บลจ.จิตตะ เวลธ์ จำกัด แนะลงทุนช่วงวิกฤตเพื่อคว้าโอกาสที่ดีที่สุดหลังตลาดฟื้นตัว ชี้หุ้นจีน-เวียดนามเวลานี้เหมาะเข้าลงทุนเพื่อรับโอกาสใน 1-2 ปีข้างหน้า เหตุในช่วงวิกฤตมีหุ้นดีให้เลือกมากมาย หลังนักลงทุนเทขายหุ้นไม่สนราคา เห็นได้จากกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking ที่ยึดหลักเลือกหุ้นดีราคาถูกตามหลัก VI หลังผ่านวิกฤตโควิด-19 ก็สร้างผลตอบแทนเหนือตลาด เผยปี 64 Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ สร้างผลตอบแทนได้ถึง 50.19% เอาชนะดัชนี S&P500 ที่ 28.71% ขณะที่ Jitta Ranking หุ้นไทย สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 38.33% เหนือกว่า SET Index ที่ 17.67% และ Jitta Ranking เวียดนามสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 66.23% สูงกว่า VN Index ที่ทำได้ 37.36% ตอกย้ำว่าการลงทุนช่วงวิกฤตคือโอกาส พร้อมเดินหน้าพัฒนาอัลกอริทึมต่อเนื่องเพื่อช่วยนักลงทุนเข้าถึงการลงทุนระยะยาวด้วยหุ้นดี ราคาเหมาะสม
นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด (บลจ.) สตาร์ทอัพสัญชาติไทยที่มีจำนวนกองทุนส่วนบุคคลภายใต้การบริหารมากที่สุดในประเทศ เปิดเผยถึงตลาดหุ้นในหลายประเทศที่กำลังปรับตัวลดลงว่า นี่คือโอกาสดีที่จะเข้าลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นในอนาคต โดย Jitta Wealth พบว่า กองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking ที่บริษัทให้บริการอยู่สร้างผลตอบแทนได้ดีหลังวิกฤต ซึ่งในปี 2564 ที่โลกได้ผ่านวิกฤตโควิด-19 มาได้ ผลตอบแทนของ Jitta Ranking เทียบกับดัชนีหลักเติบโตโดดเด่นกว่าเกือบเท่าตัว
โดยในปี 2564 นโยบาย Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ สร้างผลตอบแทนได้ถึง 50.19% เอาชนะดัชนี S&P500 TRI Index Return ที่ทำได้เพียง 28.71% ขณะที่ Jitta Ranking หุ้นไทยสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 38.33% เหนือกว่า SET Index ที่ทำได้ 17.67% ส่วนนโยบาย Jitta Ranking เวียดนาม สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 66.23% สูงกว่าดัชนี VN Index ที่ทำได้ 37.36%
“ในช่วงวิกฤตคือช่วงที่น่าลงทุนที่สุด เพราะตลาดตื่นกลัวจะเป็นโอกาสที่เราได้เห็นหุ้นดีราคาถูกเกลื่อนตลาด หุ้นดีๆ หลายตัวมีราคาตกลงไปมาก เพราะคนเทขายหุ้นโดยไม่สนใจมูลค่า แต่อัลกอริทึมของเราก็ยังทำงานตามหลักการเลือกหุ้นดีราคาถูกตามที่ตั้งไว้ เพราะ AI ไม่ตื่นกลัวกับตลาดที่ตกลงรุนแรง แต่ยังคงซื้อขายตามหลักการ เมื่อตลาดเริ่มฟื้น หุ้นที่มีพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่งเหล่านั้นก็จะฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็วกว่า จึงทำให้ผลตอบแทนของ Jitta Ranking ทั้ง 3 นโยบายสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นเหนือตลาดหลังผ่านช่วงวิกฤต พิสูจน์ได้ถึงประสิทธิภาพของการลงทุนระยะยาวด้วยเทคโนโลยีที่ Jitta Wealth ได้พัฒนาขึ้นมาตามหลักการลงทุนเน้นคุณค่า (VI) คัดเลือกหุ้นดี ราคาถูกเพื่อเข้าลงทุน”
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในระยะถัดไป นายตราวุทธิ์มองว่า ตลาดโลกยังมีความผันผวนอยู่มาก โดยเฉพาะปัญหาสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสที่อาจยืดเยื้อจนกระทบบรรยากาศการลงทุนได้ ขณะเดียวกันนักลงทุนยังต้องจับตาทิศทางดอกเบี้ยของเฟด หากมีการปรับลดดอกเบี้ยในปี 2567 จะทำให้เกิดการโยกเงินจากสินทรัพย์ปลอดภัยมาสู่สินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น หนุนให้ตลาดหุ้นกลับมามีความน่าสนใจ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ราคามีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนี S&P500 ปรับขึ้นมาจากต้นปีแล้ว 19.00% (ณ 29 พ.ย. 66) ถือว่าราคาปรับขึ้นมาสูงแล้ว ดังนั้น Jitta Wealth แนะนำว่าหากนักลงทุนที่ยังไม่มีการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ สามารถหันไปโฟกัสตลาดที่ยังมีโอกาสในการเติบโต แต่กำลังเผชิญวิกฤตจนดัชนีปรับตัวลดลงมามากอย่างตลาดหุ้นจีนและเวียดนาม รวมถึงตลาดหุ้นไทยแทนได้ เพื่อรับโอกาสการเติบโตในอนาคตที่ตลาดจะกลับฟื้นตัวได้ดีใน 1-2 ปีข้างหน้าหากผ่านพ้นวิกฤตไปแล้ว
เขายังกล่าวอีกว่า ตลาดหุ้นจีนตกลงมานาน 2-3 ปีแล้ว จากวิกฤตเศรษฐกิจที่ยาวนาน และตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ดัชนี CSI300 ปรับตัวลดลง -10.06% (ณ 29 พ.ย. 66) แต่มีข้อมูลทางสถิติระบุว่าหุ้นจีนมีโอกาสฟื้นตัวได้ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า ดังนั้นจังหวะนี้จึงเป็นจังหวะเหมาะสมที่จะทยอยเก็บหุ้นจีนเข้าพอร์ต เพราะเชื่อว่าใน 1-2 ปีข้างหน้าเป็นจังหวะที่ตลาดหุ้นจีนน่าจะปรับตัวขึ้นได้ โดยเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 3 ขยายตัว 4.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ตลาดเชื่อว่าจะเห็นรัฐบาลจีนกลับมาเร่งเครื่องการเติบโตเศรษฐกิจอีกครั้ง
สำหรับตลาดหุ้นเวียดนามที่ปรับตัวลดลงในช่วงก่อนหน้านี้จากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์และการปราบการทุจริตในตลาดหุ้น แต่เมื่อภาครัฐได้เข้ามาแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ทำให้ดัชนี VN Index ตั้งแต่ต้นปีปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว 9.55% (ณ 29 พ.ย. 66) ขณะที่เศรษฐกิจในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ถึง 6% และ IMF ยังคาดว่าในปี 2567-2568 GDP เวียดนามจะเติบโตได้ 5.8% และ 6.9% ตามลำดับ ซึ่งการลงทุนตลาดหุ้นจีนและเวียดนามนั้นนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มปลอดภัยที่มีคุณภาพดีและสามารถหลีกเลี่ยงกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ไปก่อน
“จริงอยู่ว่าตลาดหุ้นที่ตกลงมาอย่างรุนแรง นักลงทุนอาจจะรู้สึกกังวลว่าราคาหุ้นจะตกลงไปอีกเพียงใด และไม่กล้าที่จะเข้าลงทุน แต่หากเราเชื่อในคำของนักลงทุนระดับโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ว่า “จงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว และจงกลัวเมื่อคนอื่นกล้า” Jitta Wealth จึงมองว่า เวลานี้อาจจะเป็นจังหวะที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างผลตอบแทนในอนาคตแล้วก็เป็นได้”
ทั้งนี้ กองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่ได้รับการจัดอันดับ ‘หุ้นดีราคาถูก น่าลงทุน’ อัลกอริทึมของ บลจ.จิตตะ เวลธ์ จำกัด จะซื้อขายหุ้นตามการจัดอันดับ โดยพิจารณาคัดเลือกหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดจาก 3 ปัจจัยหลักๆ ได้แก่ คุณภาพของธุรกิจ มูลค่าที่เหมาะสม และโอกาสเติบโตสร้างกำไรของธุรกิจ ปรับพอร์ตทุกๆ 3 เดือน และมีการอัปเดตอัลกอริทึมในทุกปีเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพระบบการคัดเลือกหุ้นให้นักลงทุนได้ลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดีและราคาเหมาะสมอยู่เสมอ ด้วยค่าธรรมเนียมต่ำเพียง 0.5% และลงทุนเริ่มต้น 500,000 บาท
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงไปยังพันธบัตรรัฐบาลเพื่อสร้างสมดุลให้กับพอร์ต ในช่วงที่ดอกเบี้ยกำลังเข้าสู่ขาลง สามารถเลือกลงทุนใน Global ETF ที่ Jitta Wealth จะจัดพอร์ตตามหลัก Modern Portfolio Theory เลือกสินทรัพย์หลากหลายประเภทมาจัดสัดส่วนให้เหมาะสม เพื่อสร้างผลตอบแทนตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ หรือหากต้องการลงทุนตามเมกะเทรนด์ของโลก สามารถเลือกลงทุนในนโยบาย Thematic ที่มีให้เลือกถึง 23 ธีมการลงทุน
พร้อมกันนี้ ยังได้ออกนโยบายลงทุนใหม่ล่าสุดอย่าง Jitta Money ที่เน้นลงทุนใน ETF กองทุนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น ที่มีความมั่นคงช่วยปกป้องความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งผลตอบแทน (Yield) ของพันธบัตรรัฐบาลในเวลานี้ถือว่าอยู่ระดับสูงสุดในรอบหลายสิบปี ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 10,000 บาท และมีค่าธรรมเนียมบริหารจัดการเพียง 0.5% ต่อปีเท่านั้น
“Jitta Wealth มุ่งมั่นที่จะพัฒนาอัลกอริทึมที่ดีที่สุดให้นักลงทุนทุกคนได้ลงทุนในหุ้นที่ดีและราคาไม่สูงเกินไป โดยจะมีการปรับอัลกอริทึมในทุกๆ ปี เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงในทุกๆ วัน จากผลตอบแทนที่เห็นได้ข้างต้นจะเห็นว่าการลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นอยู่ในระดับต่ำ จะมีโอกาสสร้างกำไรและเห็นผลตอบแทนที่โดดเด่นเหนือชนะตลาดได้ ตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว”