xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 4-10 พ.ค.2551

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ส่วนหนึ่งของเหยื่อพายุไซโคลนนาร์กีสในพม่า
คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ


1. “ในหลวง-พระราชินี”ส่งสาส์นแสดงความเสียใจถึงพม่า หลังถูกพายุถล่ม ด้าน “พม่า”สุดซาบซึ้ง ไทย-ปท.แรกที่ช่วยเหลือ!

หลังประเทศพม่าต้องประสบกับพิบัติภัยทางธรรมชาติครั้งใหญ่จากการถูกพายุไซไคลน“นาร์กีส”พัดถล่ม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคน ปรากฏว่า ในส่วนของประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยไปยังสหภาพพม่า โดยมีข้อความว่า “ข้าพเจ้าและสมเด็จพระราชินี รู้สึกเศร้าสลดใจยิ่งนักที่ได้ทราบข่าวพายุไซโคลน“นาร์กีส”ในประเทศของท่าน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก ข้าพเจ้าและสมเด็จพระราชินีขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งมายังท่านและประชาชนชาวพม่า ตลอดจนครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากการสูญเสียอันน่าเศร้าและใหญ่หลวงครั้งนี้” ขณะที่รัฐบาลไทยก็ได้ให้ความช่วยเหลือแก่รัฐบาลพม่าเช่นกัน ทั้งในแง่ยารักษาโรค อาหารสำเร็จรูป เวชภัณฑ์ต่างๆ และอุปกรณ์การก่อสร้างที่จำเป็น ด้าน พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เผย(8 พ.ค.) พม่ารู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และขอบคุณคนไทยที่ให้การช่วยเหลือ ทั้งเครื่องอุปโภคบริโภค ยารักษาโรค ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ให้ความช่วยเหลือพม่าอย่างจริงใจ

"ในหลวง"พระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภค 2,000 ชุด ช่วยเหยื่อนาร์กีสที่พม่า
พม่าซาบซึ้งพระมหากรุณาธิคุณ “ในหลวง” ขอบคุณไทยช่วยเหลือชาติแรก
ผบ.สส.ระบุชาวพม่าซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง

 

2. กำหนดวันพระราชทานเพลิงพระศพ “สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ” 14-19 พ.ย.!
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงร่วมประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ครั้งที่ 1/2551 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
เมื่อวันที่ 6 พ.ค.(15.00น.)สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯ ยังตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อทรงร่วมประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในฐานะที่ทั้งสองพระองค์ทรงรับเป็นประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการจัดงานฯ ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี แถลงต่อสื่อมวลชนว่า ทั้งสองพระองค์ทรงให้ข้อคิดและมีรับสั่งให้เลือกวันที่จะจัดพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ โดยพระเมรุจะแล้วเสร็จเรียบร้อยในเดือน ต.ค. คณะกรรมการฯ จึงคาดว่าจะมีพระราชพิธีพระราชเพลิงพระศพในเดือน พ.ย. ทั้งนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเห็นว่า น่าจะให้งานทอดกฐินและงานลอยกระทงของประชาชนซึ่งตรงกับวันที่ 12 พ.ย.ผ่านพ้นไปก่อน ที่ประชุมจึงได้เลือกวันศุกร์ที่ 14 พ.ย.เป็นวันออกพระเมรุ ,วันเสาร์ที่ 15 พ.ย.เป็นวันแห่พระศพ ,วันอาทิตย์ที่ 16 พ.ย.เป็นวันถวายพระเพลิงพระศพ และวันจันทร์ที่ 17 ถึงวันพุธที่ 19 พ.ย.เป็นวันเกี่ยวกับพระอัฐิ รวมเวลาการจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพฯ ทั้งหมด 6 วัน

“พระบรมฯ-พระเทพฯ”ทรงร่วมประชุม คกก.จัดงานพระศพ “พระพี่นางฯ”
เครือข่ายแพทย์อาวุโส ออกแถลงการณ์แนะ รบ.ชะลอการแก้ไข รธน.ออกไปก่อน แล้วหันมาเร่งแก้ปัญหา ศก.เพื่อป้องกันวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นจากกระแสต้านการเร่งแก้ รธน.(6 พ.ค.)
3. “แพทย์อาวุโส”แนะเลื่อนแก้ รธน.ก่อนวิกฤต ด้าน “6 หน.พรรคร่วมฯ”รีบลอยตัว โบ้ย เป็นเรื่องสภา!

ความคืบหน้าการเร่งแก้ รธน.ของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคพลังประชาชน โดยพยายามล้ม รธน.2550 แล้วนำ รธน.2540 มาใช้แทน ซึ่งจะเข้าทางพรรคพลังประชาชนที่สามารถหนีคดียุบพรรคและตัดตอนคดีอื่นที่แกนนำพรรคและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูก คตส.กล่าวโทษ ทั้งยังสามารถลดการตรวจสอบรัฐบาลของภาคประชาชนและ ส.ส.ในสภา รวมถึงการเปิดช่องให้รัฐบาลแทรกแซงองค์กรอิสระได้ง่ายขึ้น ทั้งที่หลายฝ่ายในสังคมได้ออกมาคัดค้านนั้น ปรากฏว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เครือข่ายแพทย์อาวุโส นำโดย นพ.บรรลุ ศิริพานิช ได้ออกแถลงการณ์(6 พ.ค.)เรื่อง “ทางออกจากวิกฤตของสังคมไทย” โดยชี้ว่า สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้กำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤต เพราะรัฐบาลกำลังเผชิญหน้ากับปัญหานานัปการ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น แต่นักการเมืองกลับสนใจแต่การแก้ไข รธน.จนทำให้สาธารณชนเข้าใจว่าการแก้ รธน.เพื่อให้ตนพ้นผิด ดังนั้นเพื่อไม่ให้สถานการณ์เดินไปสู่การเผชิญหน้าและเกิดวิกฤตอีกครั้ง แพทย์อาวุโสจึงเสนอให้รัฐบาลชะลอการแก้ รธน.ออกไปในช่วงเวลาที่เหมาะสม แล้วหันมาใช้ความรู้ความสามารถเร่งแก้ปัญหาปากท้องประชาชน พร้อมขอให้ศาลได้พิจารณาคดีต่างๆ อย่างเที่ยงตรงและรวดเร็ว โดยปราศจากการแทรกแซงใดใด เชื่อว่าจะช่วยคลี่คลายปัญหาต่างๆ ในบ้านเมืองได้ อย่างไรก็ตาม แกนนำรัฐบาล เช่น นายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯ ได้ออกมาสวนกลับแพทย์อาวุโสว่า พูดหาเรื่อง โดยยืนยัน รัฐบาลทั้งแก้ รธน.และแก้ปัญหาปากท้องประชาชนในเวลาเดียวกัน ไม่ใช่แก้ รธน.แล้วหยุดบริหารประเทศเสียเมื่อไหร่ ด้านคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ,สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ก็ห่วงปัญหาที่อาจจะเกิดจากการแก้ รธน.เช่นกัน จึงได้ประชุมร่วมกัน( 6 พ.ค.) หลังประชุม นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เผยว่า ที่ประชุมห่วงภาวะการลงทุนในขณะนี้ที่ไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร เพราะรัฐบาลมัวแต่มุ่งเรื่องการเมืองเรื่องแก้ รธน. ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความยุ่งยาก และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง พร้อมชี้ ขณะนี้นักลงทุนต่างประเทศเริ่มชะลอการลงทุนในไทยออกไป 2-3 เดือน เพื่อรอดูความชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ในขณะนี้ที่อาจกระทบกับนโยบายทางเศรษฐกิจ ขณะที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ได้นัดรับประทานอาหารและหารือเรื่องแก้ รธน.กับ 5 หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล(7 พ.ค.) อย่างไรก็ตาม หลังหารือนานกว่า 3 ชั่วโมง นายสมัครปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ ขณะที่นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย บอก ไม่ได้คุยเรื่องแก้ รธน.โดยให้เรื่องแก้ รธน.เป็นเรื่องของสภา ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ด้านนายชวน หลีกภัย อดีตนายกฯ และประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาติง(8 พ.ค.)กรณีที่ 6 หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล โยนเรื่องแก้ รธน.ว่าเป็นเรื่องของสภา ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลว่า รัฐบาลอ้างอย่างนั้นไม่ได้ เพราะคนในรัฐบาลก็คือสมาชิกรัฐสภา และเสียงส่วนใหญ่ในสภาก็คือรัฐบาล ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ในสภาก็จะเป็นผู้ตัดสินว่าจะรับหรือไม่รับการแก้ รธน. ดังนั้น เมื่อรัฐบาลตัดสินใจว่าเสนอแก้ รธน. รัฐบาลก็ต้องกล้าที่จะรับว่าตนเองเสนออย่างนี้ ขณะที่ม็อบ นปก.เดิมและกลุ่มรักทักษิณที่ล่าสุดได้พัฒนามาเป็นคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไข รธน.