1. “ในหลวง”โปรดเกล้าฯ “แบบพระเมรุ”สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ แล้ว!
เมื่อวันที่ 31 ม.ค.คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม แถลงความคืบหน้าการจัดสร้างพระเมรุสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แบบพระเมรุที่ น.อ.อาวุธ เงินชูกลิ่น ประธานคณะทำงานออกแบบพระเมรุฯ ได้ออกแบบอย่างเป็นทางการแล้ว โดยทรงเห็นชอบตามแบบที่เสนอ ด้าน น.อ.อาวุธ กล่าวว่า จะปรับเพิ่มเติมรายละเอียดบ้างเล็กน้อยในส่วนที่เป็นชั้นบันแถลง โดยปรับเป็นรูปวิมาน เพื่อให้สอดคล้องกับคติเขาพระสุเมรุที่เปรียบเสมือนสรวงสวรรค์ และชานชาลาบันไดด้านในพระเมรุ ได้เพิ่มเติมสัตว์หิมพานต์ทวิบาท 2 ขา ประดับไว้ 4 จุด จุดแรก-ด้านทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทางเสด็จของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ ประดับ”กินนร” จุดที่สอง-ด้านทิศเหนือที่เชิญพระศพขึ้นพระเมรุ ประดับ”อัปสรสีหะ”รูปครึ่งคนครึ่งสิงห์ จุดที่สาม-ด้านทิศใต้ ประดับ”นกทัณฑิมา”ซึ่งเป็นนกที่ถือกระบองคอยปกป้องไม่ให้สิ่งชั่วร้ายเข้ามา และจุดสุดท้าย ประดับ”หงส์” เพื่อเป็นเสารับผูกสายโยงหรือสายสิญจน์จากพระเมรุมายังหน้าพระที่นั่งทรงธรรม และโยงจากพระศพมายังพระสงฆ์ในการสดับปกรณ์ ด้านสำนักพระราชวังได้กำหนดพิธีบำเพ็ญกุศลพิธีกงเต็กอุทิศถวายเป็นพระกุศล ณ ลานพระที่นั่งดุสิตมหาประสาท ด้านประตูทิศตะวันตกในวันที่ 29 ก.พ. และวันที่ 8 ,14 ,23 ,28 มี.ค.51
2. “สมัคร”ได้เป็น “นายกฯ คนที่ 25”ของไทยแล้ว เตรียมนั่งถ่างขาควบ “รมว.กห.”ด้วย!
เมื่อวันที่ 28 ม.ค.ได้มีการประชุมสภา(ชุดที่ 23 ปีที่ 1 ครั้งที่ 1)เพื่อเห็นชอบบุคคลที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี โดย นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ส.ส.สัดส่วน และเลขาธิการพรรคพลังประชาชน ได้เสนอชื่อนายสมัคร สุนทรเวช ส.ส.สัดส่วนและหัวหน้าพรรคเป็นนายกฯ ขณะที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ เสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส.ส.สัดส่วนและหัวหน้าพรรค ซึ่ง ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์หลายคน แนะว่า นายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งสำคัญ น่าจะให้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อแสดงวิสัยทัศน์ และเปิดโอกาสให้ซักถามว่า ผู้ถูกเสนอชื่อจะยุบ คตส.หรือไม่ จะนิรโทษกรรม 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยหรือไม่ แต่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค(เช่น นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน)ไม่เห็นด้วย จากนั้น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และ ส.ส.ซีกรัฐบาลได้ยกมือประท้วงกันไปมา กระทั่งสุดท้ายมีการโหวต ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการให้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ แสดงวิสัยทัศน์ ด้วยคะแนน 300 : 154 เสียง ส่วนผลการลงคะแนนเลือกนายกฯ โดยเปิดเผยด้วยการขานชื่อ ส.ส.เป็นรายบุคคลว่าจะเลือกนายสมัครหรือนายอภิสิทธิ์ให้เป็นนายกฯ นั้น ผลปรากฏว่า ที่ประชุมสภาเห็นชอบให้นายสมัครเป็นนายกฯ ด้วยคะแนน 310 เสียง ขณะที่นายอภิสิทธิ์ได้ 163 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง คือนายยงยุทธ(ปธ.สภา) ,นายสมัคร และนายอภิสิทธิ์ โดยมี ส.ส.ที่ไม่ได้ลงคะแนนเลือกนายกฯ เพราะไม่ได้เข้าร่วมประชุม 1 คน คือ ม.ร.ว.กิติวัฒนา (ไชยันต์)ปกมนตรี ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน เนื่องจากลาป่วย ทั้งนี้ หลังการประชุมสภาเพื่อเลือกนายกฯ แล้วเสร็จ นายยงยุทธ ได้รีบนำรายชื่อนายสมัครขึ้นทูลเกล้าฯ ผ่านทางสำนักราชเลขาธิการในช่วงบ่ายวันเดียวกัน และเย็นวันต่อมา(29 ม.ค.) ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายสมัคร สุนทรเวช ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ นายสมัครได้เปิดแถลงโดยเล่าถึงประวัติเส้นทางการเมืองของตน ตั้งแต่การเมืองท้องถิ่นมาจนถึงการเมืองระดับชาติ เป็นมาแล้วทั้งรัฐมนตรีและรองนายกฯ และว่า ตั้งใจจะเกษียณอายุทางการเมืองในตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา แต่อยู่ได้ 5 เดือน ก็เกิดการปฏิวัติ และว่า เมื่อมีคนรวมตัวจัดตั้งพรรคการเมือง(พรรคพลังประชาชน) ซึ่งมีจิตวิญญาณทางการเมือง และผู้คนยังมีศรัทธาอยู่ ตนจึงรับทำหน้าที่(หัวหน้าพรรคพลังประชาชน) นายสมัคร ยังยืนยันว่า ตนมีความรักชาติและจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านายกฯ คนใดใน 24 คนที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ นายสมัครยังได้ยกตัวเลข ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนที่ได้รับเลือกมา 233 เสียง มาลบล้างข้อกล่าวหาถึงความไม่จงรักภักดีของ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย โดยบอกว่า การที่ประชาชนเสียงข้างมากแสดงตัวเลขให้เห็นด้วยตัวเลข 233 เสียง แสดงว่าคนเหล่านั้นไม่ได้คิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่จงรักภักดีอย่างที่มีการกล่าวหากัน นอกจากนี้นายสมัคร ยังยืนยันความสามารถในการทำงานการเมืองของตนเองด้วย
“ผมเป็นนักการเมือง เพราะเห็นว่าผมจะสามารถทำการเมืองเพื่อพิสูจน์ได้ ผมก็ทำการเมืองนี้ แต่บัดนี้เป็นข้อพิสูจน์ ผมขอให้ใครก็ตามแต่ที่เคยดูหมิ่นถิ่นแคลนด้วยการเขียนหนังสือ หรือด้วยการว่ากล่าว พูดจาถากถาง เหมือนกับผมไม่มีความสามารถ เป็นคนที่ไม่รู้เรื่องต่างๆ นั้น ผมขอยืนยันว่า ท่านต้องให้เวลาผมทำงาน”
นายสมัครยังได้กล่าวหลังประชุมกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนเพื่อพิจารณารายชื่อ ครม.ในส่วนของพรรค(30 ม.ค.) ถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)มีมติตั้งอนุกรรมการตรวจสอบกรณีทุจริตโครงการจ้างเอกชนกำจัดขยะมูลฝอย มูลค่ากว่า 9 พันล้านสมัยเป็นผู้ว่าฯ กทม.ว่า เชิญตามสบาย อย่างไรก็ตาม นายสมัครไม่วายโทษว่าการตรวจสอบของ ป.ป.ช.เป็นฝีมือของมือที่มองไม่เห็นอีกตามเคย โดยบอก “...มันมีคำสั่งจากไอ้มือที่มองไม่เห็นให้จัดการไง” สำหรับความคืบหน้าเรื่องโผ ครม.นั้น นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน บอก(31 ม.ค.)ว่า นายสมัครได้รวบรวมรายชื่อผู้ที่มีความเหมาะสมทั้งในส่วนของพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างให้นายสุรชัย ภู่ประเสริฐ เลขาธิการ ครม.ตรวจสอบคุณสมบัติ คาดว่าจะใช้เวลา 1-2 วัน หลังจากนั้นจะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป สำหรับโผ ครม.ที่สื่อประเมินออกมา ได้แก่ นายสมัคร ควบตำแหน่งนายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหม ส่วนกระทรวงหลักๆ ก็เป็นของพรรคพลังประชาชน เช่น นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ควบรองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง ,นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ควบรองนายกฯ และรัฐมนตรีพาณิชย์ ,นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ควบรองนายกฯ และรัฐมนตรีศึกษาธิการ ,ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีมหาดไทย ,นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรียุติธรรม ,นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นต้น ด้านพรรคประชาธิปัตย์ เตรียมตั้ง ครม.