นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ (TISCO) เปิดเผยว่า ในช่วงที่เหลือของปี 66 แนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน 3 สินทรัพย์ปลอดภัย คือ 1.ตราสารหนี้ต่างประเทศ 2.หุ้นเฮลธ์แคร์ และ 3.ทองคำ เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างกำไรท่ามกลางปัจจัยกดดันในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งมีอยู่ 3 ประเด็น คือ 1.สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส 2.อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับสูงเพิ่มความตึงตัวให้สภาวะการเงิน กดดันการเติบโตเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า และ 3.ตลาดหุ้นแพง เพราะตลาดคาดการณ์กำไรตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 67 สูงเกินไป และไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ โดย Bloomberg consensus คาดการณ์ว่า ปี 67 กำไรบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ จะเติบโต 12% สวนทางกับสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าปี 67 จะเติบโต 1%
สำหรับรายละเอียดสินทรัพย์ที่ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ทยอยเข้าลงทุนในช่วงนี้ มีดังนี้
1.ตราสารหนี้ต่างประเทศ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ภาคเอกชนในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และอังกฤษ อายุเฉลี่ยระยะกลางถึงยาว และมีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ AA- ขึ้นไป พร้อมทั้งควรเป็นตราสารหนี้ที่มีอัตราผลตอบแทนเมื่อถือจนครบกำหนดอายุ (YTM) มากกว่า 5% ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ไทยที่อยู่ราว 2.5%
ทั้งนี้ หากปี 67 เศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณเข้าสู่ภาวะถดถอย จนทำให้ธนาคารกลางต้องหันกลับมาลดอัตราดอกเบี้ยลง การลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากสองทางคือ 1.ได้รับอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเมื่อถือจนครบกำหนดอายุ และ 2.เพิ่มโอกาสรับกำไรจากส่วนต่างด้านราคาหน้าตั๋ว (Capital gain) กว่า 10% สะท้อนให้เห็นว่า ตราสารหนี้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ในระดับสูงและมีความเสี่ยงที่ต่ำ (Low Risk High Return)
2.หุ้นกลุ่มเชิงรับ (Defensive) เช่น หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ถือเป็นกลุ่มที่รายได้มีความแข็งแกร่ง จากการขายสินค้าจำเป็น ทำให้ความต้องการสินค้าไม่ชะลอตัวลงตามเศรษฐกิจ นอกจากนี้ บริษัทในอุตสาหกรรมนี้ยังมีอำนาจในการปรับขึ้นราคาสินค้า (Pricing Power) และมีความสามารถในการควบคุมต้นทุนในช่วงที่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น สะท้อนผ่านตัวเลขอัตรากำไร (Profit margin) ที่อยู่ในระดับสูงและมีความสม่ำเสมอ กำไรของธุรกิจเฮลธ์แคร์จึงมีความแข็งแกร่งกว่าอุตสาหกรรมอื่น สามารถเติบโตได้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอยและเป็นหุ้นกลุ่มที่มักจะสร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยทุกครั้งที่ผ่านมาในอดีต
นอกจากนี้ ในปี 67 หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ถือเป็นกลุ่มที่ "เติบโตสูง ราคาไม่แพง" เนื่องจากนักวิเคราะห์จาก FactSet คาดการณ์ว่ากำไรของหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์จะเติบโตได้สูงถึง 15.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) นับเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่ากำไรของบริษัทในดัชนี S&P500 ที่มีแนวโน้มขยายตัว 12.2% YoY นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ยังมีมูลค่า (Valuation) ที่ต่ำกว่าภาพรวมตลาด สะท้อนจากค่าอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้นปี 67 (Forward P/E) ที่อยู่เพียงแค่ 17 เท่า ต่ำกว่าดัชนี S&P500 ที่ซื้อขายกันที่ Forward P/E 18 เท่า ทำให้ความเสี่ยงในการลงทุนมีต่ำกว่าหุ้นอุตสาหกรรมอื่นๆ
3.ทองคำ เมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นภาวะวิกฤตเศรษฐกิจหรือภาวะสงคราม ทองคำยังคงเป็น "Safe heaven" หรือสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งในสภาวะปัจจุบันที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงประกอบกับความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่คาดเดาได้ยาก การกระจายเงินลงทุนบางส่วนไว้ในทองคำน่าจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดี นอกจากนี้ ทองคำยังได้รับแรงหนุนจากกระแส De-dollarization หรือการที่ธนาคารกลางทั่วโลกลดการถือครองดอลลาร์และเพิ่มการถือครองทองคำมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่า ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่มีความต้องการซื้อทั้งจากบรรดาธนาคารกลางและนักลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง