ผู้จัดการรายวัน - “ไชยา” หวงเก้าอี้ยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ ประกาศชัดๆ ไม่ลาออก ยันไม่เคยพูดกับ “สมัคร” ว่าจะออก บอกแค่จะยุติบทบาทหลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่ามีความผิด พร้อมโชว์รวยนับแต่นี้ไม่ขอรับเงินเดือน รมว.สธ. แต่จะมอบให้กองทุนช่วยเหลือบริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือแพทย์ และประชาชน ด้าน “พี่ชาย” อุ้มสุดตัวอ้างไม่รู้ รธน.ปี 50 “วีระ” อัดเลิกตะแบง รัฐธรรมนูญใหญ่กว่ากฎหมายลูก ขณะที่เครือข่ายภาค ปชช.เดินเครื่องล่าชื่อถอดถอนต่อ 11-12 เม.ย.นี้
วานนี้ (10 เม.ย.) นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข ได้เปิดบ้านพัก อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ตั้งแต่เวลา 05.00 น. โดยมีชาวบ้านหลายพันคนทยอยเข้าให้กำลังใจพร้อมมอบดอกไม้กับนายไชยาและนางจุไร ภรรยา กรณีที่ถูกทาง ป.ป.ช.วินัยฉัยว่ากระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 269 ซึ่งในจำนวนนี้ มี นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัด สธ. นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัด สธ. และคณะรวมอยู่ด้วย
จากนั้นนายไชยาได้ให้สัมภาษณ์โดยยืนยันว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข พร้อมยืนยันไม่ได้บอกนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีว่าจะลาออก เพียงแต่บอกว่า พร้อมจะยุติบทบาทภายหลังกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลรัฐธรรมนูญได้ชี้ขาดว่าตนกระทำผิด ดังนั้น ขณะนี้จะยังคงปฏิบัติงานในกระทรวงสาธารณสุขต่อไป
“ขณะนี้ ป.ป.ช.ยังไม่ได้วินิจฉัยว่าผมผิด หากผมผิดจริงทาง ป.ป.ช.ก็คงฟันไปแล้ว ดังนั้น เมื่อผมไม่ผิด ผมก็จะไม่ลาออก และอยากถามวันนี้ใครเห็นหนังสือลาออกของผมบ้าง เพราะว่าผมยังไม่ได้เซ็น อย่างไรก็ตาม ผมขอขอบคุณชาว จ.นครปฐม ที่มาให้กำลังใจ”
นายไชยา กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเข้ามาทำงานที่กระทรวงสาธารณสุขด้วยบริสุทธิ์ใจ และตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตาม การทำหน้าที่หลังจากนี้เสมือนเป็นอาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม. มุ่งเสียสละเพื่อส่วนรวมและไม่ขอรับเงินเดือน โดยจะบริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือแพทย์ และประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์
ทั้งนี้ การทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นเวลากว่า 2 เดือนเหมือนทำมานานกว่า 2 ปี เนื่องจากมีงานจำนวนมาก พร้อมขอให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และอาสาสมัครทั่วประเทศ ช่วยกันทำงานให้กับประชาชนอย่างดีที่สุด
ภาค ปชช.เปิดล่าถอด 11-12 เม.ย.
