xs
xsm
sm
md
lg

ทาลิสคาดหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นต่อ ชูกองหุ้นกลาง-เล็ก 3 ปีผลตอบแทน 27%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาการลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นกลุ่มที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน และสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น เนื่องจากไม่ได้อยู่ในเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติมากนัก ทำให้มีความผันผวนน้อยกว่าหุ้นขนาดใหญ่ที่มักจะเคลื่อนไหวตามแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติเป็นหลัก ประกอบกับหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตสูงในช่วงที่เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว สะท้อนจากผลตอบแทนของดัชนี sSET TRI ในปี 2564 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 67.85% (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2564) ซึ่งส่งผลให้กองทุนที่ลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น

ล่าสุดจากการรวบรวมข้อมูลของ Morningstar Direct พบว่ากองทุนเปิดทาลิส MID-SMALL CAP หุ้นทุน (TLMSEQ) ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กมีผลตอบแทนอยู่ในอันดับที่ 1 จากการจัดอันดับของ “บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ซ (ประเทศไทย)” ของกลุ่มกองทุนหุ้นขนาดกลาง-เล็ก โดยกองทุน TLMSEQ มีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีสูงสุด 10 อันดับแรก ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 27.69% ต่อปี และได้รับการจัดอันดับกองทุนที่ระดับ 5 ดาวจากมอร์นิ่งสตาร์ฯ ด้วย (ข้อมูล ณ วันที่ 18 เมษายน 2565)

ในขณะที่ปี 2564 ที่ผ่านมากองทุน TLMSEQ สามารถสร้างผลตอบแทนสูงถึง 74.03% โดยดัชนี SET Index เพิ่มขึ้น 17.67% และ sSET TRI ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 67.85% ในช่วงเวลาเดียวกัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีต/ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนของกองทุนรวม ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต)

สำหรับกองทุน TLMSEQ มีนโยบายเน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ/หรือ ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจ

นายประภาสย้ำว่า ผลตอบแทนที่โดดเด่นดังกล่าวมาจากกลยุทธ์ที่สำคัญ จากการคัดเลือกหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว และผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ในการบริหารที่ดี โดยผู้จัดการกองทุนมีการติดตามและวิเคราะห์หุ้นแต่ละตัวในเชิงลึก เนื่องจากหุ้นเหล่านี้จะไม่มีนักวิเคราะห์ติดตามเหมือนหุ้นขนาดใหญ่นอกจากนี้ จังหวะการเข้าซื้อขาย และลงทุนในหุ้นที่มีราคาที่เหมาะสมก็มีความสำคัญเช่นกัน พร้อมกับย้ำว่าจากกระบวนการบริหารจัดการกองทุนอย่างมีระบบ โดยมีการค้นหาบริษัทที่ดีอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งติดตามข่าวสารเกี่ยวกับบริษัท ภาพรวมตลาด และเศรษฐกิจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงมีการทบทวนและปรับการลงทุนเข้าออกตามการประเมินราคาที่เหมาะสม ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญเป็นอย่างมากต่อการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องของกองทุน

“จุดเด่นของหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่ทาลิสเลือก คือมีการบริหารจัดการที่ดี และมีฐานะทางการเงินที่เข้มแข็งสามารถขยายธุรกิจได้ต่อเนื่อง รวมทั้งยังมีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้มากกว่าคู่แข่ง จึงทำให้มีโอกาสที่จะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้รับประโยชน์จากการซื้อกิจการ หรือการควบรวมกิจการ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของหลายๆ บริษัท และจากปัจจัยเชิงบวกเหล่านี้ เราจึงมองว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดกลาง-เล็กถือเป็นการกระจายการลงทุนแบบหนึ่ง ที่เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในพอร์ตการลงทุนให้ดีขึ้น” นายประภาสกล่าว

ส่วนภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปี 2565 นายประภาสให้มุมมองเพิ่มเติมว่า “ตลาดหุ้นไทยยังคงปรับตัวขึ้นต่อได้ จากปัจจัยภายในประเทศเองที่ยังเป็นส่วนสำคัญช่วยสนับสนุน SET Index ให้ปรับตัวขึ้น ซึ่งการที่รัฐบาลทยอยผ่อนคลายมาตรการที่เป็นข้อจำกัดและเปิดเมืองมากขึ้น ทำให้นักลงทุนมีความคาดหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวมากขึ้น พร้อมกับการฟื้นตัวของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ในขณะเดียวกัน สภาพคล่องในระบบการเงินปัจจุบันยังมีอยู่สูง ประกอบกับดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ ล้วนเป็นเซนติเมนต์เชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไป

นอกจากนี้ โดยภาพรวม บลจ.ทาลิสยังมองว่าตลาดหุ้น Emerging Market อาจได้รับผลดีจากเงินทุนไหลเข้า เนื่องจากในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าตลาดหุ้น Emerging Market มีโอกาสเติบโตมากกว่าตลาดหุ้น Developed Market ที่เติบโตไปก่อนหน้าแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายนอกยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลต่อตลาด โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อในระดับสูงจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการส่งสัญญาณในการใช้นโยบายการเงินตึงตัวของหลายๆ ประเทศทั่วโลก จากการฟื้นตัวที่ดีของเศรษฐกิจในประเทศที่พัฒนาแล้วและปัญหาเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับนโยบายทางการเงินตึงตัวยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อภาวะการลงทุน นอกจากนี้ประเด็นความเสี่ยงเพิ่มเติมของสถานการณ์การระบาดของไวรัส Covid-19 ในประเทศจีนที่กลับมาระบาดอีกครั้ง จนเกิดการ Lockdown ขึ้นในหลายเมืองสำคัญ ก็เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของสินค้าหลายๆ ประเภท ซึ่งประเด็นเหล่านี้ นักลงทุนยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
กำลังโหลดความคิดเห็น