xs
xsm
sm
md
lg

XSpring แนะช้อนหุ้นไทย มองระยะยาว 1 ปีมีอัปไซด์ 15%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายยศกร ฟอลเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด หรือ XSpring AM เปิดเผยว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนจากปัจจัยทั้งใน และต่างประเทศ โดยทั้งดัชนีหุ้นไทย SET Index และดัชนีหุ้นไทยขนาดกลาง SSET ปรับตัวลดลงกว่า -10% ถือว่า Underperformed หุ้นตลาดเกิดใหม่และหุ้นอาเซียน ปัจจัยกดดันหลักมาจากการที่หุ้นไทยมีสัดส่วนน้ำหนักในหุ้นกลุ่มพลังงานสูง ซึ่งราคาน้ำมันปรับตัวลงแรงในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการปรับลดคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (Earnings per Share) ของ SET Index นอกจากนี้ ปัจจัยเฉพาะตัวเรื่องความกังวลจากภาวะตลาดเชิงลบกรณีการผิดนัดชำระของผู้ออกตราสารหนี้ ซึ่งเหตุการณ์ที่มีมูลค่าสูงลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาในรอบหลายปี รวมถึงการที่หุ้นใหญ่บางตัวติดเกณฑ์ Cash Balance หลายๆ ปัจจัยกดดันหุ้นไทย ด้านดัชนี mai ปรับตัวลดลงกว่า -20% ส่งผลให้ทิศทางตลาดเข้าสู่ขาลงหรือ Bear Market ทาง XSpring AM มองเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนปัจจัยพื้นฐานที่ได้สะสมลงทุนหุ้นไทยขนาดใหญ่ (SET Index) ที่ระดับต่ำกว่า 1,500 จุด โดยมองว่าหุ้นไทยยังมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่โอกาสที่ราคาจะปรับขึ้นไปได้ที่ระดับ 10-15% ในอีก 12 เดือนข้างหน้า

ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นต่างประเทศทั้งในสหรัฐฯ ก็เริ่มฟื้นตัว ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดวันที่ 12 ตุลาคม 2565 อย่างโดดเด่น ส่วนดัชนี S&P 500 ก็กลับเข้าสู่ตลาดขาขึ้นหรือ Bull Market เช่นกัน ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นถือเป็นตลาดที่ยืนบนขาขึ้นรอบใหญ่ได้อย่างสง่างามหลังก่อนหน้านี้อาจเป็นม้านอกสายตาจากการที่เศรษฐกิจโตช้า มีสัดส่วนประชากรสูงวัยจำนวนมาก แต่ในทางกลับกันปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามากดดันตลาดหุ้นญี่ปุ่นค่อนข้างน้อยกว่าตลาดอื่น ด้านตลาดหุ้นจีนแม้ระยะสั้นจะเป็นขาลง แต่ถ้าดูภาพใหญ่ (ระยะเวลา 1 ปีขึ้นไป) ถือว่าเห็นทิศทางการฟื้นตัวที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าปัจจัยที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาคและยังมีความซับซ้อนและพลิกผันตลอดเวลา เช่น สถานการณ์ล่าสุดที่เกิดการก่อกบฏในรัสเซีย ซึ่งเป็นผลพวงมาจากสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ดังนั้นนักลงทุนจึงควรติดตามปัจจัยที่จะเข้ามากระทบต่อการลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อม และมีการกระจายความเสี่ยง จับจังหวะในการทยอยซื้อ หรือจังหวะใดควรถือครองเงินสด รวมถึงประเมินความสามารถในการรองรับความเสี่ยงการลงทุนของตัวเอง และที่สำคัญกระจายความเสี่ยงไปในการลงทุนที่เข้าใจได้ง่ายและจับต้องได้ อย่างกองทุนในสินทรัพย์นอกตลาด (Private Asset Fund) ที่ระยะเวลาการลงทุนไม่ได้นานมาก และมีกลไกที่ปกป้องความเสี่ยงไว้ค่อนข้างดี โดย XSpring AM มองว่าครึ่งปีหลัง Private Asset Fund มีความน่าสนใจ ตอบโจทย์ได้ดีในช่วงตลาดหุ้นผันผวนเนื่องจากเป็นการลงทุนใน Real Asset (สินทรัพย์ที่จับต้องได้) ไม่สัมพันธ์กับสินทรัพย์ลงทุนในตลาดจดทะเบียน (Public Asset)

ทั้งนี้ การลงทุนใน Private Asset Fund ประเภท Real Asset จากผลการดำเนินงานในอดีตของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง คาดหวังผลตอบแทน Net IRR ที่ราว 10% และมีโอกาสลุ้นผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่น่าเชื่อถือในโครงสร้างที่เข้าใจง่าย ไม่สลับซับซ้อน และเมื่อเทียบกับผลตอบแทนของ SET TRI ย้อนหลังในระยะเวลา 1 ปี ที่ -3.16% (ข้อมูลจาก www.set.or.th ตั้งแต่ 27 มิ.ย. 65-27 มิ.ย. 66) ทำให้มองว่าการลงทุนในลักษณะนี้มีความน่าสนใจมากที่นักลงทุนรายใหญ่จะแบ่งเงินราว 10-20% ของพอร์ตมาลงทุน ล่าสุด เอ็กซ์สปริง ปรับวงเงินการเข้าทำสัญญารับจัดการกองทุนส่วนบุคคลโดยเริ่มต้นที่ 2 ล้านบาท ซึ่งมีนโยบายการลงทุนใน Private Asset Fund ที่มีจุดแข็งหลักคือระยะเวลาการลงทุนใน Private Asset ของ XSpring AM ที่สั้นเพียง 3-5 ปี แตกต่างจากการลงทุนใน Private Asset Fund กองทุนอื่นๆ ที่ระยะเวลาการลงทุน 5-10 ปี ทำให้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนให้ถึงเป้าหมายเร็วขึ้น และผลตอบแทนคาดหวังคุ้มค่ากับความเสี่ยง การคิดค่าธรรมเนียมค่อนข้างสมเหตุสมผลไม่มีค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนหลายชั้น และเป็นสินทรัพย์ที่อยู่ใกล้ตัวนักลงทุนไทยส่วนใหญ่ ทำให้สามารถทำความเข้าใจปัจจัยพื้นฐานและคุณภาพสินทรัพย์ได้ง่าย
กำลังโหลดความคิดเห็น