1. “ในหลวง”ทรงห่วง ปท.ใกล้ล่มจม เพราะใช้เงินไม่ระวัง!
เมื่อวันที่ 20 ส.ค.(17.30น.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ธปท. และคณะกรรมการบริหารสมาคมธนาคารไทย เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายเงิน ซึ่งเป็นรายได้ส่วนเกินจากการเปิดให้ประชาชนแลกซื้อธนบัตรที่ระลึกเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธ.ค.2550(ชนิดราคา 16 บาท ในราคาแลกซื้อ 100 บาท) เพื่อทรงใช้สอยตามพระราชอัธยาศัย โอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสขอบใจผู้ว่าฯ ธปท.และคณะ ที่ได้ทำงานของการธนาคารอย่างเข้มแข็ง ทรงขอให้งานธนาคารที่ทุกคนทำ เป็นผลสำเร็จ เป็นผลดี พร้อมกันนี้ ยังทรงขอให้ผู้ว่าฯ ธปท.และคณะที่เข้าเฝ้าฯ บริหารการเงินได้ไม่ให้หมดไป เพื่อให้ประเทศชาติมีเงินใช้ “ขอให้ทุกท่านสามารถปฏิบัติงานด้านการเงินให้เรียบร้อย ไม่ให้บ้านเมืองต้องล่มจม ซึ่งเดี๋ยวนี้ใกล้ล่มจมแล้ว เพราะการใช้เงินไม่ระวัง” ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงขอบใจที่ผู้ว่าฯ ธปท.และคณะ ระวังการใช้เงิน ซึ่งพระองค์ทรงรู้ว่าทุกคนเหน็ดเหนื่อยในงานและมีความลำบากใจ เพราะเหน็ดเหนื่อยแล้วยังถูกว่า ว่าทำไม่ดี ทำไม่ถูกต้อง แต่ขอให้ทุกคนทำถูกต้อง พร้อมขอให้ทุกคนมีความสำเร็จในการบริหารการเงินของประเทศชาติ
ในหลวงทรงเตือนบ้านเมืองใกล้ล่มจมเพราะใช้เงินไม่ระวัง
2. “พันธมิตรฯ”จี้ รบ.สนองพระราชดำรัส –หยุดผลาญงบ ด้าน “สมัคร”ยัน รบ.ใช้เงินระวังอยู่แล้ว!
หลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานกระแสพระราชดำรัสแก่ผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) โดยทรงขอให้ดูแลงานด้านการเงินให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันประเทศล่มจม เนื่องจากขณะนี้มีการใช้เงินอย่างไม่ระมัดระวัง ปรากฏว่า ผู้เกี่ยวข้องได้ออกมาสนองตอบพระราชดำรัสดังกล่าว โดยนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าฯ ธปท.กล่าวว่า พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อ ธปท.อย่างหาที่สุดมิได้ และว่า ทุกคนใน ธปท.จะยึดมั่นในบทบาทหน้าที่และทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติต่อไป ด้าน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง บอกว่า กระทรวงการคลังในฐานะผู้รับผิดชอบนโยบายการคลังของประเทศ จะระมัดระวังการใช้จ่ายเงินของประเทศ ไม่ให้เสียวินัยทางด้านการคลัง ขณะเดียวกันจะใช้เงินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ ขณะที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหม ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเพียงสั้นๆ หลังถูกถามถึงกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงห่วงใยว่าประเทศใกล้ล่มจม เพราะใช้เงินไม่ระวัง โดยนายสมัคร บอกว่า “เรื่องอย่างนี้ต้องรู้อยู่แล้ว ฟังแล้วต้องเอาใส่เกล้าฯ ทุกคน ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้” ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในส่วนของโครงการสำคัญๆ ที่มีเม็ดเงินลงทุนขนาดใหญ่ด้วยใช่หรือไม่ นายสมัคร บอกว่า “ทุกคนระมัดระวังอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลนี้” ด้านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกประกาศฉบับที่ 9 (เมื่อ 22 ส.ค.)เรื่อง “เร่งรับสนองกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” โดยนอกจากพันธมิตรฯ จะน้อมรับกระแสพระราชดำรัสและจะปฏิบัติอย่างพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศแล้ว พันธมิตรฯ ยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลและรัฐสภาเร่งสนองพระราชดำรัสดังกล่าวอย่างเคร่งครัด และโดยเร็วที่สุด ด้วยการหยุดดำเนินโครงการต่างๆ ต่อไปนี้ 1.หยุดโครงการประชานิยมที่ล้างผลาญงบประมาณเพื่อหาเสียงทางการเมืองทั้งหมดในทันที และคิดอ่านโครงการใหม่ที่ทำให้คนไทยมีรายได้อย่างยั่งยืนแทน 2.