เงา เพื่อตรวจสอบรัฐบาล เพราะเชื่อว่ามีประชาชนไม่น้อยที่ผิดหวังกับคณะรัฐมนตรีที่จะตั้งขึ้น รวมทั้งกรณีที่นายกฯ ไม่ให้ความสำคัญกับปัญหาของประชาชนว่าจะรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจอย่างไร กลับพูดแต่เรื่องการปกป้องและเอา พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศ
“สมัคร” เปิดใจหลังโปรดเกล้าฯนั่งเก้าอี้นายกฯคนที่ 25
3. “สนธิ” ไม่ห่วงถูกเช็คบิล ยัน ทำเพื่อชาติ พร้อมแย้ม คุย “ทักษิณ”แล้ว ฉันพี่-น้อง!
เมื่อวันที่ 30 ม.ค.พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกฯ และอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) ได้เดินทางกลับถึงประเทศไทยแล้ว หลังจากเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ประเทศตะวันออกกลาง โดยทันทีที่เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ พล.อ.สนธิ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ที่มีรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวชว่า ประชาชนเป็นคนเลือกและตัดสิน หัวหน้าพรรคการเมืองทุกพรรค ส.ส.ทุกคนได้โหวตมาแล้ว ถือเป็นมติของประชาชน ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้านายสมัครเป็นรัฐมนตรีกลาโหม จะสร้างความระส่ำระสายในกองทัพหรือไม่? พล.อ.สนธิ บอกว่า กองทัพมีวินัย และว่า ต่างประเทศที่เป็นมหาอำนาจ ก็ใช้รัฐมนตรีกลาโหมที่เป็นพลเรือน ซึ่งอาจเป็นรูปแบบใหม่ในการบริหารจัดการกองทัพ แต่หากคนที่ไม่เคยเข้ามาอยู่ในกองทัพเข้ามาบริหารกองทัพจะได้บทเรียนที่ดีๆ เพราะทหารมีวินัย พล.อ.สนธิยังแสดงความไม่ห่วงกังวลว่าจะถูกเช็คบิล โดยยืนยันว่า ตนรับราชการมาด้วยความสะอาดและโปร่งใส และทำทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง พร้อมบอก ขอเป็นกำลังใจให้รัฐบาลก็แล้วกัน ทั้งนี้ พล.อ.สนธิเผยว่า ได้คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ตั้งแต่ก่อนจัดตั้งรัฐบาล โดยมีคนกลางที่อยากเห็นบ้านเมืองสงบต่อสายแล้วยื่นโทรศัพท์ให้ตนคุย ผู้สื่อข่าวถามว่า คนกลางดังกล่าวเป็นคนระดับสูงหรือไม่ พล.อ.สนธิ บอก เพื่อนๆ กันนี่แหละ และว่า การคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณดังกล่าว เป็นการคุยในฐานะพี่น้อง ไม่มีเงื่อนไขด้านการเมือง ไม่ได้คุยเรื่องคดีต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ถูกตรวจสอบ และเป็นการคุยกันด้วยดี ไม่มีปัญหา ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ปฏิเสธ ตนไม่ได้เป็นตัวกลางในการต่อสายให้ พล.อ.สนธิคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณตามที่สื่อบางฉบับระบุ พร้อมย้ำ ในชีวิตไม่เคยพูดกับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร แม้แต่คำเดียว รวมทั้งไม่ได้คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณแต่อย่างใด พร้อมเชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณคงไม่มายุ่งเกี่ยวกับการเมืองตอนนี้ เพราะอาจกระเทือนรัฐบาลและพรรคพลังประชาชน
“ทนายแม้ว” ยัน “บัง” ต่อสาย อาจส่งผลให้แม้วกลับไทยเร็วขึ้น
4. “กกต.” มีมติให้ “ประชัย”พ้น หน.พรรค มฌ. ขณะที่เจ้าตัว บอก จบแล้ว พอแล้ว!