วันเดียวกันที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยว่า เครือข่ายภาคประชาชนจะเดินหน้ารวบรวมรายชื่อถอดถอน นายไชยาให้ได้ครบ 20,000 รายชื่ออย่างเร็วที่สุด โดยในวันที่ 11 เม.ย.นี้จะตั้งโต๊ะล่ารายชื่อจำนวน 2 จุด ที่ริมถนนหน้าอาคารซีพีทาวเวอร์ สีลม และที่ประตูหน้าม.ธรรมศาสตร์ฝั่งท่าพระจันทร์ ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. และในวันที่ 12 เม.ย.จำนวน 1 จุดที่ตลาดจตุจักรบริเวณโครงการ 24 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน
ทั้งนี้ ขณะนี้รายชื่อยังขาดอีก 4,000 รายชื่อ จึงขอเชิญชวนคนไทยที่ต้องการใช้สิทธิ์ประชาธิปไตยภาคประชาชนได้ร่วมลงชื่อถอดถอนได้โดยไปตามสถานที่และวันเวลาที่กำหนด
“พวกเราทราบดีว่าคุณไชยาคงไม่ลาออกอย่างแน่นอน และไม่มั่นใจว่านายกรัฐมนตรีจะดำเนินการปรับออกหรือไม่ อีกทั้งสส.,สว., กกต. ก็อาจจะดำเนินการไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเร่งรวบรวมรายชื่อให้ครบ 20,000 รายชื่อให้เร็วที่สุด”น.ส.สารี กล่าว
ป.ป.ช.ปลอบไม่โดนอาญา
นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช.เปิดเผยว่า วานนี้ (10 เม.ย.)ประธาน ป.ป.ช.ได้ลงนามในหนังสือเพื่อแจ้งต่อสี่องค์กรคือ นายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้พิจารณาเรื่องความสิ้นสุดการเป็นรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป เชื่อว่าขณะนี้หนังสือดังกล่าวอยู่ระหว่างการเดินทาง ขอยืนยันว่าที่ต้องส่งให้สี่องค์กรเพราะ ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจที่จะไปวินิจฉัย ประเด็นการขาดคุณสมบัติของรัฐมนตรี และเรื่องนี้การขาดคุณสมบัติไม่เกี่ยวกับการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ หากเกี่ยวบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ป.ป.ช.สามารถวินิจฉัยชี้มูลเองได้และส่งให้ศาลดำเนินการทางคดีอาญาต่อไป
นายกล้านรงค์ ชี้แจงว่า นายไชยาได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ทั้งของตัวเองและภรรยามาครบเรียบร้อยตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ไว้ 30 วัน หลังจากรับตำแหน่ง เพียงแต่ไม่ได้แจ้งขอรับประโยชน์จากหุ้นของภรรยา จึงได้แจ้งย้อนกลับมาในภายหลัง ซึ่งตรงนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการแจงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ หากนายไชยาลาออก ก็ถือว่าสิ้นสุดการเป็นรัฐมนตรี ส่วนข้อสงสัยว่าจะโดนคดีอาญาตามมาหรือไม่นั้น ก็ยังไม่เห็นว่าจะต้องโดนคดีอาญาอะไรตามมาเลย
ส่วนในประเด็นที่นายไชยา ยืนยันว่าตัวเองยื่นตามกฎหมายลูกรัฐธรรมนูญปี 40 นายกล้านรงค์กล่าวว่า ไม่ขอตอบโต้ประเด็นที่นายไชย ระบุ และการให้ข่าวของตนก็ไม่ได้ต้องการออกมาตอบโต้อะไร
ด้าน นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. กล่าวว่า ขณะนี้กกต. ยังไม่ได้รับสำนวนคำร้องจาก ป.ป.ช. ดังนั้น กกต. คงต้องรอเอกสารต่างๆ ของ ป.ป.ช.ให้ครบถ้วนก่อน เนื่องจากกกต.ไม่สามารถดำเนินการเองได้ เพราะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย กกต.จะเร่งนำสำนวนเข้าสู่ที่ประชุมเพื่อวินิจฉัยได้เลย ไม่ต้องรอประชุมร่วมกับอีก 4 องค์กรที่ระบุไว้ตามรัฐธรรมนูญ และหากพิจารณาเสร็จแล้วกกต.สามารถส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ทั้งนี้ หาก ป.ป.ช.ส่งสำนวนมากกต.ก็ต้องปฏิบัติไปตามมาตรา 82 วรรคท้ายที่ให้อำนาจกกต.ในการวินิจฉัยในกรณีความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตาม หากความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงแต่ความเป็น ส.ส. ยังคงอยู่
“วีระ” อัดเลิกตะแบง
ขณะที่ นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชาชนต้านคอร์รัปชั่น กล่าวว่า เรื่องของนายไชยาจะเป็นเครื่องพิสูจน์น้ำยาของนายสมัครว่ามีหรือไม่ ซึ่งตนคิดว่าไม่ช้าเรื่องทุกอย่างก็จะไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ แม้นายไชยาจะอ้างเรื่องความไม่ชัดเจนกฎหมายลูกก็ไม่เป็นผล เพราะมาตรา 269 ระบุไว้ชัดเจนมีผลบังคับใช้ และรัฐธรรมนูญก็ใหญ่กว่ากฎหมายลูก แม้ว่ากฎหมายลูกยังไม่ชัดเจนก็ต้องถือแนวปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ
“เขาก็คงพยายามยื้อไปเรื่อยๆ ก่อนเพราะลงทุนไปเยอะ และก็มีสัญญาใจกับทักษิณกันไว้ ในเรื่องการช่วยดูแลการเลือกตั้ง เป็นเรื่องของต่างตอบแทน อยู่แค่สองเดือนจะออกไปง่ายๆ ได้อย่างไร แล้วนี้จะมาต่อรองตำแหน่งให้พี่ชายนั่งต่ออีก ผมอยากถามว่ามีสิทธิ์อะไรมาจองตำแหน่งกันแบบนี้”นายวีระ กล่าว
“พี่ชาย” อ้างไม่รู้ รธน.ปี 50 บังคับ
นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ส.ส.นครปฐม พี่ชายนายไชยา กล่าวว่า การออกหรือไม่ออกไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ประเด็นวันนี้ต้องดูว่าเราควรหันหน้าหาบทสรุปที่แท้จริงว่า ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อย่าไปฟันธงตั้งแต่แรกแล้วมารุมผสมโรงกัน หากอยากให้บ้านเมืองสมานฉันท์ ตามที่พ่อหลวงเราอยากให้เป็นก็ควรจะถอยกัน แล้วมาดูว่าที่เราทำตั้งใจไหมผิดไหม บริสุทธิ์ต่อบ้านเมืองและสังคมหรือไม่
“ผมมั่นใจว่าน้องชายไม่ได้ทำอะไรผิด เพียงแต่พูดตรงเกินไป รับรองเขาเป็นคนดี”
ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้นายไชยายังปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิมหรือไม่ นายเผดิมชัย กล่าวว่า ก็ไม่มีอะไรผิด ให้พิสูจน์ออกมาและตัดสินออกมาให้ชัดเจนก่อน ซึ่งก็อยากรู้ว่ากฎหมายลูกจะตีความอย่างไร อาจจะเข้าใจผิด ควรจะพูดให้ชัดเจน
“ความจริงแล้วไชยาได้ยื่น 2.5 ล้านบาทครบกำหนด 30 วัน แต่บังเอิญนั่งพูดกัน แล้วเห็นว่าของเมียบางตัวเกิน 5% ก็เลยแจ้งย้อนไป ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 40 ไม่ได้ระบุ แต่รัฐธรรมนูญฉบับปี 50 ในมาตรา 269 เพิ่มมาว่าภรรยาและลูกที่ไม่บรรลุนิติภาวะ ต้องแจ้งด้วย แต่บังเอิญยังไม่มีบรรทัดฐานตัวนั้น ไม่ได้เขียนไว้ในลูก ถ้าลูกเขียนมาพร้อมกันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่วันนี้กลับมาบอกว่าทำความผิดรัฐธรรมนูญร้ายแรง ผมก็งง ไม่ได้โทษผู้ใหญ่ หรือป.ป.ช.ผิด เรากำลังจะดูว่าเจตนาบริสุทธิ์ของกฎหมายอยู่ตรงไหนและกฎหมายสร้างความเป็นธรรมอย่างไร”นายเผดิมชัย กล่าว
วานนี้ (10 เม.ย.) นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข ได้เปิดบ้านพัก อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ตั้งแต่เวลา 05.00 น. โดยมีชาวบ้านหลายพันคนทยอยเข้าให้กำลังใจพร้อมมอบดอกไม้กับนายไชยาและนางจุไร ภรรยา กรณีที่ถูกทาง ป.ป.ช.วินัยฉัยว่ากระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 269 ซึ่งในจำนวนนี้ มี นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัด สธ. นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัด สธ. และคณะรวมอยู่ด้วย
จากนั้นนายไชยาได้ให้สัมภาษณ์โดยยืนยันว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข พร้อมยืนยันไม่ได้บอกนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีว่าจะลาออก เพียงแต่บอกว่า พร้อมจะยุติบทบาทภายหลังกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลรัฐธรรมนูญได้ชี้ขาดว่าตนกระทำผิด ดังนั้น ขณะนี้จะยังคงปฏิบัติงานในกระทรวงสาธารณสุขต่อไป
“ขณะนี้ ป.ป.ช.ยังไม่ได้วินิจฉัยว่าผมผิด หากผมผิดจริงทาง ป.ป.ช.ก็คงฟันไปแล้ว ดังนั้น เมื่อผมไม่ผิด ผมก็จะไม่ลาออก และอยากถามวันนี้ใครเห็นหนังสือลาออกของผมบ้าง เพราะว่าผมยังไม่ได้เซ็น อย่างไรก็ตาม ผมขอขอบคุณชาว จ.นครปฐม ที่มาให้กำลังใจ”
นายไชยา กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเข้ามาทำงานที่กระทรวงสาธารณสุขด้วยบริสุทธิ์ใจ และตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตาม การทำหน้าที่หลังจากนี้เสมือนเป็นอาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม. มุ่งเสียสละเพื่อส่วนรวมและไม่ขอรับเงินเดือน โดยจะบริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือแพทย์ และประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์
ทั้งนี้ การทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นเวลากว่า 2 เดือนเหมือนทำมานานกว่า 2 ปี เนื่องจากมีงานจำนวนมาก พร้อมขอให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และอาสาสมัครทั่วประเทศ ช่วยกันทำงานให้กับประชาชนอย่างดีที่สุด
ภาค ปชช.เปิดล่าถอด 11-12 เม.ย.
