xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 6-12 เม.ย.2551

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงประกอบพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร(ทักษิณานุปทาน 100 วัน)พระราชทานพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ (10 เม.ย.)
คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “ในหลวง-พระราชินี”ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน 100 วัน“พระพี่นางฯ”!

เมื่อวันที่ 10 เม.ย.(เวลา 17.00น.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ได้เสด็จฯ ยังพระที่นั่งดุสิตมหาประสาทในพระบรมมหาราชวัง เพื่อทรงประกอบพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร(ทักษิณานุปทาน 100 วัน) พระราชทานพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยมีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม ,พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ,ข้าราชการและประชาชนเฝ้ารับเสด็จ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักราชเลขาธิการจัดพิมพ์หนังสือพระราชทานจำนวน 10,000 ชุด เพื่อพระราชทานแก่คณะบุคคลที่เข้าร่วมพิธีดังกล่าว โดยหนังสือ 1 ชุด ประกอบด้วยหนังสือ 3 เล่ม คือ หนังสือพระธรรมเทศนา ,หนังสือสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ และงานศิลปะ ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ โดยหนังสือดังกล่าวเป็นการรวบรวมภาพวาดสีน้ำและลายเส้นฝีพระหัตถ์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ส่วนอีกเล่มคือ หนังสือชื่อ “เวลาเป็นของมีค่า” ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ เช่นกัน โดยเป็นการรวบรวมพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีในขณะทรงใช้เวลาว่างประดิษฐ์ผลงานต่างๆ อาทิ การปั้นพระพุทธรูป และการปักผ้าครอสติตช์ เป็นต้น นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้คณะบุคคล องค์การ และสมาคมต่างๆ ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลถวายพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ เป็นประจำทุกวันตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย.เป็นต้นไป โดยมีประชาชน หน่วยงาน และชาวต่างประเทศที่เคยถวายงานใกล้ชิดสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ แจ้งความจำนงขอเป็นเจ้าภาพในการพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมศพกว่า 500 ราย เรียงลำดับยาวไปจนถึงวันที่ 31 ต.ค.แล้ว ด้านสำนักพระราชวัง แจ้งว่า ประชาชนยังคงเข้าถวายสักการะพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย.เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 10.00น.-20.00น. ยกเว้นวันที่มีพระราชพิธี ได้แก่ วันฉัตรมงคล ,วันวิสาขบูชา ,วันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา

ในหลวง-ราชินี เสด็จฯทรงบำเพ็ญพระกุศลสตมวารวันสุดท้าย
“ในหลวง-ราชินี” เสด็จฯ ทำพิธีทักษิณานุประทาน 100 วัน
"ในหลวง-ราชินี" เสด็จฯ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน 100 วัน เย็นนี้

2. “กกต.”มีมติ 4 : 1 เสนอศาล รธน.ยุบ “ชท.-มฌ.” ขณะที่ “อนงค์วรรณ”ผิดหวัง-น้ำตาร่วง!
สมชัย จึงประเสริฐ กกต.เสียงข้างน้อยที่เห็นว่า ไม่ควรส่งศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณายุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย
เมื่อวันที่ 8 เม.ย. นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย และนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ได้เข้าชี้แจงคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)เกี่ยวกับคดียุบพรรคอีกครั้ง หลัง กกต.เปิดโอกาสให้ตามที่ร้องขอ โดยพรรคมัชฌิมาธิปไตยได้ยกเหตุผลเพื่อให้พรรคพ้นจากการถูกยุบว่า นายสุนทร วิลาวัลย์ อดีตว่าที่ ส.ส.ปราจีนบุรี เขต 1 โดนใบแดงขณะที่พ้นจากการเป็นกรรมการบริหารพรรคไปพร้อมกับนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2550 ขณะที่พรรคชาติไทย อ้างว่า นายมณเฑียร สงฆ์ประชา อดีตว่าที่ ส.ส.ชัยนาท เขต 1 และกรรมการบริหารของพรรคที่โดนใบแดง อยู่ระหว่างฟ้องร้องบุคคลที่กล่าวหาว่าตนซื้อเสียง ดังนั้นเมื่อยังไม่รู้ผลคดี กกต.ก็ยังไม่ควรส่งเรื่องยุบพรรคชาติไทยให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ทั้งนี้ มีคำยืนยันจาก 1 ในคณะที่ปรึกษากฎหมายของ กกต.คือ รศ.ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ว่า เหตุผลของทั้ง 2 พรรคดังกล่าวฟังไม่ขึ้น โดยในส่วนของพรรคมัชฌิมาธิปไตยนั้น จากการตรวจสอบแล้ว พบว่า นายสุนทรโดนใบแดงขณะที่ยังดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคอยู่ เพราะแม้ กกต.จะวินิจฉัยให้นายประชัยพ้นจากหัวหน้าพรรคตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2550 แต่ข้อบังคับพรรคมัชฌิมาธิปไตยระบุว่า ให้กรรมการบริหารพรรคดำรงตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะมีกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่มาทำหน้าที่แทน ส่วนเหตุผลของพรรคชาติไทยที่ต้องการให้ กกต.รอผลคดีที่นายมณเฑียรฟ้องผู้ที่กล่าวหาตนก่อนนั้น อ.ทวีเกียรติ ชี้ว่า เป็นเรื่องที่ กกต.รอไม่ได้ เพราะเป็นคนละเรื่องคนละคดีกัน ถ้าใช้เหตุผลดังกล่าวอ้างได้ ต่อไปนักการเมืองที่ทำผิดกฎหมาย ก็จะอ้างอย่างนี้ทุกคนทุกพรรค ด้านนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.เผยหลังฟังคำชี้แจงของหัวหน้าพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยว่า เป็นหน้าที่ที่ตนในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องทำความเห็นว่า จะเสนอให้ยุบพรรคทั้งสองหรือไม่ให้ที่ประชุม กกต.พิจารณาในวันที่ 11 เม.ย. โดยหากตนมีความเห็นว่าไม่ควรยุบทั้ง 2 พรรค ก็ไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องให้ที่ประชุม กกต.ให้ความเห็นชอบ แต่ถ้าเห็นว่ามีเหตุที่จะเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค ก็จะนำเรื่องเสนอเข้าที่ประชุม กกต.เพื่อลงมติโดยใช้เสียงข้างมาก ซึ่งในที่สุด(11 เม.ย.) นายอภิชาต ก็ได้เสนอความเห็นเข้าที่ประชุม กกต.โดยเห็นควรให้แจ้งต่ออัยการสูงสุดพร้อมหลักฐาน เพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยยุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย เนื่องจากเห็นว่านายทะเบียนพรรคการเมืองต้องดำเนินการตามมาตรา 95 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 ไม่อาจใช้ดุลพินิจในการเลือกที่จะแจ้งหรือไม่แจ้งต่ออัยการสูงสุดได้ ต่างจากศาลรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจตามมาตรา 94 ที่จะมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองหรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้ ที่ประชุม กกต.ได้มีมติ 4 : 1 ให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเพื่อเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย โดย กกต.เสียงข้างน้อย 1 เสียง คือ นายสมชัย จึงประเสริฐ ที่มองว่า การโดนใบแดงของกรรมการบริหารพรรคทั้งสอง เป็นเรื่องเฉพาะตัว กรรมการคนอื่นไม่มีส่วนรู้เห็น จึงไม่เข้าข่ายต้องถูกยุบพรรค ด้านนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.เผย กกต.จะส่งความเห็นพร้อมหลักฐานเรื่องยุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยให้อัยการสูงสุดโดยเร็วที่สุด จากนั้นอัยการสูงสุดจะพิจารณาภายใน 30 วันว่าจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคทั้งสองหรือไม่ หากอัยการสูงสุดมีความเห็นไม่ยื่น ก็ต้องตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการสูงสุดและ กกต. หากคณะทำงานร่วมไม่สามารถหาข้อยุติเรื่องนี้ได้ภายใน 30 วัน(นับแต่วันตั้งคณะทำงาน) ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองโดยความเห็นชอบของ กกต.ก็สามารถยื่นคำร้องคดียุบพรรคให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เอง ส่วนปฏิกิริยาของพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยหลังทราบมติ กกต.แล้วนั้น นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรคชาติไทย ชี้ เป็นเรื่องที่ไปตามคาดเดาอยู่แล้ว เพราะตามขั้นตอนกระบวนการก็ต้องเป็นไปตามนั้น ขณะที่นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย กล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า รู้สึกผิดหวังที่มติ กกต.ออกมาเช่นนี้ แต่ยังถือว่าดีที่อย่างน้อยยังมี กกต.1 ท่านที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินครั้งนี้ นางอนงค์วรรณ ยังยืนยันด้วยว่า หากพรรคมัชฌิมาธิปไตยถูกยุบ ก็ไม่น่าเป็นห่วง เพราะ ส.ส.11 คนของพรรค ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค จึงไม่ต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปีแต่อย่างใด ด้านโฆษกพรรคพลังประชาชน ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง รีบอ้าง มีการตั้งธงตั้งแต่ก่อนร่างรัฐธรรมนูญแล้วที่จะยุบพรรค จึงเขียนกติกาให้สอดรับกับธงนั้น เมื่อพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยมาอยู่กับพรรคพลังประชาชน จึงต้องถูกยุบพรรคไปด้วย ซึ่งพรรคพลังประชาชนก็คงจะโดนเหมือนกัน ซึ่งจะทำให้บ้านเมืองเดินต่อไปไม่ได้ ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็รีบสมอ้างเช่นกันว่า มติ กกต.ที่ให้ยุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย เป็นไปตามที่เขาวางกันไว้ตามขั้นตอน

มติ 4-1 กกต.เสนอยุบ “ชาติไทย-มัชฌิมาฯ”
“ตือ” ปากแข็ง มั่นใจ ชท.สู้คดียุบพรรคในชั้นศาลได้
“เทพเทือก” เฉยมติยุบพรรค - “อนงค์วรรณ” น้ำตาร่วง
“ชท.”ไม่ยอมแพ้ เตรียมส่งทีมกม.แจงข้อมูลอัยการฯเพิ่ม
"ชวน"เห็นใจชท-มฌ. แต่อย่าหวังแก้กม.เพื่อให้พ้นผิด
"สุเมธ" ยันไม่มีธงสั่งยุบพรรค ชท.-มฌ.
