xs
xsm
sm
md
lg

กสทช.เดินหน้าโรดแมป พิจารณาควบรวมทรู-ดีแทค

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดฉาก กสทช.ชุดใหม่ ประเดิมประชุมนัดแรกพิจารณาโรดแมป กรณีการควบรวมธุรกิจทรู-ดีแทค ตั้งคณะอนุกรรมการ 4 ชุดโดยเปิดโอกาสให้ประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็นอย่างรอบด้าน สอดคล้องกับผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษาผลกระทบการควบรวมที่ ‘อนุดิษฐ์’ เป็นประธานที่เห็นว่าควรให้เวลา กสทช.ชุดใหม่พิจารณาอย่างรอบคอบและครบถ้วนทุกประเด็น

นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า วันนี้ (27 เม.ย.) ที่ประชุม กสทช. ครั้งที่ 9/2565 ซึ่งถือเป็นการประชุมครั้งแรกของ กสทช. ชุดใหม่ที่มีนายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ เป็นประธาน กสทช.โดยที่ประชุมได้เห็นชอบแผนงาน (Roadmap) กรณีการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ดีแทค

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาและวิเคราะห์เรื่องดังกล่าวจำนวน 4 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการฯ ด้านกฎหมาย คณะอนุกรรมการฯ ด้านคุ้มครองผู้บริโภคและสิทธิพลเมือง คณะอนุกรรมการฯ ด้านเทคโนโลยี และคณะอนุกรรมการฯ ด้านเศรษฐศาสตร์

นายไตรรัตน์ กล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบให้จัดประชุม Focus Group เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง กลุ่มนักวิชาการ และกลุ่มผู้บริโภคและประชาชนทั่วไป ตลอดจนมอบหมายให้คณะทำงานของสำนักงาน กสทช. และที่ปรึกษาอิสระทั้งในและต่างประเทศศึกษาผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์และสังคมในระยะเวลาที่เร็วที่สุด

“ทาง กสทช. จะพิจารณาเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง ครบถ้วน และรอบด้าน รวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมโดยดูทั้งข้อกฎหมาย และผลกระทบในด้านต่างๆ ทั้งทางบวกและทางลบ คำนึงถึงประโยชน์สาธารณะและอุตสาหกรรมเป็นสำคัญ จึงอยากขอให้ทุกฝ่ายวางใจได้” นายไตรรัตน์ กล่าว

***กมธ.ศึกษาผลกระทบยื่นหนังสือนายกฯ


ขณะที่นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบกรณีการควบรวมกิจการโทรคมนาคมระหว่าง True กับ DTAC และการค้าปลีก-ค้าส่ง ได้ส่งหนังสือลงวันที่ 20 เมษายน 2565 เรื่อง ขอส่งข้อเสนอเพื่อประกอบการพิจารณาให้ชะลอการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท TRUE และบริษัท DTAC ต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า

ด้วยในคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 3 ครั้งที่ 20 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม 2564 ที่ประชุมได้มีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นคณะหนึ่งเพื่อพิจารณาศึกษาผลกระทบกรณีการควบรวมกิจการโทรคมนาคมระหว่าง True กับ DTAC และการค้าปลีก-ค้าส่ง ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2562 ข้อ 49

ภายใต้หน้าที่และอำนาจที่ได้รับมอบหมายคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาศึกษาผลกระทบกรณีการควบรวมกิจการโทรคมนาคมระหว่าง True กับ DTAC ภายใต้ความเข้าใจร่วมกันที่ว่า “รัฐต้องมีอำนาจในการอนุญาตหรือไม่อนุญาตการรวมธุรกิจและกำกับดูแลกระบวนการการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม เพื่อจะปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว”

โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีการประชุมไปแล้วจำนวน 10 ครั้ง ซึ่งในการประชุมได้มีการเชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ได้แก่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สำนักงาน กขค.) บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเช็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (DTAC) และบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมให้ข้อมูล ข้อเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับกระบวนการและความคืบหน้าในการดำเนินการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท True และบริษัท DTAC กฎหมาย กฎ ระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การเตรียมการและความคืบหน้าในการดำเนินการของหน่วยงานต่อการดำเนินการรวมธุรกิจดังกล่าว

ตลอดจนการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงแนวทางและการเตรียมการในการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับและป้องกันไม่ให้การดำเนินการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค ประชาชนผู้ใช้บริการและผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวมในอนาคต และจากการประชุมคณะกรรมาธิการ รวมทั้งการติดตามข่าวสารต่างๆ ที่เป็นการสะท้อนความคิดเห็นของสังคมโดยรวมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้ว

พบว่าการดำเนินการของหน่วยงานที่มีบทบาทหน้าที่ในการกำกับดูแลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวยังมีข้อมูลและข้อเท็จจริง ตลอดจนข้อกฎหมายหลายประเด็นที่ยังไม่ชัดเจนและสร้างความกังวลแก่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และสังคมโดยรวม ดังนี้

1.ประเด็นด้านผลกระทบต่อตลาดโทรคมนาคม ผลการศึกษาดัชนีการกระจุกตัวอุตสาหกรรม (Herfindhal +lisch man Index - HH) พบว่า หากมีการรวมธุรกิจครั้งนี้จะทำให้ค่า HHI สูงขึ้นมากกว่า 2,500 จุด และเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากเดิมมากกว่า 1,000 จุด ส่งผลต่อสภาวะการแข่งขัน สุ่มเสี่ยงต่อการใช้อำนาจเหนือตลาด และเป็นอุปสรรคสำหรับการเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แสดงถึงสัญญาณอันตรายในการลดการแข่งขันอย่างเสรี

2.ประเด็นด้านข้อกฎหมาย พบว่า ตามประกาศ เรื่องมาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2561 ข้อ 5 นั้น ได้กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตหรือผู้มีอำนาจควบคุมของผู้รับใบอนุญาตที่ประสงค์จะทำการรวมธุรกิจกับผู้รับใบอนุญาตรายอื่นต้องรายงานต่อเลขาธิการ กสทช. ไม่น้อยกว่า 90 วันก่อนการดำเนินการ จากประเด็นข้อกฎหมายนี้มีความกังวลว่าเดิมทีก่อนมีประกาศ กสทช. ปี 2561 กฎหมายมีการกำหนดให้ กสทช. มีอำนาจในการอนุญาตหรือไม่อนุญาต

แต่ตามประกาศฉบับนี้ซึ่งได้มีการแก้ไขในปี 2561 มีลักษณะเป็นการลดอำนาจของหน่วยงานที่กำกับดูแลจากการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้รวมธุรกิจมาเป็นการรับทราบรายงานแทน และมีอำนาจเพียงการออกมาตรการกำกับดูแลผลกระทบเท่านั้น

ในขณะที่ประกาศ เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2549 ข้อ 8 ได้ระบุไว้ว่า การเข้าถือครองธุรกิจในประเภทเดียวกัน ด้วยการเข้าซื้อหรือถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของผู้รับใบอนุญาตรายอื่นจะกระทำมิได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ และต้องแจ้งแก่คณะกรรมการเพื่อขออนุญาตตามหลักเกณฑ์เท่ากับยังคงอำนาจการอนุญาตไว้หากเป็นธุรกิจประเภทเดียวกัน

ดังนั้น จำเป็นต้องมีการตีความกฎหมาย กฎ กติกาในการควบรวมธุรกิจครั้งนี้ว่าจะเป็นไปตามประกาศฉบับใด ทั้ง 2 กิจการเป็นธุรกิจประเภทเดียวกันหรือไม่ หากไม่เป็น กลไกการกำกับดูแลที่มีอยู่ที่เพียงแต่ให้รายงานและกำหนดเงื่อนไข รวมถึงมาตรการเฉพาะในกรณีที่เกิดผลกระทบนั้นเพียงพอหรือไม่ และหน่วยงานผู้กำกับดูแลควรดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

3.ประเด็นเรื่องการเปลี่ยนผ่านการพิจารณาอนุญาตการรวมธุรกิจระหว่างคณะกรรมการ กสทช.ชุดเดิมและชุดใหม่ สืบเนื่องจากที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งคณะกรรมการ กสทช. ชุดใหม่เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2565 ส่งผลให้คณะกรรมการชุดดังกล่าวจะต้องเป็นผู้พิจารณาการรวมธุรกิจครั้งนี้ต่อจากคณะกรรมการชุดรักษาการที่หมดวาระไปเพราะมีการตั้งชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่กระบวนการต่างๆ ในการรวมธุรกิจครั้งนี้ได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วนโดยคณะกรรมการชุดเดิม ทั้งในเรื่องของการแก้ไขประกาศต่างๆ การพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระ และอนุกรรมการในการพิจารณาศึกษาข้อมูล เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในการรวมธุรกิจ

โดยที่คณะกรรมการชุดใหม่ไม่ได้มีส่วนในการตัดสินใจดำเนินการ แต่ต้องนำข้อมูลที่ได้จากการดำเนินการดังกล่าวมาใช้ประกอบการตัดสินใจ และที่สำคัญกรอบระยะเวลาที่ต้องดำเนินการพิจารณาตามกระบวนการนั้นเหลือไม่มาก ขณะที่มีรายละเอียดที่ต้องพิจารณาเป็นจำนวนมาก รวมทั้งอาจจะไม่เข้าใจต่อการดำเนินการ หรือกระบวนการที่ผ่านมาของคณะกรรมการชุดเดิม ดังนั้น สิ่งที่กล่าวมาจึงอาจส่งผลต่อความรอบคอบ รอบด้านในการพิจารณาของคณะกรรมการชุดใหม่ จนอาจเกิดการผิดพลาดในการตัดสินใจได้ เนื่องจากมีระยะเวลาที่จำกัดเกินไปที่จะศึกษาข้อมูล เพื่อประกอบการตัดสินใจอนุญาตการรวมธุรกิจครั้งนี้อย่างละเอียดรอบคอบ

4.ประเด็นการคัดเลือกที่ปรึกษาอิสระของ กสทช. เพื่อมาพิจารณาให้ความคิดเห็นหรือจัดทำรายงานเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการ กสทช.ตามกฎหมาย พบว่าคุณสมบัติของที่ปรึกษาอิสระนั้นอาจไม่มีความเป็นอิสระจริง รวมทั้งอาจขัดต่อหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกกรรมการอิสระที่ กสทช. ได้มีการกำหนดไว้เองด้วยซึ่งที่ประชุมกรรมาธิการได้ทักท้วงและเสนอรายละเอียดต่อตัวแทน กสทช. ที่เข้าร่วมประชุมแล้ว

5.ประเด็นข้อมูลรายงานผลการศึกษาผลกระทบต่างๆ รวมทั้งการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวของต่างประเทศ ที่สำนักงาน กสทช. ได้นำมาประกอบการพิจารณาในการตัดสินใจในการดำเนินการครั้งนี้ พบว่า เป็นผลการศึกษาที่ไม่ทันสมัย ไม่มีความเป็นปัจจุบันและไม่ทันต่อบริบทที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก

6.ประเด็นแนวทางการกำหนดมาตรการของหน่วยงานกำกับดูแลที่จะดำเนินการในการควบคุมกำกับดูแลการรวมธุรกิจครั้งนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อไม่ให้การรวมธุรกิจเกิดผลกระทบต่อผู้บริโภค ประชาชนและประเทศชาติทั้งในระยะสั้นระยะยาว

7.ประเด็นข้อกังวลของสังคมและองค์กรต่างๆ เช่น หนึ่งในคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน กสทช. ได้มีการยื่นหนังสือถึง กสทช. เรื่องขอให้ปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจที่กฎหมายบัญญัติและยกเลิกประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2561 แล้วนำประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการควบรวมและการถือหุ้นไขว้ในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 กลับมาใช้ หรือนำออกมาเป็นแนวปฏิบัติ เพื่อออกประกาศใหม่ที่มีมาตรฐานเดียวกันมาใช้ในการประกอบการพิจารณาดำเนินการ เพื่อมีคำสั่งไม่ให้มีการควบรวมธุรกิจของ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) หรือกลุ่มบริษัททรู กับบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) หรือกลุ่มบริษัท DTAC เพราะจากการศึกษาในขั้นต้นของกรรมาธิการ พบว่า การรวมธุรกิจในครั้งนี้มีแนวโน้มที่ก่อให้เกิดการผูกขาดทางการค้าเกินร้อยละ 50 และลดการแข่งขันทางการค้า จำกัดการเข้าสู่ตลาดของผู้ให้บริการรายใหม่ยากที่จะเกิดได้ รวมไปถึงการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบและกำกับดูแลจากภาควิชาการ ตลอดจนสภาองค์กรผู้บริโภคด้วย

จากข้อมูลประเด็นต่างๆ ดังกล่าวข้างตัน คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า หากมีการดำเนินการให้เกิดการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท TRUE และบริษัท DTAC ในห้วงเวลานี้ ขณะที่มีหลายประเด็นยังคงไม่ชัดเจน และมีข้อกังวลจากหลายฝ่าย ซึ่งอาจจะทำให้การรวมธุรกิจครั้งนี้เกิดผลเสียหรือส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคประชาชนผู้ใช้บริการและประเทศชาติโดยรวมในอนาคตได้

ด้งนั้น เพื่อเป็นการป้องกันและรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ จึงมีข้อเสนอมายังท่านในฐานะผู้บริหารสูงสุดของประเทศเพื่อพิจารณาขอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบได้มีการชะลอการดำเนินการดังกล่าวออกไปก่อนจนกว่าจะมีข้อกฎหมาย ข้อมูลและแนวทางการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแลเรื่องดังกล่าวเป็นที่ชัดเจนว่าจะสามารถปกป้องประเทศชาติและประชาชนจากผลกระทบต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้








กำลังโหลดความคิดเห็น