ปี 2550(คปพร.)นำโดย นพ.เหวง โตจิราการ และนายจรัล ดิษฐาอภิชัย ได้นำม็อบประมาณ 1 พันคนบุกสภา(7 พ.ค.)พร้อมนำรถไปปราศรัยโจมตีผู้ที่ค้านแก้ รธน. จากนั้นได้ยื่นหนังสือต่อ ส.ส.พรรคพลังประชาชนสนับสนุนให้มีการแก้ รธน. โดย ส.ส.พรรคพลังประชาชนบางคนได้ขึ้นรถปราศรัยกับม็อบดังกล่าวด้วย เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งเคยเป็นอดีตแกนนำ นปก. นอกจากนี้ นพ.เหวง แกนนำม็อบดังกล่าวยังได้ยื่นรายชื่อประชาชน 5 หมื่นต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ รองประธานสภาฯ เพื่อขอแก้ไข รธน. โดยมอบร่างแก้ไข รธน.ไปพร้อมกับรายชื่อด้วย ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ร่างแก้ไข รธน.ของม็อบดังกล่าวนอกจากจะมีเนื้อหาคล้าย รธน.2540 แล้ว ยังมีการระบุให้ประกาศต่างๆ ของ คมช.รวมทั้งองค์กรต่างๆ ที่ตั้งขึ้นโดย คมช.ไม่มีผลบังคับใช้ด้วย โดยระบุไว้ในมาตรา 14 ของร่างแก้ไข รธน.ดังกล่าว ด้านศุภชัย โพธิ์สุ ส.ส.นครพนม ในฐานะกรรมการประชาสัมพันธ์การแก้ไข รธน.ของพรรคพลังประชาชน เผย(9 พ.ค.) ขณะนี้มี 2 แนวทางที่สามารถยื่นแก้ไข รธน.ได้ 1.ใช้ร่าง รธน.ของ คปพร.ที่ นพ.เหวงยื่นรายชื่อประชาชนมาแล้ว หรือ 2.ดำเนินการโดย ส.ส.-ส.ว.เอง ด้านนายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) บอก อาจต้องใช้ช่องทางรวบรวมรายชื่อของ ส.ส.-ส.ว. เพราะการตรวจสอบรายชื่อประชาชน 5 หมื่นที่เข้าชื่อขอแก้ไข รธน.นั้น ต้องใช้เวลาประมาณ 40-50 วัน ซึ่งคงไม่ทันสมัยประชุมนี้ ขณะที่นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรคพลังประชาชน และวิปรัฐบาล เผย(8 พ.ค.) การรวบรวมรายชื่อ ส.ส.เพื่อยื่นญัตติแก้ไข รธน.ต่อสภา คงต้องรวบรวมรายชื่อใหม่ เพราะต้องตัดรายชื่อ ส.ส.ที่เป็นรัฐมนตรีและเป็นกรรมการบริหารพรรคออก เนื่องจากขัดต่อมติของพรรคร่วมรัฐบาล ที่ต้องการให้เรื่องแก้ รธน.เป็นเรื่องของสภา อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า การไม่ให้ ส.ส.ที่เป็นรัฐมนตรีร่วมลงชื่อเพื่อยื่นญัตติแก้ไข รธน.ต่อสภานั้น เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐมนตรีถูกภาคประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ รธน.ยื่นถอดถอน เนื่องจากการที่ ส.ส.เข้าชื่อยื่นญัตติแก้ไข รธน.เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน อาจขัดต่อ รธน.มาตรา 122 และถูกถอดถอนได้ ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ย้ำจุดยืนพันธมิตรฯ(9 พ.ค.)โดยยืนยันว่า หากสภาแก้ไข รธน.มาตรา 237 และ 309 เพื่อตัดตอนความผิดของตน พันธมิตรฯ จะคัดค้านทุกรูปแบบ ทั้งการเข้าชื่อถอดถอนและการชุมนุมใหญ่ นายสุริยะใส ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังโยนเกมการแก้ รธน.ให้เป็นเรื่องของสภา ขณะเดียวกันก็ยืมมือประชาชนกลุ่ม นปก.เดิมและกลุ่มที่รักทักษิณมาเคลื่อนไหวให้มีการแก้ รธน.ซึ่งวิธีการแบบนี้เชื่อว่า ไม่สามารถตบตาประชาชนได้ และยิ่งจะทำให้กระแสต้านการแก้ รธน.รุนแรงขึ้น โดยแกนนำพันธมิตรฯ จะประชุมและแถลงท่าทีต่อสถานการณ์การเมืองในขณะนี้อีกครั้งในวันที่ 14 พ.ค.นี้ ส่วนท่าทีของ ส.ว.นั้น เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ส.ว.สรรหาและ ส.ว.จากการเลือกตั้งบางส่วน(เช่น นางพรพันธ์ บุญยรัตพันธ์ ,นายสมชาย แสวงการ ,นายคำนูณ สิทธิสมาน ฯลฯ)ได้เปิดแถลงจุดยืนของ ส.ว.ต่อการแก้ รธน.ว่า มี ส.ว.ประมาณ 50 คนไม่เห็นด้วยกับการแก้ รธน.ในขณะนี้ เพราะการแก้ รธน.ควรทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน ไม่ใช่เพื่อลบล้างความผิดของบางบุคคลหรือบางพรรค จึงเป็นเรื่องที่ ส.ว.รับไม่ได้ พร้อมเห็นว่า ควรใช้ รธน.2550 ไปก่อนอย่างน้อย 1 ปี เพื่อศึกษาถึงผลการใช้ รธน. หากจะมีการแก้ไข ควรมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.)มาเป็นผู้ดำเนินการ ไม่ใช่ให้กลุ่มบุคคลที่มีส่วนได้เสียโดยตรงกับการบังคับใช้ รธน.มาเป็นผู้แก้

สุดทน! แพทย์อาวุโสออกแถลงเรียกร้องรัฐแก้ของแพงก่อนแก้ รธน.
“เพ็ญ” กรี๊ด! ด่าลั่น “หมออาวุโส” ตะแบงหาเรื่องรัฐบาล

"ไข่แม้ว"แปลงร่าง ปิดถนนหน้าสภา หนุนแก้ รธน.50
“พันธมิตรฯ” จับผิดแก๊งไข่แม้วแปลงร่าง สุมหัวยื่นแก้ รธน.

แฟนบอลแมนฯ ซิตี้ แสดงความไม่พอใจการบริหารงานของ ทักษิณ ชินวัตร ประธานสโมสรฯ หลังมีข่าวทักษิณจะปลดสเวน โกรัน อีริคส์สัน พ้นกุนซือทีมเร็วๆ นี้
4. “สื่ออังกฤษ”แฉ “ทักษิณเผด็จการ”สั่งนักเตะทำความเคารพตนก่อนลงสนามทุกครั้ง!

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประธานสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เลื่อนเดินทางกลับไทยหลังจากสัปดาห์ก่อนตกเป็นข่าวอื้อฉาวกรณีมีชื่อตัวเองอยู่บนธงชาติไทยติดไว้บนอัฒจรรย์ในสนามฟุตบอลของแมนฯ ซิตี้ ระหว่างที่มีการแข่งขัน โดย พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางกลับมาเมื่อบ่ายวันที่ 4 พ.ค. ท่ามกลางการต้อนรับของสมาชิกบ้านเลขที่ 111 รวมถึงรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลที่ไปรอรับอย่างพร้อมเพรียงที่สนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งนี้ หลังลงจากเครื่องบิน พ.ต.ท.ทักษิณได้ตรงมาหาผู้สื่อข่าวและกล่าวถึงเรื่องธงชาติไทยในสนามแมนฯ ซิตี้ที่มีชื่อตนอยู่บนธงว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเรื่องที่แฟนคลับชาวอังกฤษทำขึ้นมา เพราะรักสโมสร และวัฒนธรรมทางอังกฤษไม่มีเรื่องเหล่านี้ จึงไม่รู้ แต่พออธิบายให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็แสดงความเสียใจและฝากความเสียใจมายังแฟนคลับที่ประเทศไทยด้วย ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนนั้นนั่งดู(การแข่งขัน)อยู่ ไม่เห็น(ธงดังกล่าว)หรือ? พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงสีหน้าไม่พอใจ ก่อนตอบว่าตอนนั้นเห็น แต่ฟุตบอลกำลังแข่ง พอเสร็จแล้วก็ไปบอกเขา เขาก็เลิกและหยุด” ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกตว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่า การมีชื่อตนบนธงชาติไทยเป็นเรื่องของแฟนบอลต่างประเทศที่เชียร์ประเทศไทยนั้น ถ้าเป็นการเชียร์ประเทศไทยจริง เหตุใดจึงไม่ใช่คำว่า “THAILAND”บนธง กลับใช้ชื่อ “THAKSIN”แทน และว่า การจะติดธงผืนใหญ่ในสนามและติดบนอัฒจรรย์ได้ ต้องขออนุญาตเจ้าหน้าที่สโมสร เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่สโมสรต้องรับรู้ อีกทั้งธงดังกล่าวมีขนาดใหญ่ ในประเทศอังกฤษไม่สามารถทำได้ ดังนั้นน่าจะทำและนำไปจากประเทศไทย โดยคนที่นำไป ก็น่าจะเป็นคนไทยไม่ใช่คนต่างชาติ ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในไทยได้แค่ 3 วัน ก็เดินทางไปกรุงปักกิ่ง ประเทศจีนเมื่อวันที่ 7 พ.ค. โดยนายพงษ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ บอก พ.ต.ท.ทักษิณไปร่วมชมการแข่งขันกอล์ฟในฐานะนายกสมาคมกอล์ฟอาชีพแห่งประเทศไทยที่ส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันรายการดังกล่าว และว่า เบื้องต้น พ.ต.ท.ทักษิณคงอยู่ที่ปักกิ่ง 4-5 วัน แต่หากติดภารกิจด่วนที่สโมสรแมนฯ ซิตี้ เรื่องการเตรียมทีมในฤดูกาลหน้า ก็จะเดินทางกลับอังกฤษ เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่เพียง พ.ต.ท.ทักษิณจะถูกโจมตีอย่างหนักในประเทศไทยเรื่องลบหลู่ธงชาติ แม้แต่ในต่างประเทศ สื่อของอังกฤษเองก็มีการแฉพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมบางอย่างของ พ.ต.ท.ทักษิณเช่นกัน โดยหนังสือพิมพ์ ซันเดย์ มิเรอร์ ของอังกฤษ รายงานเมื่อวันที่ 5 พ.ค.ว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้อำนาจเผด็จการควบคุมสโมสร โดยให้นักเตะทำความเคารพตนก่อนลงสนามทุกครั้ง ด้านนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็รีบออกมาปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ โดยพูดถึงกรณีที่สื่ออังกฤษรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณสั่งให้นักเตะทำความเคารพตนก่อนลงสนามทุกครั้งว่า ตนไม่ทราบว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวหรือไม่ แต่การให้ความเคารพเป็นเรื่องปกติ และว่า ถ้าสังคมตะวันตกรู้จักแสดงความเคารพผู้ใหญ่เหมือนสังคมตะวันออกบ้างก็ดี ขณะที่ทางสโมสรแมนฯ ซิตี้ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทำ จม.จี้ให้หนังสือพิมพ์ซันเดย์ มิเรอร์ ขอโทษกรณีรายงานข่าวกล่าวหาว่า ทักษิณขอให้นักเตะทำความเคารพตนก่อนเริ่มแข่งขัน โดยทางสโมสรฯ ยืนยันว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ทั้งนี้ ไม่เพียง พ.ต.ท.ทักษิณ จะถูกสื่ออังกฤษแฉว่าใช้อำนาจเผด็จการควบคุมสโมสร แต่เขายังถูกหนังสือพิมพ์อีกฉบับ คือ แมนเชสเตอร์ อีฟนิ่งนิวส์ เขียนบทความแฉพฤติกรรมในการบริหารสโมสรเช่นกัน โดยชี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณพยายามให้ทุกอย่างในสโมสรเป็นไปตามแนวทางของตัวเองเท่านั้น จนกลายเป็นปัญหากับแฟนบอลอยู่ในเวลานี้ คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ดังกล่าว ยังโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณพยายามก้าวก่ายการทำหน้าที่ของ สเวน โกรัน อีริคส์สัน ผู้จัดการทีม ซึ่งเปรียบไปแล้ว เหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณไปซื้อสุนัขมาใช้สำหรับเฝ้าบ้าน แต่ พ.ต.ท.ทักษิณกลับไปเห่าแทนสุนัข คอลัมนิสต์ดังกล่าว ยังเชื่อด้วยว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณปลดสเวน และหาผู้จัดการทีมคนใหม่ ผู้จัดการคนต่อไปที่จะยอมมาเป็น น่าจะเป็นคนประเภท “ลูกขุนพลอยพยัก”หรือ“หุ่นเชิด”ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งจะทำให้ทีมแมนฯ ซิตี้ตกต่ำลง กระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณต้องเลิกรา ยอมขายสโมสรทิ้งเพื่อกลับประเทศไทย และจะถูกแทนที่ด้วยเจ้าของสโมสรรายใหม่ที่มีความรู้เรื่องฟุตบอลมากกว่า

“แม้ว” ชิ่งไปจีน-ปิดปากถูกแฟนบอลแมนฯซิตีประท้วง
“เรือใบ” ขู่ฟ้องสื่อผู้ดีปูดข่าว “แม้ว” ให้นักเตะคำนับ
แฟนเรือใบไล่ “แม้ว” อย่าแตะต้อง “สเวน”
ตำนานหงส์อัด“แม้ว” ฝันสูงคิดทาบ “เสี่ยหมี”

สุธา ชันแสง ลาออกจาก รมว.กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แล้ว
5. “สุธา”ตัดใจทิ้งเก้าอี้ รมต.แล้ว หลังถูกแฉ ซุก“ภรรยาน้อย-ลูก”!

หลังถูกสังคมโจมตีเรื่องใช้วุฒิการศึกษาปลอม กระทั่งวิปฝ่ายค้านมีมติว่าจะยื่นถอดถอนนายสุธา ชันแสง พ้นตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์นั้น ปรากฎว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา นายสุธา ถูกสังคมจับได้อีกว่า มีการซุกภรรยาน้อยและลูกนอกสมรส โดยภรรยาน้อยคือ นางปภาดา ชัยตระกูลสวัสดิ์ และมีบุตรสาวที่เกิดเมื่อวันที่ 2 ม.ค.2550 ก่อนที่นายสุธาจะเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งตามกฎหมายแล้ว นายสุธาต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของตนและคู่สมรส รวมทั้งบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต่อ ป.ป.ช.หลังเข้ารับตำแหน่ง แต่จากการตรวจสอบพบว่า นายสุธาแจ้งบัญชีทรัพย์สินเฉพาะของตนและคู่สมรส คือ นางวีณา ชันแสง พร้อมบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอีก 2 คน ไม่ได้มีการระบุถึงภรรยาน้อยหรือลูกนอกสมรสแต่อย่างใด โดยนายสุธา แจ้งในแบบฟอร์มแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.ว่า ไม่มีบุตรนอกสมรส ทั้งนี้ หลังข่าวดังกล่าวถูกแฉทางสื่อมวลชนในวันที่ 7 พ.ค. ปรากฏว่าแค่ 1 วันให้หลัง ก็มีข่าวว่านายสุธาได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยข่าวดังกล่าวออกมาในขณะที่นายสุธารักษาอาการวูบและปวดหัวอยู่ในโรงพยาบาล ด้านนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ได้ออกมายืนยันวันเดียวกัน(8 พ.ค.)ว่า นายสุธาได้ลาออกแล้ว โดยจะมีผลทันที ส่วนเหตุผลที่ลาออก นายสมัคร บอกสั้นๆ ว่า เพราะมีอาการป่วย ขณะที่นายเอนก หุตังคบดี ที่ปรึกษานายสุธา ยืนยันว่า ปัญหาวุฒิการศึกษาและข่าวซุกภรรยาน้อย ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะทำให้นายสุธาลาออก แต่เพราะมีปัญหาสุขภาพเป็นหลัก ขณะที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชาชน บอก แกนนำพรรคจะประชุมหารือถึงแนวทางการปรับ ครม.ในสัปดาห์หน้า ด้านนายวัฒนา เซ่งไพเราะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชาชน ชี้ รัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมฯ เป็นโควตาหนึ่งเดียวของ ส.ส.กทม.ดังนั้น ลำดับอาวุโสต่อไปจะเป็นนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม.เขต 7 ซึ่งมีความรู้ ความสามารถ และมีอาวุโสทางการเมืองมากกว่า 10 ปี ด้านนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชาชน พูดถึงเรื่องการปรับ ครม.(9 พ.ค.)ว่า อาจปรับหลายตำแหน่ง โดยขอเวลาพิจารณาอีกเล็กน้อย ขณะที่โฆษกพรรคพลังประชาชน ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง รีบค้าน โดยชี้ น่าจะหาคนที่เหมาะสมมารับตำแหน่งแทนนายสุธาเพียงตำแหน่งเดียว ไม่ควรทำให้พรรคกระเพื่อมมากกว่านี้ และว่า ระยะเวลาเพียง 3 เดือนที่ผ่านมา ระบบอะไรก็ยังไม่เรียบร้อย ผลงานของรัฐมนตรีแต่ละคนจึงอาจจะยังไม่ชัด ด้านนายสุวัฒน์ วรรณศิริกุล ส.ส.กทม.ในฐานะประธาน ส.ส.ภาค กทม.ของพรรคพลังประชาชน ยืนยัน ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมฯ เป็นโควตาของภาค กทม.และว่า บุคคลที่เหมาะสมขณะนี้มี 2 คน คือ นายวิชาญ มีนชัยนันท์ และนายอนุสรณ์ ปั้นทอง พร้อมคาด จะได้ข้อสรุปผู้เหมาะสมเป็นรัฐมนตรีแทนนายสุธาในวันที่ 12 พ.ค.และนำเข้าที่ประชุมพรรควันที่ 13 พ.ค. ขณะที่องค์กรสตรี เช่น มูลนิธิเพื่อนหญิง ได้แสดงท่าทีต่อผู้ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมฯ คนใหม่ว่า ต้องมีคุณธรรมและความสง่างาม เข้าใจปัญหาสังคม ไม่ใช่คิดแต่ว่าสมบัติผลัดกันชมหรือโควตาข้าใครอย่าแตะ ดังนั้นอยากเห็นนายกฯ ใช้ความเด็ดขาดเลือกผู้เหมาะสมอย่างแท้จริง อย่าเอาคนมีแผลมาเป็นรัฐมนตรีอีก

หลักฐานโผล่อีก “สุธา” ซุก “ลูกนอกสมรส” ไม่ยอมแจ้งบัญชีทรัพย์สิน
“สุธา” ดื้อไม่ไหว ไขก๊อกพ้นรัฐมนตรีแล้ว


นพดล ปัทมะ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ
6. สะพัด! “นพดล”เด้ง ขรก.สังเวย“คดีซีทีเอ็กซ์” ด้าน“ปลัด กต.”ออกโรงป้อง ขรก.ของ“ในหลวง”!

เมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)ได้ประชุมพิจารณาสำนวนการไต่สวนของคณะอนุกรรมการฯ ในคดีการจัดซื้อเครื่องมือตรวจจับวัตถุระเบิด ซีทีเอ็กซ์ 9000 และระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า ที่มีข้อเท็จจริงทั้งในส่วนของข้อมูลการสอบสวนจากสหรัฐฯ และในส่วนของไทย ซึ่งได้ข้อยุติแล้วว่า มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจริง โดยนายสัก กอแสงเรือง กรรมการและโฆษก คตส.เผยว่า ผู้เกี่ยวข้องมี 3 ส่วน คือ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ,พนักงานเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการชุดต่างๆ รวมถึงบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง แต่เนื่องจากที่ประชุมมีข้อสังเกตเรื่องข้อกฎหมาย โดยเฉพาะการปรับตัวบทกฎหมายในการชี้มูลความผิดกับผู้เกี่ยวข้อง จึงให้คณะอนุกรรมการไต่สวนคดีนี้ไปปรับปรุงรายละเอียดเพิ่มเติม และนำมาเสนอที่ประชุมอีกครั้งในวันที่ 12 พ.ค.นี้ ทั้งนี้ วันเดียวกัน(6 พ.ค.) ที่ประชุม ครม.ได้มีมติโยกย้ายข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงการต่างประเทศ โดยเป็นการสลับตำแหน่งกัน 3 คน ประกอบด้วย โยกนายวีรชัย พลาศรัย อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เข้ากรุเป็นเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง แล้วให้นายธนาธิป อุปัติศฤงค์ เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง ไปเป็นอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ แล้วให้นายกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ มานั่งอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า กรมสนธิสัญญาและกฎหมายเป็นกรมที่ดูแลกรณีเขาพระวิหารระหว่างไทยกับกัมพูชา รวมทั้งเป็นกรมที่ช่วย คตส.แปลเอกสารการสอบสวนกรณีซีทีเอ็กซ์ที่ได้รับจากทางสหรัฐฯ ด้านนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ให้เหตุผลการปรับย้ายข้าราชการดังกล่าวว่า เพราะมีประเด็นเรื่องต่างๆ รวมถึงเขาพระวิหาร จึงปรับคนให้เหมาะกับงาน และเพื่อประสิทธิภาพในการประสานงานกับรัฐมนตรี ไม่ได้ย้ายเพราะเหตุผลอื่น พร้อมยืนยัน นายกฤตเหมาะที่จะเป็นอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เพราะเคยเป็นอธิบดีกรมนี้มาก่อน อย่างไรก็ตาม ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศเป็นอันมาก โดยเฉพาะการสั่งย้ายนายวีรชัยจากอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เข้ากรุเป็นเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง พร้อมเชื่อว่า สาเหตุของการสั่งย้ายครั้งนี้ ไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องเขาพระวิหาร เพราะนายวีรชัยถือว่ามีความเชี่ยวชาญงานกฎหมายระหว่างประเทศมากที่สุดคนหนึ่งในกระทรวง นอกจากนี้ยังเชี่ยวชาญทั้งภาษาฝรั่งเศสและกฎหมายฝรั่งเศส เนื่องจากจบปริญญาเอกจากฝรั่งเศสโดยตรง จึงเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายที่ดูแลเรื่องเขาพระวิหาร ทั้งนี้ ข้าราชการกระทรวงฯ เชื่อกันว่า สาเหตุที่แท้จริงน่าจะเป็นเพราะบางฝ่ายไม่พอใจนายวีรชัย โดยเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน “บางฝ่าย”ได้ประสานด้วยวาจาขอเอกสารคดีซีทีเอ็กซ์ที่กรมสนธิสัญญาฯ ช่วยแปลให้ คตส. ซึ่งนายวีรชัย ในฐานะอธิบดีกรมดังกล่าวไม่ขัดข้อง แต่เห็นว่าควรมีหนังสือแจ้งขอเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย เนื่องจากเอกสารคดีซีทีเอ็กซ์เป็นเอกสารลับที่จะใช้ในการดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก ดังนั้นตามระเบียบปฏิบัติ ต้องมีหลักฐานว่ามีสำเนาเอกสารกี่ชุดและอยู่ที่ใดบ้าง ด้วยเหตุผลดังกล่าว อาจทำให้ผู้ขอไม่พอใจ กระทั่งนำมาสู่การเด้งฟ้าผ่านายวีรชัยพ้นอธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ด้านปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ได้เขียนจดหมายปลุกขวัญข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยยกย่องเชิดชูนายวีรชัยที่ถูกย้ายครั้งนี้ว่า “...ท่านอธิบดีวีรชัยซึ่งทำหน้าที่อย่างดีเลิศในการปกป้องผืนแผ่นดินไทยและผลประโยชน์ของชาติ ...ขอให้ข้าราชการทุกท่านของกรมสนธิสัญญาฯ ยึดถือท่านอธิบดีวีรชัยเป็นบุคคลตัวอย่าง ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติอย่างสุดความสามารถและรักษาเกียรติยศของชาติ ของกระทรวงการต่างประเทศ และของตนอย่างสมศักดิ์ศรีของข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...” ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้นำ จม.ดังกล่าวแจกจ่ายให้ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศรับทราบกันอย่างทั่วถึง ด้านนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ออกมายืนยันอีกครั้ง(8 พ.ค.)ว่า การย้ายนายวีรชัยไม่เกี่ยวกับเรื่องเอกสารคดีซีทีเอ็กซ์แต่อย่างใด พร้อมอ้างว่า ความจริงมีสาระสำคัญมากกว่านั้น โดยตนต้องดูเอกสารที่ให้ข้าราชการไปประชุมที่กัมพูชา(เรื่องเขาพระวิหาร)ว่า มีข้อตกลงที่ผูกมัดไทยมากไปหรือไม่ ด้านคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา 1 ในกรรมการ คตส.ได้ออกมาแสดงความชื่นชมการทำงานของนายวีรชัย และเดินทางไปมอบดอกไม้ให้กำลังใจนายวีรชัยด้วย โดยคุณหญิงจารุวรรณ บอก รู้สึกสงสารและเห็นใจนายวีรชัยมากที่ช่วยแปลเอกสารให้ คตส. แล้วยังมาโดนกระทำแบบนี้อีก คุณหญิงจารุวรรณ ยังประกาศด้วยว่า ขอดูแคลนพฤติกรรมการสั่งย้ายนายวีรชัยครั้งนี้ ด้านนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันอีกครั้ง(9 พ.ค.)ว่า สิ่งที่ตนทำนั้นถูกต้องแล้ว และไม่รู้สึกอะไรที่ปลัดกระทรวงการต่างประเทศเขียน จม.ชื่นชมนายวีรชัย ด้านโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ จี้ นายนพดลทบทวนการโยกย้ายดังกล่าว พร้อมเรียกร้องให้ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศออกมาเปิดโปงความไม่ชอบธรรม เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของข้าราชการ เพราะเชื่อว่าการโยกย้ายครั้งนี้จะไม่ใช่รายสุดท้ายแน่.

ย้ายอธิบดี “บัวแก้ว” ส่อวุ่น-ขรก.ฮึดสู้ “จารุวรรณ” รุดให้กำลังใจ
กำลังโหลดความคิดเห็น