 

3. “ป.ป.ช.”มีมติเอกฉันท์ ปัญหาหุ้นทำ “ไชยา”พ้น รมต. ขณะที่ “เจ้าตัว”ยังตะแบง ไม่ลาออก!
ไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข ยืนยันหลายครั้ง จะไม่ลาออก จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินว่าตนผิด
เมื่อวันที่ 8 เม.ย. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้ประชุมพิจารณากรณีมีการตรวจสอบพบว่า นางจุไร สะสมทรัพย์ ภรรยานายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีสาธารณสุข ถือหุ้นในบริษัท ทรัพย์ฮกเฮง จำกัด จำนวน 25,000 หุ้น วงเงิน 2.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด(50,000 หุ้น) ซึ่งเป็นการถือหุ้นเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดที่ร้อยละ 5 แต่นายไชยาไม่ได้แจ้งให้ประธาน ป.ป.ช.ทราบภายในกำหนด 30 วันหลังเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี(เข้ารับตำแหน่ง 6 ก.พ.)ว่า นางจุไรถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวเกินร้อยละ 5 รวมทั้งไม่ได้แจ้งความประสงค์ที่จะรับประโยชน์จากการที่คู่สมรสถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวต่อไป(หากประสงค์จะรับประโยชน์ในหุ้นที่เกินร้อยละ 5 ต้องโอนหุ้นให้นิติบุคคลที่จัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น) ซึ่งอาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 269 โดยหลังจากมีข่าวทางสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 2 เม.ย.ว่า นางจุไรถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด นายไชยาจึงเพิ่งทำหนังสือแจ้งประธาน ป.ป.ช.ในวันเดียวกัน โดยยอมรับว่า ภรรยาถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวเกินร้อยละ 5 จริง และตนประสงค์จะรับประโยชน์จากหุ้นของคู่สมรสต่อไป พร้อมชี้แจงว่า การที่ตนทำหนังสือแจ้ง ป.ป.ช.ช้ากว่าที่กฎหมายกำหนด 30 วัน เป็นเพราะตนเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยพิจารณาจากรัฐธรรมนูญ ปี 2540 และ พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 ซึ่งระบุเฉพาะตัวรัฐมนตรีที่ต้องดำเนินการในเรื่องดังกล่าว จึงไม่ทราบว่าต้องแจ้งของคู่สมรสด้วย แต่เมื่อทราบ ก็รีบดำเนินการทันที ทั้งนี้ ที่ประชุม ป.ป.ช.เห็นว่า รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 269 กำหนดเพิ่มเติม โดยห้ามคู่สมรสของนายกฯ หรือรัฐมนตรีและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะถือหุ้นเกินร้อยละ 5 ด้วย ดังนั้นการที่นายไชยาไม่แจ้งให้ประธาน ป.ป.ช.ทราบภายในกำหนด 30 วันหลังเข้ารับตำแหน่ง จึงถือว่าเป็นการกระทำต้องห้ามตาม รธน.2550 มาตรา 269 ส่วนที่นายไชยา อ้างว่า ตนทำตามกฎหมายลูกของ รธน.ปี 2540 คือ พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 นั้น ที่ประชุม ป.ป.ช.เห็นว่า มาตรา 6 ของ รธน.2550 กำหนดว่า รธน.เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมายหรือข้อบังคับที่แย้งต่อ รธน.นี้ จะนำมาใช้บังคับไม่ได้ ดังนั้นกรณีนายไชยา จึงต้องถือตาม รธน.2550 มาตรา 269 นอกจากนี้ ที่ประชุม ป.ป.ช.ยังมีมติว่า การกระทำของนายไชยาส่งผลให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง เนื่องจาก รธน.2550 มาตรา 182(7) ระบุว่า ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เมื่อกระทำการอันต้องห้ามตามมาตรา 269 ส่วนกรณีที่นายไชยาอ้างว่า ไม่รู้กฎหมายนั้น นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษก ป.ป.ช.