งศาล โดยออกแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนต่างประเทศ(23 ต.ค.) ในลักษณะดูหมิ่นศาลว่าพิพากษาโดยไร้เหตุผล ขณะเดียวกันก็โจมตี “ชนชั้นสูง”ซึ่งอาจหมายถึงสถาบันที่คนไทยให้ความเคารพว่า สมคบกันเล่นงานตน พร้อมประกาศว่า จะโทรศัพท์ข้ามประเทศเข้ามายังรายการ “ความจริงวันนี้ ต้านรัฐประหาร”ของแกนนำ นปช.(วีระ มุสิกพงศ์-จตุพร พรหมพันธุ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ)เพื่อพูดกับประชาชนคนเสื้อแดงในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน ท่ามกลางความห่วงใยจากหลายฝ่ายว่าสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะพูด นอกจากอาจก้าวล่วงสถาบันแล้ว ยังอาจจุดชนวนให้เกิดความรุนแรงตามมาด้วยนั้น ปรากฏว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ นอกจากจะทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวด้วยการอ้างว่า เป็นเรื่องส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลแล้ว ยังออกอาการป้อง พ.ต.ท.ทักษิณด้วย โดยบอกว่า “ผมไม่มีสิทธิห้ามใครทำอะไรทั้งสิ้น และเชื่อมั่นว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะระมัดระวัง เพราะที่ผ่านมาก็ระมัดระวังมาตลอดและไม่เคยก้าวล่วงเบื้องสูงเลย” ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน และแกนนำ นปช.ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะโทรศัพท์(โฟนอิน)เข้ามาในรายการ “ความจริงวันนี้ฯ”แน่นอน และว่า จากที่ได้คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณเมื่อคืน(วันที่ 29 ต.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณยังพูดถึงผู้ที่วิจารณ์ด้วยว่า อย่าตีตนไปก่อนไข้ ส่วนท่าทีของผู้บัญชาการเหล่าทัพต่อการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ยอมรับว่า วันที่ 1 พ.ย.เป็นวันที่น่าห่วง เพราะถ้ามีการมาชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก และมีการนำสื่อของรัฐมาถ่ายทอดสัญญาณการชุมนุมดังกล่าว จะทำให้เกิดกระแสต่อต้าน และเกิดความรุนแรง ซึ่งส่วนตัวแล้วไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เหมือนในอดีต ที่กรมประชาสัมพันธ์ถูกเผา ดังนั้นแนวทางที่จะลดกระแสนี้ได้ก็คือ รัฐบาลต้องป้องกัน ไม่ใช่ปล่อยให้เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วมาแก้ตัวภายหลังว่าทำดีที่สุดแล้ว ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถาม พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 กับ พ.ต.ท.ทักษิณว่า จะขอร้อง พ.ต.ท.ทักษิณไม่ให้โฟนอินหรือไม่ ซึ่งปรากฏว่า พล.อ.ทรงกิตติ ไม่กล้า โดยบอกว่า “ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว ไม่สามารถแนะนำได้” เป็นที่น่าสังเกตว่า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงก่อนหน้าที่กลุ่ม นปช.จะจัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 1 พ.ย.ปรากฏว่า ได้มีการคุกคามและพยายามเอาชีวิตกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งที่ทำเนียบรัฐบาลและสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยเมื่อวันที่ 28 ต.ค. กลุ่ม นปช.ประมาณ 10 คน ใส่เสื้อแดงที่มีข้อความว่า “ชอบสมัคร รักทักษิณ” พร้อมโพกผ้าแดงและถือธงแดงเขียนว่า “ความจริงวันนี้” ได้ใช้รถกระบะเป็นพาหนะขับมาป่วนกลุ่มพันธมิตรฯ บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ โดยมีการยิงหนังสติ๊กใส่ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ กลุ่มพันธมิตรฯ จึงได้ตอบโต้ด้วยการยิงหนังสติ๊กเข้าใส่รถคันดังกล่าว จากนั้นวัยรุ่นกลุ่ม นปช.ที่นั่งบริเวณกระบะหลังได้วิ่งหนี กลุ่มพันธมิตรฯ จึงเข้าควบคุมตัวคนที่เหลือที่นั่งอยู่ภายในรถส่งตำรวจ สน.นางเลิ้ง ทั้งนี้ จากการตรวจสอบบริเวณกระบะหลังรถ นอกจากพบท่อนไม้และเหล็กแป๊บแล้ว ยังมีน้ำมันเบนซิน 1 แกลลอนด้วย ซึ่งคาดว่าน่าจะเตรียมมาเผาทำเนียบฯ เพื่อป่วนพันธมิตรฯ อย่างไรก็ตาม กลุ่ม นปช.ดังกล่าวอ้างว่า จ้างรถกระบะดังกล่าวให้ไปส่งที่สถานีรถไฟสามเสน แต่ขับหลงทางมาบริเวณทำเนียบฯ เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังกลุ่ม นปช.ดังกล่าวไม่สามารถป่วนพันธมิตรฯ ได้สำเร็จเมื่อวันที่ 28 ต.ค. ปรากฏว่า 2 วันต่อมา(30 ต.ค.) พันธมิตรฯ ก็ถูกลอบกัดอีกครั้ง คราวนี้ผู้ไม่หวังดีเล่นแรงขนาดใช้ระเบิดสังหารปาใส่กลุ่มพันธมิตรฯ บริเวณสะพานมัฆวานฯ จนมีผู้บาดเจ็บนับสิบคน โดยก่อนจะมีการปาระเบิดใส่กลุ่มพันธมิตรฯ นั้น ได้มีการปาระเบิดใส่บ้านพักนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก่อนในเวลาประมาณ 00.30น.วันที่ 30 ต.ค. โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ มีเพียงคอมเพรสเซอร์แอร์และกระจกได้รับความเสียหายเท่านั้น หลังจากนั้นเวลาประมาณ 02.00น. ได้มีชายสวมแจ๊คเก็ตสีดำด้านหลังมีโลโก้พรรคไทยรักไทย ถือถุงผ้าชุบน้ำมันเข้ามาใกล้ทำเนียบรัฐบาล บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ โชคดีการ์ดพันธมิตรฯ จับตัวไว้ได้ก่อนที่จะก่อเหตุใดใด อย่างไรก็ตามอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา(02.30น.) ก็ได้มีชาย 2 คนสวมหมวกกันน็อคขี่รถจักรยานยนต์จากแยกนางเลิ้งมาจอดบริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ก่อนยิงปืนขึ้นฟ้า 1 นัดแล้วหลบหนีไป ให้หลังประมาณ 1 ชั่วโมง(03.20น.) ได้มีชาย 2 สวมหมวกกันน็อคขี่รถจักรยานยนต์จากแยก จปร.มาจอดหน้าสำนักงานสหประชาชาติ(ยูเอ็น) จากนั้นปาระเบิดใส่กลุ่มพันธมิตรฯ บริเวณสะพานมัฆวานฯ ก่อนหลบหนีไป ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 10 ราย โดย 2 รายอาการสาหัส(นายเสถียร ทับมะลิผล อายุ 53 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดที่ศีรษะด้านซ้าย และนายจีระศักดิ์ อินทรีย์ อายุ 16 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดที่คอด้านขวา) ทั้งนี้ แม้จะเกิดเหตุปาระเบิดใส่กลุ่มพันธมิตรฯ บริเวณสะพานมัฆวานฯ แล้ว แต่เหตุรุนแรงก็ยังไม่หยุด โดยหลังเหตุระเบิดประมาณครึ่งชั่วโมง(04.00น.) ปรากฏว่า ได้มีเสียงปืนดังมาจากถนนพิษณุโลก ด้านประตูหลังกองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.)ประมาณ 10 นัด ส่งผลให้พันธมิตรฯ ต้องเพิ่มการ์ดเพื่อตรึงแนวรั้วบริเวณแยกมิสกวันเอาไว้ แต่ไม่ให้ออกไปยังจุดที่มีเสียงปืน เพราะเกรงจะเป็นหลุมพราง กระทั่งเช้า มีการพบศพผู้เสียชีวิตบริเวณทางเท้าด้านประตูหลัง บช.น.ซึ่งน่าจะเป็นจุดที่เสียงปืนดังขึ้นเมื่อช่วงตีสี่ ทราบชื่อผู้เสียชีวิตคือ นายสังเวียน รุจิโมละ อายุ 45 ปี ถูกยิงด้วยปืนขนาด 9 มม.บริเวณหน้าผากทะลุท้ายทอย 1 นัด ทั้งนี้ ไม่เพียงกลุ่มพันธมิตรฯ ส่วนกลางใน กทม.จะถูกคุกคามถึงขั้นปาระเบิดหมายสังหาร แต่แกนนำพันธมิตรฯ ที่เชียงใหม่ คือ นายเทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา ซึ่งเป็นเจ้าของสถานีวิทยุ “วิหคเรดิโอ” ก็ถูกคนร้ายวางเพลิงรถยนต์วอลโว่ที่จอดไว้ในโรงรถบริเวณบ้านพักด้วยในคืนเดียวกับที่พันธมิตรฯ ส่วนกลางถูกปาระเบิด โดยคาดว่า คนร้ายใช้ขวดบรรจุน้ำมันจุดไฟแล้วโยนใส่รถนายเทอดศักดิ์ หลังเกิดเหตุปาระเบิดใส่กลุ่มพันธมิตรฯ ทาง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ แถลงว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังเดินหน้าทำสงครามเต็มรูปแบบ ต้องการจะทำร้ายพันธมิตรฯ ทั้งในที่ตั้งและนอกที่ตั้ง พล.ต.จำลอง ยังเผยด้วยว่า ที่ผ่านมาพันธมิตรฯ เคยขอให้กองทัพบกส่งสารวัตรทหารมาช่วยรักษาความปลอดภัยให้ผู้ชุมนุม โดยล่าสุดวันที่ 17 ต.ค.ก็ได้ทำหนังสือถึง พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.