ศูนย์ข่าวภูมิภาค - "สมเด็จพระบรมฯ-พระองค์โสมฯ-ทูลกระหม่อมหญิงฯ" ประทานดอกไม้เยี่ยมปลอบขวัญ 7 ทหารพรานกล้าที่ปะทะกับทหารกัมพูชา ที่ รพ.ทหารฯ ในอุบล สมชายคึกเตรียมลงพื้นที่ นักวิชาการแฉ! เขมรเปิดฉากปะทะเพราะผลประโยชน์แอบแฝง สุขุมพันธ์ปูดต่างชาติร่วม 3 พันซ่องสุมในเขมร ขณะที่ทหาร 2 ฝ่าย ยังระดมกำลังพร้อมอาวุธหนักเคลื่อนเข้าเสริมกำลังรอบเขาพระวิหาร
บัวแก้วประท้วงซ้ำ ชี้ชัดเขมรยิงก่อน ขอประณามอย่างรุนแรง
วานนี้ (16 ต.ค.) สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้พระราชทานดอกไม้เยี่ยมอาการบาดเจ็บของทหารพรานที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับทหารกัมพูชาที่ภูมะเดื่อ ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา และถูกส่งมารักษาตัวที่โรงพยาบาลทหารค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ทั้งสิ้น 7 นาย คือ ร.ท.ธนพล พงษ์, จ.ส.อ.แสวง สมอินทร์, ทพ.จรวย วงศ์คำ, ทพ.วิรัตน์ บุญมาก, ทพ.กิตติศักดิ์ เพชรพักตร์, ทพ.ทองสา คำนนท์ และ ทพ.บุญฤทธิ์ ขันตี โดยมีนายชวน ศิรินันทพร ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นผู้แทนพระองค์มอบ ซึ่งยังความปลื้มปีติแก่ทหารอย่างหาที่สุดมิได้
นอกจากนี้ ในเวลา 09.45 น.นายวิโรจน์ เหมือนแก้ว รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี และคณะเหล่ากาชาดจังหวัด ได้อัญเชิญแจกันดอกไม้ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เยี่ยมอาการบาดเจ็บของทหารพรานทั้ง 7 นาย
ในเวลาต่อมา พล.อ.เสริมศักดิ์ วิเศษไชยศรี รองประธานมูลนิธิคุณพุ่ม เจนเซ่น ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯได้อัญเชิญแจกันดอกไม้พระราชทานเข้าเยี่ยมนายทหารที่บาดเจ็บทั้ง 7 นาย โดย พล.อ.เสริมศักดิ์ได้พูดคุยสอบถามอาการ ซึ่งทั้งหมดยังมีกำลังใจดีและมีบาดแผลได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดเป็นส่วนใหญ่
ขณะที่ในช่วงบ่ายนายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.แบบสัดส่วนเขต 4 พรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นตัวแทนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคนำดอกไม้ไปเยี่ยมอาการบาดเจ็บของทหารพรานที่ปะทะกับทหารกัมพูชาด้วยเช่นกัน
**นายกฯ เตรียมไปเยี่ยมทหารเจ็บ
ด้านนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวว่า เหตุกาณ์การปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาในพื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทพระวิหารในครั้งนี้ ประเทศไทยยังคงยึดมั่นแนวทางในการเจรจากับกัมพูชา เพราะไม่อยากจะจุดฉนวนเหตุการณ์ให้ลุกลามเป็นวงกว้าง พร้อมระบุว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงและใหญ่โตแต่อาจมีนายทหารได้รับบาดเจ็บจากการปะทะบ้าง ซึ่งถือว่าเป็นภารกิจและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ส่วนตัวแล้วรู้สึกเห็นใจและเป็นห่วงซึ่งภายใน 1-2 วันนี้จะหาโอกาสเดินทางลงพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารเพื่อเข้าเยี่ยมอาการของนายทหารที่ได้รับบาดเจ็บ พร้อมสร้างขวัญและกำลังใจให้กับนายทหารที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุการณ์ตนยังไม่ได้ต่อสายโทรศัพท์พูดคุยกับสมเด็จฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา เพราะเรื่องนี้มีคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาทำหน้าที่เจรจาอยู่แล้ว
**แฉเขมรมีผลประโยชน์แอบแฝง
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงเหตุปะทะกันโดยที่มีการระบุว่าทหารกัมพูชาเป็นผู้เปิดฉากยิงก่อนว่า ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ แต่ว่ามีเบื้องหลังแอบแฝงอยู่ ทั้งเรื่องการเมือง และผลประโยชน์ทางธุรกิจ ที่จะได้จากแผนพัฒนาพื้นที่อนุรักษ์รอบปราสาทพระวิหาร และแหล่งพลังงานในอ่าวไทย
"กัมพูชาเปิดเกมนี้หวังชิงความได้เปรียบทางการทูต ขณะที่รัฐบาลไทยกำลังอยู่ในช่วงอ่อนแอ และยังเชื่อว่าหากไทยเร่งเสนอแผนพัฒนาพื้นที่อนุรักษ์รอบปราสาทพระวิหารโดยที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ประโยชน์ก็จะยุติปัญหานี้ได้ ข้อพิพาทต่างๆ ก็จะกลับสู่การเจรจาทวิภาคีไทย-กัมพูชา" รศ.ดร.ปณิธาน กล่าว
**อภิสิทธิ์จี้รัฐบาลเร่งแก้ปมขัดแย้ง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ขอให้รัฐบาลแก้ปัญหานี้โดยเร็วที่สุดและยังเชื่อว่าปัญหาจะสามารถยุติได้ในการเจรจาระดับทวิภาคี ซึ่งมีกรอบการทำงานอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องยกระดับเรื่องไปสู่อาเซียน หรือสหประชาชาติ
"จากคำชี้แจงของกองทัพ มีจุดยืนที่ชัดเจนคือประเทศไทยไม่รุกราน ไม่กลั่นแกล้งใคร เพียงแต่รักษาอธิปไตยของไทยไว้กับประเทศกัมพูชา รัฐบาลไทยมีโครงการความช่วยเหลือมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเงินกู้หรือสร้างถนน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเจตนาที่จะไปรุกรานประเทศเพื่อนบ้านแน่นอน ซึ่งเชื่อว่ากระทรวงต่างประเทศกำลังดำเนินการชี้แจงให้ประชาคมโลกทราบข้อเท็จจริงอยู่" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเพราะการเมืองไทยอ่อนแอ จึงเป็นช่องให้กัมพูชารุกเข้ามานั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การเมืองเป็นเรื่องภายในของเราหวังว่ารัฐบาลจะทำงานแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้สำเร็จโดยเร็ว เพราะวันนี้สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานมาก ซึ่งฝ่ายค้านเราก็ให้โอกาสรัฐบาลไปดูแลแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้เรียบร้อย
***สุขุมพันธ์ปูดต่างชาติร่วม 3 พัน
ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ และรมว.ต่างประเทศเงา เชื่อว่าการเป็นการวางระเบิดขึ้นมาใหม่ของกัมพูชา ซึ่งเท่ากันว่ากัมพูชาได้กระทำผิดสนธิสัญญาออตโตวา ที่ห้ามไม่ให้มีการวางระเบิด โดยกัมพูชาเป็นประเทศแรกๆ ที่ผลักดันในเรื่องนี้และร่วมลงนามในอนุสัญญาดังกล่าวจนเป็นเหตุให้ได้รับความช่วยเหลือกจากชาติตะวันตกในการเข้ามาช่วยเหลือกู้กับระเบิดที่มีเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อกัมพูชาได้มีการวางระเบิดในพื้นที่ทับซ้อนขึ้นมาอีกครั้ง จึงอยากให้ประเทศตะวันตกได้ดำเนินตอบโต้กัมพูชาด้วยโดยเฉพาะในเรื่องงบประมาณ เพราะการกู้กับระเบิดแต่ลูกต้องให้งบประมาณกว่า 20 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งขณะที่มีกับระเบิดในฝั่งของกัมพูชาที่อยู่ในระหว่างเก็บกู้ และยังไม่หมดอีกนับแสน และเมื่อกัมพูชา เป็นผู้ละเมินเองควรจะได้รับการตอบโต้ด้วย
ม.ร.ว.สุขุมพันธ์อ้างว่า ได้รับทราบจากแหล่งข่าวใกล้ชิดที่อยู่ในฝ่ายความมั่นคง ว่ามีกองกำลังต่างชาติ เคลื่อนกำลังเข้ามายังประเทศกัมพูชา เพื่อร่วมรบ โดยมีกองกำลังทหารจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศกัมพูชากว่า 3 พันคน แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันจากกองทัพ แต่เชื่อว่ากองทัพ น่าจะเป็นผู้รู้ดีที่สุด