ยืนยันว่า เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น เพราะมีรัฐมนตรีอีก 3 คนที่ขอรับประโยชน์จากการถือหุ้นเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด แต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะได้แจ้งให้ประธาน ป.ป.ช.ทราบภายในเวลาที่กำหนด คือ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม(ประสงค์จะได้รับประโยชน์จากหุ้นของตน) ,นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข(ประสงค์จะได้รับประโยชน์จากหุ้นของคู่สมรส) และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง(ประสงค์จะได้รับประโยชน์จากหุ้นของคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ) นายกล้านรงค์ เผยด้วยว่า ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ให้แจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเห็น ป.ป.ช.ให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ คือ นายกรัฐมนตรี ,ประธานสภาผู้แทนราษฎร ,ประธานวุฒิสภา และประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) หากผู้เกี่ยวข้ององค์กรหนึ่งองค์กรใดเห็นควรส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายไชยา ก็สามารถดำเนินการได้ทันที ด้านนายไชยา ยืนยัน(8 เม.ย.) มั่นใจว่าตนทำถูกต้อง ดังนั้นจะไม่ลาออก จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่าตนผิด และว่า “ที่มีคนบอกว่าในแง่จริยธรรมต้องลาออกนั้น ต้องถามกลับว่าอะไรคือจริยธรรม กฎหมายไม่ได้ระบุไว้” ขณะที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาบอก(9 เม.ย.)ว่า นายไชยาได้แจ้งมายังตนว่า จะลาออก แต่หนังสือลาออกยังไม่มา ดังนั้นตนจะรอหนังสือจาก ป.ป.ช.ก่อน แล้วค่อยบอกนายไชยาให้ส่งหนังสือลาออกมาให้ตนอีกครั้ง ด้านนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ส.ส.นครปฐม พรรคพลังประชาชน พี่ชายนายไชยา ก็ได้ออกมายอมรับเช่นกันว่า นายไชยาจะลาออกจากรัฐมนตรีสาธารณสุขจริง เพื่อแสดงสปิริต ทั้งที่ไม่ได้ผิดอะไร ด้านนายไชยา ได้เก็บตัวเงียบที่บ้านพักใน จ.นครปฐม(9 เม.ย.) โดยยกเลิกภารกิจไปตรวจราชการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และไม่ปฏิบัติงานที่กระทรวงสาธารณสุข ก่อนจะออกมายืนยันอีกครั้งในวันต่อมา(10 เม.ย.) ว่า ไม่เคยคิดจะลาออก เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด นายไชยา ยังพูดเหมือนข่มขู่คาดโทษแพทย์ชนบทที่ออกมาร่วมลงชื่อถอดถอนตนพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีและเรียกร้องให้ตนแสดงสปิริตลาออกกรณีมีปัญหาเรื่องหุ้นด้วย โดยบอก “กระทรวงสาธารณสุขยังมีเรื่องสนุกๆ อีกเยอะ ต่อไปนี้จะทำทุกสิ่งโดยไม่สงสารใครอีกแล้ว ผมไม่มีอะไรที่จะต้องเสีย ..กระทรวงสาธารณสุขเหมือนท่าเทียบเรือ ..ในเมื่อดูแล้วท่าไม่ดี เราก็จะต้องทนและทำใหม่และจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงในกระทรวงนี้ให้เข้าระบบ โดยเฉพาะแพทย์ชนบทเตรียมรับได้เลย ผมทำอะไร ไม่เคยกลัวใคร หากกลัวก็จะไม่ทำ..” ด้าน นพ.เกรียงศักดิ์ วัชระนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ไม่หวั่นถูกนายไชยาเช็คบิล โดยยืนยัน แพทย์ชนบทเรียกร้องในสิ่งที่ถูกต้อง และไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัว แต่เป็นการทำงานตามอุดมการณ์ที่มีมากว่า 30 ปี ทั้งนี้ เมื่อนายไชยายืนยันไม่ลาออก ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่ายผู้ป่วย รวมทั้งแพทย์ชนบท จึงได้เดินหน้าล่าชื่อเพื่อยื่นถอดถอนนายไชยาพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีต่อไป โดยยังขาดแค่ 4 พันชื่อ ก็จะครบ 2 หมื่นชื่อตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว

ป.ป.ช.ส่งต่อ 4 องค์กรลงมติฟัน “ไชยา” ขาดคุณสมบัติ รมต.