หลังจากพรรคมัชฌิมาธิปไตย(มฌ.)ได้ขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ตรวจสอบสถานภาพของนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ว่าขาดจากการเป็นหัวหน้าพรรคแล้วหรือไม่ เนื่องจากนายประชัยเคยประกาศลาออกแล้ว แต่ภายหลังเกิดเปลี่ยนใจไม่ลาออกนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ประชุม กกต.ได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเอกฉันท์ให้นายประชัย พ้นจากการเป็นหัวหน้าพรรคและสมาชิกพรรคมัชฌิมาธิปไตยตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2550 ที่นายประชัยได้ยื่นหนังสือลาออกต่อนายธนพร ศรียางกูล รองหัวหน้าพรรค ซึ่งเป็นนายทะเบียนสมาชิกพรรคมัชฌิมาธิปไตย โดย กกต.ชี้ว่า การยื่นหนังสือลาออกดังกล่าวเท่ากับนายประชัยได้แสดงเจตนาลาออกจากพรรคแล้ว ซึ่งจากการสอบพยาน 14 ปาก ทั้งพยานฝ่ายนายธนพร-ฝ่ายนายประชัย และพยานที่เป็นคนกลาง ต่างยืนยันว่า นายประชัยได้ยื่นใบลาออกให้นายธนพรแล้ว ดังนั้นความเป็นสมาชิกพรรคของนายประชัยจึงสิ้นสุดลง ณ วันดังกล่าว เมื่อสมาชิกภาพสิ้นสุด จึงส่งผลให้สถานภาพการเป็นหัวหน้าพรรคของนายประชัยสิ้นสุดลงด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารการเลือกตั้ง บอก มติดังกล่าวเป็นเพียงการตอบข้อหารือของพรรคมัชฌิมาธิปไตย หากนายประชัยเห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็สามารถใช้สิทธิฟ้องร้องต่อศาลได้ ด้านนายประชัยซึ่งได้เตรียมประชุมพรรคในวันดังกล่าว ปรากฏว่า หลังทราบมติ กกต.ว่าตนเองพ้นจากหัวหน้าพรรคและสมาชิกพรรคแล้ว ได้สั่งยกเลิกการประชุมทันที และได้กล่าวในเวลาต่อมาว่า รู้สึกสบายอารมณ์ที่พ้นตำแหน่ง ผู้สื่อข่าวถามว่าจะเลิกเล่นการเมืองเลยหรือไม่? นายประชัย ตอบว่า “มันเละตุ้มเป๊ะหมดแล้ว ถ้าไปตรวจสอบ ส.ส.480 คน ก็มีปัญหาทุกคน เมื่อพ้นพงหนามแล้ว จะไม่ทำอะไรอีกแล้ว พอแล้ว” นายประชัย ยังยอมรับด้วยว่า “ตนเป็นอนุบาลเรื่องการเมืองสกปรก แต่เรื่องการเป็นนักการเมืองสะอาด ตนเป็น ส.ส.มือสะอาดมานาน 9 ปี” ทั้งนี้ หลัง กกต.แจ้งมติการพ้นจากหัวหน้าพรรคและสมาชิกพรรคของนายประชัยให้พรรคมัชฌิมาธิปไตยทราบแล้ว ทางพรรคฯ จะต้องประชุมเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ภายใน 45 วัน หากไม่ดำเนินการ อาจมีความผิดถึงขั้นยุบพรรคได้ ซึ่งแกนนำพรรคสายนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน เลขาธิการพรรค ได้เตรียมเสนอชื่อนางอนงค์วรรณเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่แล้วในการประชุมใหญ่ของพรรคที่ จ.