1. “พระราชินี”ทรงยกคำสอนเตือนสติคนไทย ให้นึกถึงบุญคุณของแผ่นดิน!
เมื่อวันที่ 11 ส.ค.(17.00น.) สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานพระวโรกาสให้คณะบุคคลต่างๆ เข้าเฝ้าฯ ทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล ในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 76 พรรษาในวันที่ 12 ส.ค.2551 ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน โอกาสนี้ นอกจากทรงมีพระราชดำรัสขอบคุณทุกคนที่เข้าร่วมอวยพรแล้ว ยังทรงยกคำสอนของบุคคลสำคัญในชีวิตของพระองค์ คือ พ่อ ,พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระอาจารย์แบน ที่ จ.สกลนคร เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตแก่ทุกคนว่า ขอให้ทุกคนนึกถึงบุญคุณของประเทศ ของแผ่นดิน ให้พยายามตอบแทนพระคุณของแผ่นดินอย่างสุดกำลัง ทั้งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรู้สึกชื่นใจที่ชาวไทยช่วยกันปลูกป่าเพื่อของขวัญแด่พระองค์ หลังจากพระองค์ได้ทรงเรียกร้องให้ประชาชนเห็นความสำคัญของป่าไม้มาเป็นสิบๆ ปี ทรงชี้ให้เห็นว่า เราจำเป็นต้องเก็บป่าไม้ซึ่งเป็นแหล่งสะสมน้ำไว้ให้ดี เพราะต่อไปใน 15 ปี น้ำจืดจะเป็นของที่หายากและราคาแพง ทุกฝ่ายควรตระหนักว่า ป่าไม้เป็นของคนไทยทั้งชาติ ไม่มีสิทธิที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะแอบเข้าไปตัดและทำการค้าแต่ลำพัง พระองค์ทรงชม กทม.ด้วยว่า ทำดีอยู่แล้วในการปลูกต้นไม้ พร้อมทรงรู้สึกชื่นใจมากที่ปีนี้ กทม.ได้รับการโหวตจากนักท่องเที่ยวให้เป็นที่ 1 ของโลกในความน่าอยู่ อย่างไรก็ตาม ทรงเป็นห่วงสภาพของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ขณะนี้ปลาอยู่ไม่ได้เหมือนสมัยก่อน เนื่องจากโรงงานปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำโดยไม่ทำความสะอาดก่อน จึงทรงหวังว่า ถ้าคนไทยช่วยกัน รวมทั้งรัฐบาล น่าจะทำให้แม่น้ำเจ้าพระยากลับไปสู่สภาพเดิมได้อีกครั้ง นอกจากเรื่องป่าและน้ำแล้ว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ยังทรงห่วงและเป็นทุกข์แทนชาวนา ที่ขณะนี้ไม่ใช้ควายไถนาแล้ว แต่หันไปใช้รถไถนาแทน โดยทรงเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเคยรับสั่งเรื่องนี้หลายครั้งว่า เมื่อควายใช้ไถนาได้ ก็น่าจะใช้ควายไถนา เดี๋ยวนี้ใช้ควายเหล็กที่กินน้ำมันแทนหญ้า ชาวบ้านก็ยิ่งลำบาก เพราะนอกจากรถไถนาจะราคาสูงแล้ว น้ำมันก็แพงขึ้นเรื่อยๆ และในระยะยาวก็ต้องเสียค่าซ่อมแซม ค่าอะไหล่ ถ้าวันหนึ่งไม่มีน้ำมันหรือน้ำมันแพงมาก รถไถนาก็ต้องถูกจอดทิ้งไว้เฉยๆ ผิดกับควายที่มันเดินเองได้ทุกเวลาและมูลของควายที่ถ่ายไว้ทั่วไปตามท้องนา ก็เป็นปุ๋ยชั้นดี จึงทรงหวังว่า นายกฯ จะช่วยสนับสนุนให้ชาวนาใช้ควายไถนาอย่างเดิม นอกจากนี้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ยังตรัสถึงสถานการณ์ในภาคใต้ที่น่าหนักใจในแง่ความปลอดภัยในชีวิต พร้อมกันนี้ ทรงชื่นชม 2 ตำรวจหนุ่มผู้กล้าที่สละชีวิตเพื่อรักษาดินแดนภาคใต้ คือ ร.ต.อ.ธรนิศ ศรีสุข หรือผู้กองแคน และ ร.ต.ต.กฤติกุล บุญลือ หรือหมวดตี้ ที่มีความรักชาติอย่างมากและมีอุดมคติสูง เลือกที่จะไปปฏิบัติหน้าที่ปกป้องประชาชนในพื้นที่ที่เสี่ยงต่ออันตรายและไปเสียชีวิต สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงยกคติในการทำงานของตำรวจหนุ่มทั้งสองให้ผู้เข้าร่วมอวยพรฟังด้วย ซึ่งเป็นคติที่ดีและหายาก โดยคติของ ผู้กองแคน ก็คือ “จงเป็นผู้เสียสละ อย่าคาดหวังว่าเราจะได้อะไรบ้างจากหน่วยงานของเราและประเทศชาติ จงคิดเสมอว่า ทำอะไรให้แก่หน่วยงานและประเทศชาติของเราได้บ้าง” ขณะที่ หมวดตี้ ก็ดำเนินตามนโยบายของรุ่นพี่อย่างผู้กองแคน โดยหมวดตี้ให้ความสำคัญกับอุดมการณ์ จึงได้เดินทางไกลหลายพันกิโลจากบ้านเพื่อมาดูแลความปลอดภัยให้ราษฎรในภาคใต้ พร้อมบอกว่า ถึงตายก็ไม่เสียดายชีวิต เพราะเกิดมาครั้งเดียว ตายเพื่อชาติ ไม่กลัว ทั้งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงขอให้ทุกคนช่วยกันส่ง จม.หรืออะไรก็ได้เพื่อให้กำลังใจแก่นักรบผู้กล้าอีกจำนวนมากที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในภาคใต้ขณะนี้ ซึ่งถือว่าเป็นคนดีและเสียสละเพื่อชาติอย่าง 2 นายตำรวจที่พระองค์ทรงรู้จัก
“ราชินี” ทรงชื่นชมคนไทยตื่นตัวปัญหาป่าไม้-แนะใช้ควายไถนาประหยัดต้นทุน
พันธมิตรฯ ถวายพระพร “พระราชินี” เปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” กึกก้อง
2. “แม้ว-อ้อ”หนีคดีไม่พอ ยังปากดี-โจมตีศาล ด้าน “ศาล”ริบเงินประกัน พร้อมออกหมายจับทันที!