**ทหารไทย-เขมรยกกำลังประจันหน้า
ด้านความคืบหน้าสถานการณ์ความตรึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา หลังทหารไทยกับทหารกัมพูชาเปิดฉากปะทะกันกว่า 30 นาทีที่บริเวณภูมะเขือด้านชายแดนไทย-กัมพูชา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ห่างจากเขาพระวิหารไปทางด้านทิศตะวันตกประมาณ 2.5-3 กิโลเมตร ส่งผลให้ทหารไทยบาดเจ็บ 7 นาย และมีรายงานว่าทหารกัมพูชาเสียชีวิต 2 นายบาดเจ็บ 4 นายนั้น เมื่อเวลาประมาณ 01.30 น.ของวานนี้ที่บริเวณบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ได้มีขบวนรถบรรทุกทหารหลาย 10 คัน บรรทุกทหารพร้อมด้วยอาวุธหนักเบาครบมือจากหลายหน่วยในสังกัดกองทัพภาคที่ 2 เดินทางเข้าไปยังบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารเพื่อเสริมกำลังทหารตามแนวชายแดนรอบเขาพระวิหาร
ขณะเดียวกันได้มีขบวนรถถังประมาณ 5 คัน และรถส่งกำลังบำรุงเคลื่อนขบวนออกจากบริเวณที่ตั้งข้างหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 เข้าไปยังบริเวณภูมะเขือและช่องตาเฒ่า เพื่อเสริมกำลังป้องกันแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเพิ่มเติม
ส่วนความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชา มีรายงานข่าวแจ้งว่า ในช่วงเช้าวานนี้ทางฝ่ายกัมพูชาได้นำรถบรรทุกทหารกัมพูชาประมาณ 10 คัน มีทหารกัมพูชาเต็มคันรถพร้อมด้วยอาวุธหนักเบาครบมือและรถบรรทุกลากปืนใหญ่จำนวน 4 กระบอก มุ่งหน้าไปยังเขาพระวิหารเพื่อเสริมกำลังเตรียมปะทะกับทหารไทยอย่างเต็มที่
**ผลเจรจาตกลงลาดตระเวนร่วม
เวลา 11.00 น.พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 และคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพภาคที่ 2 และคณะ ได้เดินทางไปร่วมประชุมเจรจากับ พล.ท.เจีย มอน ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูขาที่ห้องประชุมศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนติดตามขึ้นไปทำข่าว นอกจากนี้ ยังขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนให้ย้ายจุดรายงานข่าวจากบริเวณด่านเก็บค่าธรรมเนียมอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ไปอยู่ที่บริเวณสามแยกบ้านภูมิซรอลเพื่อความปลอดภัยด้วย
เวลา 16.00 น.พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ ได้เผยถึงผลเจรจาโดยใช้เวลาร่วม 5 ชั่วโมงว่า การเจรจายังไม่มีความคืบหน้า แต่มีการตกลงกันว่าจะไม่มีการถอนกำลังออกจากบริเวณพื้นที่ที่มีการพิพาทกัน โดยจะมีการวางมาตรการในการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนที่ผ่านมา โดยจะให้มีการลาดตระเวนร่วมกันในพื้นที่พิพาทรวมทั้งบริเวณที่มีการปะทะกัน โดยการลาดตระเวนนั้นจะเริ่มขึ้นเมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสงสัยก็จะนัดหมายออกลาดตระเวนร่วมกันทันที
"การประชุมในวันนี้เป็นการตกลงกันในระดับผู้บังคับบัญชาว่า ทั้ง 2 ฝ่ายจะมีการควบคุมดูแลกำลังพลในส่วนของแต่ละฝ่ายให้อยู่ในความเรียบร้อย ซึ่งผมจะได้นำเอาข้อเสนอของทางฝ่ายกัมพูชาเข้าประชุมอาร์บีซี ระดับภูมิภาคที่จะมีการประชุมอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 ต.ค.นี้ ที่ จ.เสียมราฐ ประเทศกัมพูชาต่อไป" แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.