สุโขทัยวันที่ 17 ก.พ.นี้ ด้านนางอนงค์วรรณ บอกว่า การประชุมใหญ่ที่สุโขทัยวันที่ 17 ก.พ.เป็นความชอบธรรมที่สามารถทำได้ เพราะได้รับการสนับสนุนจากกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส.ของพรรค แต่หากนายประมวล เลี่ยวไพรัตน์ รองหัวหน้าพรรค น้องชายนายประชัย ซึ่งรักษาการหัวหน้าพรรค จะเรียกประชุมอีกก็สามารถทำได้ ซึ่งตนพร้อมที่จะไปร่วมประชุมด้วย ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง กกต.มีมติว่านายประชัยพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรค จึงพ้นจากการเป็นหัวหน้าพรรคด้วย ทำให้แกนนำพรรคมัชฌิมาธิปไตยบางคน(นายบรรยิน ตั้งภากรณ์ รองหัวหน้าพรรค) เชื่อว่า พรรคน่าจะรอดในคดียุบพรรค เพราะการพ้นสภาพของนายประชัยเท่ากับว่ากรรมการบริหารพรรคชุดเดิมก็พ้นสภาพไปด้วย ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ดังนั้นการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งของนายสุนทร วิลาวัลย์ รองหัวหน้าพรรคและอดีตว่าที่ ส.ส.ปราจีนบุรี จึงถือว่าเป็นการกระทำส่วนบุคคล อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง ยืนยันว่า การพิจารณาเรื่องยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตยเป็นคนละประเด็นกับการให้นายประชัยพ้นจากหัวหน้าพรรค และแม้พรรคมัชฌิมาธิปไตยจะเปลี่ยนกรรมการบริหารชุดใหม่ แต่การกระทำของนายสุนทร วิลาวัลย์ในฐานะกรรมการบริหารพรรคก็ยังอยู่ เพราะถือว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้นแล้ว ส่วนความคืบหน้าการพิจารณาเรื่องยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตยและพรรคชาติไทยหลังกรรมการบริหารพรรคโดนใบแดงนั้น เมื่อวันที่ 30 ม.ค. กกต.ได้พิจารณากรณีที่คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านกิจการพรรคการเมืองของ กกต.เห็นว่า การที่กรรมการบริหารพรรคถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง(โดนใบแดง) อาจเป็นสาเหตุนำไปสู่การยุบพรรคแล้ว กกต.จึงได้มีมติตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน เพื่อรวบรวมหลักฐานข้อเท็จจริงและสอบเพิ่มเติมว่า สมควรเสนอให้ตุลาการรัฐธรรมนูญยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตยและพรรคชาติไทยหรือไม่ โดยมีนายบุญทัน ดอกไธสง เป็นประธาน คาดว่าจะสรุปสำนวนคดีได้ภายใน 2 สัปดาห์
กกต.ลงมติ “ประชัย” พ้นสภาพหัวหน้าพรรค มฌ.
5. “ศาล ปค.”เพิกถอนคำสั่ง กปส.ที่ให้ระงับสัญญาณ“เอเอสทีวี” ชี้ ละเมิดสิทธิ-ไม่ชอบด้วย กม.!
