xs
xsm
sm
md
lg

นายก บลจ.หวังดัน กบช.-PVD เพื่อคนไทย รับเก็บภาษีหุ้นอาจกระทบบางกองทุน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ชวินดา" นายกสมาคม บลจ.หวังดัน กบช.-กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นช่องทางออมเงินให้คนไทยเพื่อความมั่นคงในอนาคต ระบุสัดส่วนผู้มีรายได้ที่ออมเงินผ่านการลงทุนยังอยู่ในระดับต่ำ พร้อมผลักดันให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมกองทุน รับการเก็บภาษีหุ้นอาจกระทบกองหุ้นบางส่วน พร้อมคาดหุ้นไทยปีนี้ยังมีโอกาส 1,700 แนะกระจายการลงทุนตอบโจทย์ช่วงสถานการณ์เงินเฟ้อ

นางชวินดา หาญรัตนกูล ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (นายกสมาคม บลจ.) เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนของประเทศไทยโดยเฉพาะกองทุนรวมผันผวนมากขึ้นในปีนี้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาเงินเฟ้อของสหรัฐฯ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และสงคราม ซึ่งในส่วนของอุตสาหกรรมกองทุนอาจจะได้รับผลกระทบในการเติบโตชะลอตัวลงในส่วนของเม็ดเงินลงทุนใหม่จากนักลงทุน แต่ในส่วนของผลการดำเนินงานของกองทุนอาจฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

ทั้งนี้ ส่วนตัวมีแผนในการยกระดับคุณภาพของนักลงทุนไทยให้ดีขึ้น พร้อมกับการสร้างความยั่งยืนให้แก่การเติบโตของอุตสาหกรรมกองทุน โดยสิ่งที่อยากเห็นและถือเป็นภารกิจหลักคือการผลักดันให้คนไทยมีการออมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และผลักดันให้เกิดการออมภาคบังคับผ่านกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติที่กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดตั้งและออกกฎหมายจากภาครัฐ ซึ่งแนวทางการทำงานในฐานะนายกสมาคม บลจ.ต่อจากนี้จะมีความท้าทายและต้องมีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาคกำกับดูแล ภาครัฐ และบริษัทสมาชิกเพื่อให้เกิดการเติบโตด้านการลงทุนอย่างยั่งยืนต่อจากนี้

"การลงทุนในประเทศยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ถ้าดูจากตัวเลขผู้มีรายได้กว่า 26 ล้านคน มีเพียง 3 ล้านคนเท่านั้นที่อยู่ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และมีเพียง 1.5 ล้านคนเท่านั้นที่ลงทุนในกองทุนรวม และถือเป็น 8% ของจีดีพีเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศที่มีเสถียรภาพในระดับเดียวกัน โดยการผลักดันให้เกิดการออมภาคบังคับถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งที่ตนในฐานะนายกสมาคมมีความพยายามเพื่อให้คนไทยมีเงินออมเพียงพอ และจะสานต่อภายใน 2 ปีที่ดิฉันมีโอกาสเข้ามาทำงาน ซึ่งความคืบหน้านั้นอาจต้องรอในรัฐบาลหน้าเพราะยังมีขั้นตอนที่ต้องพิจารณา และถ้าไม่ทันกองสำรองเลี้ยงชีพก็เป็นอีกช่องทางที่เราจะผลักดันเพื่อให้คนไทยมีการออมมากขึ้น"

นางชวินดากล่าวอีกว่า ในการเก็บภาษีหุ้นนั้นส่วนตัวมองว่าอาจกระทบต่อกองทุนบางกองทุน ซึ่งปัจจุบันกองทุนหุ้นในประเทศไทยมีคาแรกเตอร์ที่ต่างกัน ซึ่งกองทุนที่เป็นพาสสีฟฟันด์อาจไม่ได้รับผลกระทบ แต่ในส่วนกองทุนที่ต้องแอ็กทีฟในการปรับพอร์ตบ่อยครั้งก็จะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้

**KTAM ชี้หุ้นไทยยังมีโอกาส 1,700**
นางชวินดา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด กล่าวว่า หุ้นไทยอาจต้องเผชิญแรงกดดันจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาเห็นฟันด์โฟลว์เริ่มไหลออกจากตลาดหุ้นไทยบ้าง แต่เชื่อว่าแนวโน้มการเปิดประเทศและสถานการณ์โควิดที่คลี่คลายลงจะส่งผลให้เห็นฟันด์โฟลว์กลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย โดยเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติเองจะต้องมีการกระจายการลงทุน และไทยเองถือเป็นตลาดที่น่าสนใจและน่าจะฟื้นตัวได้หากมีการเปิดการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยคาดว่าตลาดหุ้นไทยปีนี้ดัชนียังมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 1,700 จุดได้

"หุ้นไทยปีนี้เรายังเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ 1,700 จุด และขาลง 1,500 จุดถือว่าสามารถรับได้ไม่น่าจะหลุด ซึ่งภาวะการลงทุนปีนี้ผันผวนเกือบทุกสินทรัพย์เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ สงคราม และโควิดก็ยังไม่จบ เราคงต้องติดตาม ส่วนเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยในส่วนของแบงก์ชาติน่าจะต้องดูเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลักและเราน่าจะยังไม่ปรับขึ้น ถ้าขึ้นก็จะไม่น่าเกิน 0.25% ซึ่งถ้าขึ้นจริงคงไม่กระทบตลาดหุ้นเท่าไร อาจจะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้นเพราะแบงก์ชาติไม่ได้มีเป้าหมายการขึ้นเหมือนเฟดเพียงแค่ต้องรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน โดยถ้าดูจากอดีตส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะมีช่องว่างได้ประมาณ 2%" นางชวินดากล่าว

อย่างไรก็ตาม บริษัทอยากแนะนำให้นักลงทุนกระจายการลงทุนเพื่อลดผลกระทบจากภาวะการลงทุนที่ผันผวน โดยแนะนำให้มีอัตราส่วนการลงทุนตราสารหนี้ 40% ตราสารทุน 50% และการลงทุนทางเลือก เช่น ทองคำ น้ำมัน อสังหาริมทรัพย์ รวมกันประมาณ 10% หรือ 10-15% ได้เช่นกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น