xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 22-28 มิ.ย.2551

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมัคร สุนทรเวช นายกฯ พับนกระหว่างฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน
คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. ตามคาด “นายกฯ -7 รมต.”ผ่านอภิปรายฉลุย ขณะที่ “นพดล”เสียงไว้วางใจต่ำสุด!

หลังจากรัฐบาลกลับลำกะทันหันยอมให้ 61 ส.ว.อภิปรายทั่วไปรัฐบาลโดยไม่ลงมติในวันที่ 23 มิ.ย.และเลื่อนการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้านให้เร็วขึ้นเป็นวันที่ 24-25 มิ.ย. ซึ่งถูกมองว่าเพื่อลดกระแสการเมืองนอกสภาและเพื่อเปิดทางให้นายกฯ ประกาศยุบสภาหนีปัญหาการเมืองได้นั้น ปรากฏว่า บรรยากาศการอภิปรายรัฐบาลโดย ส.ว. ที่น่าสนใจได้แก่ การอภิปรายของนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ที่ชี้ว่า รัฐบาลนี้มีพฤติกรรม “10 ไม่” คือ ไม่เคารพประชาชน เอาแต่เคารพกลุ่มก้อนในพรรค ไม่จัดคนที่เหมาะสมมาบริหารประเทศ ไม่แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ยึดธรรมาภิบาล ไม่ถือประโยชน์ส่วนรวม ไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มีภาวะผู้นำ พูดเท็จต่อสาธารณะ เอาสีข้างเข้าถูไปวันๆ บางกรณีหยาบคาย อันธพาล ไม่รักษาผลประโยชน์ของชาติ ไม่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์จากกลุ่มผู้คิดล้มล้าง แถมบางกรณีส่อว่าปกป้องช่วยเหลือ ไม่รับรององคมนตรี และแต่งตั้งคนที่มีแนวคิดปฏิปักษ์ต่อสถาบันมาดำรงตำแหน่งสำคัญ โดยนายคำนูณได้ยกใบเสร็จประกอบการอภิปราย 3 ใบ ใบเสร็จแรก เรื่องการจาบจ้วงสถาบันและสถาปนาระบบการเมืองใหม่ โดยชี้ว่า นอกจากรัฐบาลจะไม่จัดการขบวนการจาบจ้วงสถาบัน โดยปล่อยถึงขั้นให้มีการคิดว่า เงินบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลเป็นสิ่งที่ขัดต่อประชาธิปไตยและคิดว่าไม่ต้องมีกฎหมายอาญามาตรา 112 เรื่องดูหมิ่นสถาบันแล้ว นายกฯ ยังปกป้องรัฐมนตรีที่มีทัศนคติอันตรายต่อสถาบันด้วย ใบเสร็จที่ 2 เรื่องญัตติแก้ไข รธน.ซึ่งนายคำนูณ แฉว่า ร่าง รธน.ของ ส.ส.พรรคพลังประชาชนเหมือนกับร่าง รธน.ของ นปก.ของ นพ.เหวง โตจิราการ ซึ่งเป็นร่างที่ไม่มีการรับรองคณะองคมนตรี ดังนั้นหากแก้ รธน.สำเร็จ เท่ากับเป็นการล้มล้างองคมนตรีชุด พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ทันที ส่วนใบเสร็จที่ 3 เรื่องปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งนายคำนูณชี้ว่า รัฐบาลทำพลาด 2 ประเด็น คือการที่นายกฯ พูดยอมรับอธิปไตยเหนือปราสาทเขาพระวิหารของกัมพูชาผ่านรายการ “สนทนาประสาสมัคร” และการที่นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศลงนามในแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชาเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ทำให้ไทยหมดสิทธิที่จะคัดค้านอธิปไตยเหนือปราสาทเขาพระวิหารของกัมพูชาอีกต่อไป ทั้งที่ไทยใช้สิทธิคัดค้านมาตลอด นายคำนูณยังทิ้งท้ายด้วยว่า ถ้ารัฐบาลนี้บริหารไม่ดี ก็ต้องเปลี่ยนตั้งแต่นายกฯ ลงไป ถ้าเคารพประชาชน ประชาชนก็จะเคารพ ถ้าไม่เห็นหัวประชาชน ประชาชนก็จะไม่เห็นหัวรัฐบาล ด้านนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ได้ลุกขึ้นชี้แจงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยอ้างว่า การแก้ รธน.ไม่ได้แก้เพื่อตัวเอง แต่แก้เพื่อวันข้างหน้า ส่วนเรื่ององคมนตรีนั้น นายสมัครยืนยันว่า ไม่มีใครคิดเอาองคมนตรีออกจาก รธน.พร้อมอ้าง ตนมีสิทธิตักเตือนองคมนตรีไม่ให้ทำอะไรที่ไม่ควรทำ นายสมัครยังไม่วายแขวะนายคำนูณด้วยว่า “ไม่รู้ผู้อภิปรายคนนี้เป็นใครมาจากไหน ทำไมเข้ามาเป็น ส.ว.ได้ อย่านึกว่าวิเศษกว่าคนอื่น เป็น ส.ว.ใหม่ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ นี่จะเอากันให้ได้...” ส่วนบรรยากาศการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และ 7 รัฐมนตรี(1.นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง 2.นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีพาณิชย์ 3.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีมหาดไทย 4.นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม 5.นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีคมนาคม 6.นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยคมนาคม และ 7.นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ)โดยฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งตอนแรกรัฐบาลให้เวลาแค่วันครึ่ง คือตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 24 มิ.ย.ถึงเที่ยงคืนวันที่ 25 มิ.ย. แถมจะให้ฝ่ายค้านอภิปรายข้ามคืนในคืนวันที่ 24 มิ.ย.โดยไม่ต้องหลับต้องนอนนั้น เมื่อถูกฝ่ายค้านทักท้วง ในที่สุดรัฐบาลก็ยอมให้ไม่ต้องอภิปรายข้ามคืน รวมทั้งเพิ่มวันอภิปรายให้อีก 1 วันคือวันที่ 26 มิ.ย. และลงมติในวันที่ 27 มิ.ย. ก่อนพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 ต่อในวันที่ 27-28 มิ.ย. สำหรับไฮไลต์ในการอภิปรายนั้น ได้แก่ การอภิปรายของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ที่ชี้ว่า นอกจากรัฐบาลจะล้มเหลวใน 3 ปัญหาหลักๆ คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ,ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัญหาความขัดแย้งในสังคม เช่น การรวบรัดแก้ รธน.เพื่ออดีตนักการเมืองและลบล้างความผิดที่อาจมีการยุบพรรคแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องเขาพระวิหารซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุด และรัฐบาลพยายามบิดเบือนว่าไทยแพ้คดีตั้งแต่ พ.ศ.2505 พร้อมอ้างว่าที่แพ้คดีเพราะ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นทนายความในคดีนั้นไปยอมรับแผนที่ของฝรั่งเศสที่กัมพูชาอ้างในการฟ้องคดีให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะ ม.