นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นสร้างผลตอบแทนได้น่าสนใจในปีนี้ โดยดัชนี NIKKEI225 สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 34 ปี อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่ามูลค่าของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ณ ปัจจุบัน เมื่อพิจารณาจากค่า Forward PE ซื้อขายในระดับที่แพงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังราว +1SD และมีโอกาสเกิดแรงเทขายทำกำไรตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีจากปัจจัยมหภาคที่มียังมีความไม่แน่นอนสูง บริษัทฯ จึงมองเห็นโอกาสในการลงทุนในสินทรัพย์ที่เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นบนความผันผวนของดัชนีตลาดหุ้นญี่ปุ่น จึงได้เปิดตัวกองทุนเปิดอีสท์สปริง Japan Bearish Complex Return 1YA ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (ES-JPNBRCR1YA) จากการลงทุนในสัญญาวอร์แรนต์ที่อ้างอิงกับดัชนี NIKKEI225 โดยเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งเดียวระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน-4 กรกฎาคม 2566 ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ระยะเวลาลงทุนประมาณ 1 ปี
สำหรับกองทุนเปิดอีสท์สปริง Japan Bearish Complex Return 1YA ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย เป็นกองทุนรวมผสมประเภทที่มีการจ่ายผลตอบแทนซับซ้อน และมีสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 79% โดยมีกลยุทธ์การลงทุนแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้และ/หรือเงินฝากและ/หรือตราสารเทียบเท่าเงินฝากทั้งในประเทศและ/หรือต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) 98.00-99.00% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เงินลงทุนเติบโตเป็น 100% ของเงินลงทุนทั้งหมดเมื่อครบอายุโครงการ ซึ่งหากมีการลงทุนต่างประเทศในส่วนนี้จะมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) เต็มจำนวน
ส่วนที่ 2 กองทุนจะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งเป็นสัญญาพุตวอร์แรนต์ (Put Warrant) ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับดัชนี NIKKEI225 ซึ่งไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน ในสัดส่วนประมาณ 1-2% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เพื่อเปิดโอกาสให้กองทุนสามารถแสวงหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มที่เป็นบวกจากอัตราการมีส่วนร่วม (Participation Rate) 50% ของการเปลี่ยนแปลงของดัชนี NIKKEI225 หากดัชนีดังกล่าวปรับตัวลดลงปิดแต่ไม่เกิน -20% เมื่อเทียบกับ ณ วันเริ่มต้นสัญญาวอร์แรนต์ ซึ่งตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญากองทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนการลงทุนสูงสุดประมาณ 10% และหากดัชนีอ้างอิงปรับตัวลดลงปิดเกินกว่า -20% ณ วันใดวันหนึ่งตลอดอายุสัญญาของวอร์แรนต์ กองทุนจะมีโอกาสได้รับเงินผลตอบแทนชดเชยอยู่ที่ 0.25% โดยประมาณการทั้งหมดอยู่ภายใต้สมมติฐานที่ว่าอัตราแลกเปลี่ยนระหว่าง USD/THB ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเปรียบเทียบระหว่างวันเริ่มต้นสัญญาวอร์แรนต์และวันพิจารณาดัชนีอ้างอิง และไม่มีกรณีที่ตราสารหนี้และ/หรือเงินฝากใดมีการผิดนัดชำระหนี้
“จุดเด่นของกองทุนนี้คือความเสี่ยงต่อเงินต้นต่ำมากเพราะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยและ/หรือพันธบัตรต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ 2 อันดับแรก (International Rating) รวมถึงโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีจากวอร์แรนต์ หากดัชนี NIKKEI225 ปรับตัวลดลงแต่ไม่เกิน 20% ซึ่งเหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก รวมถึงเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนอีกด้วย” นางสาวดารบุษป์ กล่าว พร้อมให้มุมมองการลงทุนว่า
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากความคาดหวังเรื่องของการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายจากผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นคนใหม่ที่ยังคงรักษา Yield Curve Control เอาไว้ที่ 0.5% อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันมูลค่าปัจจุบันของ NIKKEI225 Index เมื่อพิจารณาจากค่าของ Forward PE ถือว่าค่อนข้างแพงโดยซื้อขายที่ระดับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี + 1SD และเงินเฟ้อของญี่ปุ่นยังคงอยู่ในระดับสูงและยังไม่ค่อยลดลงเมื่อเปรียบกับกลุ่มประเทศหลักเช่น สหรัฐฯ และยุโรป ทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นอาจเริ่มกลับมาใช้นโยบายการเงินตึงตัวเพิ่มขึ้นซึ่งอาจทำให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น และอาจกระทบต่อเซนติเมนต์โดยรวมของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้เกิดแรงเทขายทำกำไรในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า