ให้ระงับโครงการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ที่ต้องใช้งบประมาณถึง 30,000 ล้านบาทในทันที 3.ให้ยกเลิกโครงการเช่ารถบัสที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวี 6,000 คันของ ขสมก.ที่ใช้งบประมาณถึง 110,000 ล้านบาททันที หากจำเป็น ให้เปลี่ยนวิธีเป็นซื้อรถในราคาคันละไม่เกิน 4 ล้าน ซึ่งจะสามารถประหยัดงบประมาณได้ถึง 86,000 ล้านบาท 4.ให้ยกเลิกโครงการผันน้ำจากเขื่อนน้ำงึมของลาวลอดใต้แม่น้ำโขงเข้าสู่ภาคอีสาน ซึ่งต้องใช้งบประมาณถึง 120,000 ล้านบาท เพราะนอกจากประเทศไทยจะไม่ได้ขาดแคลนน้ำแล้ว โครงการดังกล่าวยังจะทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในภาคอีสาน ภาคกลาง และ กทม.เพิ่มขึ้นอีก หากจำเป็น ให้ใช้วิธีขุดลอกแหล่งน้ำธรรมชาติแทน จะช่วยประหยัดเงินแผ่นดินได้ถึง 90,000 ล้านบาท 5.ยกเลิกโครงการทางหลวงพิเศษทั้งหมดที่ต้องใช้งบประมาณถึง 170,000 ล้านบาท และเปลี่ยนมาใช้รถไฟรางคู่แทน จะสามารถประหยัดงบประมาณได้กว่า 100,000 ล้านบาท 6.ให้ยุติการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟสสองที่ต้องใช้งบประมาณ 70,000 ล้านบาท แล้วมาปรับปรุงสนามบินดอนเมืองใช้แทน ซึ่งใช้งบประมาณไม่ถึง 20,000 ล้านบาท 7.การจัดประมูลรถไฟฟ้าใต้ดินทั้งหมด ต้องเป็นไปโดยโปร่งใส ไม่มีการล็อคสเป็ค ต้องยุติการฉ้อฉลปล้นชาติขนาดใหญ่ในโครงการนี้ทันที 8.โครงการที่ใช้งบประมาณเกิน 5,000 ล้านบาท ต้องมีการเปิดเผยข้อมูลการทำโครงการต่อสาธารณะอย่างกว้างขวาง และต้องควบคุมการประมูลให้โปร่งใสเป็นธรรม และ 9.ให้ยกเลิกโครงการที่ไม่จำเป็นและไม่สุจริตหรือที่เป็นไปเพื่อหาเสียงทางการเมือง รวมทั้งให้ยกเลิกการแจกงบ ส.ส.คนละ 60 ล้านบาทในทันที
พันธมิตรฯ จี้รัฐเร่งสนองพระราชดำรัส ระงับสารพัดโครงการผลาญงบ
ผู้ว่าฯ ธปท.น้อมรับพระราชดำรัส “ในหลวง” เผยมีกำลังใจทำงานต่อ
"หมัก"หนี!ถูกจี้ผลาญเงินชาติ
3. “สมัคร”รับไม่ได้ ถูกหาว่าหักหลังทักษิณ ด้าน “พันธมิตรฯ”เป่านกหวีดรวมพลใหญ่ไล่หุ่นเชิด 26 ส.ค.นี้!
หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 1-2 ในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ ฐานไม่มารายงานตัวตามที่ศาลนัดเมื่อวันที่ 11 ส.ค. โดยหนีไปอยู่ที่อังกฤษ และต่อมา กองทะเบียนประวัติอาชญากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกประกาศจับ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานส่งไปยังหน่วยงานต่างๆ ทั่วประเทศ ขณะที่สื่อมวลชนต่างนำหมายจับดังกล่าวขึ้นหน้า 1 นั้น ปรากฏว่า หมายจับดังกล่าวได้สร้างความไม่พอใจให้บรรดา ส.ส.พรรคพลังประชาชนเป็นอย่างมาก ถึงกับลุกขึ้นมาล่าชื่อ ส.ส.กว่า 200 คนเพื่อจี้ให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ชี้แจงต่อที่ประชุมพรรคว่า เหตุใดจึงปล่อยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่นายกฯ เป็นผู้กำกับดูแล ออกหมายจับอดีตนายกฯ ทักษิณแบบนั้น ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับต้องการประจานและละเมิดศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นถึงผู้นำประเทศ ได้ทำประโยชน์ให้กับประเทศ พร้อมสงสัยว่าตำรวจมีเจตนาอย่างไรที่ออกหมายจับดังกล่าว ร้อนถึง พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาชี้แจง(17 ส.ค.)โดยยืนยันว่า การออกประกาศสืบจับ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ตำรวจทำตามระเบียบทุกประการ ไม่ได้เป็นประจานแต่อย่างใด และว่า เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นประกาศสืบจับ จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่จะนำออกมาประกาศหรือเผยแพร่ แต่กรณีนี้เป็นประเด็นที่สื่อมวลชนและสังคมสนใจและถามความคืบหน้าตลอด ตำรวจจึงได้นำประกาศสืบจับฉบับนี้มาเผยแพร่ เพื่อตอบว่าได้ดำเนินการอย่างไรบ้าง ด้านนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ได้เข้าชี้แจงลูกพรรคในการประชุมเมื่อวันที่ 19 ส.