วันเดียวกันที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยว่า เครือข่ายภาคประชาชนจะเดินหน้ารวบรวมรายชื่อถอดถอน นายไชยาให้ได้ครบ 20,000 รายชื่ออย่างเร็วที่สุด โดยในวันที่ 11 เม.ย.นี้จะตั้งโต๊ะล่ารายชื่อจำนวน 2 จุด ที่ริมถนนหน้าอาคารซีพีทาวเวอร์ สีลม และที่ประตูหน้าม.ธรรมศาสตร์ฝั่งท่าพระจันทร์ ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. และในวันที่ 12 เม.ย.จำนวน 1 จุดที่ตลาดจตุจักรบริเวณโครงการ 24 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน
ทั้งนี้ ขณะนี้รายชื่อยังขาดอีก 4,000 รายชื่อ จึงขอเชิญชวนคนไทยที่ต้องการใช้สิทธิ์ประชาธิปไตยภาคประชาชนได้ร่วมลงชื่อถอดถอนได้โดยไปตามสถานที่และวันเวลาที่กำหนด
“พวกเราทราบดีว่าคุณไชยาคงไม่ลาออกอย่างแน่นอน และไม่มั่นใจว่านายกรัฐมนตรีจะดำเนินการปรับออกหรือไม่ อีกทั้งสส.,สว., กกต. ก็อาจจะดำเนินการไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเร่งรวบรวมรายชื่อให้ครบ 20,000 รายชื่อให้เร็วที่สุด”น.ส.สารี กล่าว
ป.ป.ช.ปลอบไม่โดนอาญา
นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช.เปิดเผยว่า วานนี้ (10 เม.ย.)ประธาน ป.ป.ช.ได้ลงนามในหนังสือเพื่อแจ้งต่อสี่องค์กรคือ นายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้พิจารณาเรื่องความสิ้นสุดการเป็นรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป เชื่อว่าขณะนี้หนังสือดังกล่าวอยู่ระหว่างการเดินทาง ขอยืนยันว่าที่ต้องส่งให้สี่องค์กรเพราะ ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจที่จะไปวินิจฉัย ประเด็นการขาดคุณสมบัติของรัฐมนตรี และเรื่องนี้การขาดคุณสมบัติไม่เกี่ยวกับการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ หากเกี่ยวบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ป.ป.ช.สามารถวินิจฉัยชี้มูลเองได้และส่งให้ศาลดำเนินการทางคดีอาญาต่อไป
นายกล้านรงค์ ชี้แจงว่า นายไชยาได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ทั้งของตัวเองและภรรยามาครบเรียบร้อยตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ไว้ 30 วัน หลังจากรับตำแหน่ง เพียงแต่ไม่ได้แจ้งขอรับประโยชน์จากหุ้นของภรรยา จึงได้แจ้งย้อนกลับมาในภายหลัง ซึ่งตรงนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการแจงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ หากนายไชยาลาออก ก็ถือว่าสิ้นสุดการเป็นรัฐมนตรี ส่วนข้อสงสัยว่าจะโดนคดีอาญาตามมาหรือไม่นั้น ก็ยังไม่เห็นว่าจะต้องโดนคดีอาญาอะไรตามมาเลย
ส่วนในประเด็นที่นายไชยา ยืนยันว่าตัวเองยื่นตามกฎหมายลูกรัฐธรรมนูญปี 40 นายกล้านรงค์กล่าวว่า ไม่ขอตอบโต้ประเด็นที่นายไชย ระบุ และการให้ข่าวของตนก็ไม่ได้ต้องการออกมาตอบโต้อะไร
ด้าน นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. กล่าวว่า ขณะนี้กกต. ยังไม่ได้รับสำนวนคำร้องจาก ป.ป.ช. ดังนั้น กกต. คงต้องรอเอกสารต่างๆ ของ ป.ป.ช.ให้ครบถ้วนก่อน เนื่องจากกกต.ไม่สามารถดำเนินการเองได้ เพราะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย กกต.จะเร่งนำสำนวนเข้าสู่ที่ประชุมเพื่อวินิจฉัยได้เลย ไม่ต้องรอประชุมร่วมกับอีก 4 องค์กรที่ระบุไว้ตามรัฐธรรมนูญ และหากพิจารณาเสร็จแล้วกกต.สามารถส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ทั้งนี้ หาก ป.ป.ช.ส่งสำนวนมากกต.ก็ต้องปฏิบัติไปตามมาตรา 82 วรรคท้ายที่ให้อำนาจกกต.ในการวินิจฉัยในกรณีความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตาม หากความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงแต่ความเป็น ส.ส. ยังคงอยู่
“วีระ” อัดเลิกตะแบง
ขณะที่ นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชาชนต้านคอร์รัปชั่น กล่าวว่า เรื่องของนายไชยาจะเป็นเครื่องพิสูจน์น้ำยาของนายสมัครว่ามีหรือไม่ ซึ่งตนคิดว่าไม่ช้าเรื่องทุกอย่างก็จะไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ แม้นายไชยาจะอ้างเรื่องความไม่ชัดเจนกฎหมายลูกก็ไม่เป็นผล เพราะมาตรา 269 ระบุไว้ชัดเจนมีผลบังคับใช้ และรัฐธรรมนูญก็ใหญ่กว่ากฎหมายลูก แม้ว่ากฎหมายลูกยังไม่ชัดเจนก็ต้องถือแนวปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ
“เขาก็คงพยายามยื้อไปเรื่อยๆ ก่อนเพราะลงทุนไปเยอะ และก็มีสัญญาใจกับทักษิณกันไว้ ในเรื่องการช่วยดูแลการเลือกตั้ง เป็นเรื่องของต่างตอบแทน อยู่แค่สองเดือนจะออกไปง่ายๆ ได้อย่างไร แล้วนี้จะมาต่อรองตำแหน่งให้พี่ชายนั่งต่ออีก ผมอยากถามว่ามีสิทธิ์อะไรมาจองตำแหน่งกันแบบนี้”นายวีระ กล่าว
“พี่ชาย” อ้างไม่รู้ รธน.ปี 50 บังคับ
นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ส.ส.นครปฐม พี่ชายนายไชยา กล่าวว่า การออกหรือไม่ออกไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ประเด็นวันนี้ต้องดูว่าเราควรหันหน้าหาบทสรุปที่แท้จริงว่า ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อย่าไปฟันธงตั้งแต่แรกแล้วมารุมผสมโรงกัน หากอยากให้บ้านเมืองสมานฉันท์ ตามที่พ่อหลวงเราอยากให้เป็นก็ควรจะถอยกัน แล้วมาดูว่าที่เราทำตั้งใจไหมผิดไหม บริสุทธิ์ต่อบ้านเมืองและสังคมหรือไม่
“ผมมั่นใจว่าน้องชายไม่ได้ทำอะไรผิด เพียงแต่พูดตรงเกินไป รับรองเขาเป็นคนดี”
ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้นายไชยายังปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิมหรือไม่ นายเผดิมชัย กล่าวว่า ก็ไม่มีอะไรผิด ให้พิสูจน์ออกมาและตัดสินออกมาให้ชัดเจนก่อน ซึ่งก็อยากรู้ว่ากฎหมายลูกจะตีความอย่างไร อาจจะเข้าใจผิด ควรจะพูดให้ชัดเจน
“ความจริงแล้วไชยาได้ยื่น 2.5 ล้านบาทครบกำหนด 30 วัน แต่บังเอิญนั่งพูดกัน แล้วเห็นว่าของเมียบางตัวเกิน 5% ก็เลยแจ้งย้อนไป ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 40 ไม่ได้ระบุ แต่รัฐธรรมนูญฉบับปี 50 ในมาตรา 269 เพิ่มมาว่าภรรยาและลูกที่ไม่บรรลุนิติภาวะ ต้องแจ้งด้วย แต่บังเอิญยังไม่มีบรรทัดฐานตัวนั้น ไม่ได้เขียนไว้ในลูก ถ้าลูกเขียนมาพร้อมกันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่วันนี้กลับมาบอกว่าทำความผิดรัฐธรรมนูญร้ายแรง ผมก็งง ไม่ได้โทษผู้ใหญ่ หรือป.ป.ช.ผิด เรากำลังจะดูว่าเจตนาบริสุทธิ์ของกฎหมายอยู่ตรงไหนและกฎหมายสร้างความเป็นธรรมอย่างไร”นายเผดิมชัย กล่าว