เจ้าของเพจ "กล้ามกรรมกร-Labour Workout" เปิดใจจากที่เป็นเด็กอ้วนน้ำหนัก 80 กิโลกรัม ตอนอายุ 6 ขวบ จนถึงม.ปลาย และหาแรงบันดาลใจจนได้เป็นลูกศิษย์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ในฐานะทูลกระหม่อมอาจารย์ ของโรงเรียนนายร้อยจปร. ผ่านรายการพระอาทิตย์LIVE
วันนี้ (2 มิ.ย.) รายการพระอาทิตย์ LIVE พาไปฟิตหุ่นกับทหารหน่วยจู่โจม "กล้าม กรรมกร" ร.ท.วรวิทย์ ทรัพย์เจริญ ผู้บังคับชุดปฏิบัติการพิเศษ ชุดควบคุมที่ 543 ประจำจังหวัดนาราธิวาส เจ้าของเพจ "กล้ามกรรมกร-Labour Workout" ที่มาเปิดใจจากที่เป็นเด็กอ้วนน้ำหนัก 80 กิโลกรัม ตอนอายุ 6 ขวบ จนถึงมัธยมปลาย และหาแรงบันดาลใจจนได้เป็นลูกศิษย์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะทูลกระหม่อมอาจารย์ ของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) ซึ่งคนนี้สามารถออกกำลังกายได้ทุกที่ ไม่จำเป็นแค่ในฟิตเนส รวมถึงบทความทัศนคติในการออกกำลังกายน่าสนใจของเขาในเพจ "กล้ามกรรมกร-Labour Workout" ที่มีผู้ติดตามแสนกว่าคน ว่าการออกกำลังกายไม่จำเป็นที่จะใช้อุปกรณ์หรือเข้าฟิตเนส แถมตนเองยังเป็นทั้งทหารและแอดมินเพจอีกด้วย
แอดมินเพจ กล้ามกรรมกร-Labour Workout กล่าวว่า "รู้สึกว่าไม่คิดจะมาไกลขนาดนี้ และในตอนแรกที่ทำเพจขึ้นมาไม่ได้คิดจริงจัง แต่พอเริ่มมีคนติดตามเราเยอะๆ ต้องมีสาระที่เราทำอยู่ทุกคนให้เขาได้ดูได้แชร์ ไปพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเปลี่ยนความคิดทัศนคติของคนที่ออกกำลังกาย ซึ่งบางคนคิดว่าเราเป็นทหารแล้วจะเอาเวลาไหนมาทำเพจ คือมีเวลาอยู่นิดเดียว เวลาที่มีคนมาถามปรึกษาเราในการออกกำลังกายให้ดี เราก็จดเหตุการณ์ของคนนั้นเอาไว้ แล้วจึงนำมาลงเพจเพื่อให้ผู้ที่ติดตามได้อ่านได้แชร์กัน ส่วนชื่อเพจที่ว่า กล้ามกรรมกร กรรมกรก็คือคนที่ทำงาน กล้ามกรรมกรก็จึงแปลว่า กล้ามของคนทำงาน ซึ่งการออกกำลังกายก็ไม่จำเป็นที่ไปฟิตเนสหรือต้องใช้อุปกรณ์ ซึ่งผมก็มีการทำให้ดูแล้วว่าการออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์อะไรก็ได้ อุปกรณ์ที่ใช้ในการออกกำลังกายของผมเวลาไม่อยู่บ้านก็เป็น ผ้าเช็ดเท้า และอาศัยแรงโน้มถ่วงของโลกกับน้ำหนักของเรา รวมการเดินไปทำงาน เดินขึ้นบันได ก็ถือเป็นการออกกำลังกายเหมือนกัน และเราอย่าไปมองว่ากลับมาจากกว่าดึกแล้วเวลาออกกำลังกาย แต่เราเลือกที่จะเดินกลับบ้านก็ได้ และไม่ต้องไปโฟกัสว่าเราต้องหุ่นดี แต่เราแค่แข็งแรง ไม่ป่วยก็พอแล้ว ทำงานได้ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
ร.ท.วรวิทย์ กล่าวต่อว่า ทัศนคติหลักๆ ในเพจของผมก็คือจะเปลี่ยนความคิดของคนที่เขามาดู โดยอยากจะเปลี่ยนความคิดของคนที่ออกกำลังกายว่ามันไม่ใช่เรื่องไกลตัวและก็ยาก ทุนวันนี้เราทำงานสุขภาพก็มีทรุดโทรมไปบ้าง แต่เราทำงานก็ต้องมีสุขภาพที่ดี มีความสุข ซึ่งไม่จำเป็นว่าเราต้องไปซื้ออาหารเสริม เพราะคิดว่าจะทำให้ร่างกายเราแข็งแรงแต่จะได้หุ่นที่ดี อย่างผมก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป กินเหมือนคนปกติ ไม่มีการควบคุมอาหาร โดยเวลาที่มีเวลาว่างก็จะหาวิธีออกกำลังกาย ซึ่งตรงนี้เราทำวิธีได้ด้วยการ1.มีทัศนคติที่ดีในการออกกำลังกาย 2.เรามองเห็นแล้วว่าการออกกำลังกายมันจำเป็นต่อเรา มันจำเป็นต่อชีวิตเรา อย่างที่หัดมาออกกำลังกายเพราะเราเคยอ่อนแอ ร่างกายเจ็บป่วย ซึ่งทำให้เราเป็นภาระให้กับคนอื่น พอเราออกกำลังกายผลตอบแทนที่กลับมามันทำให้เราเห็นแตกต่างอย่างชัดเจนเราก็เลิกไม่ได้ แค่ไม่ต้องหาเหตุผลในการออกกำลังกาย แค่หาเวลาก็พอ
"ที่มาเสพติดการออกกำลังกายเพราะว่าแต่ก่อนผมมีร่างกายอ้วนมากอ้วนตั้งแต่เด็ก เป็นโรคหอบหืดและโรคอ้วน ตอนประถมศึกษาปีที่ 1 มีน้ำหนัก 80 กิโลกรัม จนถึงมัธยมปลาย และตอนนั้นไม่คิดว่าอยากเป็นทหารด้วยเพราะคิดว่าต้องเหนื่อย ผมอยากเป็นหมอก็อ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบ ซึ่งตำราที่อ่านผมสามารถเอามาเขียนในเพจในผู้ติดตามได้อ่านกัน แต่เปลี่ยนความคิดกลับมาว่าอยากเป็นทหาร ตอนนั้นที่อยากเป็นทหารมีอยู่ 2 อย่างคือ 1.มีรุ่นพี่จากจปร.มาแนะแนวที่โรงเรียน และได้เห็นข่าวในพระราชสำนักว่าสมเด็จพระเทพฯ พานักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) ไปดูงานที่ต่างประเทศ ทำให้ตอนนั้นอยากไปเรียน เราเป็นลูกศิษย์ของทูลกระหม่อมอาจารย์ ซึ่งเป็นแรงผลักดันที่อยากจะเป็นทหาร" ผู้บังคับชุดปฏิบัติการพิเศษ ชุดควบคุมที่ 543 ประจำจังหวัดนาราธิวาส กล่าว
ร.ท.วรวิทย์ กล่าวต่อว่า ซึ่งตอนนั้นพ่อเห็นร่างกายเราไม่คิดว่าจะเป็นได้ พ่อบอกว่า "ถ้าเราเอาชนะตัวเองไม่ได้ ก็ไปแข่งกับใครไม่ได้" พ่อกับแม่เป็นเกษตกรที่พิจิตรเวลาตอนเช้าก็จะตื่นตี 5 เพื่อวิ่งออกกำลังกายไปที่สวนกับพ่อ ซึ่งก็ใครหลายๆ คนที่ดูถูกผม แม้กระทั่งอาจารย์ก็เคยหัวเราะผมว่า ไปเป็นทหารไม่ได้หรอก ทำให้ผมเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองตื่นเช้าพร้อมพ่อออกไปสวนผมก็จะค่อยๆ เดินไป เพราะตอนนั้นยังวิ่งไม่ไหว ซึ่งทำอย่างนั้นอยู่ 1 ปี ผมสามารถลดน้ำหนักได้ประมาณ 30 กิโลกรัม จาก 85 กิโลกรัม ลดเหลือ 60 กิโลกรัม ตอนนั้นต้องรีบทำเพื่อใกล้ถึงเวลาสอบ โดยผมไม่ยุ่งกับใคร ไม่เล่นเกม พอหลังจากเลิกเรียนก็ไปสนามกีฬาจังหวัดไปเล่นเครื่องออกกำลังที่เขามีให้เล่นฟรี ไปวิ่งกับพี่ๆ ที่มาออกกำลังกาย และบ้านผมติดคลองก็จะลงไปว่ายน้ำ ซึ่งพ่อเป็นแรงบันดาลใจหลักของผมเลย และพ่อยังทำบาร์โหนแต่ก็โหนไม่ไหว ซึ่งผมสอบไม่ผ่านในปีแรก เสียเวลากับการออกกำลังกายมาก