อีกครั้ง โดยพันธมิตรฯ พร้อมที่จะออกค่าเบี้ยเลี้ยงและอาหารให้กับสารวัตรทหาร แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ จึงอยากฝากบอกทหารว่า จะรอให้ประชาชนตายและบาดเจ็บอีกเท่าไหร่ ทั้งที่ทหารเคยประกาศว่าจะอยู่เคียงข้างประชาชน ด้าน พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เผยผลตรวจวัตถุระเบิดที่บ้านพักนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า เป็นระเบิดทีเอ็นที ซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นการก่อกวนไม่ได้มุ่งประสงค์ต่อชีวิต และว่า บังเอิญเป็นอย่างยิ่งที่เป็นระเบิดชนิดเดียวกับที่ปาใส่บ้านนายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุดก่อนหน้านี้ ส่วนระเบิดที่ปาใส่กลุ่มพันธมิตรฯ นั้น พล.ต.ท.สุชาติ บอกว่า เป็นระเบิดลูกเกลี้ยงชนิดเอ็ม 87 ซึ่งเป็นระเบิดสังหาร ด้าน พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก พูดถึงเหตุระเบิดใส่กลุ่มพันธมิตรฯ และอีกหลายจุดในช่วงนี้ว่า ไม่สามารถระบุได้ว่ามือระเบิดเป็นกลุ่มใด และไม่ขอออกความเห็นกรณีที่มีข่าวว่า เป็นฝีมือของนักรบพระเจ้าตากที่ออกปฏิบัติหน้าที่ หลังจากที่ตัวเองได้ฝึกฝนมาอย่างดี อย่างไรก็ตาม เสธ.แดง ยอมรับว่า สิ่งที่ตนฝึกให้นักรบพระเจ้าตากนั้น นอกจากฝึกท่าเตรียมอาวุธตามพื้นฐานแล้ว ยังมีการขว้างระเบิดด้วย และว่า คนที่มาฝึก ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีบัญชีหนังหมาในสารบบตำรวจ ดังนั้นเมื่อออกไปทำอะไร หวังผลได้อย่างสูง โดยเฉพาะเมื่อฝึกที่สนามหลวงแล้ว ก็อยากแย่งกันไปปฏิบัติจริง เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่เพียงคำพูดของ เสธ.แดงเองที่สะท้อนว่า มือปาระเบิดใส่กลุ่มพันธมิตรฯ และบ้านตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ-ประธานศาลปกครองสูงสุดอาจเป็นฝีมือนักรบพระเจ้าตากที่ตัวเองฝึกมากับมือ แต่เจ้าหน้าที่ด้านการข่าวจากหน่วยงานด้านความมั่นคง ยังรายงานสอดคล้องต้องกัน โดยบอกว่า เหตุระเบิดที่สะพานมัฆวานฯ นั้น มีการวางแผนมาอย่างดี โดยกลุ่มบุคคลที่ต้องสงสัยเป็นเครือข่ายของนายทหารยศระดับนายพลที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ในเวลานี้ และว่า กลุ่มดังกล่าวต้องการสร้างความหวาดกลัวให้ผู้ชุมนุม เพื่อให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ น้อยลง เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง ยังเผยด้วยว่า กลุ่มดังกล่าวมีแผนจะลอบวางเพลิงเผารถของผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ รวมทั้งใช้อาวุธระเบิดเครื่องยิงเอ็ม 79 เข้าใส่ผู้ชุมนุมด้วย เพื่อหวังสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ชุมนุม ทั้งนี้ หลังสถานการณ์ล่อแหลมต่อการเกิดเหตุรุนแรงมากขึ้น ประกอบกับรายการ “ความจริงวันนี้ฯ” ของกลุ่ม นปช.นัดชุมนุมใหญ่วันที่ 1 พ.ย.ที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน ทางตำรวจจึงได้ระดมสรรพกำลังช่วยรักษาความปลอดภัยให้กลุ่ม นปช.อย่างเต็มที่ โดยนอกจากจะป้องกันไม่ให้มีผู้พกพาอาวุธเข้าสนามกีฬาฯ แล้ว ยังลงทุนนำเครื่องตรวจวัตถุระเบิดที่ใช้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาใช้ตรวจที่สนามกีฬาฯ ด้วย ไม่เท่านั้นตำรวจยังได้ขอกำลังทหารจากกองทัพให้มาช่วยด้วยอีกทาง โดยอ้างว่ากำลังตำรวจมีไม่เพียงพอ
ตร.เร่งหา “หมาลอบกัด” ปาบึ้มพธม.ยังไม่สรุปฝ่ายไหน
ตร.เพิ่มความเข้ม รปภ.วัน “แม้ว” โฟนอิน หวั่นมือที่ 3 ป่วน!
“อำนวย” หุบปากเงียบเหตุปาบึ้มใส่การ์ดพันธมิตรฯ
มือมืดปาบึ้ม! ใส่บ้าน “จรัญภักดีธนากุล”
สัตว์นรกไม่หยุดป่วน ขว้างระเบิดอีกที่มัฆวานฯ
ชุดตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิดตรวจสอบหลุมระเบิด
ผบ.ทอ.จี้สำนึก “ชาย” รู้เห็น“พี่เมีย” โฟนอิน ฮึ่มห้ามเผชิญหน้า
“สัตว์นรก” ลอบกัด!! วางบึ้ม-ยิงใส่ “พันธมิตรฯ” บาดเจ็บระนาว
ผบ.ทร.ห่วง “แม้ว” โฟนอินนั่งภาวนาอย่าให้เกิดเหตุรุนแรง
ตร.หวั่นป่วนวัน “พ่อแม้ว”โฟนอิน-เสริมทหารช่วยงาน
2. “ทหาร-ตร.”ตื่น ป้องสถาบัน ด้าน “สมชาย”จริยธรรมเสื่อมหนัก หลัง “พธม.”แฉ คลิปฉาว-ควงสาวเข้าโรงแรม!
