รายการ ฅนจริง ใจไม่ท้อ วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน 2561 พาคุณผู้ชมไปพบกับเรื่องราวของ “ครูแสงดาว” ครูบนดอย ที่แม้จะยังไม่ได้รับสัญชาติไทย แต่หัวใจเธอน่ายกย่อง เพราะไม่เพียงเป็นหญิงแกร่งที่สู้ชีวิตและกตัญญูต่อบุพการี แต่เธอยังมีจิตใจที่เมตตา ห่วงอนาคตของเด็กๆ ที่ไร้สัญชาติ เธอจึงอาสาเป็นครูสอนเด็กเหล่านี้ ซึ่งไม่เพียงทำให้เด็กมีอนาคตที่ดี แต่เธอยังปลูกฝังให้เด็กรักเมืองไทยและรักพระมหากษัตริย์ไทยอีกด้วย
ครูแสงดาว หรือแสงดาว วงปา วัย 36 ปี เป็นชาวไทยใหญ่ อยู่ที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ แม้เธอจะเกิดและเติบโตในเมืองไทย แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ได้รับสัญชาติไทย แม้จะยื่นขอสัญชาติไปเป็นเวลานานแล้ว
ชีวิตครูแสงดาว เกิดในครอบครัวที่ยากจน เธอมีโอกาสเรียนจบแค่ ป.6 ก็ต้องไปหางานทำ โดยรับจ้างทั่วไป เริ่มจากทำงานเป็นแม่บ้าน หรืออาจเรียกว่า เป็นคนรับใช้ ด้วยค่าตอบแทน 700 บาท แต่นอกจากเธอจะถูกใช้ให้ทำงานอย่างหนักแล้ว ยังถูกโกงไม่จ่ายค่าแรงด้วย เธอจึงหนีไปหางานใหม่
หลังจากนั้นครูแสงดาวได้งานใหม่เป็นลูกจ้างร้านก๋วยเตี๋ยว ซึ่งแม้เธอจะทำงานเป็นที่โปรดปรานของนายจ้าง แต่สุดท้ายเธอก็ถูกเพื่อนร่วมงานใส่ร้าย ทำให้นายจ้างเข้าใจว่าเธอขโมยของ จึงขู่จะเรียกตำรวจมาจับ เธอจึงแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการลาออก
แม้ครูแสงดาวจะถูกนายจ้างโกงค่าแรงถึง 2 ครั้ง แต่เธอก็ไม่ท้อ และเดินหน้าหางานใหม่ โดยได้งานเป็นคนสวน ค่าตอบแทนวันละ 80 บาท แต่หลังจากทำงานครบเดือน แทนที่จะได้ค่าจ้างตามที่ตกลง กลับถูกนายจ้างโกงค่าแรงอีก
“ดาวทำงานที่นี่ได้แค่เดือนเดียว นายจ้างให้เข้าแถว จะรับเงินเดือน ดีใจมากเลย พอถึงคิวเราปุ๊บ เขายื่นเงินให้ 900 บาท เอ้า! หนูไม่เคยขาดงานเลย ทำไมได้ 900 เขาบอกไม่รู้แหละ เธอขโมยเงินฉัน ...เดี๋ยวเรียกตำรวจมาจับ ตำรวจอีกแล้ว เลยกลัว 900 ก็ 900 ก็ออกจากที่นั่นเลย” ครูแสงดาวย้อนภาพการถูกนายจ้างโกงค่าแรง
ผลจากการถูกนายจ้างโกงค่าแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครูแสงดาวเริ่มเบื่อ และเลิกทำงานรับจ้างอีกต่อไป เธอจึงตัดสินใจกลับบ้านที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และหันมายึดอาชีพแม่ค้าหาบเร่ ทำขนมไปขายตามสวนในวันธรรมดา และเก็บของเก่าขายในวันเสาร์-อาทิตย์ และการทำขนมไปขายในสวนนี่เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นให้เธอก้าวเข้าสู่ความเป็นครูในเวลาต่อมา
“ดาวไปเจอสิ่งที่คิดว่าหดหู่ใจ เด็กตัวเล็กๆ อยู่ไปวันๆ ผู้ปกครองปลูกฝังให้เขาเห็นแก่ตัว อย่าไว้ใจใครนะ สอนให้ลูกเอาตัวรอดอย่างเดียว การปลูกฝังให้เห็นแก่ตัว ได้ยินแล้วมันไม่ใช่ เราอยู่ประเทศไทย ต้องปลูกฝังให้เขารักประเทศสิ ไม่ใช่มาอยู่ประเทศ เพื่อหาเงิน เขาต้องเติบโต แล้วสิ่งที่เขาเข้าใจผิดๆ อีกหน่อยก็ตั้งแก๊งตั้งกลุ่ม ทำไงให้เขาพ้นจากที่เราไม่อยากให้เขาเป็น ก็ไปคุยกับผู้ปกครองก่อน จะเอาลูกมาฝากกับเรามั้ย อายุ 6-7 ขวบ เป็นสิบก็มี ตอนนั้นดาวยังไม่คิดว่าจะเป็นครู รู้แต่ว่าต้องพาเขามาสอนหนังสือ ทั้งที่เราจบแค่ ป.6 จะมีความรู้อะไรไปสอนเขาได้ แต่เราต้องทำ”