"แต่ผมก็สอบใหม่อีกครั้งในปีที่ 2 แล้วคิดว่าต้องทำให้ดีกว่าเดิม ซึ่งตอนที่สอบครั้งแรกไม่ผ่าน พอโรงเรียนเปิดเทอมก็ได้เป็นนักกีฬาของโรงเรียนเพราะร่างกายผอมลง โดยผมออกกำลังกายจะไม่มีการชั่งน้ำหนักเพราะว่ามีคนรอบข้างที่ส่วนใหญ่บอกว่าเราเปลี่ยนไปเยอะ ทำให้ผมดีใจมีกำลังต่อไป และในปีที่ 2 ที่สอบติด ผมสอบไว้อยู่ 2 ที่ มีโรงเรียนนายร้อยตำรวจกับโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) ซึ่งก็สอบติดทั้งคู่ ผมจึงเรียกโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) เพราะอยากเป็นลูกศิษย์ทูลกระหม่อมอาจารย์ และตอนนั้นหลังจากสอบเสร็จมั่นใจมากบอกกับพ่อว่า ผมติด 100 เปอร์เซ็นต์" ร.ท.วรวิทย์ กล่าว
ร.ท.วรวิทย์ ทรัพย์เจริญ หรือวิทย์ กล่าวต่อว่า พอได้เข้าไปเรียนก็ไม่ได้สบายไว้อย่างที่คิด เปลี่ยนจากเด็กอายุ 15 ปี ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร โดนทำโทษทุกวัน เด็กอายุ 15 ต้องมาแบกเป้ของทหารที่มันหนักๆ ใส่หมวกเหล็ก ถือปืน วิ่ง ซึ่งทำทุกอย่างที่เราทำเคยทำและใช้ร่างกายเยอะมาก จนน้ำหนักลดลงไปอีกน้ำหนักตอนนั้นเหลือ 50 กิโลกรัม ผมจึงต้องกินอาหารเพิ่มกินให้เยอะๆ และยิ่งเป็นทหารต้องกินให้เยอะ เพราะเมื่อต้องถึงเวลาใช้แรงเราต้องใช้ ซึ่งงานปัจจุบันตอนนี้เป็นผู้บังคับชุดปฏิบัติการพิเศษ หน่วยจู่โจม ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำอยู่ที่นาราธิวาส แล้วทุกสมัครใจที่จะไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยตัวเอง ไม่มีใครถูกบังคับ งานที่เราทำลูกน้องของเราก็ต้องแข็งแรงพร้อมอยู่ตลอด โดยหน้าที่ของเราสิ่งสำคัญที่สุดคือภารกิจที่เราได้รับมอบ ถามว่ากลัวไหม ผมไม่กลัวเพราะที่นั้นมีแต่คนไทย ผมเห็นธงชาติไทย และเป็นพื้นที่ของประเทศไทย ถ้าเรากลัวประชาชนคงอยู่ไม่ได้ และงานนี้ค่อนข้างใช้ภาระกำลังค่อนข้างเยอะ โดยตอนที่ลงไปประจำที่นาราธิวาสไม่ได้บอกพ่อแม่ก่อน และเวลาผมทำงานจะไม่เล่าให้พ่อแม่ฟังเพราะว่าท่านไม่ควรมารู้อะไรในสิ่งที่ไม่ควรรู้ ให้รู้เวลาผมมีเรื่องดีๆ ให้ท่านภาคภูมิใจก็พอ ถ้ามีความลำบากก็จะไม่บอก เพราะไม่อยากให้ท่านเป็นห่วง
โดย ร.ท.วรวิทย์ ทรัพย์เจริญ หรือวิทย์ ได้ฝากทิ้งทายสำหรับให้ผู้ที่จะหันมาออกกำลังกายว่า "ถ้าเราเริ่มออกกำลังกายแล้วเราท้อ มันเป็นเรื่องปกติ ให้ตัวเรามองไปข้างหน้าอย่าง อย่ามองปัจจุบันว่าเราไม่ไหว และอย่าเอาตัวเราไปเทียบกับคนอื่น เราดีตลอดในขณะที่เป็นตัวเรา เราก็ต้องดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราตีราคาจากคนอื่น ตัวเราก็จะต่ำลง"