ร.ว.เสนีย์และทีมทนายของไทยไม่เคยยอมรับแผนที่ดังกล่าว นายอภิสิทธิ์ยังได้ทิ้งวาทะเด็ดให้นายสมัครที่เคยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์แต่มากล่าวหา ม.ร.ว.เสนีย์อดีตหัวหน้าพรรคด้วยว่า “ถ้านายสมัครจะเนรคุณ พ.ต.ท.ทักษิณสักครึ่งหนึ่งของ ม.ร.ว.เสนีย์ บ้านเมืองจะดีกว่านี้” ทั้งนี้ คำพูดดังกล่าวส่งผลให้นายสมัครไม่พอใจ จึงสวนกลับนายอภิสิทธิ์โดยยืนยันว่า ตนไม่เคยเนรคุณ ม.ร.ว.เสนีย์ เพราะ ม.ร.ว.เสนีย์เป็นอาจารย์ตน ไม่แค่นั้น นายสมัครยังยืนยันด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้มีบุญคุณที่ตนต้องทดแทน แต่ตนมีบุญคุณต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ และ พ.ต.ท.ทักษิณต้องตอบแทนบุญคุณตน ส่วนเรื่องแก้ รธน.นั้น นายสมัครอ้างว่า ทำไมจะแก้ไม่ได้ ถ้าไม่อยากให้แก้ คราวหลังก็ให้เขียนบอกไว้ ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้อภิปรายโจมตีนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศที่เสนอ ครม.ให้รับรองแผนที่กัมพูชาและลงนามในแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชาเพื่อสนับสนุนให้ขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกด้วยว่า นายนพดลกำลังทำให้ไทยต้องเสียดินแดนซ้ำรอยเมื่อปี 2505 เพราะการไปรับรองแผนที่ของกัมพูชา และการลงนามในแถลงการณ์ร่วมที่ระบุให้ไทยและกัมพูชาต้องจัดการพัฒนาพื้นที่ในเขตใกล้เคียงรอบปราสาทเขาพระวิหารนั้น เท่ากับไทยยอมรับสิทธิให้กัมพูชาเข้ามาบริหารจัดการแผ่นดินไทย แถมยังเอายูเนสโกมาเป็นพยานให้ฝ่ายกัมพูชาด้วย ไม่เท่านั้นแผนที่ของกัมพูชาที่รัฐบาลไทยรับรอง ในที่สุดก็จะย้อนรอยถูกกัมพูชานำมาอ้างเพื่อปิดปากไทยในอนาคตเมื่อมีการพิพาทเรื่องเขตแดน ขณะที่นายนพดล ชี้แจงยืนยันเหมือนที่เคยชี้แจงนอกสภามาหลายครั้งว่า กัมพูชาเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมพื้นที่ทับซ้อนหรือทำให้ไทยต้องเสียอธิปไตยแต่อย่างใด สำหรับไฮไลต์ของการอภิปรายไม่ไว้วางใจซึ่งถือว่าเป็นมวยคู่เอกอีกคู่หนึ่ง ก็คือ กรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่อภิปรายไม่ไว้วางใจ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีมหาดไทย โดยนายสุเทพ ชี้ว่า ร.ต.อ.เฉลิมไม่แก้ปัญหาภาคใต้ ไม่ลงพื้นที่ นอกจากนี้ยังใช้กรมที่ดินเป็นเครื่องมือทำลายคนอื่นและแสวงหาประโยชน์ การตั้งนายบุญเชิด คิดเห็น รองอธิบดีกรมที่ดินให้รักษาการอธิบดี ก็เพราะสามารถสั่งนายบุญเชิดได้ สั่งให้นายบุญเชิดทำเรื่องผิดเป็นเรื่องถูก เรื่องถูกเป็นผิด เช่น กรณีที่ดินของ บ.สยามเจ้าพระยาแลนด์ 173 ไร่ ที่ จ.ภูเก็ต นายบุญเชิดสั่งเพิกถอนสิทธิ์ไปเมื่อ 14 มี.ค.2551 แต่วันที่ 8 พ.ค.กลับถอนคำสั่งตัวเอง โดยอ้างว่าที่ดินมีมูลค่าสูง เกรงว่ารัฐจะต้องเสียหาย แต่องค์กรท้องถิ่นที่นั่นไม่ยอม จึงฟ้องร้องกันจนเรื่องแดงขึ้นมา ซึ่งยังไม่มีหลักฐานว่าบริษัทดังกล่าวจ่ายเงินให้รัฐมนตรีเท่าไหร่ นอกจากนี้ยังมีการออกเอกสารสิทธิที่ดินโดยมิชอบที่เกาะราชาใหญ่ 2 แปลง แปลงแรกออกให้ชาวบ้าน แต่ภายหลังนำไปขายให้กับ บ.ราชาใหญ่เอสเตท ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่ 2 ซึ่งเคยมีการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ไปแล้ว แต่กรมที่ดินโต้แย้งไป และตั้งคณะกรรมการสอบสวนสรุปว่าต้องเพิกถอน แต่ขณะนี้เสนอให้ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นผู้พิจารณา โดยเจ้าของที่ดินดังกล่าวก็เป็นคนของ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นคณะทำงานของ มท.1 คือ นายสุทธิชาติ อัศวศิรโยธิน ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม ชี้แจงโดยยอมรับว่า รู้จักนายสุทธิชาติ หรือ “ไอ้ตุ๊”มาตั้งแต่วัยรุ่น แต่ยืนยันว่านายสุทธิชาติไม่ได้มีตำแหน่งในกระทรวงมหาดไทย ไม่ได้เป็นที่ปรึกษาหรือเลขาฯ แต่อย่างใด เป็นแค่คนที่คอยซื้อข้าวซื้อก๋วยเตี๋ยวมาให้ทานเท่านั้น ร.ต.อ.เฉลิม ยังอ้างด้วยว่า นายสุเทพนำข้อมูลเท็จมาอภิปราย สำหรับผลการลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีทั้ง 7 คนเมื่อวานนี้(27 มิ.ย.)ซึ่งเป็นการลงมติแบบเปิดเผย ปรากฏว่า เป็นไปตามความคาดหมาย เพราะพรรคร่วมรัฐบาลต่างโหวตไว้วางใจให้ จึงไม่มีใครสอบตก โดยนายสมัคร สุนทรเวช ได้คะแนนไว้วางใจ 280 เสียง ไม่ไว้วางใจ 162 เสียง ,นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง ไว้วางใจ 279 ไม่ไว้วางใจ 161 งดออกเสียง 1 ,นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีพาณิชย์ ไว้วางใจ 279 ไม่ไว้วางใจ 161 งดออกเสียง 1 ,ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีมหาดไทย ไว้วางใจ 179 ไม่ไว้วางใจ 162 ,นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ไว้วางใจ 280 ไม่ไว้วางใจ 162 ,นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีคมนาคม ไว้วางใจ 279 ไม่ไว้วางใจ 162 ,นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยคมนาคม ไว้วางใจ 280 ไม่ไว้วางใจ 162 ส่วนนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ได้รับความไว้วางใจน้อยที่สุด 278 ไม่ไว้วางใจ 162 งดออกเสียง 1 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ซึ่งผู้ที่งดออกเสียงดังกล่าวคือ นพ.วัลลภ ไทยเหนือ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งให้เหตุผลที่งดออกเสียงให้นายนพดลว่า เพราะไม่ต้องการให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารฝ่ายเดียว ส่วนผู้ที่ไม่ลงคะแนนให้นายนพดล คือ นางอนุสรา ยังตรง ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชาชน อย่างไรก็ตาม นางอนุสรา อ้างในภายหลังว่า จริงๆ แล้วตนกดปุ่มไว้วางใจนายนพดล แต่เครื่องลงมติคงมีความผิดพลาด