ในที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 1-2 ในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ ก็หนีคดี ด้วยการไม่เดินทางกลับมารายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามกำหนดนัดเมื่อวันที่ 11 ส.ค. หลังศาลฯ ได้อนุญาตให้ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางญี่ปุ่นและจีนระหว่างวันที่ 31 ก.ค.-10 ส.ค.และอนุญาตให้คุณหญิงพจมานเดินทางไปจีนระหว่างวันที่ 5-10 ส.ค. โดยทั้งคู่ตัดสินใจบินตรงจากกรุงปักกิ่งไปยังอังกฤษเมื่อวันที่ 10 ส.ค.เพื่อสมทบกับลูกๆ ทั้งสามที่เดินทางออกจากไทยไปรออยู่ที่นั่นแล้ว ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงเหตุที่ไม่กลับมารายงานตัวต่อศาลฯ ว่า เหตุที่ตนเลือกที่จะเดินทางไปพำนักที่ประเทศอังกฤษซึ่งเป็นประเทศที่ยึดหลักการประชาธิปไตยเหนือสิ่งอื่นใด เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์ในเมืองไทยยังคงมีการสืบทอดระบอบเผด็จการ และการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เพื่อจัดการตนและครอบครัว และว่า ตลอดเวลาตนได้รับข่าวสารว่า ชีวิตไม่ปลอดภัย เดินทางไปไหนมาไหน จึงต้องใช้รถกันกระสุน พ.ต.ท.ทักษิณยังยืนยันด้วยว่า ตนและครอบครัวมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างหาที่สุดมิได้ แม้จะมีผู้จงใจใส่ร้ายมาตลอด และว่า แม้ตนไม่ใช่คนดีสมบูรณ์แบบ แต่ก็ไม่ได้เลวอย่างที่ถูกกล่าวหา ดังนั้น เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ตนจะแถลงความจริงให้ทุกคนทราบ พ.ต.ท.ทักษิณยังส่งสัญญาณว่าจะกลับมาอีกครั้งด้วยว่า “วันนี้ไม่ใช่วันของผม ขอให้ผู้สนับสนุนผมอดทนอีกนิด”นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณยังเรียกคะแนนสงสารด้วยคำพูดที่ว่า “หากผมมีวาสนา จะขอกลับมาตายบนผืนแผ่นดินไทย” ด้านศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ได้มีคำสั่งริบเงินประกัน 13 ล้านบาท พร้อมออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ฐานไม่กลับมารายงานตัวต่อศาลภายในกำหนด ทั้งนี้ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างในแถลงการณ์ว่ากระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซง เป็นเหตุให้ตนไม่เดินทางกลับมาสู้คดีนั้น ส่งผลให้หลายฝ่ายไม่พอใจ เพราะในความเป็นจริง นอกจากจะไม่มีใครสามารถแทรกแซงศาลได้แล้ว ยังปรากฏว่า 3 ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานในคดีซื้อที่รัชดาฯ ได้พยายามแทรกแซงศาลด้วยการนำถุงขนมใส่เงิน 2 ล้านมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาฯ ด้วย จนถูกศาลสั่งจำคุกอยู่ในขณะนี้ ด้านสภาทนายความได้ออกแถลงการณ์โจมตี พ.ต.ท.ทักษิณว่า บิดเบือนข้อมูลและให้ร้ายระบบยุติธรรมของไทยอย่างไม่ควรที่จะให้อภัย พร้อมยืนยันว่า “ไทยได้พัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านกระบวนการยุติธรรมที่ยอมรับในนานาประเทศมาเกือบร้อยปี แต่บัดนี้ มีบุคคลซึ่งเป็นคนไทยได้ทำให้เกิดความด่างพร้อย อาศัยการที่เคยเป็นผู้นำประเทศและอดีตหัวหน้าพรรคการเมืองที่ล่มสลาย กล่าวหาระบบการศาลของไทยในทำนองที่ไม่น่าเชื่อถือ เป็นเรื่องที่น่าอับอายและไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง” ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็จับเท็จ พ.ต.ท.ทักษิณว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณไม่เชื่อถือกระบวนการยุติธรรม แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณฟ้องคนอื่นทำไมตั้งหลายคดี และว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ควรบิดเบือนข้อมูลเพื่อหลบหนี แล้วมาทำลายสถาบันของประเทศไทยให้เสียหายแบบนี้ เป็นเรื่องไม่เหมาะสม ด้านนายพิภพ ธงไชย 1 ในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ชี้ว่า ทั้งหมดในแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ล้วนเป็นข้ออ้างในการขอลี้ภัยทางการเมือง และเพื่อเป็นฐานในการต่อสู้ทางการเมืองในอนาคตอีกครั้ง เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้หลายฝ่ายในสังคมจะเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาชี้แจงและยืนยันความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมไทยว่าไม่ได้เป็นอย่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวอ้าง แต่แกนนำพรรคพลังประชาชนหลายคนกลับเลือกที่จะปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณมากกว่า เช่น นายชูศักดิ์ ศิรินิล มือกฎหมายของพรรคพลังประชาชนและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ บอกว่า “รัฐบาลขอนิ่งเฉย ดีที่สุด เพราะเป็นเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณที่วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมที่ตัวเองประสบอยู่ ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล รัฐบาลไม่มีหน้าที่ไปพูดขยายความ” ขณะที่นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมจากพรรคพลังประชาชน ก็อ้างว่า เป็นสิทธิของ พ.ต.ท.ทักษิณที่จะแสดงความคิดเห็นส่วนตัวได้ แม้อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ แต่ก็ไม่สามารถห้ามได้ อย่างไรก็ตาม ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศที่มีนายเตช บุนนาค เป็นรัฐมนตรี ไม่นิ่งเฉยต่อแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า อำนาจตุลาการเป็น 1 ใน 3 อำนาจอธิปไตยของไทย ซึ่งเป็นที่ยอมรับของสากลและยังมีความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง ส่วนกระบวนการคัดสรรบุคลากรก็ได้รับการยอมรับและมีจรรยาบรรณ เป็นที่พึ่งและเคารพในความศักดิ์สิทธิ์มาตลอด ทั้งนี้ นอกจากการออกแถลงการณ์ปกป้องกระบวนการยุติธรรมของไทยแล้ว กระทรวงการต่างประเทศยังเตรียมพิจารณาเพิกถอนหนังสือเดินทางทางการทูต(พาสปอร์ตสีแดง)ของ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย โดยอยู่ระหว่างรอให้ศาลฎีกาฯ มีหนังสือยืนยันการออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างเป็นทางการ ด้านกองทะเบียนประวัติอาชญากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกประกาศจับ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน(เมื่อ 14 ส.ค.) หลังได้รับหมายจับจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ฐานไม่ไปรายงานตัวต่อศาลระหว่างการพิจารณาคดี โดยกองทะเบียนประวัติอาชญากรได้ส่งประกาศจับดังกล่าวไปยังหน่วยงานต่างๆ ทั่วประเทศ ขณะที่นายกิตติพงษ์ กิติยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เผยว่า สำนักงานอัยการสูงสุดได้มอบหมายให้นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ รองอัยการสูงสุด รับผิดชอบเรื่องการนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานกลับมาดำเนินคดี ซึ่งคดีมีอายุความ 20 ปี อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวอัยการแจ้งว่า อัยการยังไม่สามารถยื่นคำร้องขอให้อังกฤษส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนในขณะนี้ได้ ต้องรอให้ศาลฯ นัดฟังคำพิพากษาคดีซื้อที่รัชดาฯ ก่อน หากจำเลยไม่มาฟัง จึงจะสามารถยื่นคำร้องให้ทางอังกฤษได้ ซึ่งคงไม่ง่ายที่อังกฤษจะส่งตัวจำเลยทั้งสองให้ไทย หาก พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานขอลี้ภัยในอังกฤษโดยอ้างว่าคดีที่เกิดขึ้นเป็นคดีการเมืองไม่ใช่คดีอาญา ทั้งนี้ นอกจากมีแนวโน้มว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานอาจขอลี้ภัยในอังกฤษแล้ว ทั้งคู่ยังพยายามเดินเกมให้ศาลจำหน่ายคดีซื้อที่รัชดาฯ เพื่อที่ตนจะได้รอดพ้นคดีดังกล่าวด้วย โดยนายคำนวณ ชโลปถัมภ์ และนายเอนก คำชุ่ม ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ เมื่อวานนี้(15 ส.ค.)ว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานไม่ประสงค์ที่จะให้พวกตนดำเนินคดีแทนอีกต่อไป พวกตนจึงขอถอนตัวจากการเป็นทนายความให้จำเลยทั้งสอง นายคำนวณและนายอเนกยังอ้างต่อศาลด้วยว่า เมื่อจำเลยทั้งสองไม่เดินทางมาศาล เพราะได้ไปพำนักอยู่ต่างประเทศแล้ว จำเลยทั้งสองจึงยังไม่เข้ามาอยู่ในอำนาจของศาล ขอให้ศาลจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ด้านศาลฎีกาฯ พิเคราะห์แล้ว ไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยทั้งสองถอนตัวออกจากการเป็นทนายจำเลยคดีนี้ และไม่อนุญาตให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบ เนื่องจากจำเลยทั้งสองเข้ามาอยู่ในอำนาจของศาลแล้ว เพราะเคยเข้ารายงานตัวและให้การต่อศาล และได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างพิจารณา ศาลฎีกาฯ ยังยืนยันด้วยว่า แม้จำเลยทั้งสองจะไม่มาศาล ศาลก็มีอำนาจที่จะดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีต่อไปได้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ จำเลยได้ขอให้มีการพิจารณาคดีลับหลังจำเลย ซึ่งศาลได้อนุญาต ส่วนการที่จำเลยหลบหนีไม่มาศาล ย่อมถือว่าจำเลยทั้งสองสละสิทธิ์ในการต่อสู้คดีเอง จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะต้องสั่งจำหน่ายคดี ส่วนที่ทนายจำเลยขอถอนตัวออกจากการเป็นทนายจำเลยโดยอ้างว่า จำเลยไม่ประสงค์ให้ทนายดำเนินคดีแทนแล้วนั้น ศาลเห็นว่า แม้จำเลยจะไม่มีทนายความ ศาลก็สามารถดำเนินการไต่สวนตามพยานหลักฐานได้ พร้อมกันนี้ ศาลยังเห็นว่า การขอถอนตัวของทนายจำเลยมีเป้าประสงค์เพื่อให้ศาลหยุดการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีเอาไว้ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนต่อเจตนารมณ์ของการจัดตั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตัวจากคดีนี้แต่อย่างใด ทั้งนี้ ในวันดังกล่าว(15 ส.ค.) ศาลฎีกาฯ ได้ให้ทนายจำเลยนำพยานจำเลยจำนวน 5 ปากขึ้นเบิกความตามที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ และหลังจากนี้ให้ทนายจำเลยนำพยานจำเลยอีก 4 ปาก(เช่น นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีช่วยคลังและ กก.ผจก.บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์) ขึ้นเบิกความในวันที่ 19 ส.ค.(เวลา 9.30น.) ด้านนายเอนก คำชุ่ม ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน บอกว่า พยานจำเลยที่จะนำสืบในวันที่ 19 ส.ค.นี้มี 7 ปาก ได้แก่ นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ด้านแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะเริ่มยุทธศาสตร์ดาวกระจายอีกครั้งในวันที่ 19 ส.ค.นี้ โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ บอกว่า พันธมิตรฯ จะเคลื่อนขบวนไปยังสถานทูตอังกฤษ เพื่อประกาศเจตนารมณ์และข้อเท็จจริงให้สถานทูตฯ ทราบว่า คุณหญิงพจมานและครอบครัวมีเงินมหาศาลแต่ไม่ยอมเสียภาษี และโกงภาษีอย่างไรบ้าง พร้อมกันนี้พันธมิตรฯ ยังจะยื่น จม.เปิดผนึกถึงรัฐบาลอังกฤษ โดยชี้แจงความจริงให้ทราบว่า เงินที่ พ.ต.ท.ทักษิณนำไปซื้อสโมสรแมนฯ ซิตี้นั้น เป็นเงินที่โกงไปจากพี่น้องคนไทย นายสนธิ ยังบอกด้วยว่า ต่อไปนี้พันธมิตรฯ จะช่วยเหลือราชการด้วยการช่วยกันติดประกาศจับ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานไปทั่วราชอาณาจักร
พันธมิตรฯ เยือนสถานทูตอังกฤษแฉ “แม้ว” อังคารนี้ “สนธิ” ชี้ 6 แนวรบสามานย์
ศาลดับฝัน “แม้ว” ขอหยุดเวลาเข้าคุก ชี้หลบหนีสละสิทธิ์ไม่สู้!
อาชญากร “แม้ว-อ้อ” เหลี่ยมจัด! ขอศาลจำหน่ายคดี-ถอนทีมทนาย
อัยการพร้อมขอ “แม้ว-อ้อ” ส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดน
อัยการศึกษาข้อ กม.รอเอกสารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนขอส่งตัว “แม้ว-อ้อ” ผู้ร้ายข้ามแดน
“เตช” ออกแถลงโต้ “แม้ว” กล่าวหาศาลไทย ส่งถึงสถานทูตทั่วโลกแล้ว
“เตช” แจงสภาเงื่อนไขลากตัว“แม้ว”- ลิ่วล้อเจ็บปวดประท้วงวุ่น
“บัวแก้ว” ย้ำหมายจับถึงมือพิจารณาถอนพาสปอร์ตทูต “แม้ว” ทันที
3. “อนุฯ กกต.”ชงยุบพรรค “พปช.” ด้าน “ปชป.”ยังมั่นใจ ไม่ถูกยุบ!
ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับคดียุบพรรคในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางคณะอนุกรรมการของ กกต.ที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณียุบพรรคพลังประชาชนที่มีนายประทีป เปรื่องวงศ์ อัยการอาวุโสเป็นประธาน ได้มีหนังสือเชิญนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคฯ เข้าชี้แจงในวันที่ 13 ส.ค. แต่นายสมัครและ นพ.สุรพงษ์ไม่ยอมเข้าชี้แจงด้วยตัวเอง โดยเลือกชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรแทน วันต่อมา(14 ส.ค.)คณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าวได้ประชุมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนสรุปผลสอบส่งให้ กกต.เพื่อลงมติว่าจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคพลังประชาชนตามมาตรา 237 ของ รธน.2550 หรือไม่ โดยมีรายงานว่า คณะอนุกรรมการฯ สรุปว่า เห็นควรส่งเรื่องดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค เนื่องจาก กกต.เคยวางบรรทัดฐานในการพิจารณาคดียุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.มาตรา 103 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 94 ตีความว่า หากกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีส่วนรู้เห็นในการกระทำ ก็จำเป็นต้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณายุบพรรค โดยไม่ต้องพิจารณาเรื่องความเกี่ยวข้องหรือความมีอำนาจในพรรคการเมืองแต่อย่างใด ประกอบกับการทุจริตเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งก็ได้มีคำพิพากษาชัดเจนว่า การกระทำดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับพรรคและส่งผลประโยชน์ต่อพรรคอย่างชัดเจน ดังนั้น พรรคจึงต้องมีส่วนรับผิดชอบกับการกระทำดังกล่าว ด้านนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.บอก(15 ส.ค.)ว่า อนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณียุบพรรคพลังประชาชน ได้สรุปสำนวนให้ กกต.แล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ามีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคตามที่เป็นข่าวหรือไม่ และว่า ตนได้แจกสำนวนให้ กกต.ทุกท่านไปศึกษาแล้ว และจะนำเข้าที่ประชุม กกต.เพื่อลงมติในวันที่ 19 ส.ค.นี้ ทั้งนี้ แม้นายอภิชาตจะไม่เปิดเผยผลสรุปของคณะอนุกรรมการฯ แต่คำพูดของนายอภิชาตก็บ่งบอกให้รู้ว่า น่าจะมีมติให้ยุบพรรคพลังประชาชน โดยนายอภิชาตบอกว่า การลงมติของ กกต.ว่าจะเห็นควรให้แจ้งอัยการสูงสุดเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคหรือไม่ คงต้องใช้มาตรฐานเดียวกันกับกรณียุบพรรคชาติไทยและมัชฌิมาธิปไตย ขณะที่นายสมาน เลิศวงศ์รัตน์ นายทะเบียนพรรคพลังประชาชน เผยว่า พรรคฯ ได้เตรียมพรรคสำรองไว้แล้ว 2 พรรค หากพรรคพลังประชาชนถูกยุบ แต่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อพรรคใหม่ได้ เพราะจะเป็นเป้าให้ถูกทำลายล้าง ส่วนการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการกรณีกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหาว่าซื้อเสียงเลือกตั้งที่มีนายสุธน แสงสายัณห์ อัยการอาวุโสเป็นประธานนั้น เมื่อวันที่ 15 ส.ค.นายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.สัดส่วน และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถูกนายสมบัติ รัตโน อดีตผู้สมัคร ส.ส.อุบลราชธานี พรรคพลังประชาชน ร้องคัดค้านการเลือกตั้งต่อ กกต.พร้อมแถลงข่าวกล่าวหาว่า นายวิฑูรย์และหัวคะแนน ได้แจกตั๋วภาพยนตร์และจัดให้มีมหรสพฉายภาพยนตร์ เพื่อจูงใจในการซื้อเสียงเลือกตั้ง ก็ได้เข้าชี้แจงต่ออนุกรรมการฯ ของ กกต. พร้อมด้วยนายศุภชัย ศรีหล้า ,นายวุฒิพงษ์ นามบุตร ส.ส.อุบลราชธานี เขต 1 และนายวิทวัส พันธ์นิกุล อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขตเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์ โดยนายวิฑูรย์ได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พร้อมยืนยันว่า ตนไม่ได้เกี่ยวข้องและไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตามที่มีการกล่าวหา และว่า วันดังกล่าวมีเพียงการแนะนำตัวผู้สมัครและนโยบายของพรรคเท่านั้น ไม่ได้มีการฉายภาพยนตร์แต่อย่างใด โดยมี กกต.อุบลราชธานีและสื่อมวลชนมาร่วมสังเกตการณ์ในวันดังกล่าวด้วย นายวิฑูรย์ ยังมั่นใจว่า กกต.คงพิจารณาตามหลักฐานและข้อเท็จจริง ไม่ตัดสินไปตามกระแสที่มีความพยายามลากพรรคประชาธิปัตย์เข้าสู่การยุบพรรค อนึ่ง ก่อนหน้าเข้าชี้แจง กกต. นายวิฑูรย์ได้ส่งทนายไปยื่นฟ้องผู้ที่กล่าวหาตน(นายสมบัติ รัตโน อดีตผู้สมัคร ส.ส.อุบลราชธานี)ต่อศาลอาญาแล้ว(เมื่อ 11 ส.ค.) ฐานหมิ่นประมาท ซึ่งศาลรับฟ้อง และนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 6 ต.ค. ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 13 ส.ค.นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ได้ออกมาส่งสัญญาณว่า พรรคประชาธิปัตย์อาจโดนใบแดง โดยนายบรรหาร บอกว่า วันที่ 15 ส.ค.อาจมีบางพรรคที่ไม่อยากเอ่ยนามโดนใบแดงหรือไม่ก็ได้ ถ้าโดนใบแดงก็จบเห่การเมืองไทย ดังนั้น ต้องแก้ รธน. ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ มั่นใจว่า พรรคฯ จะไม่ถูกยุบ เพราะนายวิฑูรย์ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับกรณีที่ถูกกล่าวหา และว่า จริงๆ แล้ว การโปรโมตกิจการของโรงหนังเป็นการดำเนินการของผู้สมัครของพรรคคนหนึ่งที่เป็นลูกชายเจ้าของกิจการโรงหนัง โดยโปรโมตกิจการมาตั้งแต่ผู้สมัครดังกล่าวอยู่พรรคชาติไทยแล้ว กระทั่งมาอยู่พรรคประชาธิปัตย์ แต่เมื่อมี พ.ร.ฎ.เลือกตั้งแล้ว ผู้สมัครดังกล่าวก็ไม่ได้ทำกิจกรรมโปรโมตหนังอีก จึงไม่ได้มีเหตุการณ์ตามที่มีผู้กล่าวหาแต่อย่างใด นายสุเทพ ยังยืนยันด้วยว่า ไม่ว่าพรรคจะถูกยุบหรือไม่ ก็ยืนยันว่าจะไม่เห็นด้วยกับการแก้ รธน.เพื่อช่วยให้คนพ้นผิดแน่นอน ถ้าจะแก้ก็ต้องแก้เพื่อบ้านเมืองเท่านั้น ด้านพรรคพลังประชาชน หลังมีแนวโน้มว่า จะถูกยุบพรรค ปรากฏว่า เริ่มมีแกนนำพรรคฯ (เช่น นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รองเลขาธิการพรรค) ออกมาส่งสัญญาณแล้วว่า อาจจะแก้เกมด้วยการชิงยุบสภาก่อนที่จะถูกยุบพรรค เพื่อให้กรรมการบริหารพรรคช่วยหาเสียงและจัดระบบพรรคการเมืองให้พร้อมสำหรับการเลือกตั้งใหม่ และอาจจะให้กรรมการบริหารพรรคทั้ง 34 คนลงเลือกตั้งในระบบสัดส่วน เมื่อมีการสั่งยุบพรรค และกรรมการบริหาร 34 คนถูกตัดสิทธิ ก็สามารถขยับผู้สมัคร ส.ส.สัดส่วนคนถัดไปขึ้นมาแทนได้ ส่วนหัวหน้าพรรค อาจจะเป็นนายสมัครไปก่อน เมื่อถูกตัดสิทธิ ก็เลือกคนใหม่ขึ้นมาแทน ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เชื่อว่า จะมีการยุบสภาเร็วๆ นี้ เพราะนายสมัครประกาศจัดงาน 116 วันจากวันแม่ถึงวันพ่อ ดังนั้นถ้าจะมีการยุบสภาจริง ก็คงต้องหลังวันที่ 5 ธ.ค.ไปแล้ว
“วิฑูรย์” ปัดแจกตั๋วหนังช่วงมีพ.ร.ฎ.เลือกตั้ง-จวก"หมัก"พยากรณ์ล่วงหน้า
“วิฑูรย์” ฟ้อง “สมบัติ” หมิ่นประมาท
“อภิชาต” บอกใบ้ พปช.จ่อโดนยุบ ลั่นมาตรฐานเดียว ชท.-มฌ.
กกต.ส่งสัญญาณ พปช.ย้ายสังกัดพรรคได้ หลังศาลมีคำสั่งยุบ
อนุฯ สอบเสนอยุบ “พลังแม้ว”- ย้ำเหตุ “ยุทธตู้เย็น” ทุจริต
“เติ้ง” หน้าแตก กกต.ยัน 15ส.ค.ยังไม่มียุบพรรค
4. “ไทย-กัมพูชา”ถอนทหาร“พระวิหาร”เหลือแค่ 10 ด้าน “กัมพูชา”ยังรุกคืบไม่หยุด-อ้างสิทธิอีก 2 ปราสาท!
หลังที่ประชุม ครม.มีมติเมื่อวันที่ 5 ส.ค.ให้ปรับกำลังทหารเท่าที่จำเป็น เพื่อลดการเผชิญหน้าในวัดแก้วสิขาคีรีสวาระ(วัดคีรีสุขสวาย) และบริเวณโดยรอบ รวมถึงในปราสาทพระวิหาร โดยให้เหลือกำลังเพียงพอต่อการอารักขาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนในพื้นที่ดังกล่าว โดยให้กองทัพไทยและกองทัพบกไปเจรจารายละเอียดการปรับกำลังกับผู้แทนกองทัพของกัมพูชาว่าจะปรับลดกำลังเท่าไร และเมื่อใดนั้น ปรากฏว่า การเจรจาสองฝ่ายได้มีขึ้นเมื่อวันที่ 13 ส.ค. ซึ่งฝ่ายไทยนำโดย พล.ท.สุจิตร สิทธิประภา แม่ทัพภาคที่ 2 และ พล.ต.กนก เนตระคเวสนะ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ขณะที่ฝ่ายกัมพูชานำโดย พล.อ.เนียง พาส รัฐมนตรีช่วยกลาโหม และ พล.ท.เจีย มอญ ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 หลังการเจรจา ทั้งสองฝ่ายได้เปิดแถลง แต่ไม่ได้บอกว่าจะปรับลดกำลังลงเท่าใดและเมื่อใด โดยบอกเพียงว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันที่จะปรับลดกำลังให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อแสดงออกถึงความตั้งใจของทั้งสองฝ่ายในการร่วมกันแก้ปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธีบนพื้นฐานของความเท่าเทียม และหลักความไว้เนื้อเชื่อใจกันฉันเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน โดย พล.ท.สุจิตร บอกว่า จะนำผลการหารือดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศไทย-กัมพูชาวันที่ 18 ส.ค.นี้ ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ อย่างไรก็ตาม วันต่อมา(14 ส.ค.) พล.ท.เจีย มอญ ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา เผยสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า กัมพูชาและไทยจะถอนทหารออกจากพื้นที่ชายแดนใกล้เขาพระวิหาร โดยจะให้เหลือฝ่ายละ 10 นายเท่านั้น และจะเริ่มถอนทหารในวันเสาร์ที่ 16 ส.ค.ก่อนที่การประชุมระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายจะเริ่มขึ้น 2 วัน ด้าน พล.ต.กนก เนตระคเวสนะ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี บอกในวันนี้(16 ส.ค.)ว่า การปรับลดกำลังบนเขาพระวิหาร ยังต้องรอคำสั่งจากหน่วยเหนือว่าจะให้ปฏิบัติอย่างไร คาดว่าจะปรับลดได้ในเร็วๆ นี้ แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะเริ่มดำเนินการเมื่อใด ขณะที่นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศของไทย เผยถึงกำหนดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศไทย-กัมพูชาในวันที่ 18 ส.ค.ที่ อ.หัวหินว่า วันที่ 18 ส.ค.นายเตช บุนนาค รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของไทย จะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำนายฮอ นัม ฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา จากนั้นวันที่ 19 ส.ค.เวลา 09.00น.ทั้งสองฝ่ายจะหารือกันที่โรงแรมดุสิต รีสอร์ท หัวหิน และในเวลา 17.00น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายฮอ นัม ฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาเข้าเฝ้าฯ ณ พระราชวังไกลกังวล ทั้งนี้ แม้จะมีสัญญาณที่ดีที่ไทยและกัมพูชาจะปรับลดกำลังทหารบริเวณเขาพระวิหาร แต่กัมพูชาก็ยังพยายามรุกคืบในการอ้างสิทธิเหนือปราสาทต่างๆ ที่ไทยยืนยันว่าอยู่ในดินแดนไทย โดยหลังจาก พล.อ.เตีย บันห์ รัฐมนตรีกลาโหมของกัมพูชา ได้ออกมาอ้าง(5 ส.ค.)ว่า ปราสาทตาเมือนธม(ใน จ.สุรินทร์) เป็นของกัมพูชาและกัมพูชาต้องเรียกร้องเอาคืนแล้ว เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทางกระทรวงต่างประเทศของกัมพูชาก็ได้ออกแถลงการณ์อ้างสิทธิว่า ทั้งปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาเมือนโต๊ดล้วนตั้งอยู่ในดินแดนของกัมพูชา ขณะที่ฝ่ายไทยได้ยืนยันตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่า ทั้งสองปราสาทดังกล่าวอยู่ใน จ.สุรินทร์ของไทย โดยนอกจากจะมีการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของไทยแล้ว ยังมีบันทึกในเอกสารสำคัญของฝรั่งเศสด้วย ด้านนายเขมชาติ เทพไชย รองอธิบดีกรมศิลปากร เกรงว่าทางกัมพูชาจะอ้างสิทธิเหนือปราสาทสด๊อกก๊อกธม และปราสาทเขาน้อยของไทย ใน จ.สระแก้วอีก จึงได้นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่(10 ส.ค.)เพื่อยืนยันว่า ทั้งสองปราสาทดังกล่าวเป็นของไทย ทั้งนี้ นายเขมชาติ เชื่อว่า กัมพูชาคงอ้างสิทธิเหนือปราสาทสด๊อกก๊อกธมยาก เพราะปราสาทห่างจากชายแดนไทย-กัมพูชาถึง 2 กม. และว่า มีการสันนิษฐานว่าปราสาทแห่งนี้เกี่ยวพันกับกำเนิดชนชาติไทยด้วย เพราะค้นพบโบราณวัตถุสมัยทวารวดีจำนวนมาก ส่วนสาเหตุที่ทำให้กัมพูชาคิดว่าปราสาทแห่งนี้เป็นของตน อาจเป็นเพราะช่วงที่กัมพูชาเกิดสงครามเมื่อปี 2518 ทางสหประชาชาติขอใช้พื้นที่เป็นศูนย์อพยพเขมรเสรีอยู่หลายปี กัมพูชาจึงอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของตน ส่วนปราสาทเขาน้อย ใน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้วนั้น นายอาณัติ บำรุงวงส์ ผอ.สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี บอกว่า สร้างขึ้นในปี 1551 มีอายุประมาณ 1,300 ปี ขึ้นทะเบียนในราชกิจจานุเบกษาของไทยเมื่อปี 2478 และว่า ที่น่ากังวลคือ ปราสาทตั้งอยู่ห่างจากชายแดนไทย-กัมพูชาประมาณ 500 เมตร รวมทั้งยังเป็นแหลมยื่นเข้าไปติดกับชายแดนกัมพูชา เกรงว่า กัมพูชาจะอ้างสิทธิเหนือปราสาทดังกล่าวอีก ทุกฝ่ายจึงควรเฝ้าระวังปราสาทแห่งนี้อย่างใกล้ชิด
“ทหารไทย-กัมพูชา” เห็นพ้องปรับลดกำลัง “เขาวิหาร” -เปิด “ตาเมือนธม” ให้เขมรเข้าชมได้
5. “โผทหาร”ยังไม่ลงตัว หลังฝ่ายการเมืองแทรกหนัก ด้าน “บุญสร้าง”ลั่น ไม่ยึดพวกพ้อง!
ข่าวการจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารประจำปี 2551 นับเป็นข่าวร้อนข่าวหนึ่งที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพถูกนักข่าวถามทุกวัน โดยเฉพาะ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.) เนื่องจากตามขั้นตอนแล้ว ผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างๆ ต้องส่งรายชื่อโยกย้ายในสังกัดให้ พล.อ.บุญสร้าง จากนั้น พล.อ.บุญสร้างจะส่งรายชื่อต่อให้ปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาปรับย้ายนายทหารระดับนายพล ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช ในฐานะรัฐมนตรีกลาโหม เป็นประธาน เพื่อพิจารณาอีกครั้งตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้ ตอนแรก พล.อ.บุญสร้างกำหนดให้แต่ละเหล่าทัพส่งรายชื่อโยกย้ายให้ตนในวันที่ 13 ส.ค.และตนจะส่งให้ปลัดกระทรวงกลาโหมในวันที่ 15 ส.ค. แต่เมื่อถึงกำหนด ปรากฏว่าบัญชีของแต่ละเหล่าทัพยังไม่เรียบร้อย ทำให้ พล.อ.บุญสร้างต้องเลื่อนกำหนดส่งรายชื่อให้กระทรวงกลาโหมออกไป โดยบอกว่า จะส่งได้ไม่เกินวันที่ 19 ส.ค. โดยมีรายงานว่า พล.อ.บุญสร้างได้นัดหมายให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพมาหารือกันถึงบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารอีกครั้งในวันที่ 17 ส.ค.นี้ สำหรับโผโยกย้ายนายทหารครั้งนี้ ถือว่ามีความสำคัญ เนื่องจากมีผู้บัญชาการเหล่าทัพหลายคนที่จะเกษียณอายุราชการ จึงต้องเสนอชื่อผู้เหมาะสมคนใหม่แทน เช่น พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.สส. ,พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุก ผู้บัญชาการทหารอากาศ และ พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ทั้งนี้ มีรายงานว่า ตำแหน่งที่มีปัญหายังไม่ลงตัวว่าจะเสนอชื่อใคร ได้แก่ ตำแหน่ง ผบ.สส.โดยตอนแรกมีข่าวว่า นายสมัครต้องการให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.)นั่งควบ ผบ.สส.ด้วย เพราะนายสมัครสนิทกับ พล.อ.อนุพงษ์ และไว้ใจ พล.อ.อนุพงษ์ แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะผู้บัญชาการเหล่าทัพไม่เห็นด้วย เนื่องจากจะเป็นการตัดโอกาสนายทหารคนอื่น ต่อมามีรายงานว่า พล.อ.บุญสร้างต้องการให้ พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ (ตท.9) รอง ผบ.สส.ได้ขึ้นเป็น ผบ.สส. ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการในปี 2552 แต่นายสมัครต้องการให้ พล.อ.อภิชาติ เพ็ญกิตติ (ตท.8)รองปลัดกระทรวงกลาโหม ข้ามฟากมานั่งเก้าอี้ ผบ.สส. แล้วสลับให้ พล.อ.มนตรี ไปนั่งเก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหมแทน เนื่องจากนายสมัครไม่ไว้ใจ พล.อ.มนตรี เพราะถูกมองว่าอยู่สาย คมช. จึงยังไม่ลงตัวว่าสุดท้าย พล.อ.บุญสร้างจะเสนอชื่อใครเป็น ผบ.สส. ส่วนตำแหน่ง ผบ.ทอ.นั้น มีข่าวว่า พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุก ต้องการเสนอชื่อ พล.อ.อ.อิทธิพล ศุภวงศ์ (ตท.11) เสนาธิการทหารอากาศ ขึ้นเป็น ผบ.ทอ.คนใหม่ แต่ถูกฝ่ายการเมืองเคลื่อนไหวอย่างหนักเพราะต้องการให้แกนนำ ตท.10 (เพื่อนร่วมรุ่น พ.ต.ท.ทักษิณ)อย่าง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กลับมาผงาดในกองทัพอากาศ สำหรับตำแหน่ง ผบ.ทร.นั้น มีรายงานว่า พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ จะเสนอชื่อ พล.ร.อ.สมเดช ทองเปี่ยม (ตท.8)ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพเรือ ให้ขึ้นเป็น ผบ.ทร. แม้จะมีความพยายามจากฝ่ายการเมืองที่ต้องการให้ พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ (ตท.10)ประธานที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือ ได้เป็น ผบ.ทร.ก็ตาม โดย พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ มองว่า พล.ร.อ.กำธร ยังเหลืออายุราชการอีก 3 ปี แต่ พล.ร.อ.สมเดช เหลืออายุราชการแค่ 1 ปี จึงอยากให้ พล.ร.อ.สมเดช เป็น ผบ.ทร.ก่อน แล้วให้ พล.ร.อ.กำธร เป็น ผบ.ทร.คนต่อไป ส่วนการปรับย้ายในกองทัพบก โดยเฉพาะตำแหน่ง 5 เสือ ทบ.ที่มีผู้เกษียณอายุราชการนั้น มีรายงานว่า พล.อ.อนุพงษ์ เสนอให้ พล.อ.ธีรวัฒน์ บุญยประดับ (ตท.10)ผู้ช่วย ผบ.ทบ.ขึ้นเป็นรอง ผบ.ทบ. และขยับ พล.ท.สุจิตร สิทธิประภา แม่ทัพภาคที่ 2 รวมทั้ง พล.ท.วิโรจน์ บัวจรูญ แม่ทัพภาคที่ 4 เข้ามานั่งใน 5 เสือ ทบ.เป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. นอกจากนี้ยังขยับ พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 มารั้งตำแหน่งเสนาธิการทหารบก เพื่อเตรียมเข้าสู่ 5 เสือ ทบ.และเตรียมตัวนั่งเก้าอี้ ผบ.ทบ.ต่อจาก พล.อ.อนุพงษ์ ในอนาคต ด้าน พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.สส.พูดถึงปัญหาการจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารที่มีการเลื่อนส่งโผ(เมื่อ 14 ส.ค.)ว่า ปัญหาภายนอกมี แต่ไม่มาก และไม่ใช่เรื่องใหญ่ พร้อมยอมรับด้วยว่า มีการฝากคน โดยบอกว่า เป็นเรื่องธรรมดา ระบบไทยๆ จะมีเยอะ เรื่องการฝากมีทุกครั้งแต่ไม่มาก เพราะเรายึดถือประสิทธิภาพของกองทัพและการพัฒนากองทัพเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเมื่อวานนี้(15 ส.ค.)พล.อ.บุญสร้าง พูดถึงเรื่องโผทหารอีกครั้งว่า ใกล้ลงตัวแล้ว ไม่หนักใจ พร้อมย้ำว่า การปรับย้ายนายทหารปีนี้ จะยึดหลักความอาวุโส ความเหมาะสมตามคุณสมบัติเป็นหลักมากกว่าพวกพ้อง ส่วนจะถูกใจใครหรือไม่นั้น ไม่สามารถตอบได้.
“บุญสร้าง” ยอมรับโผโยกย้ายทหาร มีรายการคุณขอมา
“บุญสร้าง” รับโผทหารมีขัดแย้ง ปัด ตท.6 ไม่ปลื้ม “อนุพงษ์”