***บัวแก้วประท้วงเขมรอีกครั้ง
ตามที่ได้เกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชาในดินแดนไทยเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2551 นั้น รัฐบาลไทยได้ดำเนินการประท้วงรัฐบาลกัมพูชาอีกครั้งหนึ่งโดยการยื่นบันทึกช่วยจำอีกหนึ่งฉบับเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2551 สรุปสาระสำคัญของบันทึกช่วยจำดังกล่าวได้ดังต่อไปนี้
1. อ้างถึงบันทึกช่วยจำของกระทรวงการต่างประเทศไทย ฉบับลงวันที่ 15 ตุลาคม 2551 ประท้วงกรณีที่ทหารกัมพูชาได้ยิงใส่ทหารไทยที่กำลังลาดตระเวนอย่างสันติตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ในดินแดนไทยใกล้ภูมะเขือ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2551 แล้วนั้น ปรากฏว่ามีเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องเกิดขึ้นบริเวณผามออีแดง ระหว่างเวลา 14.25 – 15.00 น. ของวันที่ 15 ตุลาคม 2551 ซึ่งทหารกัมพูชาได้รุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยและยิงปืนไร้แรงสะท้อน (ปรส.) เครื่องยิงจรวดอาร์พีจี ปืนครก และปืนเล็กยาว เข้าใส่ทหารไทยที่ตั้งประจำอยู่ในบริเวณดังกล่าว
2. ทหารไทยจึงยิงตอบโต้ โดยถือเป็นการใช้สิทธิในการป้องกันตนเองตามที่ระบุในข้อ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ การกระทำอันเป็นปรปักษ์ของทหารกัมพูชานี้นำมาซึ่งการบาดเจ็บเพิ่มเติม จนทำให้จำนวนทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด มีทั้งสิ้น 7 ราย
3. สำหรับข้อกล่าวหาตามหนังสือกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศกัมพูชา ที่ 1678 เอ็มเอฟเอ-ไอซี/แอลซี 4 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2551 ว่า ทหารไทยเริ่มการโจมตีด้วยอาวุธหนักต่อทหารกัมพูชาที่ประจำอยู่ใน 3 พื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร นั้น กระทรวงการต่างประเทศขอแจ้งว่า ระหว่างเวลา 14.25 – 15.00 น. ของวันที่ 15 ตุลาคม 2551 ได้เกิดเหตุการณ์ยิงกันระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทยใน 2 พื้นที่เท่านั้น เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นที่พิกัด วีเอ 644933 ทางเหนือของช่องคานม้า ห่างจากเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาประมาณ 900 เมตร อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นที่พิกัด วีเอ 655917 ห่างจากเส้นเขตแดนประมาณ 400 เมตร ดังนั้น เหตุการณ์การยิงกันทั้งสองจึงมิได้เกิดขึ้นในพื้นที่ตามที่กัมพูชาได้อ้างถึง
4. รัฐบาลไทยขอประท้วงอย่างรุนแรงต่อการรุกรานเหล่านี้โดยทหารกัมพูชาในดินแดนของประเทศไทย ซึ่งขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดแจ้ง และขอประณามการบุกรุกอย่างต่อเนื่องและการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยเช่นนี้
5. รัฐบาลไทยยืนยันการยึดมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะร่วมมือกับรัฐบาลกัมพูชาภายใต้กรอบความร่วมมือทวิภาคีว่าด้วยคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ที่มีอยู่ เพื่อแก้ไขข้อพิพาททางดินแดนในปัจจุบันอย่างสันติ รัฐบาลไทยขอเรียกร้องด้วยว่า ขอให้รัฐบาลกัมพูชาถอนทหารของตนออกจากดินแดนไทย และดำเนินการเพื่อให้มั่นใจว่า เหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ จะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต.
บัวแก้วประท้วงซ้ำ ชี้ชัดเขมรยิงก่อน ขอประณามอย่างรุนแรง
วานนี้ (16 ต.ค.) สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้พระราชทานดอกไม้เยี่ยมอาการบาดเจ็บของทหารพรานที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับทหารกัมพูชาที่ภูมะเดื่อ ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา และถูกส่งมารักษาตัวที่โรงพยาบาลทหารค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ทั้งสิ้น 7 นาย คือ ร.ท.ธนพล พงษ์, จ.ส.อ.แสวง สมอินทร์, ทพ.จรวย วงศ์คำ, ทพ.วิรัตน์ บุญมาก, ทพ.กิตติศักดิ์ เพชรพักตร์, ทพ.ทองสา คำนนท์ และ ทพ.บุญฤทธิ์ ขันตี โดยมีนายชวน ศิรินันทพร ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นผู้แทนพระองค์มอบ ซึ่งยังความปลื้มปีติแก่ทหารอย่างหาที่สุดมิได้
นอกจากนี้ ในเวลา 09.45 น.นายวิโรจน์ เหมือนแก้ว รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี และคณะเหล่ากาชาดจังหวัด ได้อัญเชิญแจกันดอกไม้ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เยี่ยมอาการบาดเจ็บของทหารพรานทั้ง 7 นาย
ในเวลาต่อมา พล.อ.เสริมศักดิ์ วิเศษไชยศรี รองประธานมูลนิธิคุณพุ่ม เจนเซ่น ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯได้อัญเชิญแจกันดอกไม้พระราชทานเข้าเยี่ยมนายทหารที่บาดเจ็บทั้ง 7 นาย โดย พล.อ.เสริมศักดิ์ได้พูดคุยสอบถามอาการ ซึ่งทั้งหมดยังมีกำลังใจดีและมีบาดแผลได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดเป็นส่วนใหญ่
ขณะที่ในช่วงบ่ายนายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.แบบสัดส่วนเขต 4 พรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นตัวแทนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคนำดอกไม้ไปเยี่ยมอาการบาดเจ็บของทหารพรานที่ปะทะกับทหารกัมพูชาด้วยเช่นกัน
**นายกฯ เตรียมไปเยี่ยมทหารเจ็บ
ด้านนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวว่า เหตุกาณ์การปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาในพื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทพระวิหารในครั้งนี้ ประเทศไทยยังคงยึดมั่นแนวทางในการเจรจากับกัมพูชา เพราะไม่อยากจะจุดฉนวนเหตุการณ์ให้ลุกลามเป็นวงกว้าง พร้อมระบุว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงและใหญ่โตแต่อาจมีนายทหารได้รับบาดเจ็บจากการปะทะบ้าง ซึ่งถือว่าเป็นภารกิจและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ส่วนตัวแล้วรู้สึกเห็นใจและเป็นห่วงซึ่งภายใน 1-2 วันนี้จะหาโอกาสเดินทางลงพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารเพื่อเข้าเยี่ยมอาการของนายทหารที่ได้รับบาดเจ็บ พร้อมสร้างขวัญและกำลังใจให้กับนายทหารที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุการณ์ตนยังไม่ได้ต่อสายโทรศัพท์พูดคุยกับสมเด็จฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา เพราะเรื่องนี้มีคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาทำหน้าที่เจรจาอยู่แล้ว
**แฉเขมรมีผลประโยชน์แอบแฝง
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงเหตุปะทะกันโดยที่มีการระบุว่าทหารกัมพูชาเป็นผู้เปิดฉากยิงก่อนว่า ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ แต่ว่ามีเบื้องหลังแอบแฝงอยู่ ทั้งเรื่องการเมือง และผลประโยชน์ทางธุรกิจ ที่จะได้จากแผนพัฒนาพื้นที่อนุรักษ์รอบปราสาทพระวิหาร และแหล่งพลังงานในอ่าวไทย