“หุ่นเชิด” ฉลุยพรรคร่วม รบ.อุ้ม เทเสียงไว้วางใจท่วมท้น!!
เปิดโปง “สันติ” โดนลบชื่อจาก ม.รามฯ “รังสรรค์” ฝืนอุ้มกลับเข้าเรียนจนจบ
คำต่อคำ “มาร์ค” สรุปอภิปราย สับ “หมัก” มุ่งแทนคุณอดีตบิ๊กการเมือง
“ชวน” กรีด “หมัก” นักบิดเบือน ยัน “เสนีย์” ไม่เคยรับรองแผนที่เขมร
สภาวุ่น! ส.ว.จี้สำนึก “หุ่นเชิด” กวักมือเรียกฟังอภิปราย
“คำนูณ” อัด “หมัก” คิดล้มล้าง รธน.-ยกอธิปไตยให้เขมร

สุวัตร อภัยภักดิ์ (ซ้ายสุด)นำทีมทนายพันธมิตรฯ เตรียมตัวให้ศาลปกครองไต่สวนหลังขอให้ศาลคุ้มครองชั่วคราวด้วยการสั่งระงับแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา(26มิ.ย.)
2. “รบ.”หน้าแตก “ศาล ปค.”คุ้มครองชั่วคราว-สั่งระงับแถลงการณ์ร่วมเขาพระวิหาร!