ค.โดยมีรายงานว่า นายสมัครได้ยืนยันกับ ส.ส.พรรคว่า ตนไม่เคยคิดทำลายหรือหักหลังนายกฯ ทักษิณ นายสมัคร ยังออกอารมณ์เชิงขู่ลูกพรรคด้วยว่า ถ้ายังไม่เลิกบี้ตนเรื่องหมายจับอดีตนายกฯ ทักษิณ ก็จะพิจารณาตัวเอง โดยบอกว่า “ผมจะไม่ยอมให้เอาหัวหน้าพรรคมากระทืบกันให้ตายตรงนี้ จะมาหาว่าคนอย่างผมหักหลังนายกฯ ทักษิณ ปล่อยให้ตำรวจมาเหยียบย่ำอย่างนี้ ไม่ได้ ...ไอ้ 200 คนนี้ลงมาชื่อกัน(เข้าชื่อจี้ให้นายสมัครชี้แจงเรื่องหมายจับทักษิณ) ออกข่าวกันไปอย่างนี้ แสดงว่าไม่เอานายกฯ คนนี้แล้วใช่หรือไม่ ถ้าไม่เอานายกฯ คนนี้แล้วก็จบ ถ้าพูดกันรู้เรื่องนี้ตรงนี้ได้ ผมก็จะไปทำงานต่อ ถ้ามีเสียงอะไรออกมาอีกนิดหน่อย ผมก็จะพิจารณาตัวเอง ผมก็จะยุติและจบกันด้วยดี” ทั้งนี้ คำขู่ของนายสมัครได้ผล เพราะหลังจากนั้น ลูกพรรคพลังประชาชนที่ออกมาจี้ให้นายสมัครชี้แจงเรื่องหมายจับ ต่างเสียงอ่อยและชมว่านายสมัครเหมาะที่จะเป็นนายกฯ ในขณะนี้ ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณไม่พอใจที่ตนเองและคุณหญิงพจมานถูกตำรวจออกประกาศจับ แถมถูกพันธมิตรฯ นำประกาศจับดังกล่าวไปขยายใหญ่ติดไว้หลังเวทีของพันธมิตรฯ จึงได้ส่งทนาย(นายอุดม โปร่งฟ้า) เข้าแจ้งความดำเนินคดีแกนนำพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ สน.ดุสิต โดยอ้างว่า พันธมิตรฯ หมิ่นประมาท และใช้เอกสารราชการปลอมไปติดประกาศทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานได้รับความเสียหาย ด้านนายวิชิต ปลั่งศรีสกุล อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทยและที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า สัปดาห์หน้า ทีมทนายจะฟ้องกลุ่มพันธมิตรฯ ต่อศาลอีก ข้อหาละเมิด โดยจะเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท และว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาว่า การออกหมายจับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)มีใครอยู่เบื้องหลังหรือสั่งการหรือไม่ หากมีเบื้องหลัง ก็จะฟ้อง สตช.ด้วย ด้านพันธมิตรฯ ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 19(เมื่อ 17 ส.ค.) เรื่อง “ผู้ร้ายหนีอาญาแผ่นดิน” โดยชี้ว่า ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ มิใช่ “ผู้ลี้ภัยทางการเมือง”แต่เป็น “ผู้ร้ายหนีอาญาแผ่นดิน” และการหลบหนีอาญาแผ่นดินเท่ากับพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นนั้นมีมูลความจริง พันธมิตรฯ จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศยกเลิกพาสปอร์ตทุกประเภทของ พ.ต.ท.ทักษิณ และขอเรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษยุติการให้ที่พักพิงต่อผู้ร้ายหนีอาญาแผ่นดิน รวมทั้งให้ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของไทยโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ พันธมิตรฯ ได้ดาวกระจายไปยังสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทยเมื่อวันที่ 19 ส.ค.ด้วย เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องต่อสถานทูตอังกฤษ หลังจากนั้น 2 วัน(21 ส.ค.) พันธมิตรฯ ได้ดาวกระจายไปที่กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเรียกร้องให้นายเตช บุนนาค รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ รีบยกเลิกพาสปอร์ตทุกประเภทของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน อย่างไรก็ตาม นายเตช ไม่กล้าตัดสินใจยกเลิกพาสปอร์ตของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยได้ส่งเรื่องให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ (21 ส.ค.)เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะยกเลิกพาสปอร์ตทางการทูต(พาสปอร์ตสีแดง)ของ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ โดยนายเตช อ้างว่า เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ เพราะคนที่เกี่ยวข้องเป็นถึงอดีตนายกฯ ดังนั้น นายกฯ ต้องเป็นผู้วินิจฉัย ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา ก็คงเป็นอำนาจการตัดสินใจของกระทรวงการต่างประเทศ ขณะที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเพียงสั้นๆ เกี่ยวกับการยกเลิกพาสปอร์ตสีแดงของ พ.ต.ท.ทักษิณ(เมื่อ 22 ส.ค.)ว่า ยังไม่ได้พบกับนายเตช จึงยังไม่มีนโยบาย ทั้งนี้ นอกจากจะเป็นไปได้ยากที่นายสมัครจะกล้ายกเลิกพาสปอร์ตสีแดงของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ทาง ส.ส.พรรคพลังประชาชนเอง(นำโดย นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่)ยังได้พยายามช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการยื่น จม.ปิดผนึกถึงทูตอังกฤษประจำประเทศไทย โดยพยายามให้ข้อมูลทูตอังกฤษว่า กฎหมายในไทยไม่เป็นธรรมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นประกาศ คปค.ที่ตั้ง คตส.หรือยืดอายุ คตส. ,กฎหมายว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ.2542 และ รธน.2550 โดยเฉพาะมาตรา 309 นายสุรพงษ์ ยังบอกด้วยว่า หลังพิจารณา พ.ร.บ.ประมาณฯ ปี 2552 เสร็จในสัปดาห์หน้า ตนและเพื่อน ส.ส.พรรคพลังประชาชนจะทยอยไปเยี่ยม พ.ต.ท.ทักษิณที่ลอนดอน โดยจะเอาอาหารเหนือไปฝากด้วย สำหรับความคืบหน้าคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาฯ นั้น เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ไต่สวนพยานจำเลยนัดสุดท้าย จากนั้นได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 17 ก.ย.นี้(เวลา 10.00น.) ส่วนคดี พ.ต.ท.ทักษิณร่ำรวยผิดปกติ 76,000 ล้านบาท ซึ่ง คตส.ขอให้ยึดทรัพย์ดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินด้วยนั้น มีรายงานว่า ที่ประชุมอัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ได้เห็นชอบให้ยื่นฟ้องคดีดังกล่าวต่อศาลฎีกาฯ แล้ว โดยจะยื่นในวันที่ 25 ส.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ฝ่ายการเมืองได้พยายามช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณได้เงินที่ถูกอายัดไว้คืน ด้วยการสั่งให้ผู้บริหารกรมสรรพากรทำหนังสือจี้ให้ธนาคารไทยพาณิชย์สั่งจ่ายเช็คให้กรมสรรพากร 12,000 ล้านเมื่อวันที่ 22 ส.ค. โดยอ้างว่า กรมฯ ได้มีคำสั่งเรียกเก็บภาษีจากนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร 12,000 ล้านจากกรณีซื้อหุ้นจากบริษัท แอมเพิลริช อิสเวสต์เมนท์ แต่จริงๆ แล้ว วางแผนว่า เมื่อได้เงินดังกล่าวมา จะให้คณะกรรมการอุทธรณ์ภาษีมีมติในภายหลังว่า บุคคลทั้งสองไม่ต้องเสียภาษี เพื่อจะได้คืนเงิน 12,000 ล้านดังกล่าวให้เจ้าตัว ทั้งนี้ กรมสรรพากรพยายามจี้ให้ธนาคารไทยพาณิชย์สั่งจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้กรมฯ ภายในเย็นวันที่ 22 ส.ค. แต่โชคดีที่ไม่สำเร็จ เพราะกว่าผู้บริหารธนาคารไทยพาณิชย์จะประชุมหาข้อยุติเรื่องนี้ ก็หมดเวลาทำการของธนาคารแล้ว ด้าน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง ได้ออกมาปฏิเสธว่า กระทรวงฯ ไม่ได้ดำเนินการใดใดเกี่ยวกับเรื่องเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ถูกอายัดดังกล่าว เพราะกระทรวงฯ ไม่มีอำนาจในการสั่งอายัดหรือถอนอายัดบัญชีของใคร ด้านแกนนำพันธมิตรฯ ได้เป่านกหวีดรวมพลครั้งใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติที่พยายามช่วย พ.ต.ท.ทักษิณทุกรูปแบบ ในวันที่ 26 ส.ค.นี้(เวลา 07.00น.) ส่วนวันดังกล่าวจะเคลื่อนขบวนไปที่ใด นายสนธิ ลิ้มทองกุล 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ บอกว่า จะประกาศให้ทราบในวันดังกล่าว
“หมัก” อุ้ม “แม้ว” ลั่นไม่มีนโยบายถอนพาสปอร์ตแดง
พันธมิตรฯ เป่านกหวีดอังคาร26 ส.ค.7 โมงเช้า - ปลุกกู้ชาติก่อนล่มจม
ศาลพิพากษา “แม้ว-อ้อ”ทุจริตซื้อที่ดินรัชดาฯ 17 ก.ย.นี้
“อัยการ” โบ้ย “ผบ.ตร.” ไม่ชงเรื่องขอตัว “แม้ว-อ้อ” เป็นผู้ร้ายข้ามแดน!
“เตช” โยน “หมัก” ชี้ยกเลิกพาสปอร์ตแดง ลั่นต้องแจงเหตุผล
“สมุนแม้ว” หมกเม็ดยื่น จม.ปิดผนึก อ้าง “นายใหญ่” ถูกกลั่นแกล้ง
“พันธมิตรฯ” พรึ่บ! ตบเท้าบุก“บัวแก้ว” จี้ “เตช” ริบพาสปอร์ตแดง “แม้ว”
“หมัก” โอ๋ กตร.ยันแจงหมายจับเคลียร์ ประเคนรอง ผบ.ตร.เพิ่ม
4. “ศาลฎีกาฯ”สั่งจำคุก “วัฒนา”10 ปีคดีคลองด่าน ด้าน “ป.ป.ช.”ฟัน “พิจิตต”กับพวก ทุจริตซื้อที่ กทม.!
เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดพิพากษาคดีที่นายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย และประธานพรรคเพื่อแผ่นดิน ถูกอัยการสูงสุดฟ้องฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจ หรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนหรือผู้อื่น และเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 ,157 ,33 และ 84 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 2 จากกรณีที่นายวัฒนา ใช้อำนาจข่มขู่เจ้าหน้าที่ที่ดินหรือชักจูงใจให้ร่วมกันออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่คลองสาธารณประโยชน์ และที่เทขยะมูลฝอย ซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม เพื่อนำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษ เพื่อก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน จ.สมุทรปราการ สำหรับการนัดอ่านคำพิพากษาในครั้งนี้เลื่อนมาจากเมื่อวันที่ 9 ก.ค.เนื่องจากนายวัฒนาหนีศาล ไม่ยอมมาฟังคำพิพากษา และครั้งนี้ นายวัฒนาก็ยังคงไม่ยอมมาฟังคำพิพากษาเช่นเดิม โดย พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แจ้งต่อศาลฯ ว่า เชื่อว่าจำเลยได้หลบหนีไปประเทศกัมพูชา ซึ่งจำเลยรู้จักกับนักการเมืองและนักธุรกิจของกัมพูชา และยังมีบ่อนกาสิโนในกัมพูชาด้วย ด้านศาลฯ ได้อ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย โดยพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง จึงมีมติ 8 ต่อ 1 ให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 10 ปี นอกจากนี้ยังมีมติ 5 ต่อ 4 ให้ริบทรัพย์ของกลางที่ใช้กระทำผิดในคดีนี้ด้วย คือ พระผงสุพรรณเลี่ยมทอง ที่จำเลยมอบให้เจ้าหน้าที่รังวัดกรมที่ดินเป็นการตอบแทนที่ช่วยเหลือออกโฉนด ทั้งนี้ ศาลฯ ได้ออกหมายจับนายวัฒนาให้มารับโทษตามคำพิพากษาต่อไป โดยคดีนี้มีอายุความ 15 ปี ด้าน พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. บอกว่า หลังจากนี้จะประสานประเทศกัมพูชาอีกครั้ง เพื่อขอให้ส่งตัวนายวัฒนาตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน เนื่องจากที่ผ่านมาคำพิพากษายังไม่ถึงที่สุด จึงยังไม่เข้าข่ายส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.จงรัก ได้พูดใหม่ในวันต่อมา(19 ส.ค.)ว่า ไม่สามารถร้องขอให้กัมพูชาส่งตัวนายวัฒนากลับมาดำเนินคดีได้ เนื่องจากสนธิสัญญาการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนที่ไทยทำกับกัมพูชา มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 เม.ย.2544 แต่การกระทำผิดของนายวัฒนาเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 10 ส.ค.2531 ถึง 23 ก.พ.2534 ซึ่งเกิดก่อนที่สนธิสัญญาจะมีผลบังคับใช้ จึงไม่สามารถใช้สนธิสัญญาฯ ดังกล่าวได้ แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะส่งเรื่องไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการต่อ โดยอาจหาช่องทางอื่น เช่น การเจรจาในลักษณะผลต่างตอบแทนเพื่อแลกเปลี่ยนกับการดำเนินการอื่นๆ ในการนำตัวนายวัฒนากลับมาดำเนินคดี ทั้งนี้ นอกจากคดีทุจริตที่ดินที่คลองด่านที่ศาลฎีกาฯ สั่งจำคุกนายวัฒนา 10 ปีแล้ว ยังมีกรณีทุจริตที่ดินที่น่าสนใจและเป็นข่าวใหญ่ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้มีมติ(19 ส.ค.)ว่า นายพิจิตต รัตตกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.กับพวก ได้ร่วมกันทุจริตจัดซื้อที่ดินเขตบางซื่อ เพื่อใช้เป็นที่จอดรถขยะของ กทม.เมื่อปี 2540 วงเงิน 270 ล้านบาท นายกล้านรงค์ จักทิก กรรมการและโฆษก ป.ป.ช.แถลงว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในการจัดซื้อที่ดินครั้งนั้น มีผู้สนใจขายที่ดิน 2 ราย แต่ กทม.สมัยนายพิจิตตเป็นผู้ว่าฯ กลับมีหนังสือขอทราบราคาประเมินที่ดินของผู้ขายที่ดินเพียงรายเดียว และเลือกซื้อที่ดินของรายนั้น ทั้งที่ที่ดินดังกล่าวไม่ติดทางสาธารณะ นอกจากนี้ยังเห็นชอบให้มีการจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ ทั้งที่มิใช่เรื่องเร่งด่วนที่ต้องซื้อด้วยวิธีพิเศษแต่อย่างใด ไม่เท่านั้น นายพิจิตตยังได้อนุมัติให้ซื้อที่ดินรายนี้พร้อมสิ่งปลูกสร้างและอุปกรณ์ในราคา 270 ล้าน โดยมีเจตนาปกปิดข้อเท็จจริงและช่วยเหลือให้ผู้ขายที่ดินไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ค่าธรรมเนียมและอากรในการจดทะเบียน นอกจากนั้นยังพบว่า เมื่อเอกชนที่ขายที่ดินได้รับเงินค่าที่ดินจาก กทม.แล้ว ได้มีการสั่งจ่ายเงินเข้าบัญชีของนายพิจิตตและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาจัดซื้อที่ดินครั้งนี้ด้วย การกระทำของนายพิจิตตกับพวก ทำให้ กทม.ได้รับความเสียหายต้องซื้อที่ดินในราคาแพงเกินจริงมาก และเป็นที่ดินที่ไม่ติดทางสาธารณะ ไม่สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินได้ตามวัตถุประสงค์ของการจัดซื้อ ทำให้ราชการเสียหาย จึงมีมติว่า นายพิจิตต ,นายสมคาด สืบตระกูล เลขานุการผู้ว่าฯ กทม.ขณะนั้น และนายชวน พัฒนวรานนท์ ผอ.เขตบางซื่อในขณะนั้น มีมูลความผิดทางอาญามาตรา 149 ,151 และ 157 นอกจากนี้นายชวนยังมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงด้วย สำหรับผู้เกี่ยวข้องที่ถูกชี้มูลความผิดด้วย ได้แก่ นายญาณเดช ทองสิมา รองผู้ว่าฯ กทม.ขณะนั้น ,นายมหินทร์ ตันบุญเพิ่ม ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม.ในฐานะประธานการตรวจสอบความเหมาะสมของที่ดิน ,นายประเสริฐ สมะลาภา ปลัด กทม.ในขณะนั้น เป็นต้น ทั้งนี้ ป.ป.ช.จะส่งเรื่องดังกล่าวให้อัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญานายพิจิตตกับพวกต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป
จำคุก 10 ปี “วัฒนา” ทุจริตคลองด่าน
กทม.เตรียมเอาผิดทางแพ่งพิจิตตกับพวกโกงซื้อที่ดินตาบอด
5. “กกต.”ยื้อเวลายุบพรรค “พปช.” ด้าน “ปชป.”เฮ รอดใบแดง-พ้นยุบพรรค!
เมื่อวันที่ 19 ส.ค.คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ได้ประชุมพิจารณาผลสอบของคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณียุบพรรคพลังประชาชนที่มีนายประทีป เปรื่องวงศ์ อัยการอาวุโสเป็นประธาน เพื่อลงมติว่า จะเสนออัยการสูงสุดเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคหรือไม่ โดยมีข่าวตั้งแต่สัปดาห์ก่อนว่า อนุกรรมการมีมติให้ยุบพรรคพลังประชาชน อย่างไรก็ตาม หลัง กกต.ประชุมแล้วเสร็จในวันที่ 19 ส.ค.ปรากฏว่า ได้มีการเลื่อนการลงมติเรื่องยุบพรรคพลังประชาชนออกไปเป็นวันที่ 2 ก.ย.แทน โดยนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.บอกว่า กกต.เสียงส่วนใหญ่มีมติให้คณะอนุกรรมการฯ นำเอกสารในการสอบสวนทั้งหมดเข้าชี้แจง กกต.เพิ่มเติมในวันที่ 26 ส.ค.เพื่อความรอบคอบ เนื่องจากเอกสารที่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง นำมาให้ กกต.แต่ละท่านดูนั้น เป็นเพียงความเห็นขณะอนุกรรมการฯ และความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองเท่านั้น หลังจากนั้น กกต.จะลงมติว่าจะส่งสำนวนยุบพรรคพลังประชาชนให้อัยการสูงสุดหรือไม่ในวันที่ 2 ก.ย. อย่างไรก็ตาม วันต่อมา(20 ส.ค.)นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง ได้ออกมาปฏิเสธว่า ไม่มี กกต.คนใดขอเลื่อนการลงมติคดียุบพรรคพลังประชาชน แต่เป็นความผิดพลาดของประธาน กกต.ที่เขียนสั่งท้ายในบันทึกความเห็นของอนุกรรมการฯ ว่าจะนัดพิจารณาลงมติในวันที่ 2 ก.ย. แต่ประธาน กกต.กลับให้สัมภาษณ์ว่าจะนัดลงมติวันที่ 19 ส.ค. ดังนั้นที่ตนและนายสมชัย (จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย)ถูกกล่าวหาว่ายื้อเวลาคดียุบพรรคพลังประชาชนจึงไม่เป็นความจริง ด้านนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ได้ออกมายอมรับว่า จริงๆ แล้วต้องการให้พิจารณาคดียุบพรรคพลังประชาชนในวันที่ 19 ส.ค.แต่ตนดูปฏิทินผิดวัน จึงเขียนเป็นวันที่ 2 ก.ย. จะเลื่อนให้เร็วขึ้นก็ไม่ได้ ประกอบกับมี กกต.บางท่านเพิ่งได้รับเอกสารผลสอบของอนุกรรมการฯ เมื่อวันที่ 18 ส.ค.(นายอภิชาตส่งเอกสารให้ กกต.แต่ละคนวันที่ 15 ส.ค.) จึงให้โอกาส กกต.แต่ละท่านพิจารณาเอกสารอย่างเต็มที่ ไม่ต้องโต้แย้งว่าได้รับเอกสารกระชั้นชิด อีกทั้งวันที่ 2 ก.ย.ก็ไม่ใช่เวลาที่ยาวนานเท่าใด ส่วนความคืบหน้าการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีนายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.สัดส่วน และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ถูกนายสมบัติ รัตโน อดีตผู้สมัคร ส.ส.อุบลราชธานี พรรคพลังประชาชน ร้องคัดค้านการเลือกตั้งและกล่าวหาว่า นายวิฑูรย์และหัวคะแนน แจกตั๋วภาพยนตร์และจัดให้มีมหรสพฉายภาพยนตร์ เพื่อจูงใจในการซื้อเสียงเลือกตั้งนั้น ล่าสุด(22 ส.ค.)มีรายงานว่า คณะอนุกรรมการที่สอบเรื่องนี้ซึ่งมีนายสุธน แสงสายัณห์ อัยการอาวุโสเป็นประธาน ได้สรุปสำนวนครั้งสุดท้ายเพื่อเสนอให้ กกต.พิจารณาแล้ว โดยอนุกรรมการมีมติเอกฉันท์ว่าควรยกคำร้องนายวิฑูรย์กับพวกที่ถูกร้องคัดค้าน เพราะไม่ได้กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งและไม่มีส่วนรู้เห็น เนื่องจากการนำคูปองมาแลกเป็นบัตรเพื่อเข้าชมภาพยนตร์นั้น เป็นการกระทำก่อนที่จะมี พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ทั้งนี้ อนุกรรมการฯ ได้เตรียมประชุมอีกครั้งในวันที่ 26 ส.ค.นี้ เพื่อดูรายละเอียดของสำนวนก่อนส่งให้ กกต.พิจารณาต่อไป
กกต.ยื้อเลื่อนลงมติยุบพปช.2 ก.ย.
ปชป.เฮ! อนุฯสอบทุจริต “แจกตั๋วหนัง” อุบล ยกคำร้อง “วิฑูรย์”
6. “กัมพูชา”สร้างถนนจ่อ “ตาเมือนธม” พร้อมรุก พท.ทับซ้อน “พระวิหาร”อีกครั้ง!
เมื่อเช้าวันที่ 19 ส.ค.การประชุมระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยและกัมพูชา ครั้งที่ 2 เพื่อหารือเกี่ยวกับพื้นที่พิพาทรอบปราสาทพระวิหาร ได้เปิดฉากขึ้นที่โรงแรมดุสิต รีสอร์ท หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยฝ่ายไทยนำทีมโดยนายเตช บุนนาค รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา คือ นายฮอ นัม ฮง โดยระหว่างประชุม ได้มีผู้แทนกลุ่มธรรมยาตรา นำโดยนายสมาน ศรีงาม เดินทางมาประท้วงหน้าโรงแรม โดยถือป้ายที่มีข้อความ “เขมรออกไป เอามณฑลบูรพาคืนมา”พร้อมยื่นจดหมายถึงนายเตชด้วย ทั้งนี้ หลังการประชุมกลุ่มย่อยใช้เวลาตั้งแต่เช้า และไปยุติในช่วงเย็นประมาณ 16.00น. เนื่องจากผู้แทนบางส่วน เช่น นายเตช ต้องนำนายฮอ นัม ฮง เดินทางไปเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล โดยเมื่อกลับจากการเข้าเฝ้าฯ แล้ว ทั้งสองฝ่ายได้ประชุมเต็มคณะอีกครั้ง กระทั่งยุติการประชุมและแถลงผลในเวลา 20.00น. โดยนายฮอ นัม ฮง บอกว่า การประชุมครั้งนี้ก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งหลังการประชุมเมื่อ 28 ก.ค.และจะไม่หันหลังกลับมาอีก จะร่วมกันทำงานต่อไป เพราะไทยและกัมพูชาไม่เพียงแต่เป็นประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น แต่ยังมีอารยธรรม วัฒนธรรม ศาสนา และพระมหากษัตริย์เช่นเดียวกัน จึงไม่มีสาเหตุอันใดที่จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ยังบอกด้วยว่า กัมพูชาจะถอนทหารออกจากพื้นที่ทั้งหมด โดยให้เหลือแต่ตำรวจกับสารวัตรทหารเท่านั้น ด้านนายเตช บอกว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเสนอรัฐบาลของตนเพื่อให้ความเห็นชอบจัดประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(เจบีซี)ครั้งต่อไปในเดือน ต.ค.นี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้จัดทำข้อตกลงชั่วคราวเพื่อใช้ระหว่างที่การดำเนินงานของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ บริเวณพระวิหารยังไม่แล้วเสร็จด้วย ด้านนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหม และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ลงพื้นที่ไปตรวจความเรียบร้อยบริเวณเขาพระวิหารและปราสาทตาเมือนธมเป็นครั้งแรกหลังเกิดข้อพิพาทเมื่อวันที่ 18 ส.ค. โดยนายสมัครได้ทำข้าวหน้าไก่เอาใจทหารที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณดังกล่าวด้วย ส่วนสถานการณ์ทั่วไปหลังทหารไทย-กัมพูชาปรับลดกำลังทหารบนเขาพระวิหารลงแล้วนั้น ปรากฏว่า ได้ส่งผลให้พ่อค้าแม่ค้าชาวกัมพูชาที่เคยอพยพออกจากหมู่บ้านบริเวณพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรที่ไทยยืนยันว่าเป็นของไทย เริ่มกลับเข้ามาอาศัยเปิดร้านขายของตามปกติกันอีกครั้ง ด้านนายสนอง ห้วยจันทร์ นายอำเภอกันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ชี้ว่า ตามหลักแล้ว ต้องไม่ให้ฝ่ายทหารหรือประชาชนฝ่ายใดเข้าไปอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเด็ดขาด การที่ฝ่ายกัมพูชาอนุญาตให้ชาวกัมพูชาเข้ามาอยู่บริเวณดังกล่าว จึงไม่ถูกต้อง ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต้องแก้ไขโดยด่วน ส่วนกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามรุกคืบด้วยการอ้างสิทธิเป็นเจ้าของปราสาทตาเมือนธมของไทยนั้น ล่าสุด นอกจากกัมพูชาจะพยายามจี้ให้ไทยเปิดประตูรั้วเพื่อให้ชาวกัมพูชาเข้ามาเที่ยวปราสาทตาเมือนธมได้ 24 ชม.ไม่ใช่แค่ครึ่งวันอย่างปัจจุบันนี้แล้ว กัมพูชายังได้เตรียมสร้างถนนจากบ้านจารย์ของกัมพูชาเพื่อเชื่อมมายังปราสาทตาเมือนธมด้วย โดยคาดว่าถนนเส้นนี้จะแล้วเสร็จใน 2 เดือนนี้.
“หมัก” ควง “บิ๊กป๊อก” ลงตรวจ“ตาเมือนธม” ปิดถนนอารักขาเข้ม ชาวบ้านโวยเดือดร้อนหนัก