เมื่อวันที่ 31 ม.ค. ศาลปกครองกลาง ได้นัดพิพากษาคดีที่บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม และนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพวกรวม 9 คน ฟ้องกรมประชาสัมพันธ์(กปส.) ,อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์(นายดุษฎี สินเจิมศิริ) ,รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์(นางภัทรียา สุมะโน) ,บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) ,นายพิศาล จอโภชาอุดม รอง กก.ผจก.ใหญ่ รักษาการ กก.จผก.ใหญ่บริษัท กสทฯ และนายจิรชัย สีจร รอง กก.ผจก.ใหญ่ กรณีที่กรมประชาสัมพันธ์(ในยุครัฐบาลทักษิณ)ได้มีคำสั่งให้บริษัท กสทฯ ระงับการส่งสัญญาณของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ที่ผ่านเครือข่ายของ กสท โดยอ้างว่า มีการดำเนินรายการโดยใช้ถ้อยคำที่ระคายเคืองต่อเบื้องสูง และส่งกระจายเสียงวิทยุและโทรทัศน์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต จากนั้น กสท ได้มีหนังสือแจ้งให้บริษัทอินเตอร์เน็ต เซอร์วิส โพรวายเดอร์ จำกัด ระงับการให้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ตแก่บริษัทไทยเดย์ฯ ส่งผลให้บริษัทฯ ไม่สามารถถ่ายทอดสดรายการที่นายสนธิ ดำเนินรายการ และรายการอื่นๆ เพื่อส่งให้บริษัท เอเชีย ไทมส์ ออนไลน์ ตามสัญญาได้ ซึ่งบริษัทไทยเดย์ฯ เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงร้องต่อศาลปกครอง และศาลฯ ได้สั่งคุ้มครองชั่วคราวแก่เอเอสทีวีก่อนหน้านี้ด้วยการไม่ให้กรมประชาสัมพันธ์สั่งระงับสัญญาณจนกว่าศาลฯ จะมีคำวินิจฉัยนั้น ปรากฏว่า ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาคดีนี้แล้ว โดยสั่งเพิกถอนหนังสือของกรมประชาสัมพันธ์ที่สั่งให้บริษัท กสท ระงับการส่งสัญญาณของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี รวมทั้งเพิกถอนหนังสือของบริษัท กสท ที่แจ้งให้บริษัท อินเตอร์เน็ต เซอร์วิส โพรวายเดอร์ ระงับการให้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ตแก่บริษัท ไทยเดย์ฯ เนื่องจากเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และละเมิดสิทธิโดยสุจริตที่บริษัท ไทยเดย์ฯ มีต่อบริษัท กสท และบริษัท อินเตอร์เน็ต เซอร์วิส โพรวายเดอร์ รวมทั้งทำให้ผู้ดำเนินรายการเสียเสรีภาพในการสื่อสารและแสดงความคิดเห็นตามมาตรา 37 และ 39 ของรัฐธรรมนูญ 2540 ทั้งนี้ ศาลฯ ชี้ว่า หากกรมประชาสัมพันธ์เห็นว่าบริษัท ไทยเดย์ฯ ดำเนินการไม่ถูกต้อง ก็ต้องร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดี ไม่ใช่ใช้วิธีมีคำสั่งให้บริษัท กสท ระงับการส่งสัญญาณดังกล่าว จึงสมควรให้เพิกถอนหนังสือคำสั่งดังกล่าวเสีย พร้อมกันนี้ศาลฯ ยังได้สั่งให้กรมประชาสัมพันธ์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บริษัท ไทยเดย์ฯ เป็นเงิน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง(31 ม.ค.49) จนกว่าจะชำระเสร็จ ภายใน 60 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความเครือผู้จัดการและเอเอสทีวี บอก แม้เอเอสทีวีจะชนะคดี แต่ก็จะไม่ฟ้องกลับ เพราะต้องการเพียงแค่ปกป้องตัวเองไม่ให้ใครมาหาเรื่องเท่านั้น
เอเอสทีวีชนะคดีกรม ปชส. ศาลชี้ใช้อำนาจเถื่อนปิดกั้น
6. หลักฐาน”แก๊ง ตชด.”สาวถึง”พ.ต.ท.”แล้ว 1 ขณะที่เจ้าตัวยังโวยวาย ถูกกลั่นแกล้ง!