หลังจากหลายฝ่ายในสังคมได้ออกมาคัดค้านอย่างหนักกรณีที่รัฐบาลและนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศให้การรับรองแผนที่ของกัมพูชาพร้อมลงนามในแถลงการณ์ร่วมเพื่อสนับสนุนกัมพูชาในการขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ปรากฏว่า นายนพดลได้พยายามลดกระแสต่อต้านด้วยการเสนอ ครม.เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ว่าในส่วนของไทยก็จะเตรียมเอกสารเพื่อเสนอยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนสระตราวและบันไดที่เป็นกรรมสิทธิ์ของไทยให้เป็นมรดกโลกเช่นกัน แต่คงไม่ทันการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่ประเทศแคนาดาในเดือน ก.ค.นี้ ขณะที่นายกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกมาปกป้องนายนพดลด้วยการแถลงยืนยันว่า แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่นายนพดลลงนามนั้น ไม่ใช่สนธิสัญญา จึงไม่เข้าข่ายมาตรา 190 ของ รธน.ที่จะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ด้าน ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิจัยเชี่ยวชาญระดับ 9 สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ จากการตรวจสอบแถลงการณ์ร่วมที่นายนพดลลงนามกับกัมพูชา พบว่า ขัดกับมติ ครม.เมื่อปี 2505 นอกจากนี้การลงนามดังกล่าวของนายนพดลยังเป็นการเอาอำนาจอธิปไตยของไทยไปจดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยยอมรับแนวเขตแผนที่ของกัมพูชา และมีการลงนามร่วมอย่างชัดเจน ซึ่งจะมีผลบังคับตามข้อผูกพันในแถลงการณ์ในอนาคต ดังนั้นสถาบันไทยคดีศึกษาจะรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อคัดค้านการยื่นขอจดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ขณะที่นายอดุล วิเชียรเจริญ อดีตประธานคณะกรรมการมรดกโลก ชี้ ทางเดียวที่จะหยุดรัฐบาลให้ระงับการลงนามสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาได้ก็คือ รัฐบาลต้องแถลงระงับการลงนามดังกล่าว ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลไม่ทำแน่ ดังนั้นสิ่งที่จะทำได้ก็คือ ต้องเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ให้เร็วที่สุด ก่อนที่วาระปราสาทเขาพระวิหารจะเข้าที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ด้านรัฐบาลพยายามลดกระแสคัดค้านการที่ ครม.ให้การรับรองแผนที่ของกัมพูชา โดยที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ได้มีมติให้เปลี่ยนคำว่า “แผนที่”เป็น “แผนผัง”ตามที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ เสนอ ขณะที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ยื่นฟ้องนายนพดล ปัทมะ และ ครม.ต่อศาลปกครอง(24 มิ.ย.)ฐานกระทำการโดยมิชอบกรณีลงนามในแถลงการณ์ร่วมเพื่อสนับสนุนกัมพูชาเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยไม่ทำตามขั้นตอน รธน.มาตรา 190 อีกทั้งแผนที่แนบท้ายยังแสดงว่า กัมพูชายืนยันว่าพื้นที่กันชนทางทิศตะวันออกและทิศใต้ของตัวปราสาทเป็นอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวอยู่เหนือคำพิพากษาของศาลโลก จึงขอให้ศาลปกครองเพิกถอนการกระทำของรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศที่เสนอแถลงการณ์ร่วมต่อ ครม.รวมทั้งเพิกถอนมติ ครม.วันที่ 17 มิ.ย.ที่เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วม และเพิกถอนการลงนามในแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีวันที่ 18 มิ.ย. พร้อมกันนี้ขอให้ศาลมีคำสั่งให้รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศยุติความผูกพันตามคำแถลงการณ์ร่วมต่อกัมพูชาและองค์การยูเนสโกด้วย นอกจากนี้พันธมิตรฯ ยังได้ขอให้ศาลคุ้มครองชั่วคราวด้วยการสั่งระงับการกระทำต่างๆ ดังกล่าวของ ครม.และรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศไว้เป็นการชั่วคราวด้วย ซึ่งศาลได้นัดไต่สวนเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.และในที่สุดได้มีคำสั่งวันที่ 28 มิ.ย.ให้ความคุ้มครองชั่วคราว ด้วยการสั่งระงับแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่ ครม.ให้การรับรองเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.โดยมิให้รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศและ ครม.นำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวไปดำเนินการใดใดที่เป็นการอ้างหรือใช้ประโยชน์ จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาเป็นอย่างอื่น โดยศาลให้เหตุผลในการคุ้มครองชั่วคราวครั้งนี้ว่า เนื่องจากพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อตกลงในแถลงการณ์ดังกล่าวอาจมีผลผูกพันประเทศไทยและทำลายน้ำหนักในการอ้างอิงเขตแดนที่ประเทศไทยยึดถือสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดนมาตลอด นอกจากนี้การกระทำดังกล่าวอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชน อันเป็นความเสียหายที่ยากแก่การเยียวยาในภายหลัง อีกทั้งหากศาลมีคำสั่งคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาแล้ว ก็ไม่มีผลกระทบต่อการบริหารงานของรัฐและยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยที่ยังคงสงวนสิทธิ์โต้แย้งคำพิพากษาของศาลโลกในคดีปราสาทเขาพระวิหารไว้เช่นเดิม จึงมีเหตุเพียงพอที่ศาลจะคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาได้ ทั้งนี้ หลังศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ได้เตรียมฟ้องดำเนินคดีนายนพดลและ ครม. รวมถึงอธิบดีกรมสนธิสัญญา และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)ฐานทำให้ไทยเสียดินแดนและทำให้รัฐต่างประเทศเป็นปฏิปักษ์กับรัฐไทย นอกจากนี้ยังจะร้อง ป.ป.ช.ให้ดำเนินคดี ครม.ชุดนี้ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วย ด้านนายกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศ พูดถึงกรณีที่ศาลปกครองสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ระงับแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่ ครม.และนายนพดลรับรองว่า คงต้องมีการอุทธรณ์ไปยังศาลปกครองสูงสุด และว่า การที่กัมพูชาจะขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกได้หรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ไทยให้การยินยอม แต่ขึ้นอยู่กับความเห็นหรือมติของคณะกรรมการมรดกโลก นายกฤต ยังออกอาการปกป้องรัฐบาลด้วยว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายของรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาก็ดำเนินการตามขั้นตอน โดยรัฐบาลไทยได้พยายามดำเนินการขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกับกัมพูชา แต่กัมพูชายืนยันจะขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียว ส่วนความเคลื่อนไหวของทางกัมพูชานั้น หลังมีกระแสคัดค้านในไทยถึงขนาดมีประชาชนและพระสงฆ์เดินเท้าไปปักหลักที่ผามออีแดง เชิงเขาพระวิหาร จ.ศรีษะเกส เพื่อประท้วงการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารของกัมพูชาฝ่ายเดียว ปรากฏว่า ส่งผลให้ทางการกัมพูชาได้สั่งปิดประตูทางขึ้นปราสาทเขาพระวิหารตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. โดยอ้างว่า ชาวกัมพูชาที่ค้าขายบริเวณทางขึ้นปราสาทเขาพระวิหารอาจไม่ได้รับความปลอดภัยจากคนไทยที่ประท้วงดังกล่าว

ศาลฯ คุ้มครอง"เขาพระวิหาร" - ทนายกู้ชาติเตรียมฟ้อง"นพเหล่"-ครม.ยกชุด
กรมสนธิสัญญาฯ เตรียมอุทธรณ์ เลิกสั่งคุ้มครอง "เขาพระวิหาร"

ดูชัดๆ แถลงการณ์ร่วม ‘นพดล’ ลงนามหนุนกัมพูชาขึ้นทะเบียน ‘ปราสาทพระวิหาร’
จับโกหก! ‘นพเหล่’ เคยให้สัมภาษณ์จะไม่ยื่น “บันได-สระตราว” เป็นมรดกโลก

“สุวัตร” มั่นใจศาลปกครองสั่งเพิกถอนมติ ครม.เขาพระวิหาร
“สมศักดิ์” เชื่อเซ็นยกเขาพระวิหาร จุดจบ “หมัก-นพดล” ติดคุกหัวโต
นศ.ม.รังสิต ล่ารายชื่อร้องยูเนสโก ค้านจดทะเบียนเขาพระวิหาร
พันธมิตรฯ มอบรายชื่อค้านขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร

สุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ
3. “พันธมิตรฯ”เตรียมเป่านกหวีดเคลื่อนไหวใหญ่ หลังชนะยกแรกคดีเขาพระวิหาร!

หลังผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคลื่อนพลประชาชนเรือนแสนจากสะพานมัฆวานรังสรรค์ไปปักหลักชุมนุมที่ข้างทำเนียบรัฐบาลได้สำเร็จเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ปรากฏว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ยังไม่มีทีท่าว่าจะลาออกตามแรงกดดัน แถมยังพูดท้าทายพันธมิตรฯ ผ่านรายการ “สนทนาประสาสมัคร”เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ว่า “ดูสิว่าใครจะอึดกว่ากัน”พร้อมยืนยัน วันจันทร์(24 มิ.ย.)จะเข้าทำงานในทำเนียบรัฐบาลตามปกติ วันอังคารก็จะประชุม ครม.ที่ทำเนียบฯ ด้าน พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้เตรียมกำลังตำรวจรักษาความปลอดภัยทั้งภายในและภายนอกทำเนียบฯ กว่า 3 พันนายเพื่ออารักขานายสมัครที่บอกว่าจะเข้าทำงานในทำเนียบฯ เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. แต่สุดท้ายก็เตรียมกำลังเก้อ เพราะนายสมัครไม่เข้าทำเนียบฯ ตามที่ประกาศไว้ แต่ได้เข้าประชุม ครม.ที่ทำเนียบฯ ในวันต่อมา โดยผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ได้ขัดขวางการเข้าทำเนียบฯ ของนายสมัครและรัฐมนตรีแต่อย่างใด ทั้งนี้ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากกลุ่มพันธมิตรฯ จะแสดงออกซึ่งความรักชาติและหวงแหนอธิปไตยด้วยการร้องศาลปกครองให้เพิกถอนมติ ครม.และแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่ ครม.และนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศลงนามรับรองเพื่อสนับสนุนกัมพูชาในการขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งสามารถทำได้สำเร็จ เพราะในที่สุดศาลฯ ได้สั่งคุ้มครองชั่วคราวด้วยการระงับแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นการชั่วคราวแล้ว แกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5 ยังได้ผุดไอเดีย “การเมืองใหม่”เพื่อให้นักวิชาการและภาคส่วนต่างๆ ในสังคมช่วยกันขบคิดขยายผลว่าการเมืองไทยควรก้าวพ้นลัทธิเลือกตั้งที่ทุนเป็นใหญ่ ประเทศซื้อได้ และประชาชนเป็นเพียงผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ว่านอนสอนง่ายเท่านั้นหรือไม่ โดยนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ ขยายความแนวคิดดังกล่าวว่า เนื่องจากที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า การเมืองระบบรัฐสภาไม่สามารถเยียวยาหรือแก้ไขวิกฤตการณ์ของชาติได้อย่างเท่าทัน การเมืองใหม่ในความหมายของพันธมิตรฯ จึงเป็นการเมืองที่เอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง ลดอำนาจหน้าที่ของตัวแทนหรือผู้แทนลง ขณะเดียวกันก็เพิ่มบทบาทและอำนาจให้กับประชาชนมากขึ้น โดยสูตรผสมของผู้เข้าสู่อำนาจอาจจะมีสัดส่วน 70 : 30 คือ เพิ่มกระบวนการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นร้อยละ 70 และลดที่มาของผู้ดำรงตำแหน่งโดยวิธีการเลือกตั้งลงเหลือร้อยละ 30 ทั้งนี้ ในระหว่างที่ภาคส่วนต่างๆ ในสังคมจะช่วยกันขบคิดแนวคิดการเมืองใหม่ดังกล่าว พันธมิตรฯ จึงขอเป็นผู้ถือธงนำและประกาศเป็นพันสัญธญาในการต่อสู้ร่วมกับผู้รักความเป็นธรรมทั่วไปว่า “สงครามครั้งสุดท้ายโค่นล้มระบอบทักษิณ” เป็นเพียงระยะผ่านสู่ “สงครามอันศักดิ์สิทธิ์”คือการร่วมสร้าง “การเมืองใหม่”ให้เกิดขึ้นจริง นายสุริยะใส เผย(25 มิ.ย.)ด้วยว่า นอกจากแนวคิดการเมืองใหม่แล้ว แกนนำพันธมิตรฯ ยังได้เตรียมเป่านกหวีดเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เร็วๆ นี้ โดยหากศาลปกครองมีมติให้ระงับแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชากรณีขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารที่ ครม.และนายนพดลให้การรับรอง จะถือเป็นเหตุผลสำคัญที่พรรคร่วมรัฐบาลและประชาชนจะไม่วางใจรัฐบาลให้บริหารอีกต่อไป

“สนธิ” ซักซ้อมเป่านกหวีด-แฉแผนยุบสภาหลังผ่านงบประมาณ
พันธมิตรฯ ถกเป่านกหวีดเฉ่งป่าหี่พรรคร่วมโหวตอุ้มศพหุ่นเชิด
พันธมิตรฯ ลงมติรัฐบาลหุ่นเชิดลาออกภายใน 7 วัน
“จำลอง” ยกระดับที่ชุมนุมเป็นดินแดนแห่งการเสียสละ
พันธมิตรฯ แถลงผลสำเร็จชุมนุมใหญ่ - ยันไม่บุกทำเนียบเด็ดขาด


4. สินบน 2 ล้านพ่นพิษ ศาลสั่งจำคุก “ทีมทนายทักษิณ”ทันที 6 เดือน พร้อมฟันอาญาซ้ำ!
พิชิฏ ชื่นบาน ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ขึ้นศาลฟังคำสั่งคดีสินบน 2 ล้าน(25 มิ.ย.)
เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีทนายความอดีตนักการเมืองนำถุงขนมใส่เงิน 2 ล้านมามอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ได้ออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำสั่งคดีนี้ หลังจากได้สอบผู้เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาและทีมทนายที่นำถุงขนมใส่เงิน 2 ล้านมามอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฯ ไปเรียบร้อยแล้ว โดยศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ลงโทษสถานหนักทีมทนายดังกล่าวจำนวน 3 คน ฐานละเมิดอำนาจศาล ประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาล จึงให้จำคุกคนละ 6 เดือน ไม่รอลงอาญา เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป ซึ่งทีมทนายดังกล่าวประกอบด้วย นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ,น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ เสมียนทนายความและเลขานุการส่วนตัวของนายพิชิฏ และนายธนา ตันศิริ ผู้ประสานงานคดี พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ซึ่งนายธนาเป็นญาติของคุณหญิงพจมานด้วย เพราะภรรยาของนายธนาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณหญิงพจมาน ทั้งนี้ นอกจากศาลฎีกาจะสั่งให้จำคุกทนายทั้งสามแล้ว ยังจะแจ้งความดำเนินคดีทีมทนายดังกล่าวฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานด้วย สำหรับคดีนี้ จากการไต่สวนข้อเท็จจริงพบว่า เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานจะเดินทางมาศาลเพื่อรายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีซื้อที่รัชดาฯ ทนายทั้งสามของ พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางมาถึงศาลก่อน และขึ้นไปที่ชั้น 4 ของอาคารศาลเพื่อยื่นคำร้องการรายงานตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ซึ่งมี ม.ล.ฐิติพงศ์ ชมพูนุท นิติกรประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา เป็นผู้ดูแลสำนวน จากนั้น น.ส.ศุภศรี 1 ในทีมทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณได้ยื่นคำร้องพร้อมแจ้ง ม.ล.ฐิติพงศ์ว่า นายธนา 1 ในทีมทนายให้ไปพบที่ห้องพักทนายความเพื่อปรึกษาคดี เมื่อเข้าไปพบ นายธนาได้หยิบถุงกระดาษส่งให้ ม.ล.ฐิติพงศ์ พร้อมบอกว่า “ระยะนี้ต้องมาติดต่อบ่อย เห็นใจเจ้าหน้าที่ เลยเอาของมาฝากให้ไปแบ่งกัน” จากนั้น ม.ล.ฐิติพงศ์ ได้เดินไปหานายรักเกียรติ วัฒนพงษ์ เลขานุการศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ แต่ไม่อยู่ เพราะไปประชุมที่รัฐสภา จึงไปพบนายอนันต์ วงศ์ประภารัตน์ เลขานุการศาลฎีกาที่กำลังเดินตรวจความเรียบร้อยในศาลฎีกา โดยปรึกษาว่าทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณนำสิ่งของเป็นถุงกระดาษสีขาวปิดสก๊อตเทปใสมิดชิดมาให้เจ้าหน้าที่ จะรับไว้ได้หรือไม่ นายอนันต์จึงสั่งให้เปิดถุง เมื่อพบว่าเป็นเงิน จึงสั่งให้คืนเจ้าของไป เพราะการรับถุงไว้น่าจะเป็นการไม่ชอบ อาจละเมิดอำนาจศาล และเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงาน โดยได้มีการถ่ายรูปเงินและถุงดังกล่าวไว้เป็นหลักฐาน ทั้งนี้ แม้นายธนาจะให้การต่อศาลโดยอ้างว่า คนขับรถหยิบถุงผิดมาให้ เพราะแทนที่จะหยิบถุงช็อกโกแลต กลับหยิบถุงเงินที่ตั้งใจนำไปฝากธนาคารมาให้เจ้าหน้าที่ศาล แต่ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะขณะที่เจ้าหน้าที่ศาลนำถุงเงินไปคืนกับมือนายธนา ได้ถามนายธนาว่ารู้หรือไม่ว่าข้างในมีอะไร นายธนาก็ตอบว่ารู้ ก่อนเดินกลับไป ซึ่งหากนายธนาเห็นว่าไม่ใช่ถุงขนมก็ต้องรีบทักท้วง อีกทั้งหากนายธนาจะนำช็อกโกแลตมาให้เจ้าหน้าที่ศาลจริง ก็ควรมอบให้ที่เคาน์เตอร์อย่างเปิดเผย เพื่อความบริสุทธิ์ใจ ดังนั้นศาลจึงเชื่อว่านายธนารู้อยู่แล้วว่าในถุงกระดาษที่นำมามอบให้เจ้าหน้าที่ศาลมีเงิน 2 ล้าน ส่วนกรณีที่ว่านายพิชิฏและ น.ส.ศุภศรีมีส่วนรู้เห็นการกระทำของนายธนาหรือไม่นั้น จากการไต่สวนพบว่า ทั้งสองอยู่ในเหตุการณ์ โดย น.ส.ศุภศรีเป็นคนแจ้งให้ ม.ล.ฐิติพงศ์ไปพบนายธนาที่ห้องพักทนายความ และเมื่อ ม.ล.ฐิติพงศ์เดินออกมาพร้อมถุงกระดาษแล้ว ทั้งนายพิชิฏและ น.ส.ศุภศรีก็เห็นเหตุการณ์ แต่ก็มิได้ซักไซ้ไล่เรียงให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับถุงกระดาษหรือนำถุงสิ่งของที่ถูกต้องมาเปลี่ยนแต่อย่างใด แถมภายหลังนายพิชิฏยังโทรศัพท์มาขอโทษ ม.ล.ฐิติพงศ์ พร้อมทั้งสอบถามความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องถุงเงินดังกล่าวด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวจึงฟังได้ว่า ทั้งนายพิชิฏและ น.ส.