เมื่อผู้ปกครองยอมให้ลูกหลานมาเรียนกับครูแสงดาว เธอจึงตัดสินใจเพิ่มพูนความรู้ด้วยการเรียนต่อ กศน. ซึ่งแม้ว่าเธอจะทั้งสอนเด็กและเรียนต่อ กศน. แต่เธอก็ยังสามารถแบ่งเวลาไปขายของและเก็บของเก่าขายได้
หลังจากสอนเด็กไปได้ระยะหนึ่ง ครูแสงดาวเริ่มรู้จักมูลนิธิกลุ่มเพื่อเด็ก และชักชวนให้เธอร่วมงานด้วย ทำให้เธอได้สอนเด็กจำนวนมากขึ้น และได้ค่าตอบแทนเดือนละ 2,000 บาท แม้ครูแสงดาวจะมีเงินเดือนจากการเป็นครู แต่เธอก็ยังไม่ทิ้งงานแม่ค้าและเก็บของเก่าขาย
เมื่อจำนวนเด็กที่มาเรียนเริ่มมากขึ้นๆ เป็น 100 กว่าคน ครูแสงดาวเริ่มคิดว่า ควรนำเด็กเหล่านี้เข้าไปอยู่ในระบบของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเธอก็ทำได้สำเร็จในปี 2553
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีเด็กอีกจำนวนหนึ่งที่ผู้ปกครองไม่พร้อมหรือไม่เข้าเกณฑ์ที่จะไปอยู่ในระบบได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กไร้สัญชาติ ครูแสงดาวจึงเดินหน้าสอนเด็กๆ เหล่านี้ต่อ
กระทั่งปี 2555 เริ่มมีผู้ใจบุญมาสร้างอาคารเรียนและห้องน้ำให้ และนั่น จึงช่วยยกระดับการเรียนการสอนให้ครูแสงดาว จากเดิมที่สอนเด็กตามใต้ต้นไม้ มาอยู่ในอาคารเรียนแทน
ไม่ใช่แค่ได้อาคารเรียนเท่านั้น แต่ผู้ใจบุญยังช่วยส่งเสียให้ครูแสงดาวได้เรียนต่อจนจบปริญญาตรีด้วย ซึ่งเธอดีใจมาก เพราะไม่เคยคิดฝันมาก่อน
“การที่ผู้หญิงชาวไทยใหญ่คนหนึ่ง คงไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ ม.1 แค่อ่านออก เขียนได้ก็พอ ยิ่งปริญญาตรี ไม่คิดว่าจะได้เรียน คิดว่ามีแต่ในละครเท่านั้น มันสูงเกินไป”
ครูแสงดาวเรียนจบคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สาขาพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ทุกวันนี้ ครูแสงดาวมีความสุขอยู่กับการสอนเด็กไร้สัญชาติ โดยครูเปิดศูนย์สอนเด็กๆ ถึง 2 ศูนย์ รองรับเด็กทั้งบนพื้นราบและบนดอยที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ คือ ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา สอนเด็กตั้งแต่ระดับอนุบาลถึง ป.6 จำนวน 92 คน รวมทั้งสอนผู้ใหญ่ในช่วงค่ำอีกด้วย และศูนย์เด็กด้อยโอกาสดอยผาน้อย ซึ่งมีเด็กนักเรียน 35 คน โดยได้รับการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายจากมูลนิธิกระจกเงา
“ปณิธานที่ดาวตั้งไว้คือ ความเป็นครูที่ไม่ได้เรียนครู ไม่ได้มีวันที่บรรจุครู ดาวอยากเป็นครู 1 คนที่สามารถทำได้ทุกอย่าง เพื่อให้เป็นที่พึ่งพาของเด็กๆ ที่ไร้สัญชาติ ที่ไม่มีโอกาส แม้ดาวอาจทำไม่ดีพอ แต่ก็ได้มีโอกาสทำ ...ฉันจะต้องทำให้ดีที่สุด แม้ว่าทุกวันนี้ฉันยังเอาตัวไม่รอดก็ตาม แต่ขอให้ได้ทำ”