“ไชยา”อ้างกฎหมายไม่ชัด เลยไม่ได้แจ้งหุ้นเมีย – ยันไม่ออกขอสู้ในศาล
รุมเฉ่งยับ “ไชยา” ดื้อด้าน! ยัน กม.ชี้ความสิ้นสุดการเป็น รมต.
ป.ป.ช.ชี้ “ไชยา” พ้นสภาพ รมต.เป็นเรื่องจริยธรรม
“ไชยา” ย้ำครั้งที่ 4 ผมไม่ลาออก! ลั่นนับจากนี้ไม่รับเงินเดือน
“เผดิมชัย” แบไต๋เสียบแทน “ไชยา” อ้างเฉยน้องไม่รู้ข้อ กม.

4. “พปช.”เดินเกมแก้ รธน.ทั้งฉบับ หวังลบเสียงวิจารณ์ ด้าน “ปชป.”ท้า ถ้าไม่ได้แก้เพื่อตัวเอง อีก 2 ปีค่อยประกาศใช้!
สมัคร สุนทรเวช นายกฯ และ หน.พรรคพลังประชาชน ยืนยันอีกครั้ง แก้ รธน.เพื่อวันข้างหน้า ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง
หลังรัฐบาลถูกกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักที่พยายามเร่งแก้รัฐธรรมนูญ 2550 บางมาตรา โดยเฉพาะมาตรา 237 และ 309 ซึ่งสะท้อนว่าต้องการแก้เพื่อประโยชน์ส่วนตน ไม่ใช่ส่วนรวม โดยหวังผลหนีคดียุบพรรคและล้มคดีต่างๆ ของ คตส.นั้น ปรากฏว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลได้เดินเกมใหม่ ด้วยการไม่แก้ รธน.แค่บางตราแล้ว แต่อ้างว่าจะแก้ทั้งฉบับ โดยเมื่อวันที่ 8 เม.ย. ที่ประชุม ส.ส.พรรคพลังประชาชนได้มีมติให้แก้ไข รธน.ทั้งฉบับ ยกเว้นหมวดที่ 1 บททั่วไป และหมวดที่ 2 ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ โดยจะนำ รธน.2540 มาเป็นตัวตั้งในการเทียบเคียงและแก้ไข ขณะที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน ยืนยัน มติที่จะแก้ไข รธน.นี้ เพื่อให้ รธน.มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นตามที่พรรคได้เคยรณรงค์หาเสียงช่วงเลือกตั้ง ทั้งนี้ ที่ประชุม ส.ส.พรรคพลังประชาชน ได้ตั้งคณะอนุกรรมการยกร่างแก้ไข รธน.ของพรรค โดยมีนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ มือกฎหมายของพรรคเป็นประธาน ขณะที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ยืนยันอีกครั้งว่า การแก้ รธน.ครั้งนี้ ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อวันข้างหน้า ด้านคณะกรรมการบริหารพรรคชาติไทย ยืนยันไม่มีปัญหา หากพรรคพลังประชาชนจะแก้ รธน.ทั้งฉบับ แต่ไม่อยากให้แตะมาตรา 309 เพราะเกรงจะเกิดปัญหาตามมา อย่างไรก็ตาม นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ไม่เห็นด้วยกับการแก้ รธน.ทั้งฉบับ เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาและทำให้แก้ไม่สำเร็จ แต่เห็นด้วยกับการแก้มาตรา 237(เรื่องยุบพรรค) เพราะมีปัญหาในการบังคับใช้ ด้านแกนนำพรรคมัชฌิมาธิปไตย ไม่มีปัญหาเช่นกัน หากพรรคพลังประชาชนจะแก้ รธน.ทั้งฉบับ ขณะที่พรรคเพื่อแผ่นดิน มีข่าวว่า อาจจะไม่ให้ ส.ส.24 คนของพรรคร่วมลงชื่อเพื่อยื่นญัตติเสนอแก้ไข รธน. เพราะเกรงจะเสียภาพลักษณ์ของพรรคร่วมรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลถูกมองว่าแก้ รธน.เพื่อตัวเอง แต่ถึงกระนั้น ส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดินก็พร้อมจะลงมติรับร่าง รธน.ที่แก้ไขเสร็จแล้ว เพื่อให้เป็นไปตามมารยาทในฐานะที่ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ด้านที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์(8 เม.ย.) มีมติไม่เห็นด้วยกับการแก้ รธน.ที่เร่งรัดทำเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด หากจะแก้ ควรตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษายกร่าง รธน.โดยมีตัวแทนจากทุกภาคส่วนในสังคม พร้อมท้า ถ้าพรรคพลังประชาชนยืนยันว่าการแก้ รธน.ครั้งนี้ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ก็ต้องเขียนเพิ่มเติมในบทเฉพาะกาลว่า รธน.ฉบับแก้ไข จะมีผลบังคับใช้หลังประกาศใช้แล้ว 2 ปี ด้านพรรคพลังประชาชนไม่รับคำท้า โดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล รองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน อ้าง(9 เม.ย.) พรรคประชาธิปัตย์มีวาระซ่อนเร้น ซึ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเขียนในบทเฉพาะกาลไว้แบบนั้น พร้อมยืนยัน การแก้ รธน.ครั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนหรือทำประชามติแต่อย่างใด เพราะเป็นการแก้ไขเพิ่มเติม รธน.เท่านั้น นายชูศักดิ์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการยกร่างแก้ไข รธน.ของพรรคพลังประชาชนเผยอีกครั้งเมื่อ 11 เม.ย.ว่า ขณะนี้ได้ยกร่าง รธน.ฉบับชั่วคราวแล้ว โดยยึด รธน.ปี 2540 เป็นตัวตั้ง วันที่ 17 เม.ย.นี้ จะประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาร่างอีกครั้ง จากนั้นจะเสนอให้พรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 6 พรรคพิจารณา คาดว่า จะบรรจุวาระเข้าสภาได้หลังสงกรานต์

“พลังแม้ว” ผวาแรงต้านลามเปลี่ยนแผนพลิกแก้ รธน.ทั้งฉบับ
โห“พลังแม้ว” ลุยแก้ รธน.ทั้งฉบับใน 2 เดือน อ้าง ปชช.รอไม่ได้
“ประสพสุข” ติงรัฐเงื่อนเวลาไม่สุกงอม แต่ร้อนรนแก้ รธน.
รบ.ดื้อด้านลุอำนาจลุยแก้ รธน. โวแค่ 20 ส.ว.ก็เกินพอแล้ว
“ทีมโฆษก” เคาะกะลา ขืนใจ ปชช.หลังสงกรานต์แก้ไข รธน.
ประธานวุฒิฯ สอนใช้สมองให้ตกผลึก ก่อนคิดแก้ รธน.

5. “พันธมิตรฯ”ออกแถลงการณ์ต้าน “แก้ รธน.ตามอำเภอใจ”ชี้ ไม่ต่าง “รัฐประหารเงียบ”!
แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 6 ต้าน รบ.แก้ รธน.ตามอำเภอใจ เพราะไม่ต่างจากการทำรัฐประหารเงียบ(9 เม.ย.)
เมื่อวันที่ 9 เม.ย. แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ประชุมและออกแถลงการณ์ฉบับที่ 6 เรื่อง “ต้านรัฐประหารเงียบ” โดยชี้ว่า หลังพันธมิตรฯ ได้ประกาศใช้หลายมาตรการเพื่อตอบโต้การแก้ รธน.มาตรา 237 และ 309 เพื่อลบล้างความผิดให้ตนเองนั้น ปรากฏว่า พรรคพลังประชาชนได้ใช้เล่ห์อุบายประกาศเปลี่ยนท่าทีเดิม จากที่จะแก้ รธน.เพียงบางมาตรา กลายเป็นจะแก้ รธน.ทั้งฉบับ โดยอำพรางเป้าหมายที่แท้จริงด้วยการอ้างว่า แก้เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนนั้น พันธมิตรฯ จึงกำหนดจุดยืน 5 ข้อต่อสถานการณ์ขณะนี้ 1.รธน.2550 ได้ผ่านกระบวนการทำประชามติเป็นครั้งแรก โดยผ่านความเห็นชอบของประชาชนส่วนใหญ่มากกว่า 14 ล้านเสียง ดังนั้นหากจะมีการแก้ รธน.ฉบับนี้ จะต้องมีความชอบธรรมด้วยการสอบถามประชาชนทั้งประเทศด้วยการทำประชามติก่อนว่า ต้องการให้แก้ไข รธน.2550 หรือไม่ ไม่ใช่แก้ รธน.ตามอำเภอใจ ซึ่งเท่ากับเป็นการทำรัฐประหารเงียบโดยเผด็จการรัฐสภาของระบอบทักษิณ 2.ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงกลการอำพรางแก้ไข รธน.ทั้งฉบับเพื่อแก้ รธน.บางมาตราที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและพวกพ้องเป็นอันขาด 3.ไม่ว่าจะมีการแก้ไข รธน.กี่มาตรา พันธมิตรฯ ยังคงเจตนารมณ์เดิมที่จะใช้สิทธิพิทักษ์ รธน.ตามมาตรการที่พันธมิตรฯ ได้ประกาศไว้ในแถลงการณ์ฉบับที่ 5 ได้แก่ การขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดการกระทำที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางของ รธน. ,การรวบรวมรายชื่อประชาชน 2 หมื่นชื่อเพื่อถอดถอน ส.ส.ที่มีผลประโยชน์ขัดกันในการแก้ รธน. และการที่พันธมิตรฯ จะเคลื่อนไหวทุกรูปแบบภายใต้กรอบ รธน.เพื่อคัดค้านการแก้มาตรา 237 และ 309 4.พันธมิตรฯ เห็นว่า หากจะแก้ รธน.จะต้องใช้รูปแบบเดียวกับการยกร่าง รธน.2540 คือ จัดทำร่าง รธน.โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีตัวแทนจากประชาชนและนักวิชาการทุกภาคส่วน รวมทั้งต้องไม่ให้ ส.ส.-ส.ว.ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีผลประโยชน์ขัดกัน เข้ามาร่วมร่าง รธน. 5.พันธมิตรฯ เรียกร้องให้รัฐบาลและนักการเมืองในระบอบทักษิณ หยุดพฤติกรรมอันธพาลและหยุดพูดจาหยาบคายต่อประชาชนผู้ต่อต้านระบอบทักษิณ และขอประณามการโอบอุ้มนักการเมืองอันธพาลที่ใช้คำหยาบคายและทำร้ายร่างกาย ส.ส.ด้วยกันเอง พร้อมกันนี้ พันธมิตรฯ ขอเตือนพรรคพลังประชาชนและรัฐบาลหุ่นเชิดว่า ขณะนี้ประชาชนทั่วประเทศเหลืออดต่อพฤติกรรมของรัฐบาลที่ไม่ได้ให้สนใจแก้ปัญหาของประเทศชาติบ้านเมืองให้ประชาชนพ้นจากความเดือดร้อนแม้แต่น้อย กลับสนใจแต่จะแก้ปัญหาของตัวเองและพวกพ้องให้พ้นผิดในคดีต่างๆ รวมทั้งฟื้นฟูระบอบทักษิณเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้น หากมีอะไรเกิดขึ้น ย่อมเป็นปัญหาที่รัฐบาลหุ่นเชิดเป็นผู้ก่อทั้งสิ้น และจะต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่จะตามมาทั้งปวง

พันธมิตรฯ ฮึ่ม “หุ่นเชิด” อย่าปรามาส ปชช.รวบรัดแก้ รธน.ฟอกผิด
พันธมิตรฯ แถลงต้าน “แก้ รธน.” รัฐประหารเงียบเอื้อทุนสามานย์

6. “สมัคร”เล่น “เสรีพิศุทธ์”ไม่เลิก สั่งสอบเพิ่ม แถมให้ออกจากราชการ ด้าน “เจ้าตัว”ฮึดสู้ เตรียมฟ้อง 2 ศาล!
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผบ.ตร.เปิดแถลง เตรียมฟ้องนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ต่อศาลปกครองและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ หลังออกคำสั่งให้ออกจากราชการโดยไม่ชอบ(10 เม.ย.)
หลังจากก่อนหน้านี้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งเด้ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ให้ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ พร้อมสั่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง 3 ประเด็น คือ การดำเนินโครงการเช่ารถยนต์และรถบรรทุก ,การใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมกับผู้ใต้บังคับบัญชา และการออกคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการตำรวจโดยไม่ถูกกฎหมายนั้น ปรากฏว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 เม.ย. นายสมัคร ได้สั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เพิ่มอีก 4 ประเด็น โดยอ้างว่า มีผู้ร้องเข้ามาหลายรายว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงหลายกรณี 1.กล่าวหาว่ามีการทุจริตเงินงบประมาณที่ใช้ในการสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในโครงการรับซื้อลำไยปี 2547 2.กล่าวหาว่ามีการทุจริตจัดซื้อรถจักรยานยนต์เกือบ 2 หมื่นคัน 3.กล่าวหาว่ารีสอร์ตภูไพรธารน้ำของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ที่ จ.กาญจนบุรี มีการถมหินจำนวนมากรุกล้ำแม่น้ำแควน้อยและยึดถือครองที่บุกรุกดังกล่าว 4.กล่าวหาว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ใช้เฮลิคอปเตอร์ของราชการ เพื่อเดินทางไปพักผ่อนและดูแลกิจการรีสอร์ทส่วนตัวในวันหยุดราชการ ทั้งนี้ มีรายงานว่า นอกจากนายสมัครจะสั่งสอบ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เพิ่มเติมแล้ว ยังได้มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ออกจากราชการไว้ก่อนด้วย ซึ่งนายสมัคร ปฏิเสธที่จะพูดถึงเรื่องนี้กับผู้สื่อข่าว อย่างไรก็ตาม นายธีรพล นพรัมภา เลขาธิการนายกฯ ยอมรับกับผู้สื่อข่าว(9 เม.ย.)ว่า นายกฯ ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ออกจากราชการไว้ก่อนจริง ด้าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้เปิดแถลงข่าวในวันต่อมา(10 เม.ย.) โดยยืนยันว่า ตนยังเป็น ผบ.ตร.อยู่ จะพ้นตำแหน่งก็ต่อเมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังได้ชี้แจงข้อกล่าวหาต่างๆ ที่นายกฯ ได้สั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบเพิ่ม 4 ประเด็น โดย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ชี้ด้วยว่า การสั่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงนั้น เป็นกระบวนการที่ถูกต้องแล้ว แต่กรณีที่นายกฯ สั่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงตน 3 ประเด็นก่อนหน้านี้นั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยืนยันว่า เป็นขั้นตอนที่ไม่ถูกต้อง เพราะตามกระบวนการ ต้องตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงก่อน ดังนั้นถือว่านายกฯ พลาด และว่า ตามกระบวนการของกฎหมายนั้น นายกฯ ไม่สามารถย้ายตนได้ทันทีและไม่สามารถสั่งให้ตนออกจากราชการไว้ก่อนได้ แต่ที่เป็นเช่นนี้ เพราะมีกระบวนการกลั่นแกล้งตนโดยขบวนการที่อยากได้ตำแหน่ง ผบ.ตร. จึงต้องทำให้ตนพ้นตำแหน่ง ดังนั้น หลังจากนี้ตนจะอุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) ภายใน 30 วัน ก่อนจะยื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อให้ยกเลิกคำสั่งสำนักนายกฯ จากนั้นจะยื่นฟ้องนายกฯ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามมาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ วันต่อมา(11 เม.ย.) ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต.ช.)ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ เป็นประธาน ได้พิจารณาแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ โดยที่ประชุมเห็นชอบตามที่นายสมัครเสนอให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รอง ผบ.ตร.ที่รักษาการ ผบ.ตร.ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.คนใหม่แทน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ โดยระบุว่า การดำรงตำแหน่งดังกล่าวจะมีผลเมื่อตำแหน่ง ผบ.ตร.ว่างลงอย่างสมบูรณ์ นั่นหมายถึง เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์พ้นจากตำแหน่งแล้ว ทั้งนี้ ในวันที่ 17 เม.ย.นี้ ที่ประชุม ก.ตร.จะมีการพิจารณาแต่งตั้งตำแหน่งรอง ผบ.ตร.และ ผช.ผบ.ตร.ที่เปิดขึ้นใหม่ โดยผู้ที่น่าจะได้ดำรงตำแหน่งรอง ผบ.ตร.แน่ๆ ก็คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ชินวัตร

ตั้ง“พัชรวาท” ขึ้น ผบ.ตร.เมื่อตำแหน่งว่างตาม กม.โดยสมบูรณ์?
“เสรีพิศุทธ์” สับเละขบวนการนายตำรวจเลื่อยเก้าอี้ ผบ.ตร.!
ถอดรหัส!!! หอกข้างแคร่ร่วมโค่น “เสรีพิศุทธ์”
“เสรีพิศุทธ์” แฉขบวนการปล้นตำแหน่ง ผบ.ตร.รุมโค่น!
แตกหัก! โฆษก ตร.ยัน “เสรีพิศุทธ์” หมดสถานภาพเป็นตำรวจแล้ว!
“เสรีพิศุทธ์” เปิดศึกสู้คำสั่งปลด - ลาก “หมัก” ขึ้นเขียงศาลฎีกาฯ
DSI สนอง “หมัก” เร่งสอบ “เสรีพิศุทธ์” จัดซื้อเครื่องไบโอฯไม่โปร่งใส
คำสั่ง “สมัคร” ปลด “เสรีพิศุทธ์” ออกจากราชการพร้อมแจ้ง 3 ข้อหาหนัก
“หมัก” ประหาร “เสรีพิศุทธ์” ปลดออกจากราชการ-สอบเพิ่ม 4 ข้อหาหนัก
กำลังโหลดความคิดเห็น