ศุภศรีมีส่วนรู้เห็นและเป็นตัวการร่วมกับนายธนา โดยแบ่งหน้าที่กันทำ สำหรับการนำถุงใส่เงิน 2 ล้านมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาฯ ของทีมทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้ ศาลถือว่าเป็นเหตุจูงใจให้เจ้าหน้าที่ของศาลฎีกาฯ กระทำการอันมิชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ โดยอาจเชื่อมโยงเป็นประโยชน์ต่อคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาฯ การกระทำของบุคคลทั้งสามจึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและพาณิชย์มาตรา 31(1) ,33 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และน่าจะมีมูลความผิดตามฐานให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงาน ทั้งนี้ การกระทำของบุคคลทั้งสามเป็นการกระทำที่อุกอาจท้าทายและเกิดขึ้นที่ศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลยุติธรรมสูงสุดของประเทศ อีกทั้งผู้กระทำประกอบอาชีพทนายความและที่ปรึกษากฎหมาย ย่อมตระหนักดีว่าการกระทำดังกล่าวจะก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันศาลยุติธรรมและจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือศรัทธาในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรในอำนาจตุลาการ จึงเห็นสมควรลงโทษสถานหนักเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป โดยให้จำคุกบุคคลทั้งสามคนละ 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา รวมทั้งให้เลขานุการศาลฎีกาแจ้งความดำเนินคดีบุคคลทั้งสามและผู้ที่เกี่ยวข้องฐานติดสินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 144 ด้วย ด้านนายพิชิฏ ชื่นบาน เมื่อได้ฟังคำสั่งศาลถึงกับมีสีหน้าเคร่งเครียดและตาแดง ขณะที่ น.ส.ศุภศรีถึงกับร้องไห้ ส่วนทางด้านนายธนา ซึ่งไม่ได้เดินทางมาศาลฯ โดยอ้างว่าป่วยปวดหัว จึงขอเลื่อนฟังคำสั่งศาลออกไป 7 วันนั้น ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีเหตุผลเพียงพอ จึงได้ยกคำร้อง พร้อมทั้งให้ออกหมายจับนายธนามาบังคับคดีตามคำสั่งศาลต่อไป ซึ่งในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบตัวนายธนาแล้วที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.และทำการอายัดตัวไว้แล้ว หากนายธนาออกจากโรงพยาบาลเมื่อใดจะนำตัวส่งศาลเพื่อส่งเข้าเรือนต่อไป โดยนายธนาแจ้งว่า จะขอพักรักษาตัวถึงวันที่ 1 ก.ค. ทั้งนี้ คำสั่งของศาลฎีกาถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหาจะไม่สามารถอุทธรณ์ใดใดได้ และแม้ว่านายพิชิฏจะให้ทนายยื่นคำร้องขอประกันตัว แต่ศาลได้ยกคำร้อง ทางเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงได้ควบคุมตัวนายพิชิฏไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ขณะที่ น.ส.ศุภศรีถูกนำตัวไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลางบางเขน ซึ่งเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ยืนยันว่า ผู้ต้องหาดังกล่าวจะไม่ได้รับอภิสิทธิ์แต่อย่างใด ด้านทีมทนายที่เหลือของ พ.ต.ท.ทักษิณในคดีซื้อที่รัชดาฯ ยืนยันว่า การที่ศาลสั่งจำคุกนายพิชิฏจะไม่กระทบกระเทือนต่อการว่าความในคดีทุจริตซื้อที่รัชดาฯ ขณะที่สภาทนายความเตรียมพิจารณาลบชื่อนายพิชิฏ ,นายธนา และ น.ส.ศุภศรีออกจากบัญชีทนายความหลังบุคคลทั้งสามถูกตัดสินจำคุก ซึ่งจะส่งผลให้ทั้งสามไม่สามารถว่าความต่อไปได้อีก ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แม้จะไม่ออกมาพูดเรื่องสินบน 2 ล้านดังกล่าวด้วยตนเอง แต่ก็ได้ออกแถลงการณ์โดยให้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัวนำมาเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน โดยบอกว่า เสียใจที่ทีมทนายของตนถูกกล่าวหาว่านำเงิน 2 ล้านไปมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกา พร้อมยืนยันว่า ตนไม่ได้ประโยชน์จากการกระทำดังกล่าว เพราะเจ้าหน้าที่ธุรการของศาลไม่มีอำนาจในการพิจารณาคดี ด้าน พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 กล่าวถึงกรณีที่ตัวแทนศาลฎีกาเข้าแจ้งความดำเนินคดีทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณฐานติดสินบนเจ้าหน้าที่ศาล 2 ล้านว่า พนักงานสอบสวนจะสอบว่าเงิน 2 ล้านเอามาจากไหน จะเอาไปเข้าแบงก์หรือเอาไปทำอะไร ถ้าตอบเคลียร์ก็จบ ถ้าไม่เคลียร์ก็มีปัญหา อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.อำนวย ตั้งข้อสังเกตว่า เท่าที่ฟังดูเหมือนกับว่าเป็นการซื้อความสะดวก มาติดต่อบ่อยๆ ให้เอาไปแบ่งกัน ซึ่งจะมีปัญหาข้อกฎหมายอยู่ว่าถึงขนาดล้มคดีหรือยัง ถ้ายังไม่เป็นการโน้มน้าวให้กระทำผิดกฎหมายตามองค์ประกอบของกฎหมาย ก็ยังไม่ผิด.

จำคุก 6 เดือน แก๊งทนายแม้วติดสินบนศาล!
อุทาหรณ์! สภาทนายชี้ “หมอความ” ทุกคนต้องไม่รับใช้-เป็นทาสเงิน
“พิชิฏ” หนีความจริง! ยันร้องไห้เพราะตื้นตันใจ-ไม่ใช่เครียด
“ธนา ตันศิริ” หนีไม่พ้น! ตร.บุกอายัดตัวใน รพ.บำรุงราษฎร์

ตร.รอแพทย์ไฟเขียวเอาตัว “ทนายแม้ว” ขังคุก เผยเหตุนอนหยอดน้ำเกลือ
ศาลมอบคำพิพากษาให้ ตร.ฟัน “ทนายแม้ว” ติดสินบน
“แม้ว” ส่งโฆษกปัดเอี่ยวทนายติดสินบนศาล ลั่นไม่หนีคดี

กำลังโหลดความคิดเห็น