ความคืบหน้าการดำเนินคดีกับ ร.ต.อ.ณัฏฐ์ ชลนิธิวณิชย์ ผู้บังคับหมวด 426 กองกำกับการ ตชด.42 จ.นครศรีธรรมราช ช่วยราชการ ตชด.41 จ.ชุมพร กับพวก ตกเป็นผู้ต้องหาคดีอุ้มนางเพียงจิต พึ่งอ้น เศรษฐีนีเจ้าของธุรกิจกางเกงยีนส์พร้อมลูกชาย 2 คนไปเรียกค่าไถ่กว่า 8 ล้านบาท ปรากฏว่า ได้มีผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์ว่าตกเป็นเหยื่อของ ตดช.กลุ่มนี้กว่า 20 รายแล้ว พร้อมแฉว่า พฤติกรรมของ ตดช.กลุ่มนี้มีทั้งยัดยาบ้า และยัดกัญชาเพื่อรีดเงิน โดยเหยื่อบางคนที่ไม่ยอมก็จะถูกดำเนินคดีและถูกคุมขังอยู่หลายราย ซึ่งกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเพื่อให้เหยื่อที่บริสุทธิ์ได้รับความเป็นธรรมแล้ว ส่วนทางด้าน ร.ต.อ.ณัฏฐ์ หัวหน้าแก๊ง ตชด.ผู้ต้องหาในคดีนี้ มีรายงานว่าถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษธนบุรี โดยทางเรือนจำได้แยกขังผู้ต้องหากลุ่มนี้ที่ถูกจับล็อตแรก 12 คน โดยเฉพาะ ร.ต.อ.ณัฏฐ์ เป็นรายเดียวที่ถูกส่งเข้าแดนความมั่นคงสูง ส่วนทางด้านคดีนั้น นอกจากพนักงานสอบสวนได้เชิญผู้บังคับบัญชาของผู้ต้องหามาสอบถามถึงพฤติกรรมของผู้ต้องหา ประกอบด้วย พ.ต.อ.สิงหนาท สีหาแก้ว ผกก.ตชด.41 และ พ.ต.อ.สมเกียรติ เนื้อทอง ผกก.ตชด.42 แล้ว ปรากฏว่า ได้มีผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับเข้ามอบตัว 1 ราย คือ พ.ต.ท.สุรกิตติ์ คล้ายอุดม รอง ผกก.ตชด.41 อย่างไรก็ตาม ท่าทีของ พ.ต.ท.สุรกิตติ์ ยังกลับไปกลับมา บางครั้งก็ยอมรับ แต่บางครั้งก็บอกว่าตนเองเป็นแพะ มีนายพลกลั่นแกล้ง ด้าน พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. บอกว่า ในส่วนของผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้อง มีเพียง พ.ต.ท.สุรกิตติ์เพียงคนเดียวที่หลักฐานไปถึง โดยในบรรดาหลักฐานที่มีรวมถึงเงิน 50,000 บาทที่มีการโอนให้ พ.ต.ท.สุรกิตติ์ และ พ.ต.ท.สุรกิตติ์นำมาคืนให้พนักงานสอบสวนด้วย อย่างไรก็ตาม เงินดังกล่าว พ.ต.ท.สุรกิตติ์ อ้างว่า เป็นเงินที่ใช้ล่อซื้อยาเสพติด ไม่ใช่เงินที่ได้จากการรีดไถของ ร.ต.อ.ณัฏฐ์แต่อย่างใด ซึ่ง พล.ต.อ.ธานี บอกว่า คดีนี้จะต้องสอบต่อไปว่ามีผู้บังคับบัญชาระดับใดเข้าไปเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ โดยขณะนี้มีผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีหมายจับอีก 5 คน.
“พ.ต.ท.” โวยถูก “นายพล” กลั่นแกล้ง!