“อยากเก่งสักครึ่งหนึ่งของครูแสงดาว (ถาม-เพราะอะไร?) ครูแสงดาว ไม่ว่าเวลาไหนที่ผู้ปกครองเด็กเดือดร้อน ครูแสงดาวจะรีบไปช่วยทันที” ครูดำ หรือดำ ลุงคำ ครูประจำศูนย์เด็กด้อยโอกาสดอยผาน้อย เผยความประทับใจต่อครูแสงดาว
“แรกๆ ทำงานแล้วต้องลงพื้นที่ ท้อ เหนื่อย แต่พอลงพื้นที่ เด็กได้รับประโยชน์ มีความสุข ภูมิใจเด็กได้รับความช่วยเหลือ มีชีวิตรอดปลอดภัย” ครูบอย หรือ พงพิภัค วงปา น้องชายครูแสงดาว กับความภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือเด็กๆ เช่นเดียวกับครูแสงดาว
“เด็กทุกคนที่ดาวสอน จะเน้นตรงนี้เลยว่า เราเกิดในประเทศไทยหรือจะอพยพมาอยู่ประเทศไทย ทุกคนต้องรักแผ่นดินไทย จะไม่ลืมตรงนี้ เราต้องระลึกถึงคุณของพ่อหลวงของเรา คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตอนนั้นจะเน้นอยู่ สอนให้เด็กกราบไหว้ทุกวัน บอกว่า ถ้าไม่มีพระองค์ท่าน เราอยู่ไม่ได้นะ เราเหมือนชนกลุ่มน้อยเหมือนคนต่างด้าวที่เข้ามาอาศัยในประเทศไทย เด็กที่จบไปแต่ละรุ่นจะกลับมาหา ล่าสุดกลับมากอด แล้วบอกว่า ครูครับ ถ้าไม่มีครูวันนั้น ไม่มีผมวันนี้ เด็กที่จบจากดาวไป ตอนนี้เป็นชฟญี่ปุ่นบ้าง ทำงานโรงงานผลิตน้ำดื่มบ้าง เด็กชุดแรกชุดสองเขาไม่เคยลืมเรา ทุกปี เม.ย.เขาจะกลับมา”
“ครูแสงดาวเป็นคนมุ่งมั่น ในการทำงาน เป็นคนจริงจังมาก โดยเฉพาะความเมตตาต่อเด็ก สมมติเจอปัญหาที่เกิดกับเด็ก มุ่งแก้ปัญหาให้ ไม่ว่าเรื่องสัญชาติ การให้การศึกษา การจัดระเบียบ ประทับใจที่แกเป็นคนมุ่งมั่น (ถาม-ในฐานะสามี รู้สึกอย่างไรที่ครูแสงดาวยังไม่ได้รับสัญชาติไทย?) เราก็ให้กำลังใจว่า บัตรประชาชนมันไม่สำคัญเท่าความเป็นคน การมีบัตรเท่ากับเพิ่มสิทธิในการเป็นคนไทยเพิ่มขึ้น แต่แกก็น้อยเนื้อต่ำใจในเรื่องการเหลื่อมล้ำในสังคม ความเสมอภาค เราก็พยายามให้กำลังใจ เราบอกว่า มันยังไม่ถึงเวลา ถ้าถึงเวลา คงเป็นของเราสักวันหนึ่ง” วันชัย บุญมา ประธานสภาเทศบาล ต.แม่ข่า อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ สามีครูแสงดาว ที่พร้อมอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจภรรยาเสมอ
ทั้งนี้ ระหว่างถ่ายทำรายการตอน ครูแสงดาว รายการ ฅนจริง ใจไม่ท้อ ได้ถือโอกาสนำสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นไปมอบให้ครูแสงดาวและเด็กๆ ในความดูแล พร้อมเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ตามโครงการ “ฅนจริง ไม่ทิ้งกัน” เมื่อวันที่ 28 เมษายนที่ผ่านมา
หากท่านใดต้องการให้กำลังใจหรือช่วยเหลือเด็กๆ ในความดูแลของครูแสงดาวให้มีอนาคตที่ไม่ยากลำบากเกินไป สามารถโอนเงินไปได้ที่ ธนาคารกรุงไทย สาขาห้าแยกพ่อขุนเม็งราย ชื่อบัญชี ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา เลขที่บัญชี 539-0-57058-8
ติดตามรับชมรายการ “ฅนจริง ใจไม่ท้อ” ได้ ทุกวันเสาร์ เวลา 09.00-10.00 น. ทางสถานีโทรทัศน์ NEWS1