"กัมพูชาเปิดเกมนี้หวังชิงความได้เปรียบทางการทูต ขณะที่รัฐบาลไทยกำลังอยู่ในช่วงอ่อนแอ และยังเชื่อว่าหากไทยเร่งเสนอแผนพัฒนาพื้นที่อนุรักษ์รอบปราสาทพระวิหารโดยที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ประโยชน์ก็จะยุติปัญหานี้ได้ ข้อพิพาทต่างๆ ก็จะกลับสู่การเจรจาทวิภาคีไทย-กัมพูชา" รศ.ดร.ปณิธาน กล่าว
**อภิสิทธิ์จี้รัฐบาลเร่งแก้ปมขัดแย้ง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ขอให้รัฐบาลแก้ปัญหานี้โดยเร็วที่สุดและยังเชื่อว่าปัญหาจะสามารถยุติได้ในการเจรจาระดับทวิภาคี ซึ่งมีกรอบการทำงานอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องยกระดับเรื่องไปสู่อาเซียน หรือสหประชาชาติ
"จากคำชี้แจงของกองทัพ มีจุดยืนที่ชัดเจนคือประเทศไทยไม่รุกราน ไม่กลั่นแกล้งใคร เพียงแต่รักษาอธิปไตยของไทยไว้กับประเทศกัมพูชา รัฐบาลไทยมีโครงการความช่วยเหลือมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเงินกู้หรือสร้างถนน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเจตนาที่จะไปรุกรานประเทศเพื่อนบ้านแน่นอน ซึ่งเชื่อว่ากระทรวงต่างประเทศกำลังดำเนินการชี้แจงให้ประชาคมโลกทราบข้อเท็จจริงอยู่" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเพราะการเมืองไทยอ่อนแอ จึงเป็นช่องให้กัมพูชารุกเข้ามานั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การเมืองเป็นเรื่องภายในของเราหวังว่ารัฐบาลจะทำงานแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้สำเร็จโดยเร็ว เพราะวันนี้สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานมาก ซึ่งฝ่ายค้านเราก็ให้โอกาสรัฐบาลไปดูแลแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้เรียบร้อย
***สุขุมพันธ์ปูดต่างชาติร่วม 3 พัน
ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ และรมว.ต่างประเทศเงา เชื่อว่าการเป็นการวางระเบิดขึ้นมาใหม่ของกัมพูชา ซึ่งเท่ากันว่ากัมพูชาได้กระทำผิดสนธิสัญญาออตโตวา ที่ห้ามไม่ให้มีการวางระเบิด โดยกัมพูชาเป็นประเทศแรกๆ ที่ผลักดันในเรื่องนี้และร่วมลงนามในอนุสัญญาดังกล่าวจนเป็นเหตุให้ได้รับความช่วยเหลือกจากชาติตะวันตกในการเข้ามาช่วยเหลือกู้กับระเบิดที่มีเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อกัมพูชาได้มีการวางระเบิดในพื้นที่ทับซ้อนขึ้นมาอีกครั้ง จึงอยากให้ประเทศตะวันตกได้ดำเนินตอบโต้กัมพูชาด้วยโดยเฉพาะในเรื่องงบประมาณ เพราะการกู้กับระเบิดแต่ลูกต้องให้งบประมาณกว่า 20 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งขณะที่มีกับระเบิดในฝั่งของกัมพูชาที่อยู่ในระหว่างเก็บกู้ และยังไม่หมดอีกนับแสน และเมื่อกัมพูชา เป็นผู้ละเมินเองควรจะได้รับการตอบโต้ด้วย
ม.ร.ว.สุขุมพันธ์อ้างว่า ได้รับทราบจากแหล่งข่าวใกล้ชิดที่อยู่ในฝ่ายความมั่นคง ว่ามีกองกำลังต่างชาติ เคลื่อนกำลังเข้ามายังประเทศกัมพูชา เพื่อร่วมรบ โดยมีกองกำลังทหารจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศกัมพูชากว่า 3 พันคน แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันจากกองทัพ แต่เชื่อว่ากองทัพ น่าจะเป็นผู้รู้ดีที่สุด
**ทหารไทย-เขมรยกกำลังประจันหน้า
ด้านความคืบหน้าสถานการณ์ความตรึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา หลังทหารไทยกับทหารกัมพูชาเปิดฉากปะทะกันกว่า 30 นาทีที่บริเวณภูมะเขือด้านชายแดนไทย-กัมพูชา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ห่างจากเขาพระวิหารไปทางด้านทิศตะวันตกประมาณ 2.5-3 กิโลเมตร ส่งผลให้ทหารไทยบาดเจ็บ 7 นาย และมีรายงานว่าทหารกัมพูชาเสียชีวิต 2 นายบาดเจ็บ 4 นายนั้น เมื่อเวลาประมาณ 01.30 น.ของวานนี้ที่บริเวณบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ได้มีขบวนรถบรรทุกทหารหลาย 10 คัน บรรทุกทหารพร้อมด้วยอาวุธหนักเบาครบมือจากหลายหน่วยในสังกัดกองทัพภาคที่ 2 เดินทางเข้าไปยังบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารเพื่อเสริมกำลังทหารตามแนวชายแดนรอบเขาพระวิหาร
ขณะเดียวกันได้มีขบวนรถถังประมาณ 5 คัน และรถส่งกำลังบำรุงเคลื่อนขบวนออกจากบริเวณที่ตั้งข้างหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 เข้าไปยังบริเวณภูมะเขือและช่องตาเฒ่า เพื่อเสริมกำลังป้องกันแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเพิ่มเติม
ส่วนความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชา มีรายงานข่าวแจ้งว่า ในช่วงเช้าวานนี้ทางฝ่ายกัมพูชาได้นำรถบรรทุกทหารกัมพูชาประมาณ 10 คัน มีทหารกัมพูชาเต็มคันรถพร้อมด้วยอาวุธหนักเบาครบมือและรถบรรทุกลากปืนใหญ่จำนวน 4 กระบอก มุ่งหน้าไปยังเขาพระวิหารเพื่อเสริมกำลังเตรียมปะทะกับทหารไทยอย่างเต็มที่
**ผลเจรจาตกลงลาดตระเวนร่วม
เวลา 11.00 น.พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 และคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพภาคที่ 2 และคณะ ได้เดินทางไปร่วมประชุมเจรจากับ พล.ท.เจีย มอน ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูขาที่ห้องประชุมศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนติดตามขึ้นไปทำข่าว นอกจากนี้ ยังขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนให้ย้ายจุดรายงานข่าวจากบริเวณด่านเก็บค่าธรรมเนียมอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ไปอยู่ที่บริเวณสามแยกบ้านภูมิซรอลเพื่อความปลอดภัยด้วย
เวลา 16.00 น.พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ ได้เผยถึงผลเจรจาโดยใช้เวลาร่วม 5 ชั่วโมงว่า การเจรจายังไม่มีความคืบหน้า แต่มีการตกลงกันว่าจะไม่มีการถอนกำลังออกจากบริเวณพื้นที่ที่มีการพิพาทกัน โดยจะมีการวางมาตรการในการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนที่ผ่านมา โดยจะให้มีการลาดตระเวนร่วมกันในพื้นที่พิพาทรวมทั้งบริเวณที่มีการปะทะกัน โดยการลาดตระเวนนั้นจะเริ่มขึ้นเมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสงสัยก็จะนัดหมายออกลาดตระเวนร่วมกันทันที
"การประชุมในวันนี้เป็นการตกลงกันในระดับผู้บังคับบัญชาว่า ทั้ง 2 ฝ่ายจะมีการควบคุมดูแลกำลังพลในส่วนของแต่ละฝ่ายให้อยู่ในความเรียบร้อย ซึ่งผมจะได้นำเอาข้อเสนอของทางฝ่ายกัมพูชาเข้าประชุมอาร์บีซี ระดับภูมิภาคที่จะมีการประชุมอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 ต.ค.นี้ ที่ จ.เสียมราฐ ประเทศกัมพูชาต่อไป" แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.
***บัวแก้วประท้วงเขมรอีกครั้ง
ตามที่ได้เกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชาในดินแดนไทยเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2551 นั้น รัฐบาลไทยได้ดำเนินการประท้วงรัฐบาลกัมพูชาอีกครั้งหนึ่งโดยการยื่นบันทึกช่วยจำอีกหนึ่งฉบับเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2551 สรุปสาระสำคัญของบันทึกช่วยจำดังกล่าวได้ดังต่อไปนี้
1. อ้างถึงบันทึกช่วยจำของกระทรวงการต่างประเทศไทย ฉบับลงวันที่ 15 ตุลาคม 2551 ประท้วงกรณีที่ทหารกัมพูชาได้ยิงใส่ทหารไทยที่กำลังลาดตระเวนอย่างสันติตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ในดินแดนไทยใกล้ภูมะเขือ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2551 แล้วนั้น ปรากฏว่ามีเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องเกิดขึ้นบริเวณผามออีแดง ระหว่างเวลา 14.25 – 15.00 น. ของวันที่ 15 ตุลาคม 2551 ซึ่งทหารกัมพูชาได้รุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยและยิงปืนไร้แรงสะท้อน (ปรส.) เครื่องยิงจรวดอาร์พีจี ปืนครก และปืนเล็กยาว เข้าใส่ทหารไทยที่ตั้งประจำอยู่ในบริเวณดังกล่าว
2. ทหารไทยจึงยิงตอบโต้ โดยถือเป็นการใช้สิทธิในการป้องกันตนเองตามที่ระบุในข้อ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ การกระทำอันเป็นปรปักษ์ของทหารกัมพูชานี้นำมาซึ่งการบาดเจ็บเพิ่มเติม จนทำให้จำนวนทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด มีทั้งสิ้น 7 ราย
3. สำหรับข้อกล่าวหาตามหนังสือกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศกัมพูชา ที่ 1678 เอ็มเอฟเอ-ไอซี/แอลซี 4 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2551 ว่า ทหารไทยเริ่มการโจมตีด้วยอาวุธหนักต่อทหารกัมพูชาที่ประจำอยู่ใน 3 พื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร นั้น กระทรวงการต่างประเทศขอแจ้งว่า ระหว่างเวลา 14.25 – 15.00 น. ของวันที่ 15 ตุลาคม 2551 ได้เกิดเหตุการณ์ยิงกันระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทยใน 2 พื้นที่เท่านั้น เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นที่พิกัด วีเอ 644933 ทางเหนือของช่องคานม้า ห่างจากเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาประมาณ 900 เมตร อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นที่พิกัด วีเอ 655917 ห่างจากเส้นเขตแดนประมาณ 400 เมตร ดังนั้น เหตุการณ์การยิงกันทั้งสองจึงมิได้เกิดขึ้นในพื้นที่ตามที่กัมพูชาได้อ้างถึง
4. รัฐบาลไทยขอประท้วงอย่างรุนแรงต่อการรุกรานเหล่านี้โดยทหารกัมพูชาในดินแดนของประเทศไทย ซึ่งขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดแจ้ง และขอประณามการบุกรุกอย่างต่อเนื่องและการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยเช่นนี้
5. รัฐบาลไทยยืนยันการยึดมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะร่วมมือกับรัฐบาลกัมพูชาภายใต้กรอบความร่วมมือทวิภาคีว่าด้วยคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ที่มีอยู่ เพื่อแก้ไขข้อพิพาททางดินแดนในปัจจุบันอย่างสันติ รัฐบาลไทยขอเรียกร้องด้วยว่า ขอให้รัฐบาลกัมพูชาถอนทหารของตนออกจากดินแดนไทย และดำเนินการเพื่อให้มั่นใจว่า เหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ จะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต.