นางเมธ์วดี ประเสริฐสินธนา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางกอกแคปปิตอล หรือ BCAP กล่าวว่า บริษัทเตรียมที่จะออกกองทุนใหม่ ซึ่งเน้นการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมช่วยลดการปล่อยก๊าสเรือนกระจกหรือคลีน อินโนเวชั่น ซึ่งถือว่าเป็นเมกะเทรนด์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดยประเมินว่าตั้งแต่วันนี้จนถึง 20-30 ปีข้างหน้าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมหาศาล ตอบรับนโยบายกว่า 196 ประเทศทั่วโลก ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ ภายในปี 2050
การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นการตอบโจกท์การลงทุนแห่งศตวรรษ เพราะถือว่าเป็นนวัตกรรมเพื่อความอยู่รอดของโลก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีกว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (CO 2) และอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นคือวิกฤตที่เรากำลังเผชิญอยู่ เพราะก๊าซ CO 2 เป็นสาเหตุหลักของปัญหาภาวะโลกร้อน และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในอดีต ระดับของ CO 2 และอุณหภูมิโลกมีการปรับเข้าสมดุลมาตลอด แต่หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมก็ทำให้เสียสมดุลไปและปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรงขณะที่ จีน เป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซ CO 2มากที่สุดในโลกและยังรับมือกับปัญหาได้น้อย
WWF หรือองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล คาดการณ์ว่า ถ้าไม่เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้น 1.5 °C ภายในปี 2040 เพิ่มขึ้น 2 °C ภายในปี 2065 และเพิ่มขึ้น 4°Cภายในปี 2100 ซึ่งธนาคารโลกมองว่าถ้าไม่ได้รับการแก้ไขปล่อยให้อุณหภูมิโลกขึ้นไปถึง 4°C จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เช่นจะเกิดการขาดแคลนอาหาร เพราะพื้นที่บางภูมิภาคของโลกไม่สามารถทำการเกษตรได้ พืชและสัตว์จะหายไปจากโลก 50% ธุรกิจประมงเกิดการสูญพันธุ์ น้ำแข็งจากขั้วโลกละลายหนุนน้ำทะเลขึ้นสูง3-7 เมตร
นางเมธ์วดี อธิบายต่อว่า จากสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้ทั่วโลกมีการตื่นตัวลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจากส่งผลให้ทั่วโลกจำเป็นต้องกำหนด การลดโลกร้อน เป็นวาระแห่งชาติ โดยความตกลงปารีสทำให้แผนลดการปล่อยก๊าซ CO2เป็นรูปธรรมมากขึ้น เห็นได้จากมหาอำนาจของโลก ต่างต้องการเป็นผู้นำเทคโนโลยีลดโลกร้อน
โดยสหรัฐอเมริกา ในยุคของโจไบเดน เป็นประธานาธิบดีกลับมาให้ความสำคัญกับปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมกับทุ่มงบลงทุนกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ในพลังงานสะอาด รวมถึงเก็บภาษีสินค้าที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง
ขณะที่ สี จิ้นผิงประกาศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14(ปี 2021-2025) ซึ่งมุ่งเน้นแก้ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของจีน โดยต้องการเป็นผู้นำการผลิตเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาด และลงทุน 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับการส่งพลังงานสูงและสถานีชาร์ตรถไฟฟ้า
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแรงผลักดันทั้งโลกมุ่งสู่ Net Zero CO2 emission ถือเป็นโอกาสการลงทุนแห่งศตวรรษ โดยทางบีแคปมองว่า ปัจจุบันกองทุนส่วนใหญ่จะลงทุนแค่ในธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานทางเลือก ไม่ได้ครอบคลุมไปในธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมแบบครบวงจร ที่มีโอกาสในการเติบโตที่สูงมาก