ตามที่ก่อนหน้านี้ได้มีบุคคลในรัฐบาลที่ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กระทำการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ คือ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช จากนั้นก็ปรากฏบุคคลที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณอีกหลายคนพูดหมิ่นสถาบันเช่นกัน เช่น ดาร์ ตอปิโด หรือแม้แต่แกนนำ นปช.อย่างนายวีระ มุสิกพงศ์ ที่หมิ่นสถาบันซ้ำอีก หลังจากเคยถูกจำคุกฐานหมิ่นสถาบันมาครั้งหนึ่งแล้วในอดีต รวมทั้งนายสุชาติ นาคบางไทร แกนนำกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ซึ่งเป็นแนวร่วม นปช.ที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดีหมิ่นสถาบันนั้น ปรากฏว่า หลัง พ.ต.ท.ทักษิณถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี และ พ.ต.ท.ทักษิณได้ออกมาเปิดศึกโจมตีศาลและก้าวล่วงชนชั้นสูงซึ่งอาจหมายถึงสถาบัน ก็ได้เกิดกระแสหมิ่นสถาบันเพิ่มขึ้นอย่างมากทั้งในลักษณะใบปลิว และผ่านสื่ออย่างวิทยุชุมชนและเว็บไซต์ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ส่งผลให้หลายฝ่ายในบ้านเมืองลุกขึ้นมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งให้ทุกหน่วยที่ขึ้นตรงต่อกองทัพไปดูแลพื้นที่ในความรับผิดชอบของตัวเองในแต่ละจังหวัด หากพบเห็นพฤติกรรมที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นสถาบัน ให้ประสานตำรวจดำเนินการอย่างเฉียบขาด ขณะที่ทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.)ได้ตั้งคณะกรรมการติดตามการกระทำอันเป็นการละเมิดสถาบันและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในสื่อทุกประเภท โดยให้ พล.อ.อนุพงษ์ เป็นประธาน ด้าน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ก็ตื่นเช่นกัน โดยสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและพิจารณาข้อมูลข่าวสารที่อาจมีผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เมื่อวันที่ 31 ต.ค.โดยมี พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล เป็นประธาน ส่วนทางปลัดกระทรวงมหาดไทย นายพีรพล ไตรทศาวิทย์ ก็สั่งให้ผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดคุมเข้มการเผยแพร่ข้อความและแนวคิดที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันเช่นกัน ด้าน นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงประณามนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ ที่นอกจากไม่ทำอะไรเพื่อคุ้มครองสถาบันตุลาการแล้ว ยังปล่อยให้ พ.ต.ท.ทักษิณเบี่ยงเบนการตัดสินคดีที่ดินรัชดาฯ ว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างสามัญชนกับคนชั้นสูง ทำให้เกิดเว็บไซต์ ใบปลิว และขบวนการใต้ดินโจมตีตุลาการและทำลายเบื้องสูง จนกองทัพต้องออกมาเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบ ด้านกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที)ที่มีนายมั่น พัธโนทัย เป็นเจ้ากระทรวง ก็เตรียมของบเพื่อจัดซื้อเครื่องบล็อกเว็บไซต์ที่หมิ่นสถาบัน โดยเครื่องดังกล่าวมีราคาประมาณ 100-500 ล้านบาท และว่า กระทรวงฯ จะทำงานร่วมกับตำรวจและฝ่ายข่าวกรองเพื่อสกัดกั้นเว็บไซต์ที่หมิ่นเบื้องสูง แต่ยอมรับว่าหนักใจ เพราะยิ่งปราบก็ยิ่งงอก ทั้งนี้ แม้หลายฝ่ายจะมองว่า แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณที่มีถึงผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ล่อแหลมต่อการหมิ่นสถาบันเพราะใช้คำว่า “ชนชั้นสูง” แต่นายสมชายกลับพูดกับลูกพรรคพลังประชาชนโดยป้อง พ.ต.ท.ทักษิณว่าไม่เคยก้าวล่วงเบื้องสูง พร้อมเชื่อว่า คำว่าชนชั้นสูงที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูด คงหมายถึงพวกที่รองๆ ลงมา คือพวกอำมาตย์ เป็นคนธรรมดาที่ถือยศถือศักดิ์มากกว่า ซึ่งนายสมชายมองว่าไม่มีปัญหาอะไร สำหรับความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ถูกศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 2 ปีนั้น ล่าสุด ไม่เพียง พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องถูกยึดเครื่องราชอิสริยาภรณ์คืนตามระเบียบสำนักนายกฯ ที่ออกมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณยังจะต้องถูกถอดยศ “พ.ต.ท.”ด้วย โดยเป็นไปตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 และระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547 ทั้งนี้ หากคดีถึงที่สุดเมื่อใด ตำรวจจะเดินเรื่องถอดยศเมื่อนั้น ซึ่งจะส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลายเป็นเพียง “นายทักษิณ”ในที่สุด สำหรับความเคลื่อนไหวของฝ่ายต่างๆ ในสังคมต่อสถานการณ์บ้านเมืองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ที่ได้รับความสนใจได้แก่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และนายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ที่หนุนการยุติความรุนแรงในสังคมด้วยการสานเสวนาตามที่สมาคมวิชาชีพสื่อได้จัดขึ้น อย่างไรก็ตาม พล.อ.เปรมมองว่า เป็นเรื่องยากที่จะให้แต่ละฝ่ายที่มีความขัดแย้งมาพูดคุยกัน โดย พล.อ.เปรมแนะว่า 3 คำที่จะช่วยลดความรุนแรงได้ ก็คือ “อดทน อดกลั้น เสียสละ” ซึ่งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ รีบออกมารับลูก หนุนแนวคิด พล.อ.เปรม ขณะที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนบางส่วน(เช่น นายอำนวย คลังผา ส.ส.ลพบุรี ,นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี ฯลฯ) ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ พล.อ.เปรมเป็นคนกลางประสานให้ทุกฝ่ายในสังคมมาร่วมเสวนาหาทางออกยุติความขัดแย้งร่วมกัน ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน และอดีตแกนนำ นปก.ที่เคยยกพวก นปก.บุกไปด่าทอ พล.อ.เปรมที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ก็ได้ออกมาตั้งคำถามกรณี ส.ส.พรรคพลังประชาชนบางส่วนเรียกร้องให้ พล.อ.เปรมเป็นคนกลางเพื่อให้ทุกฝ่ายยุติความขัดแย้งว่า “ต้องถามว่า พล.อ.เปรมเป็นกลางจริงหรือไม่...” ทั้งนี้ นอกจาก พล.อ.เปรม และนายสุเมธแล้ว ยังมีนายดิสธร วัชโรทัย ประธานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ที่ออกมาพูดถึงสถานการณ์บ้านเมืองระหว่างบรรยายพิเศษเรื่อง “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ”ที่ จ.ชุมพร โดยอ้างว่า “ถ้ารักในหลวงให้อยู่ชุมพร ไม่ต้องไปที่อื่น รักในหลวงให้อยู่บ้าน กลับบ้าน ไปแสดงพลังตรงนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไร รังแต่จะทำให้เกิดความแตกแยก...” ด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ พูดถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนเรียกร้องให้ พล.อ.เปรมเป็นคนกลางประสานให้ทุกฝ่ายยุติความขัดแย้งว่า เป็นสิทธิส่วนตัวของ พล.อ.เปรมว่าจะรับเป็นคนกลางหรือไม่ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลเคยทำให้ พล.อ.เปรมเจ็บช้ำน้ำใจมาหลายครั้งแล้ว หากต้องการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ จริง เราก็พร้อมและไม่มีปัญหา ส่วนกรณีที่นายดิสธร ระบุว่า ถ้ารักในหลวงให้อยู่บ้านและกลับบ้านนั้น พล.ต.จำลอง บอกว่า ถ้ารักในหลวงอยู่บ้าน แล้วเกิดประโยชน์ต่อประเทศ กลุ่มพันธมิตรฯ คงทำไปนานแล้ว ไม่ต้องมาลำบากอย่างนี้ สำหรับความเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่น่าสนใจได้แก่ การดาวกระจายไปสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทยเมื่อวันที่ 30 ต.ค.โดยยื่นหนังสือเรียกร้องให้อังกฤษส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาให้ไทยดำเนินคดี ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า นายควินตัน มาร์ค เควลย์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทยได้ออกมารับหนังสือของพันธมิตรฯ ด้วยตนเอง นอกจากนี้แกนนำพันธมิตรฯ (นายสมศักดิ์ โกศัยสุข)ยังได้นำคลิปฉาวของชายคนหนึ่งซึ่งหน้าเหมือนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขับรถพาสาวกินข้าวและเข้าโรงแรมแบบไม่ซ้ำหน้า โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี 2549 ซึ่งต่อมาแม้ผู้สื่อข่าวจะพยายามถามเรื่องคลิปนี้ แต่นายสมชายก็ไม่ตอบ ได้แต่ฝืนยิ้มแล้วเดินหนี แต่เมื่อนายสมชายถูกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านตั้งกระทู้ถามกลางสภาเรื่องเหตุการณ์ 7 ต.ค. โดยช่วงหนึ่งนายอภิสิทธิ์ ได้ถามนายสมชายด้วยว่า รัฐบาลติดขัดอะไรจึงไม่แก้ไขไม่ปิดเว็บไซต์หมิ่นสถาบัน แต่คลิปที่กำลังได้รับความนิยม(คลิปชายหน้าเหมือนนายสมชายพาสาวกินข้าว-เข้าโรงแรม)กลับถูกปิดอย่างรวดเร็ว ปรากฏว่า นายสมชายมีอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด พร้อมก้มหน้าก้มตาตอบ ขณะที่มือที่ถือกระดาษเขียนคำชี้แจงก็สั่นเป็นระยะๆ โดยหลังตอบกระทู้แล้ว นายสมชายรีบออกจากรัฐสภาทันที
“อนุพงษ์” หน้าตาตื่น! จี้ สตช.ฟันวิทยุชุมชน-บุคคลหมิ่นสถาบัน
“ป๋าเปรม” ย้ำ เสียสละ-อดทนอดกลั้น-หันหน้าเจรจา ยุติความรุนแรงได้
ปชป.แฉ “สมชาย” หนีตอบกระทู้-มือสั่น! โดนถามคลิปฉาว
ตร.โยนศาลให้โอกาส “แม้ว”อุทธรณ์ อ้างยังถอดยศไม่ได้
“ชาย” อมยิ้ม! คลิปฉาวโผล่เลือดเย็นโยนบาป “จิ๋ว” สั่งฆ่า ปชช.
“ชาย” โหนบารมี “ป๋า” เลือดเย็นเมิน “เพิร์ค” จัดไทยสุ่มเสี่ยงสูง
มท.เพิ่งตื่น! ออกหนังสือเวียน สั่งผู้ว่าฯ ตรวจสอบแก๊งหมิ่นเบื้องสูง
3. “เพื่อแผ่นดิน”หน้ามืด-เปิดศึกแย่งชิงเก้าอี้ รมต. ด้าน “สุวิทย์”ทนไม่ไหว ไขก๊อกทั้ง หน.-สมาชิกพรรค!
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เกิดความระส่ำแย่งชิงเก้าอี้รัฐมนตรีในพรรคเพื่อแผ่นดินชนิดที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้กับพรรคการเมืองขึ้นได้ โดยเหตุเกิดเมื่อบ่ายวันที่ 28 ต.ค. ส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดิน นำโดย นายไชยยศ จิรเมธากร โฆษกพรรคฯ ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่รัฐสภาว่า นายประสงค์ โฆษิตานนท์ ได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย(มท.3)แล้ว โดยนายไชยยศได้นำหนังสือลาออกของนายประสงค์ที่เขียนด้วยลายมือของนายประสงค์เองมาโชว์ผู้สื่อข่าว รวมทั้งหนังสือเสนอบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยแทนนายประสงค์ที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคลงนามรับรองเพื่อยื่นต่อนายกรัฐมนตรีด้วย ทั้งนี้ นายไชยยศ บอกเหตุผลที่นายประสงค์ลาออกว่า มีปัญหาด้านสุขภาพ โดยหนังสือลาออกมีผลทันทีในวันดังกล่าว(28 ต.ค.) ด้านนายอลงกต มณีกาศ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งร่วมแถลงข่าวด้วย บอกว่า หัวหน้าพรรคและกรรมการพรรคได้เสนอชื่อนายไชยยศให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยแทนนายประสงค์ เพราะนายไชยยศเป็นบุคคลที่มีความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวไปสอบถามนายประสงค์ กลับได้รับคำตอบว่า ไม่ได้มีปัญหาเรื่องสุขภาพ และไม่เคยคิดจะลาออกจากตำแหน่ง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าที่นายไชยยศออกมาแถลงข่าวอย่างนั้น เป็นเพราะนายไชยยศอยากเป็นรัฐมนตรี ทั้งนี้ นายประสงค์ขอเวลา 2-3 วันจะให้ความชัดเจนเรื่องนี้ จากนั้นผู้สื่อข่าวได้ไปถามนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ เกี่ยวกับเรื่องนายประสงค์ ซึ่งนายสมชาย บอกว่า ยังไม่เห็นใบลาออกของนายประสงค์ และว่า ในช่วงเช้าก่อนจะไปภาคใต้ นายประสงค์ได้ส่งหนังสือมาแจ้งว่า ยังไม่ได้ลาออกจากตำแหน่ง ต่อมาช่วงค่ำวันเดียวกัน นายประสงค์ก็ได้เปิดแถลงข่าวที่รัฐสภายืนยันว่า กระแสที่ว่าตนลาออกนั้นไม่จริง แต่ยอมรับว่าหนังสือลาออกที่นายไชยยศนำมาโชว์นั้นเป็นลายเซ็นของตนจริง แต่เป็นการเซ็นชื่อโดยที่ไม่ได้ลงวันที่เอาไว้ ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างที่นายประสงค์แถลง นายไชยยศได้มายืนฟังอยู่ด้วย หลังจากฟังจบ นายไชยยศก็ได้ขึ้นไปนั่งแถลงคู่กับนายประสงค์ โดยบอกว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคมีมติว่า นายประสงค์จะอยู่ในตำแหน่งแค่ 3 สัปดาห์ คือสิ้นสุดวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา เมื่อถึงกำหนด ตนจึงไปหารือกับนายประสงค์ที่กระทรวงมหาดไทยถึง 2 ครั้ง ซึ่งนายประสงค์ยืนยันว่า ให้ยื่นหนังสือดังกล่าวให้นายกฯ ตนจึงลงวันที่ แล้วยื่นเรื่องดำเนินการ จึงถือว่าหนังสือลาออกดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายแล้ว ด้านนายประสงค์ หลังจากฟังนายไชยยศแถลงได้สักครู่ ก็เดินออกจากห้องแถลงข่าวทันทีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ปล่อยให้นายประสงค์แถลงอยู่คนเดียว วันต่อมา(29 ต.ค.)นายประสงค์ เปิดแถลงอีกครั้ง โดยยืนยันว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน และผู้ใหญ่ได้โทรศัพท์มาคุยกับตนแล้วว่า ทุกอย่างเหมือนเดิม ให้สบายใจได้ และนายไชยยศก็ได้ตกลงกับผู้ใหญ่ในพรรคแล้วว่า จะนำใบลาออกกลับมา และว่า 1-2 วันนี้ ผู้ใหญ่ในพรรคจะนัดให้ตนและนายไชยยศได้คุยกัน ด้าน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีอุตสาหกรรม และที่ปรึกษาพรรคเพื่อแผ่นดิน บอกว่า พรรคยังไม่มีมติให้นายประสงค์ลาออกจากตำแหน่ง เพราะรัฐบาลกำลังเดินหน้าทำงานได้ด้วยดี และว่า เมื่อนายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคกลับมา(จากต่างประเทศ)คงจะเชิญนายประสงค์และนายไชยยศมาหารือกันอีกครั้ง ขณะที่นายไชยยศ พูดถึงกรณีที่นายประสงค์ไม่ลาออกว่า ได้แถลงทุกอย่างไปหมดแล้ว ไม่อยากพูดอะไรมากกว่านี้ เพราะไม่ต้องการให้เกิดภาพนักการเมืองแย่งชิงตำแหน่งกันในสถานการณ์เช่นนี้ อย่างไรก็ตาม นายไชยยศ บอกว่า นายสุวิทย์ยืนยันว่า สิ่งที่ทำ ถูกต้องและชอบธรรมตามกระบวนการทุกประการ และได้ส่งเรื่องทั้งหมดให้นายกฯ แล้ว ถือว่ากระบวนการในส่วนของพรรคจบแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการของพรรคแกนนำรัฐบาล ด้านนายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า นายประสงค์ได้ยื่นใบลาออกให้เซ็นรับรองแล้ว จึงถือว่าใบลาออกมีผลแล้ว และนายประสงค์ได้ตกลงไว้กับผู้บริหารพรรคแล้วว่า คนที่จะมาเป็นแทนคือ นายไชยยศ เพราะมีความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม วันต่อมา(30 ต.ค.)นายประสงค์ ได้ออกมายืนยันอีกครั้งว่า ทุกอย่างจบแล้ว ผู้ใหญ่ในพรรคยืนยันให้ทำหน้าที่ต่อไป พร้อมเชื่อว่าในส่วนของนายไชยยศก็จะหยุดเคลื่อนไหวในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ วันเดียวกัน มีรายงานแจ้งว่า นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ได้ทำหนังสือถึงเลขาธิการพรรคเพื่อขอลาออกจากหัวหน้าพรรคและสมาชิกพรรคเพื่อแผ่นดินแล้ว โดยให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมา พยายามดำเนินการทางการเมืองในทางสายกลาง เพื่อหาหนทางยุติปัญหาการเผชิญหน้าทางการเมือง รวมทั้งพยายามรักษาผลประโยชน์ของชาติ ปกป้องอธิปไตยและดินแดนของไทย โดยเฉพาะกรณีปราสาทพระวิหาร นอกจากนี้ยังไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม และการแก้ไข รธน. ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตามเจตนารมณ์ในการสร้างองค์กรที่เป็นกลางมาร่วมกันยุติปัญหาความแตกแยกของคนในชาติและเพื่อให้สมาชิกพรรคเพื่อแผ่นดินได้เลือกหัวหน้าพรรคใหม่ จึงขอลาออกจากหัวหน้าพรรคและสมาชิกพรรคตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ด้าน นพ.แวมาฮาดี แวดาโอ๊ะ ส.ส.นราธิวาส พรรคเพื่อนแผ่นดิน บอกว่า เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคเสียหาย ดังนั้นจำเป็นต้องเร่งแก้ไข ส่วนพรรคจะดำเนินการอย่างไรกับนายไชยยศหรือไม่นั้น ต้องรอให้มีกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ก่อน ซึ่งคาดว่าจะมีการประชุมใหญ่ในเดือน พ.ย.นี้ สำหรับแคนดิเดตหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินคนใหม่มี 2 คน คือ นายมั่น พัธโนทัย รัฐมนตรีกระทรวงไอซีที ซึ่งปัจจุบันเป็นรองหัวหน้าพรรค และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีอุตสาหกรรม ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาพรรค พร้อมกันนี้คาดว่าจะมีการเสนอชื่อนายประสงค์ โฆษิตานนท์ (นายทุนพรรค)ที่ไม่ยอมลาออกจากรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ให้เป็นรองหัวหน้าพรรคด้วย
“สุวิทย์” โบกมือลา! บ้านริมน้ำสาปส่ง ชู “มั่น-ประชา” คู่ชิง
พผ.ปิดเกมเก้าอี้ดนตรี “ประสงค์” อาศัยความเก๋านั่ง มท.3 ต่อ
4. “ดีเอสไอ”เออออ “อัยการ”สั่งไม่ฟ้องคดีหุ้นเอสซีฯ ด้าน “ปชป.”เชื่อ การเมืองแทรก-ร้อง ป.ป.ช.สอบ!
ความคืบหน้ากรณีที่อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร รวมทั้งนางเพ็ญโสม ดามาพงศ์ และนางบุษบา ดามาพงศ์ ในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น เมื่อวันที่ 15 ต.ค.ทั้งที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ส่งสำนวนพร้อมความเห็นสั่งฟ้องให้อัยการ โดยดีเอสไอกล่าวหานางเพ็ญโสมและนางบุษบาว่า แสดงข้อความอันเป็นเท็จ ปกปิดสาระสำคัญ แต่อัยการอ้างว่า บุคคลทั้งสองดำเนินการตามขั้นตอนทุกอย่าง โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาติ ดำเนินการแทน และผ่านการตรวจสอบของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)แล้ว ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานนั้น ดีเอสไอกล่าวหาว่าทั้งสองไม่รายงานการขายหุ้น แต่อัยการอ้างว่า ทั้งสองไม่ได้ซื้อ-ขายหุ้นด้วยตัวเอง แต่ซื้อขายผ่านกองทุน ดังนั้นหน้าที่การรายงานจึงเป็นของกองทุน ไม่ใช่หน้าที่ของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ซึ่งขั้นตอนต่อไป หากดีเอสไอเห็นตามอัยการที่ไม่สั่งฟ้องคดีนี้ ก็จะถือว่าคดีนี้สิ้นสุด แต่หากดีเอสไอเห็นแย้ง โดยยืนยันว่าเห็นควรสั่งฟ้อง ต้องส่งเรื่องนี้ให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาดว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่นั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 30 ต.ค.นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ เผยว่า ทราบว่าทางดีเอสไอได้ทำหนังสือเห็นชอบกับคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซีฯ แล้ว ทำให้คดีนี้ถือว่าสิ้นสุด ซึ่งส่วนตัวแล้วเห็นว่า ดีเอสไอตัดสินใจรวดเร็วผิดปกติ ทั้งที่ ก.ล.ต.ในฐานะผู้ดูแล พ.ร.บ.หลักทรัพย์โดยตรง ได้ทำหนังสือไปยังดีเอสไอให้โต้แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการ ดังนั้น ตนจะยื่นขอให้ ป.ป.ช.สอบการทำงานของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอและพวก ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากเชื่อว่า คดีนี้มีการเมืองเข้ามาขัดขวางการฟ้องคดี เพราะเกี่ยวพันกับขุมทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณโดยตรง และชัดเจนว่า เป็นการทำผิดกฎหมายยิ่งกว่าคดีผลประโยชน์ทับซ้อนคดีอื่นๆ ทั้งนี้ นายกรณ์ ชี้ว่า แม้อัยการจะสั่งไม่ฟ้องคดีดังกล่าวและดีเอสไอไม่เห็นแย้งอัยการ แต่ทาง ก.ล.ต.สามารถมอบหมายให้ทีมทนายฟ้องร้องต่อศาลได้ เพราะมีอำนาจในการดำเนินคดีผู้ที่ทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ เช่นเดียวกับที่ ก.ล.ต.เคยสั่งปรับคุณหญิงพจมานในคดีเดียวกันนี้เป็นเงินจำนวน 20 ล้านบาทไปก่อนหน้านี้แล้ว ด้านนายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะฝ่ายกฎหมายของพรรคฯ ก็เตรียมทำเรื่องขอหนังสือ 4 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับคดีปกปิดหุ้นเอสซีฯ ได้แก่ 1.หนังสือความเห็นสั่งฟ้องคดีนี้สมัยที่นายสุนัย มโนมัยอุดม เป็นอธิบดีดีเอสไอ 2.หนังสือความเห็นสั่งไม่ฟ้องของอัยการ 3.หนังสือจาก ก.ล.ต.ที่โต้แย้งความเห็นสั่งไม่ฟ้องของอัยการ และ 4.หนังสือของดีเอสไอที่เห็นชอบกับคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการ และว่า เมื่อได้หนังสือดังกล่าวมาแล้ว จะเปรียบเทียบว่าการที่ดีเอสไอและอัยการสั่งไม่ฟ้องนั้น สมเหตุสมผลหรือไม่ ก่อนนำเผยแพร่ต่อสาธารณชนต่อไป พร้อมกันนี้ นายถาวรได้เรียกร้องให้นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด ตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบการสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ของนายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษและพวก ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ โดยคณะทำงานดังกล่าวต้องไม่มีคนของอัยการ เพื่อลบข้อครหาว่าอัยการถูกแทรกแซงโดยฝ่ายการเมือง ด้าน พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย รองอธิบดีดีเอสไอ ยอมรับว่า ดีเอสไอไม่มีความเห็นแย้งกับพนักงานอัยการในคดีดังกล่าวจริง แต่ไม่สามารถพูดรายละเอียดได้ เพราะไม่ได้รับมอบหมาย และว่า พ.ต.อ.ทวี มอบให้เป็นหน้าที่ของ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ รองอธิบดีดีเอสไอที่ดูแลกลุ่มงานความเห็นแย้ง เป็นผู้ดูแล
ดีเอสไอรับเห็นตามอัยการไม่ฟ้อง “ทักษิณ-พจมาน” คดีเอสซีฯ
5. “ชนม์สวัสดิ์”โชคดี ศาลปรานี คดีรุมทำร้าย ตร.-สั่งจำคุก 12 เดือน แต่รอลงอาญา!
เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ศาลอาญา รัชดาฯ นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องว่า นายชนม์สวัสดิ์ หรือ เอ๋ อัศวเหม รองเลขาธิการนายกฯ กับพวก คือ นายสกุล ประมูลชัย และนายปรัชญา ไชยะกุล ร่วมกันข่มขืนใจ ส.ต.อ.ปรารภ แสงนิล ผู้บังคับหมู่งานจราจร สน.มักกะสัน ให้ยินยอมหรือละเว้นไม่ต้องให้นายชนม์สวัสดิ์(จำเลยที่ 1)ไปตรวจวัดหาปริมาณแอลกอฮอล์ที่ด่านตรวจ จากนั้นจำเลยทั้งสามได้ใช้กำลังประทุษร้ายโดยใช้มือจับข้อมือ ส.ต.อ.ปรารภ และใช้แขนล็อกคอ รวมทั้งใช้มือดันหลัง ส.ต.อ.ปรารภให้เข้าไปภายในสำนักงานของปั๊มน้ำมันเพียว ทั้งนี้ อัยการฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้กระทำผิดร่วมกัน แต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากผู้เสียหายไม่ยินยอมละเว้นตามที่จำเลยทั้งสามร่วมกันข่มขืนใจ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และจำเลยทั้งสามได้บังอาจร่วมกันต่อสู้ขัดขวางผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่ อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย นอกจากนี้จำเลยที่ 2(นายสกุล ประมูลชัย) ยังบังอาจดูหมิ่นเหยียดหยามเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ชื่อเสียงของผู้เสียหาย ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขณะปฏิบัติหน้าที่ด้วย จึงขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 ,138 ,139 ประกอบมาตรา 140 วรรคแรก ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องจริง พิพากษาจำคุกนายชนม์สวัสดิ์ และนายสกุล จำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติตามหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้าย ร่วมกันลงมือกระทำผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ให้ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี ปรับ 10,000 บาท ส่วนความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือให้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกันลงมือกระทำผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ให้ลงโทษจำคุกคนละ 8 เดือน ปรับ 6,000 บาท และความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ให้จำคุกคนละ 4 เดือน ปรับ 2,000 บาท ส่วนนายปรัชญา จำเลยที่ 3 นั้น ให้จำคุก 1 ปี 8 เดือน แต่เนื่องจากจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1-2 ไว้ที่ 12 เดือน ปรับ 9,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 3 ไว้ 10 เดือน ปรับ 8,000 บาท ทั้งนี้ โทษจำคุก ศาลให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี โดยให้เหตุผลว่า จากการสืบเสาะประวัติของจำเลยที่ 1-2 พบว่า ไม่เคยได้รับโทษทางอาญามาก่อน แม้จำเลยที่ 1(นายชนม์สวัสดิ์) จะถูกศาลจังหวัดสมุทรปราการพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 4 ปี แต่คำพิพากษายังไม่ถึงที่สุด จึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาในภายหลังได้ ดังนั้น จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ประกอบกับจำเลยที่ 1 ได้ขอโทษผู้เสียหายจนไม่ติดใจเอาความแล้ว และจำเลยยังได้มอบเงิน 100,000 บาทให้แก่ สน.มักกะสันไว้ซื้ออุปกรณ์กีฬา ถือเป็นการทำประโยชน์ให้กับสังคม เห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นคนดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษเป็นเวลา 3 ปี และให้ทำงานบริการสังคมเป็นเวลา 24 ชม. ด้านนายชนม์สวัสดิ์ กล่าวหลังฟังคำพิพากษาว่า ขอน้อมรับ และจะไม่ยื่นอุทธรณ์แต่อย่างใด และว่า ที่ผ่านมาเรื่องทั้งหมดเกิดจากความเข้าใจผิดกัน ทั้งนี้ นายชนม์สวัสดิ์ เป็นบุตรชายของนายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ที่อยู่ระหว่างหลบหนีโทษจำคุกในคดีทุจริตที่ดินคลองด่าน ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาลงโทษจำคุกเป็นเวลา 10 ปี.
คุก “ชนม์สวัสดิ์” 12 เดือนโทษรอลงอาญา 3 ปี กร่างใส่ ตร.มักกะสัน