บลจ.ยูโอบีคาดปีหน้าเงินเฟ้อกดดัน หุ้นสหรัฐฯ คริปโตฯ จ่อปรับฐาน ส่วนเศรษฐกิจไทยจ่อขยายตัว 3.5% หนุนหุ้นไทยอยู่ในกรอบ 1,650-1,700 จุด ระบุกลุ่มพลังงาน แบงก์ สุขภาพน่าสนใจ
นายกุลฉัตร จันทวิมล รองกรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงมุมมองเศรษฐกิจโลกและการลงทุนในปี 2565 โดยมองว่าเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ การกระตุ้นเศรษฐกิจจะลดลงและนโยบายการเงินเข้มงวดขึ้น ความเสี่ยงทางการเมืองสูงขึ้น ซึ่งสินทรัพย์เสี่ยงยังคงให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ โดยปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะมาพร้อมกับปัญหาเงินเฟ้อมากกว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่น่าจะเริ่มคลี่คลายและลดแรงกดดันลง
ทั้งนี้ บริษัทมองว่าเศรษฐกิจของอเมริกาในปีหน้าจะเป็นปีแห่งการปรับสมดุลตลาดการเงิน เศรษฐกิจจะมีการเติบโต เกิดการจ้างงานที่โดดเด่น แต่เงินเฟ้อสูง โดยหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสปรับฐานในปีหน้า โดยได้รับแรงกดดันจากเงินเฟ้อและแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ตาม คาดว่าเฟดอาจมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งที่ 0.25% เท่านั้น
“ในปีหน้าหุ้น Tech สหรัฐฯ จะปรับฐานเนื่องจากราคาเริ่มแพงเกินไป รวมถึงตลาดคริปโตฯ ที่จะปรับตัวลดลงและส่งผลให้หุ้นเทคฯ บางตัวในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบตามไปด้วย และจะเห็นนโยบายการเงินที่เข้มงวด แต่เห็นภาครัฐมีการลงทุน Tech Infra มากขึ้น โดยการเลือกตั้งกลางปีมีความเสี่ยงที่จะเสียสภาให้ Republican ถือเป็นปัจจัยกดดันทางการเมืองเรื่องหนึ่ง”
ในส่วนประเทศไทยนั้น มองว่าจะมีการประคองเศรษฐกิจเพื่อรอการเปิดประเทศ สำหรับภาคบริการ Bank และ Energy จะไม่แพง ซึ่งประมาณการว่ามีแนวโน้มเติบโตพร้อมวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยคาดว่าเศรษฐกิจของไทยในปี 2565 จะมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 3.5% โดยมีเงื่อนไขว่าภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยจะต้องเปิดเแบบเต็มรูป ในส่วนของเงินเฟ้อจะอยู่ที่ประมาณ 1.5% ซึ่งเริ่มเห็นมีปัจจัยเสี่ยงจากการเมือง การเลือกตั้ง ทั้งในส่วนของผู้ว่าฯ กทม. และในระดับประเทศ
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยในปี 2565 มีแนวโน้มอยู่ที่ 1,650-1,700 จุด เป็นปีแห่งการเทิร์นอะราวนด์ โดยเซกเตอร์ที่น่าสนใจจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากการเปิดประเทศและกลุ่มหุ้นในระบบเศรษฐกิจแบบเก่า โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานจะเป็นกลุ่มที่โดดเด่นในช่วงที่ราคาพลังงานอยู่ในระดับสูงขณะที่กลุ่มการเงินจะเห็นการควบรวมและขยายธุรกิจไปสู่ช่องทางดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้มีโอกาสในการสร้างผลกำไรต่อราคาปรับตัวดีขึ้น ส่วนกลุ่มสุดท้ายน่าจะเป็นกลุ่มหุ้นสุขภาพที่ยังมีความน่าสนใจอย่างต่อเนื่องหลังจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19